ผู้เขียน หัวข้อ: >>บทวิภาษ “ออกอีดิลอัฎฮาที่ไม่ต้องรอคำประกาศจากสำนักจุฬาราชมนตรี”<<  (อ่าน 4060 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/

بسم الله الرحمن الرحيم

الحمد لله رب العالمين و الصلاة والسلام على سيدنا محمد وعلي اله وصحبه أجمعين

السلام عليكم ورحمة الله وبركات


บทวิภาษ  บทความเฉพาะกิจ  “ออกอีดิลอัฎฮาที่ไม่ต้องรอคำประกาศจากสำนักจุฬาราชมนตรี”

อ.มุรีด ทิมะเสน  ได้เขียนบทความเฉพาะกิจนี้ ณ บ้าน วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม 2549


เนื่องด้วยปีนี้ (พ.ศ. 2549) เมืองไทยออกอีดอีดิลอัฎฮา 2 วัน นั่นคือวันเสาร์ที่ 30 ธ.ค. 49 และวันอาทิตย์ที่ 31 ธ.ค. 49 จึงสร้างความสับสนให้แก่พี่น้องมุสลิมในเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง
โดยพวกเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าตนเองจะออกอีดอีดิลอัฎฮาวันไหนกันแน่? บางคนกล่าวว่า ฉันจะออกตามคำประกาศของประเทศซาอุดิอาระเบีย เพราะวันวุกุฟ ( وقوف ) 
หรือวันอะเราะฟะฮฺ ( عرفة) มีที่ประเทศซาอุดิอาระเบียเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนอีกใจหนึ่งก็ยังกังวลกับคำประกาศจากสำนักจุฬาราชมนตรีว่าด้วยความเชื่อเดิมที่ว่าต้องปฏิบัติตามผู้นำ
สิ่งต่างๆ ข้างต้นเป็นความกังวลที่ทวีเพิ่มมากขึ้นในการออกอีดอีดิลอัฎฮาปีนี้ (2549) เป็นอย่างยิ่ง


วิภาษ
ความสับสนอันเกิดจากการออกอีดทั้งสอง  (อีดิลฟิฎริ-อีดิลอัฎฮา)  ในแต่ละปี เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง  มิใช่เพิ่มมาเกิดในปี  2549  และมิใช้เฉพาะวันอีดิลอัฎฮาเท่านั้น 
อาจกล่าวได้ว่าในแต่ละปีจะมีความสับสนในเรื่องการกำหนดวันสำคัญทางศาสนาอยู่ 3 ครั้ง  คือ  วันที่  1  เดือนร่อมาฎอน  (หนึ่ง)  วันที่ 1 เดือนเซาว๊าล  (สอง)  อันเป็นวันอีดดิลฟิฎริ 
และวันที่ 1 ซุลฮิจยะฮฺ (สาม)  ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดวันอีดิลอัฎฮาตามมา  ในส่วนของการกำหนดวันที่ 1 ร่อมาฎอน  และวันที่ 1 เซาว๊าลนั้นก็จะมีประเด็นเกี่ยวกับการดูผลจันทร์เสี้ยวเป็นหลัก


โดยจะมีความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย  ฝ่ายหนึ่งเชื่อตามคำประกาศผลการดูจันทร์เสี้ยวของสำนักจุฬาราชมนตรีซึ่งให้น้ำหนักแก่การดูจันทร์เสี้ยวภายในประเทศเป็นหลัก 


ฝ่ายที่สองถือตามทัศนะของนักวิชาการที่ให้น้ำหนักกับผลการดูจันทร์เสี้ยวทั่วไปทั้งในและนอกประเทศ ในกรณีที่ไม่มีผลการเห็นจันทร์เสี้ยวในประเทศ 
ผู้ที่ถือตามฝ่ายที่สองนี้ก็จะติดตามข่าวสารผลการดูจันทร์เสี้ยวในต่างประเทศและเมื่อมีข่าวสารการเห็นจันทร์เสี้ยวในประเทศอื่นผู้ที่ถือตามฝ่ายนี้ก็จะกำหนดวันตามนั้น 
เรียกง่ายๆ ว่า ตามผลจันทร์เสี้ยวนอกประเทศ  โดยไม่พิจารณาคำประกาศสำนักจุฬาราชมนตรีแต่อย่างใด  เมื่อเป็นเช่นนี้  ความสับสนและการประกอบศาสนกิจในวันที่ต่างกัน
จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างที่รู้กัน


ส่วนการกำหนดวันที่ 1 ซุลฮิจญะฮฺและวันอีดิลอัฎฮานั้นก็ยังคงมีการถือปฏิบัติที่ไม่ตรงกัน  กล่าวคือ  ฝ่ายหนึ่งถือตามการประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรีซึ่งอาศัยการดูจันทร์เสี้ยวเป็น
ตัวกำหนดวันที่ 1 ซุลฮิจยะฮฺ  และวันอีดิลอัฎฮา  อีกฝ่ายหนึ่งจะถือตามการประกาศของซาอุดิอารเบียโดยให้เหตุผลว่า  วันวุกุฟหรือวันอะเราะฟะฮฺที่ประเทศซาอุดิอาระเบียเพียงแห่งเดียวเท่านั้น 
(ดังที่ อ.มุรีดระบุข้างต้น)  เมื่อมีมาตรฐานหรือหลักการในการกำหนดวันอีดิลอัฎฮาต่างกัน  การออกอีดอีดิลอัฎฮาของชาวมุสลิมในประเทศไทยจึงแตกต่างกัน  กล่าวคือ ออกอีดกันคนละวัน
เป็นผลทำให้ขาดเอกภาพในการประกอบศาสนกิจ 


มิหนำซ้ำ  ยังมีการกล่าวพาดพิงและโจมตีฝ่ายที่ออกอีดไม่ตรงกับตนผ่านทางสื่อวิทยุที่เป็นกระบอกเสียงของแต่และฝ่าย  (โดยเฉพาะรายการวิทยุที่อ้างว่าเป็นพวกซุนนะฮฺจะมีวิทยากรบางคนกล่าววิพาษวิจารณ์ในเรื่องนี้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน)  มีการกล่าวตักบีรและประชาสัมพันธ์กลุ่มองค์กรและมัสญิด
ในเครือข่ายว่าจะจัดการละหมาดอีดในเวลาใด  เมื่อเป็นเช่นนี้ความสับสนแบบอีหลักอีเหลื่อก็ย่อมต้องเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์อยู่ร่ำไป 


