السلام عليكم ورحمة الله تعالى وبركاته
الحمد لله رب العالمين ، والصلاة والسلام على رسول الله صلى الله عليه وسلم وعلى آله وصحبه أجمعين
การถือศีลอดกับผลตอบสนองทางด้านจิตวิญญาณและร่างกายมากมายจากสิ่งต่างๆที่จะแบ่งและแสดงถึงโครงสร้างความศรัทธาของแต่ละบุคคล ซึ่งมีทั้งทางด้านบวกและด้านลบ การทดสอบของอัลลอฮฺต่อบ่าวของพระองค์นั้นก็เพื่อที่จะวัดถึงศักยภาพในการอดทน และความสามารถในการที่จะรับภาระที่หนักหน่วงของพวกเขา แน่นอนสิ่งที่จะมาทดสอบความศรัทธาของผู้เป็นบ่าวได้ถูกบันทึกไว้ในบทบัญญัติแห่งพระเจ้าไว้แล้ว โดยที่บทบัญญัติจะกำหนดศาสนกิจให้แก่มนุษย์ชาติ หนึ่งในบรรดาคำบัญชาใช้นั้นก็คือ การถือศีลอด ซึ่งจะทำให้สุลต่านแห่งจิตวิญญาณนั้นเป็นเจ้าเหนือร่างกาย เป็นเจ้าแห่งการคุมบังเหียนในเรื่องต่างๆ มิให้เดินทางไปสู่ความหลงใหลทางด้านวัตถุ การถือศีลอดจะปลูกความเป็นผู้มีความรับผิดชอบ ความเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจ และเป็นผู้ที่มีความสัจจะ และแน่นอนได้มีอัล-ฮาดีษอัลกุดซีย์ (บัญญัติแห่งพระเจ้าที่ผ่านตรงมาสู่ท่านศาสดามูฮำมัด) ถูกรายงานมาว่า
(( كل عمل ابن آدم له إلاّ الصيام فإنه لي وأنا أجزي به ))
ความว่า: ทุกๆกิจการงานของลูกหลานอาดัม (มนุษย์) นั้นเป็นสิทธิ์ของพวกเขา นอกจากการถือศีลอด แน่แท้การถือศีลอดนั้นเป็นสิทธิ์ของข้า (อัลลอฮฺ) โดยที่ข้าจะตอบแทนผลบุญเนื่องด้วยการถือศีลอดนั้น (รายงานโดย ท่านอะห์มัด มุสลิม และน่าซาอีย์)
ความหมายของการถือศีลอดตามบทบัญญัติแห่งอิสลามก็คือ การยับยั้งจากอาหาร เครื่องดื่ม การร่วมประเวณี และสิ่งต่างๆที่จะทำให้เสียศีลอดไปพร้อมๆกับการเจตนาถือศีลอด โดยยับยั้งจากสิ่งดังกล่าวตั้งแต่แสงอรุณขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน
เมื่อการยับยั้งจากสิ่งที่เป็นเรื่องอนุญาต กลายเป็นเรื่องหนักหน่วงต่อจิตใต้สำนึก แน่นอนการตอบรับบัญชาห้ามก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากต่อจิตใต้สำนึก หากแม้นจิตไร้ศรัทธาและไร้ซึ่งความคะนึงหาต่ออัลลอฮฺแล้ว แน่นอนพระองค์ก็จะทรงตอบสนองบ่าวผู้ทรยศด้วยกับการลงโทษอย่างสาสม และพระองค์ก็จะทรงถอดคำว่า ศรัทธา จากหัวใจของเขาเหล่านั้น เพราะก่อนที่จะมีคำบัญชาใช้ให้ถือศีลอดนั้น อัลลอฮฺทรงใช้คำนำที่ว่า (ياأيها الذين آمنوا كتب عليكم الصيام ) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย การถือศีลอดได้ถูกกำหนดเหนือพวกเจ้าแล้ว เพราะแท้จริงแล้วการศรัทธานั้นขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามคำสั่งใช้และการภักดีต่ออัลลอฮฺ (ผู้ทรงบริสุทธิ์ยิ่ง)
การถือศีลอดได้ถูกกำหนดโดยบังคับใช้แก่ทุกๆประชาชาติในยุคก่อนๆด้วยเช่นกัน เป้าหมายแรกของการถือศีลอดก็คือ การเตรียมพร้อมหัวใจเพื่อทำการภักดีและนอบน้อมต่ออัลลอฮฺ และเป็นการเตรียมจิตใจเพื่อปฏิบัติคุณงามความดีต่างๆ ด้วยเหตุนี้ ผู้ถือศีลอดจึงต้องละทิ้งอารมณ์ความต้องการต่างๆไปพร้อมๆกับพลังความสามารถที่จะปฏิบัติตามคำบัญชาใช้แห่งพระเจ้า และรีบเร่งไปสู่ความพึงพอพระทัยของพระองค์ และด้วยการปฏิบัติเช่นนี้หัวใจของผู้ถือศีลอดจะมีแต่ความแกร่งกลัวต่ออัลลอฮฺ และจะตื่นรับแสงสว่างแห่งสัจธรรม