จึงมีคำถามน่าคิดเกิดขึ้นว่า  เมื่อหลักการของศาสนาอิสลามเป็นหลักการที่สมบูรณ์แบบทั้งในด้านทฤษฎีและการปฏิบัติ  อีกทั้งยังมีปสิทธิภาพในการสร้างความสงบสุข  และความเรียบร้อยในสังคมมนุษย์ 
กล่าวโดยสรุป  หลักนิติธรรมอิสลามคือ สิ่งที่จะขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์  มิใช่สร้างปัญหา  ดังนั้นหลักนิติธรรมศาสตร์อิสลามมีกลไกในการขจัดปัญหาอย่างไร? 


สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมมุสลิมขณะนี้  โดยเฉพาะประเด็นข้อปลีกย่อยทางศาสนาเป็นผลมาจากการใช้หลักนิติธรรมอิสลามที่คลาดเคลื่อนหรือไม่? 
คือเป็นเรื่องของความเข้าใจคลาดเคลื่อนของบุคคลที่มีต่อตัวบทและหลักการของศาสนาใช่หรือไม่?  เพราะถ้าหากบังคับใช้หลักนิติศาสตร์อย่างถูกต้องแล้วก็คงไม่เกิดปัญหาคาราคาซังอย่างที่รู้กัน 


ดังกรณีการกำหนดวันที่ 1 ของแต่ละเดือนนั้น  เป็นที่ทราบกันว่า  นักวิชาการมีทัศนะแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายแต่ละฝ่ายก็อาศัยตัวบทหลักฐานมาสนับสนุนทัศนะความเห็นของตน 
จนดูเหมือนว่าจะเอาชนะกันอย่างเด็ดขาดมิได้  ถึงแม้ว่าฝ่ายที่ถือผลของจันทร์เสี้ยวสากลจะดูมีภาษีมากกว่า  แต่ก็เป็นการให้น้ำหนัก  (الترجيح)  จากนักวิชาการที่เห็นด้วยอีกเช่นกัน


หาใช่เป็นสิ่งที่เด็ดขาดจากตัวบทของศาสนาไม่  ปัญหาจึงอยู่ในขั้นตอนของการบังคับใช้ของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบว่าจะให้น้ำหนักแก่ทัศนะใด 
จะถือจันทร์เสี้ยวสากลหรือจันทร์เสี้ยวท้องถิ่นในการประกาศกำหนดวันสำคัญทางศาสนาจะเอาอย่างไหนดี? 

นักปราชณญ์ในศาสนาอิสลามได้มีมติเห็นพ้อง  (إتفاق)
ในเรื่องนี้ว่า  ให้ถือตามคำตัดสินชี้ขาดของผู้นำหรือองค์กรสูงสุดทางกิจการศาสนาอิสลามในแต่ละดินแดนเป็นข้อยุติ


 ดังกฎนิติศาสตร์อิสลามที่ระบุว่า

ومن المتفق عليه أن حكم الحاكم أو قرار ولي الأمر يرفع الخلاف فى الأمور المختلف فيها

"และส่วนหนึ่งจากมติที่เห็นพ้องนั้นคือ  แท้จริงการชี้ขาดของผู้ปกครองหรือการแถลงการณ์รับรองของผู้นำ  (วะลียุลอัมริ)  จะขจัดข้อขัดแย้งในบรรดาเรื่องราวที่มีความเห็นขัดแย้งในเรื่องเหล่านั้น” 


ดังนั้น  หากผู้นำหรือองค์กรสูงสุดทางกิจการศาสนาอิสลามได้ให้น้ำหนักกับผลการดูดวงจันทร์เสี้ยวท้องถิ่นเป็นหลัก  ก็ให้ถือตามนั้น  ในทำนองเดียวกันถ้าหากผู้นำหรือองกรสูงสุดฯ ได้ให้น้ำหนักแก่ทัศนะที่ถือผลการดูดวงจันทร์เสี้ยวสากลเป็นหลัก  ก็ให้ถือตามนั้นเป็นหลักเช่นกัน  หากผู้มีปัญหาและมีความเป็นกลางได้ทำความเข้าใจกับประเด็นนี้อย่างถี่ถ้วนและปลอดจากมิจฉาทิฐิและก็จะเห็นว่า  การนำเอามติเห็นพ้องของเหล่านักปราชญ์ข้างต้นมาบังคับใช้แล้ว  ก็จะไม่เกิดปัญหาและความสับสนอย่างที่เป็นอยู่  อีกทั้งมติเห็นพ้องดังกล่าว  ก็ถือเป็นกลไกของหลักนิติธรรมอิสลามในการขจัดปัญหา  และการสร้างความสงบเรียบร้อยในสังคมของประชาคมมุสลิมอีกด้วย 


ทั้งนี้การถกเถียงในหมู่นักวิชาการถึงเรื่องของจันทร์เสี้ยวท้องถิ่น  และจันทร์เสี้ยวสากลนั้นเป็นการวนอยู่ในอ่าง  เพราะเอาชนะกันโดยเด็ดขาดมิได้เนื่องจาก เป็นประเด็นของการวิเคราะห์  (الإجتهاد) 
จึงจำเป็นต้องอาศัยการให้น้ำหนัก  (الترجيح)  ของผู้ปกครองหรือผู้นำที่รับผิดชอบเป็นข้อยุติซึ่งถือเป็นหลักการในบัญญัติของศาสนา  อีกข้อหนึ่งต่างหาก  คือ  หลักการที่ว่าด้วยเรื่องการตามผู้นำ  (وليُّ الأمر)  นั่นเอง
 ปัญหาที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็คือ  ยังมีคนบางกลุ่มไม่ยอมรับหลักการที่ว่าด้วยเรื่องการตามผู้นำนั่นเอง


มิหนำซ้ำคนบางกลุ่มที่ว่านี้ยังได้วิพากษ์วิจารณ์กลุ่มผู้คนส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติตามผู้นำว่า  “เป็นกลุ่มที่มีความเชื่อเดิมๆ”  ซึ่งมิได้มุ่งหมายใช้สำนวนในทำนองของการเห็นด้วย  (إقراري) 
แต่มีนัยบ่งว่าไม่เห็นด้วย  (إنكاري)  กับความเชื่อเดิมนั้น   ทั้งๆ ที่ความเชื่อเดิมที่ว่านี้  เป็นหลักการสำคัญของนิติธรรมอิสลามที่มิอาจปฏิเสธได้ 
นอกเหนือจากนั้นยังถือเป็นหลักความเชื่อ  (عقيدة)  ของฝ่ายอะหฺลิซซุนนะฮฺ  วัลญะมาอะฮฺ อีกด้วย 



(ดูรายละเอียดเรื่องนี้ในหนังสือ  “อัลอะกีดะฮฺ  อัฏฏ่อฮาวียะฮฺ  อรรถาธิบายโดย  อัลลามะฮฺ  อิบนุ  อบิลอิซฺ  อัลฮะนะฟีย์  ตรวจทานโดยกลุ่มนักวิชาการและตรวจสอบสถานภาพหะดีษโดยมุฮัมหมัด  นาซิรุดดีน  อัลอัลบานีย์  สำนักพิมพ์อัลมักตับ  อัลอิสลามีย์  พิมพ์ครั้งที่  9  (ฮ.ศ.1408-ค.ศ.1988) หน้า 379, 380, 381)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 06, 2008, 02:57 PM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
อ.มุรีด  ได้อ้างตัวบทหลักฐานเพื่อเป็นข้อสรุปในการตัดสินใจว่าในปีนี้ (2549)  จะออกอีดอีดิลอัฎฮาวันไหนกันแน่  ในบทความเฉพาะกิจของท่านว่า 

“ประการแรก ท่านรสูลุลอฮฺสั่งใช้พวกเรา หมายถึงมุสลิมทั้งหมดออกอีดิลฟิฏริ ( عيدالفطر ) และอีดิลอัลอัฎฮา (عيدالأضحي ) โดยพร้อมเพรียงกัน

ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า
" صومكم يوم تصومون وفطركم يوم يفطرون وأضحاكم يوم تضحون "
ความว่า "การถือศีลอดของพวกท่าน คือวันที่พวกท่านทั้งหลายถือศีลอด และวันอีดิลฟิฏริของพวกท่าน คือวันที่พวกท่านทั้งหลายออกอีดิลฟิฎริกัน
และวันอีดิลอัฎฮา (หรือวันเชือด) ของพวกท่าน คือวันที่พวกท่านทั้งหลายออกอีดิลอัฎฮา (หรือเชือดสัตว์พลี) กัน"

(บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 2324,บัยหะกีย์ หะดีษที่ 8300 และอัดดารุฎนีย์ หะดีษที่ 34)


อีกหลักฐานหนึ่ง ท่านหญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า " الفطر يوم يفطر الناس والأضحي يوم يضحي الناس "
ความว่า "วันอีดิลฟิฏริ คือวันที่ผู้คนทั้งหลายออกอีดิลฟิฏริกัน และวันอีดิลอัฎฮาคือวันที่ผู้คนทั้งหลายออกอีดิลอัฎฮากัน"
(บันทึกโดยอัดดารุฏนีย์ หะดีษที่ 31 และท่านอับดุรฺเราะซาก หะดีษที่ 7304)

หลักฐานทั้งสองข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน กล่าวคือท่านรสูลุลลอฮฺระบุว่าวันอีดิลอัฎฮาของพวกท่าน ก็คือวันที่พวกท่านทั้งหลายออกอีดิลอัฎฮา ประโยคที่ระบุว่า พวกท่านทั้งหลายออกอีดิลอัฎฮา
หมายถึง ประชาชาติของมุสลิมทั้งหมดไม่พิจารณาว่ามุสลิมผู้นั้นจะอยู่ในประเทศใด,ดินแดนใด หรือเชื้อชาติใดก็ตาม, อีกทั้งท่านหญิงอาอิชะฮฺยังกล่าวไว้ว่า "วันอีดิลอัฎฮาคือวันที่ผู้คนทั้งหลายเขาออกอีดิลอัฎฮากัน"
คำว่าผู้คนทั้งหลายก็หมายถึงประชาชาติมุสลิมทั้งหมดนั่นเอง เฉกเช่นท่านนบีเคยกล่าวว่า "صلوا كما رأيتموني أصلى " ความว่า "พวกท่านทั้งหลายจงนมาซเสมือนเห็นฉันนมาซ" (บันทึกโดยบุคอรีย์)
หะดีษข้างต้นท่านนบีพูดกับนบรรดาเศาะหาบะฮฺ แต่มิได้หมายความว่าเฉพาะบรรดาเศาะหาบะฮฺเท่านั้นที่นมาซเหมือนการนมาซของท่านบีเท่านั้น แต่นั่นหมายรวมว่า มุสลิมทุกคนไม่ว่ามุสลิมผู้นั้นจะอยู่ประเทศไหน,
ดินแดนไหน หรือเชื้อชาติไหนวาญิบจะต้องนมาซเสมือนการนมาซของท่านนบีมุหัมมัดทุกคนนั่นเอง    



วิภาษ
การอธิบายหลักฐานจากหะดีษทั้ง 2 บทของ อ.มุรีด  ดูจะเป็นการอธิบายที่เกิดจากความเข้าใจของ อ.มุรีดเอง  สังเกตุได้ว่า  อ.มุรีด  มิได้อ้างถึงคำอธิบายของนักวิชาการที่สันทัดกรณีท่านใดนำมาประกอบเลย 
การอ้างหลักฐานชั้นต้นนั้นเป็นเรื่องง่าย  แต่การอธิบายและวิเคราะห์หลักการออกมาจากตัวบทหลักฐาน  (الإستنباط)  นั้นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยผู้รู้หรือนักปราชญ์ที่มีความเจนจัดและสันทัดกรณีเข้ามาประกอบด้วย 
เพราะบุคคลธรรมดาอย่างตัวผู้เขียน หรือ อ.มุรีด  เองคงไม่มีคุณสมบัติและเงื่อนไขเพียงพอ  เรียกว่ายังไม่ถึงขั้น!
 