ก่อนที่คำบัญชาใช้ให้มุสลิมถือศีลอดในเดือนรอมาฎอนนั้น อัลลอฮฺทรงกำหนดให้กับมุสลิมในยุคเริ่มอิสลามทำการถือศีลอดทุกๆเดือนๆละ 3 วันโดยให้เลือกปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีและไม่ได้เดินทาง และหากว่าผู้ใดมิได้ถือศีลอดก็จะต้องจ่ายอาหารให้กับคนจนแทน พร้อมกับระบุว่าการถือศีลอดนั้นประเสริฐกว่าการให้อาหาร ต่อมาพระองค์ก็ทรงสั่งยกเลิกบทบัญญัติดังกล่าวด้วยการบัญชาใช้ให้ถือศีลอดในเดือนรอมาฎอนแทน โดยถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีและมิได้เดินทาง และเป็นการอนุญาตให้เลือกปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยและผู้เดินทาง แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องชดใช้ในภายหลังในขณะที่มีความสามารถ สำหรับผู้ป่วยที่คิดว่าเขาไม่สามารถที่จะถือศีลอดได้อีกต่อไป อันเนื่องมาจากความชราภาพหรือความอ่อนแอที่ยากจะหายได้ ก็ให้เขาผู้นั้นจ่ายอาหารให้กับคนจนทุกวันๆละหนึ่งมื้อ และหากให้มากกว่านั้นก็จะเป็นการดีสำหรับเขา
ผลวิจัยทางการแพทย์ว่าด้วยการถือศีลอดได้รับการยืนยันจากแพทย์แล้วว่า การถือศีลอดนั้นเป็นการขจัดสิ่งปฏิกูลที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย ทำให้ความชื่นที่เป็นอันตรายแห้งลง และทำความสะอาดลำไส้จากสารพิษตกค้าง ละลายไขมันที่เป็นอันตรายต่อหัวใจ แพทย์ชาวตะวันตกคนหนึ่งได้กล่าวว่า การถือศีลอดคือการศัลยกรรมที่ยอดเยี่ยม เป็นการรักษาโรคต่างๆโดยไม่ต้องใช้มีดผ่าตัดหรือโดยไม่ต้องถ่ายเลือด การถือศีลอดเป็่นการเพิ่มพลังความสามารถ และทำให้จิตใจเคยชินกับความยากลำบาก
การถือศีลอดมิใช่เพียงแค่การอดอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการอพยพออกจากสิ่งชั่วร้ายและโสมมต่างๆ ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้ผู้ถือศีลอดพูดในเรื่องที่ไม่ดี เช่นการนินทาว่าร้ายผู้อื่น และการกระทำสิ่งที่ไม่ดีงาม เพราะท่านศาสดามูฮำมัดได้กล่าวไว้ว่า
(( الصيام جُنَّة ، فإذا كان يوم صوم أحدكم فلا يرفث ولا يصخب ولا يجهل ، فإن شاتمه أحد أو قاتله فليقل إني صائم ، إني صائم ))
ความว่า: การถือศีลอดนั้นคือเกราะป้องกัน ดังนั้นเมื่อวันของการถือศีลอดมาถึง คนใดจากพวกท่านอย่าได้พูดจาหยาบคาย อย่าได้ทำเสียงเอ็ดตะโรโวยวาย อย่าได้หลงผิด และหากผู้ใดได้ด่าว่าคนใดจากพวกท่าน (ที่ทำการถือศีลอด) หรือต่อสู่หรือทะเลาะกับคนใดจากพวกท่าน ดังนั้นเขาจงกล่าวว่า ฉันถือศีลอด ฉันถือศีลอด (รายงานโดย อะห์มัด มุสลิม นะซาอีย์)
ด้วยเหตุนี้การถือศีลอดจึงถือได้ว่าเป็นการศึกษาและลงมือปฏิบัติในการที่จะทำให้จิตใต้สำนึกกลับสู่ความประเสริฐ และแบกรับเอาสิ่งที่ดีงามทุกประการ ในทางกลับกันหากผู้ถือศีลอด อดแต่เพียงอาหาร โดยที่ไม่อดทนต่อการปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำแล้ว การถือศีลอดของเขาก็เป็นเพียงแค่การสร้างความลำบากให้กับตัวเองเท่านั้น เพราะท่านศาสดามูฮำมัดได้กล่าวไว้ว่า
(( كم من صائم ليس له من صيامه إلاّ الجوع والعطش ))
ความว่า: มากมายจากผู้ถือศีลอดที่ไม่ได้อะไรจากการถือศีลอดเลย นอกเสียจากความหิวและกระหายเท่านั้น (รายงานโดย นะซาอีย์ และอิบนุมาญะห์)
อัลลอฮฺ (ตะอาลา) ทรงเลือกเดือนรอมาฎอนเป็นเดือนแห่งการประทานสิ่งดีงามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประทานบรรดาคัมภีร์ต่างๆให้กับบรรดาศาสนทูตของพระองค์ และยังเป็นเดือนแห่งการประทานแนวทางให้แก่หัวใจของปวงบ่าวผู้ซึ่งศรัทธา ผู้ซึ่งเชื่อมั่น และปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์
والله سبحانه وتعالى أعلم