ถึงแม้ว่าจะเรียนจบสายหะดีษมาก็ตามที  (ตัวผู้เขียนได้รับ  الإجازة العالية  จากคณะอุซูลุดดีน  สาขาอัลหะดีษ  มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร อัซซะรีฟ  ส่วน อ.มุรีด  นั้นจบจากสถาบัน  ندوة العلماء  ของอินเดีย)   
อ.มุรีด  อธิบายประโยคที่ระบุว่า  ”พวกท่านทั้งหลายออกอีดิลอัฎฮา  ว่าหมายถึงประชาชาติมุสลิมทั้งหมด”  และอธิบายหะดีษของท่านหญิงอาอิซะฮฺ (รฎ.)  ที่ว่า   "วันอีดิลอัฎฮาคือวันที่ผู้คนทั้งหลายเขาออกอีดิลอัฎฮากัน"   
คำว่าผู้คนทั้งหลายหมายถึง  “ประชาชาติมุสลิมทั้งหมดนั่นเอง”  ข้อนี้ผู้เขียนไม่เถียงด้วย  เพราะนัยโต้ตอบ  خطاب  จากตัวหะดีษทั้ง 2  บทนี้เป็น  خطاب عام  (หมายถึงเป็นการโต้ตอบอย่างครอบคลุมกว้างๆ 
ไม่ได้มุ่งหมายเฉพาะกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใด)   จึงน่าจะหมายรวมถึงประชาชาติมุสลิมทั้งหมดโดยไม่แบ่งแยก  แต่โปรดอย่างลืมว่า  การโต้ตอบอย่างครอบคลุมนั้น  นักอุซูลุ้ลฟิกฮฺ (ผู้เชี่ยวชาญหลักมูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม) 
ได้แบ่งลักษณะของการโต้ตอบอย่างครอบคลุมออกเป็น 2 ส่วนคือ


1  การโต้ตอบอย่างครอบคลุมที่ตีความได้ว่ามีนัยครอบคลุม  (العام المحمول علي العموم)

2 การโต้ตอบอย่างครอบคลุมที่ตีความได้ว่าเฉพาะเจาะจง  (العام المحمول علي الخصوص)

ซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมากในเรื่องนี้ 
(ดูรายละเอียดใน  อัลมูญัซฺ  ฟี  อุซูลิลฟิกฮฺ ;  ซัยค์  มุฮัมหมัดอุบัยดิลลาฮฺ  อัลอัสอะดีย์,  สำนักพิมพ์ ดารุสลาม  พิมพ์ครั้งที่ 1 ฮ.ศ.1410-ค.ศ.1990 
หน้า  111-114 / อุซูลลุลฟิฮฺ อัสอิสลามีย์ ; ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซซุฮัยลีย์  สำนักพิมพ์ ดารุลฟิกริ  (1986)  เล่มที่ 1 หน้า 243-282)   


เหตุที่นำเรื่องนี้มากล่าว  ณ  ที่นี้ก็เพราะว่า  การอาศัยความเข้าใจของนักวิชาการที่สันทัดกรณีเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการวิเคราะห์ตัวบทหลักฐาน 
อ.มุรีด อาจจะแก้ต่างว่าตนอ้างหลักฐานตัวบทจากซุนนฮฺ ยังไม่เพียงพออีกหรือ  ทำไมต้องอาศัยทัศนะของคนนั้นคนนี้มากล่าวด้วย   ก็เพราะว่าสิ่งที่ อ.มุรีด  กำลังอธิบายอยู่นั้นก็เป็นทัศนะนั่นเอง

ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  ไม่ได้ระบุเสียหน่อยว่าเป็น  خطاب عام  ที่หมายถึงประชาชาติมุสลิมทั้งหมด  หากแต่เป็นความเข้าใจที่ได้จากตัวบทต่างหาก  และเมื่ออ้างว่าความหมายของประโยคในตัวบทหลักฐานหมายถึงอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่พ้นจากการเข้าใจของบุคคลอีกนั่นแหละ  ฉะนั้นเมื่อเป็นความเข้าใจของบุคคลก็จำเป็นต้องอาศัย
หลักมูลฐานทางวิชาการเข้ามาประกอบด้วย  ถึงจะเป็นความเข้าใจที่มีน้ำหนักและมีหลักวิชารับรอง 


ทีนี้เรามาลองพิจารณาดูว่านักวิชาการผู้สันทัดกรณีได้นำเอาหะดีษที่  อ.มุรีด  นำมาอ้างเป็นหลักฐานว่าน่าจะหมายถึงประชาชาติทั้งหมดหรือเฉพาะกลุ่มชนนั้นๆ
โดยขอนำคำฟัตวาของท่านชัยคุลอิสลาม  อิบนุ  ตัยมียะฮฺ  (ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ)  มาพิจารณาประกอบดังนี้

“ท่านชัยคุลอิสลาม  (ขออัลลอฮฺทรงชำระวิญญาณของท่านให้บริสุทธ์)  ได้ถูกถามถึงบุคคลผู้หนึ่งที่เขาเห็นจันทร์เสี้ยวเพียงลำพัง  และการเห็นจันเสี้ยวนั้นก็เป็นเรื่องจริง  (ถามว่า) 
บุคคลผู้นี้มีสิทธิที่จะถือศีลอดเนื่องด้วยการเห็นจันทร์เสี้ยวของเขาเอง  หรือออกอีด  (ฟิฏริ)  เนื่องด้วยการเห็นจันทร์เสี้ยวของเขาเอง  หรือว่าให้พร้อมกับมหาชน  جمهور الناس   ?

ท่านชัยคุลอิสลามตอบว่า  อัลฮัมดุลิลลาฮฺ  เมื่อเขาเห็นจันทร์เสี้ยวของการถือศีลอดเพียงคนเดียวรือเห็นจันทร์เสี้ยวออกอีด  (ฟิฏริ)  เพียงคนเดียว  ฉะนั้นเขาจะต้องถือศีลอดเนื่องด้วยการเห็นของเขาเอง 
หรือออกอีด  (ฟิฏริ)  เนื่องจากด้วยการเห็นของเขาเอง  หรือว่าเขาจะไม่ถือศีลอดหรือไม่ออกอีด (ฟิฎริ)  นอกจากพร้อมกับผู้คน (إلا مع الناس)  ?  มี  3  คำกล่าว  (ทัศนะ) 
คือ  3  รายงานจากอิหม่ามอะฮฺหมัด  (กล่าวคือ)

1) เขาจะต้องถือศีลอด  และจะออกอีด  (ฟิฎริ)  โดยลับๆ  คือมัซฮับอิหม่ามอัซซาฟีอีย์

2) ถือศิลอดและไม่ออกอีด  (ฟิฏริ)  นอกจากพร้อมกับผู้คน (مع الناس)  และเป็นความเห็นมัซฮู๊ร จากมัซฮับของอิหม่ามอะฮฺหมัด, มาลิก  และอบูฮะนีฟะฮฺ

3 ให้เขาถือศีลอดพร้อมกับผู้คน  และออกอีด  (ฟิฏริ)  พร้อมกับผู้คน  (مع الناس)  ข้อนี้เป็นคำกล่าวที่ชัดเจนที่สุด  (أظهر الأقوال)   เนื่องจากมีคำกล่าวของท่านนบี  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)   ว่า 

“صومكم يوم تصومون وفطركم يوم تفطرون وأضحاكم يوم تضحون”

...จากอบูฮุรอยเราะฮฺ  แท้จริงท่านนบี  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  ได้กล่าวว่า

الصوم يوم تصومون والفطر يوم تفطرون والأضحي يوم تضحون

...จากอัตติรมีซีย์กล่าวว่า  และนักวิชาการบางท่านได้อรรถาธิบายหะดีษโดยกล่าวว่า

إنما معني هذا الصوم والفطر مع الجماعة وعظم الناس
“อันที่จริงความหมายของ (หะดีษ)  นี้ก็คือ   การถือศีลอดและการออกอีด  (ฟิฏริ)  พร้อมกับหมู่คณะและผู้คนโดยส่วนใหญ่”  (อัตติรมีซีย์ ในดัซซิยาม  (697)-)” 
(ดูมัจมูอะฮฺ  อัลฟะตาวา  ของชัยคุลอิสลาม  อิบนุ  ตัยมียะฮฺ  เล่มที่  25/67  ดารุ้ลวะฟาอฺ  พิมพ์ครั้งแรก  ฮ.ศ.1418-ค.ศ.1997)  ในหน้าที่  68  จากหนังสือมัจมูอะฮฺ  อัลฟะตาวา  เล่มที่  25 
ท่านชัยคุลอิสลามระบุว่า  “แล้ด้วยเหตุนี้อิหม่ามอะฮฺหมัดจึงได้กล่าวไว้ในการรายงานของท่านว่า

يصوم مع الإمام وجماعة المسلمين في الصحو والغيم

“เขาจะถือศีลอดพร้อมกับผู้นำและหมู่คณะชาวมุสลิมทั้งในยามท้องฟ้าโปร่งและมีเมฆครึ้ม”

ถ้าหากตัวบทหะดีษข้างต้นที่  อ.มุรีด  ยกมาอ้าง  หมายถึงประชาชาติมุสลิมทั้งหมด  (คือทั่วโลก)  แล้ว  ไฉนเลย  ท่านชัยคุลอิสลาม  อิบนุ  ตัยมียะฮฺ  จึงตอบคำถามเช่นนั้น 
ทั้งๆ ที่ชายผู้นั้นเห็นจันทร์เสี้ยวและมีจันทร์เสี้ยวจริง  แต่เป็นการเห็นเพียงลำพัง  ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เห็น  และเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่เห็น  ก็ให้ชายผู้นั้นถือตามคนส่วนใหญ่ทั้งในการถือศีลอดและการออกอีด  (ฟิฏริ)

ฉะนั้นคำว่า  ผู้คนทั้งหลาย  (الناس)  ตามที่มีระบุในตัวบทหะดีษจึงหมายถึง  กลุ่มชนนั้นๆ  (الجماعة)  และผู้คนส่วนใหญ่ในดินแดนนั้นๆ  ซึ่งมีผู้นำเป็นของตนเอง 
ดังปรากฎในรายงานของอิหม่ามอะฮฺหมัดที่ว่า  ให้ถือศีลอดพร้อมกับผู้นำและกลุ่มชนมุสลิมในทุกกรณีไม่ว่าท้องฟ้าโปร่งหรือมีเมฆครึ้ม


ในส่วนของหลักฐานที่ท่านหญิงอาอิซะฮฺ  (รฎ.)  รายงานว่า

الفطر يوم يفطر الناس والأضحي يوم يضحي الناس

“อัลฟิฏริคือวันที่ผู้คนทั้งหลายออกอีดิลฟิฏริ  และอัลอัฎฮาคือวันที่ผู้คนทั้งหลายออกอีดิลอัฎฮากัน”  นั้น
 
ท่านอิหม่ามอัซวซอนอานีย์  ได้ระบุว่า

فيه دليل علي أنه يعتبر في ثبوت العيد الموافقة للناس وأن المنفرد بمعرفة يوم العيد بالرؤية يجب عليه موافقة غيره ويلزمه حكمهم في الصلاة والإفطار والأضحية

 “ในหะดีษบทนี้มีหลักฐานบ่งชี้ว่า  แท้จริงการพ้องกันกับผู้คนทั้งหลายจะถูกพิจารณาในการยืนยันวันอีด  และแท้จริงบุคคลเพียงลำพังที่รู้ถึงวันอีด  ด้วยการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้นจำเป็นที่เขาจะต้อง  (ออกอีด) 
ตรงกับบุคคลอื่นและจำเป็นที่เขาต้องถือฮุก่มของพวกเขา   (คือผู้คนทั้งหลาย)  ในการละหมาดการออกอีดฟิฏริและอุฎอียะฮฺ  (การออกอีดอัฎอา  หรือเชือดสัตว์พลี)”  คำว่า  พ้องกันหรือตรงกันกับ
ผู้คนทั้งหลาย  (الموافقة للناس)  ก็คือพ้องกันหรือตรงกันกับผู้คนส่วนใหญ่ในดิแดนนั้นซึ่งไม่เห็นจันทร์เสี้ยว  (ดูซุบุลุสสลาม  ซัรฮฺ  บุลูฆิม่ารอม, ของอิหม่ามอัซซอนอานีย์  2/489  สำนักพิมพ์ดารุ้ลหะดีษ)


ท่านชัยคุลอิสลาม  อิบนุตัยมียะฮฺ  (ร.ฮ.)  ได้ถูกถามถึงชาวเมืองๆ หนึ่ง มีบางคนของพวกเขาได้เห็นจันทร์เสี้ยวของเดือนซุลฮิจญะฮฺ  แต่ไม่มีการยืนยันการเห็นจันทร์เสี้ยว  ณ  ผู้ปกครองเมืองนั้น 
ถามว่าพวกเขา  (คือผู้คนบางส่วน)  จะมีสิทธิที่จะทำให้การถือศีลอดในวันซึ่งตามที่ปรากฎคือวันที่  9  ถึงแม้ว่าตามที่ไม่ปรากฎคือวันที่  10  หรือไม่? 
(หมายถึง  วันที่  9   นั้นเป็นไปตามที่ผู้ปกครองกำหนด  ซึ่งนับเป็นวันที่  10 สำหรับผู้ที่เห็นจันทร์เสี้ยว)  ท่านชัยคุลอิสลามได้ตอบว่า

ใช่! พวกเขา  (หมายถึงผู้คนบางส่วน)  จะถือศีลอดในวันที่  9  ตามที่ปรากฎและรู้กัน  ณ  กลุ่มชน  (คือชาวเมืองส่วนใหญ่ที่ถือตามผู้ปกครองที่ไม่ยืนยันการเห็นจันทร์เสี้ยว)
 ถึงแม้จะปรากฎว่าในเรื่องเดียวกันนั้นจะเป็นวันที่  10  (ตามการเห็นจันทร์เสี้ยวของผู้คนบางส่วน)  ....แล้วท่านชัยคุลอิสลามก็นำหลักฐานที่  อ.มุรีด  อ้างนำมาประกอบคำฟัตวาของท่านคือ 
หะดีษ  (صومكم يوم تصومون)   ตลอดจนหะดีษของท่านหญิงอาอิซะฮฺ (รฏ.) คือ  (الفطر يوم يفطر الناس)  (ดูมัจมูอะฮฺ  อัลฟะตาวา  25/110) 

นั่นย่อมหมายความว่าให้ถือตามชนส่วนใหญ่ในเมืองและตามผู้นำ  (ผู้ปกครองเมือง)  ซึ่งไม่เห็นจันทร์เสี้ยว  ฉะนั้นคำว่า  (الناس)   ที่หมายถึง  “ผู้คนทั้งหลาย” 
 ย่อมไม่ได้หมายถึง  ประชาชาติมุสลิมทั้งหมด   ดังที่  อ.มุรีด  เข้าใจ  แต่หมายถึงผู้คนส่วนใหญ่ในดินแดนนั้นๆ  ดังที่ท่านชัยคุลอิสลาม  อบนุตัยมียะฮฺได้ฟัตวาเอาไว้



ส่วนการนำหะดีษที่ว่า 
(صلوا كما رأيتموني أصلى)  “พวกท่านจงนมาซเสมือนเห็นฉันนมาซ”  มาประกอบเป็นตัวอย่างนั้น  ถึงแม้ว่าจะเป็นคำสั่งครอบคลุมประชาชาติมุสลิม  ทั้งหมดโดยไม่แบ่งแยก  กล่างคือ  เป็นคำสั่งที่  عام
(มีนัยกว้างๆ  ครอบคลุม)  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า  ประชาชาติมุสลิมจำต้องนมาซ  (ละหมาด)  พร้อมเพรียงกัน  ในเวลาเดียวกัน  หรือตรงกันทั้งโลก  เพราะการประกอบศาสนกิจไม่ว่าจะเป็นการละหมาด 
การจ่ายซะกาต  การถือศีลอด  ฯลฯ  ซึ่งล้วนแล้วแต่มีคำสั่งให้ประชาชาติมุสลิมทั้งหมดได้ปฏิบัติ  โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นมุสลิมในประเทศไหน  ดินแดนไหน  หรือเชื้อชาติไหน 
ต่างก็วาญิบที่คนมุสลิมซึ่งมีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขจำต้องปฏิบัติ  แต่ถามว่า  ต้องทำพร้อมกันทั้งหมด  ในวันเวลาเดียวกัน  สถานที่เดียวกันอย่างที่ อ.มุรีด พยายามจะสื่อนั้นหรือไม่?

เพราะ อ.มุรีด ได้นำหะดีษบทนี้มาประกอบในเรื่องที่ว่าต้องประกอบศาสนกิจ  (คือ  ออกอีด)  โดยพร้อมเพรียงกัน  ซึ่งจริงๆ  แล้วเป็นคนละเรื่อง  กล่าวง่ายๆ  ก็คือ  มุสสลิมทุกคนต้องละหมาด  แต่ไม่ได้หมายความว่า  ต้องละหมาดอย่างพร้อมเพียงกันทั้งโลก  ซึ่งเป็นไปไม่ได้!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 06, 2008, 03:01 PM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
อ.มุรีด  ระบุในบทความเฉพาะกิจต่อมาว่า

“ประการที่สอง วันอีดิลอัฏฮาเองเป็นวันเดียวกัน เนื่องจากมีหะหดีษระบุชัดเจนว่า วันอีดิ่อัฎฮาเป็นวันสำคัญของมุสลิมทั่วโลก ดังหลักฐานต่อไปนี้
ท่านอุกบะฮฺ บุตรของอามิรฺเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า
"يوم عرفة ويوم النحر وأيام التشريق عيدنا أهل الإسلام وهي أيام أكل وشرب"
ความว่า "วันอะเราะฟะฮฺและวันนะหฺริและวันตัชรีก คือวันอีดของพวกเราชาวอิสลาม คือวันแห่งการกินและการดื่ม"  (ตัครีจ  หะดีษ)
 (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 2066 บทว่าด้วยการถือศีลอด,ติรฺมิซีย์ หะดีษที่ 704, นะสาอีย์ หะดีษที่ 2954, อะหฺมัด หะดีษที่ 16739 และอัดดาริมีย์ หะดีษที่ 1699)
สถานะของหะดีษถือว่า เศาะหี้หฺ (صحيح) อ้างจากหนังสือ " صحيح سنن الترمذي" เล่ม 1 หน้า 407-408 ลำดับหะดีษที่ 773

หะดีษข้างต้นท่านรสูลุลลอฮฺพูดไม่คลุมเครือ, ท่านรสูลกล่าวว่า "วันอะเราะฟะฮฺ" ซึ่งท่านรสูลมิได้กล่าวว่าวันที่ 9 ซุลหิญะฮฺ หากท่านรสูลกล่าวว่า วันที่ 9 ซุลหิจญะฮฺ เราอาจจะอ้างได้ว่า 9 ซุลหิจญะฮฺของประเทศใคร
ประเทศมัน แต่นี้ท่านรสูลกล่าวชัดเจนว่า วันอะเราะฟะฮฺ ซึ่งวันอะเราะฟะฮฺบรรดาผู้ประกอบพิธีหัจญ์จะไปรวมตัวกันที่ทุ่งอะเราะฟะฮฺ บางคนจึงเรียกวันอะเราะฟะฮฺว่าวันวุกูฟ (وقوف คือการหยุดพำนัก)
ก็มี, เมื่อท่านนบีบอกว่าวันอะเราะฟะฮฺ คำถามต่อมาคือ วันอะเราะฟะฮฺ หรือวันวุกูฟนั้นมีที่ไหนบ้าง? คำตอบคือ เมืองไทยไม่มีวันอะเราะฟะฮฺ หรือวันวุกูฟหรอกนะครับ มีแต่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียแห่งเดียวเท่านั้น


วิภาษ
เห็นด้วยที่ อ.มุรีด  ระบุว่า  วันอีดิลอัฎฮาเป็นวันสำคัญของมุสลิมทั่วโลก  แต่ไม่เห็นด้วยที่ระบุว่า  วันอีดิลอัฎฮาเป็นวันเดียวกันทั้งโลก  เพราะด้านกับหลักของความเป็นจริง  (خلاف الواقعية) 
กล่าวคือ  วันอีดิลอัฎฮานั้นจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีการกำหนดวันที่  1 ซุลฮิจญะฮฺเสียก่อนและการกำหนดวันที่  1 ซุลฮิจญฮฺนั้นก็จำต้องอาศัยผลการดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นหลัก 
เมื่ออาศัยผลการดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นหลักก็จะมีความแตกต่างกันในการกำหนดวันที่ 1 ซุลฮิจยะฮฺ  ตลอดจนผูกพันอยู่กับทัศนะหลักของนักวิชาการที่มีความเห็นต่างกันในเรื่องการพิจารณาการดูจันทร์เสี้ยวสากล
และท้องถิ่นอีกด้วย  ทำไมต้องอาศัยผลการดูจันทร์เสี้ยวเป็นหลัก?  เพราะพระองค์อัลลอฮฺ  (ซ.บ.)  ทรงดำรัสว่า 

يسألونك عن الأهلة قل هي مواقيت للناس والحج

“พวกเขาจะถามท่าน  (มุฮัมหมัด)  ถึงจันทร์เสี้ยว  จงกล่าวเถิด  จันทร์เสี้ยวนั้นคือ  กำหนดเวลาต่างๆ  สำหรับผู้คนทั้งหลายและการประกอบพิธีฮัจญ์”   (อัลบะกอเราะฮฺ  อายะฮฺ  189)



ท่านชัยคุลอิสลาม  อิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.)  ได้ระบุว่า  พระองค์อัลลอฮฺทรงบอกให้รู้ว่าจันทร์เสี้ยวนั้นเป็นกำหนดเวลาสำหรับมนุษย์  และสิ่งนี้ก็ครอบคลุมในกิจการงานของพวกเขาทั้งหมด 
และพระองค์ทรงระบุถึงการประกอบพิธีฮัจญ์เป็นกรณีพิเศษเพื่อจำแนกการประกอบพิธีฮัจญ์นั้นให้โดดเด่น  ทั้งนี้เพราะฮัจญ์จะมีบรรดามะลาอิกฮฺและผู้อื่นเข้าร่วมพิธีฮัจญ์... 
และตามนี้การถือศีลอด,  ประกอบพิธีฮัจญ์,  ระยะเวลาการลีอาอฺ,  การครองตนของสตรี (อิดดะฮฺ)  และการถือศีลอดกัฟฟาเราะฮฺจะเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้  (คือการดูจันทร์เสี้ยว)  (ดูมัจมูอะฮฺ  อัลฟะตาวา  25/76) 


ดังนั้นการกำหนดวันเวลาเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์และศาสนกิจที่เกี่ยวข้อง  เช่น  การถือศีลอดในวันอะเราะฟะฮฺ,  การออกอีดอีดิลอัฎฮา  และการเชือดอุฎฮียะฮฺ  เป็นต้น  ก็ยังคงต้องใช้การดูจันทร์เสี้ยวเป็นตัวกำหนด 
ท่านชัยคุลอิสลาม ยังได้ระบุอีกว่า  เมื่อนั้นจึงมีเงื่อนไขว่าการมีจันทร์เสี้ยวและเดือนนั้นต้องเป็นที่รู้กันในระหว่างผู้คน  และการส่งเสียงดังของผู้คนต่อจันทร์เสี้ยว  (เมื่อมีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว)
 กระทั่งว่าหากมีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว 10 คน  แต่การเห็นจันทร์เสี้ยวนั้นไม่เป็นที่ทราบและรู้กัน  ณ  ชาวเมืองทั่วไป  จะเนื่องด้วยการเป็นพยานของพวกเขาถูกปฏิเสธ 
หรือพวกเขามิได้ยืนยันเป็นพยานว่าเห็นจันทร์เสี้ยว   ก็ให้ถือว่าฮุก่มของพวกเขาเหมือนกับฮุก่มของชาวมุสลิมทั่วไป  (ที่ไม่ได้รับทราบว่ามีการเห็นจันทร์เสี้ยว)


ดังนั้นเฉกเช่นที่พวกเขาจะไม่วุกุฟ  ไม่เชือดสัตว์พลี  และไม่ละหมาดอีดนอกจากพร้อมกับบรรดามุสลิม  ทำทองเดียวกัน  พวกเขาก็จะไม่ถือศีลอดนอกจากพร้อมกับบรรดามุสลิม  (ที่ไม่เห็นจันทร์เสี้ยว)  นั้นแล 
และนี่คือความหมายของหะดีษที่ว่า  “การถือศีลอดของพวกท่านก็คือวันที่พวกท่านถือศีลอดและฟิฏริของพวกท่านก็คือวันที่พวกท่านออกอีดฟิฏริ  และอัฎฮาของพวกท่านก็คือวันที่พวกท่านออกอีดอัฎฮากัน 
(มัจมูอะฮฺ  อัลฟะตาวา  25/68) 

ท่านชัยคุลอิสลาม  อิบนุตัยมียะฮฺ  (ร.ฮ.)  ยังได้สรุปอย่างชัดเจนอีกว่า  หลักมูลฐานของประเด็นปัญหานี้ก็คือ  พระองค์อัลลอฮฺ  (ซ.บ.)  ทรงผูกพันบรรดาหลักการทางศาสนบัญญัติ  (الأحكام الشرعية) 
กับสิ่งที่ถูกเรียกว่า  จันทร์เสี้ยว  (الهلال)  และเดือน  (الشهر)  เช่นการถือศีลอด  การออกอีดฟิฏริ  และการเชือด...” (เล่มเดียวกัน  25/68)  ...และการมีทัศนะที่ขัดแย้งกันนี้ 
ย่อมบ่งชี้ว่าทัศนะที่ถูกต้องก็คือเหมือนกับกรณีดังกล่าวในเดือนซุลฮิจญะฮฺ  (25/68)  กล่าวคือการกำหนดเดือนซุลฮิจญะฮฺและวันที่เกี่ยวเนื่องก็ให้ใช้หลักการในการดูจันทร์เสี้ยวเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้  การระบุว่าวันอีดิลอัฎฮาต้องเป็นวันเดียวกัน  จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาว่า  มุ่งหมายถึงอะไร?  หากมุ่งหมายว่า  ทั่วโลกต้องมีวันอีดิลอัฎฮาเพียงวันเดียว  และต้องตรงกันทั้งโลก 
ก็ถือว่าค้านกับหลักของความเป็นจริงเพราะไม่เคยปรากฎว่าตลอดระยะเวลา  1400  กว่าปีที่ผ่านมา  มีการออกอีดพร้อมกันทั้งโลกในวันเดียวกัน  ถ้าหาก อ.มุรีด มีหลักฐานยืนยันว่า  ทั้งโลกเคยออกอีดพร้อมกัน 
ก็ขอความกรุณาช่วยนำเสนอด้วยจะขอบคุณเป็นอย่างมาก 


และสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ  ตลอดเวลาในอดีตที่ผ่านมานั้นได้มีนักวิชาการระดับมุจฺตะฮิตท่านใด  หรือตำรับตำราที่เป็นมรดกทางวิชาการเล่มใดบ้างที่ระบุว่าประชาชาติมุสลิมจะต้องกำหนดวันที่ 1 ซุลฮิจญะฮฺ, 
วันอะเราะฟะฮฺ และวันอีดอีดิลอัฎฮาตามนครมักกะฮฺ  (ซึ่งในอดีตยังไม่มีประเทศซาอุดิอาระเบีย)  โดยไม่ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวในส่วนอื่นหรือดินแดนอื่นของโลก 

หรือว่านักวิชาการรุ่นหลังเพิ่งมาค้นพบสัจธรรมในเรื่องนี้จากตัวบทของหะดีษที่ อ.มุรีด  อ้างมา  ทั้งๆ ที่หะดีษบทนี้มีมาตั้งแต่ครั้งที่ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) 
ยังมีชีวิตอยู่และผ่านการจดบันทึกและการวิเคราะห์ของบรรดานักปราชญ์ในรุ่นก่อนนับแต่ยุกสะลัฟ ซอลิฮฺเป็นต้นมา  พวกท่านเหล่านั้นมิได้ฉุกคิดเลยกระนั้นหรือ  และเป็นไปได้อย่างไร? 
ที่หลักการของหะดีษบทนี้  ซึ่งเพิ่งค้นพบหลังจากผ่านมานมนานเป็นเวลานับพันปีพลาดจากสายตาและการวิเคราะห์ของนักปราชญ์รุ่นก่อน 

โปรดอย่าลืมว่า  หะดีษของอุกบะฮฺ อิบนุ  อามิร  เป็นหะดีษที่มีการจดบันทึกในตำรับตำราทางหะดีษและฟิกฮฺเป็นจำนวนมาก  แต่ทำไมหนอ?  จึงไม่มีนักวิชาการท่านใดเลยในอดีตนึกถึงเรื่องนี้!



ผู้เขียนเห็นด้วยที่ว่า  ท่าร่อซูลพูดไม่คลุมเครืออย่างที่ อ.มุรีด ระบุ  แต่ปัญหาอยู่ที่ความคลุมเครือของ อ.มุรีด เอง  จริงอยู่ท่านร่อซูลกล่าวว่า  “วันอาเราะฟะฮฺ”  (يوم عرفة) 

และท่านไม่ได้กล่าวว่าวันที่  9  ซุลฮิจญะฮฺ !  แต่ถามว่าวันอะเราะฟะฮฺคือ วันที่เท่าไหรของเดือนซุลฮิจญะฮฺเล่า?  ช่วตอบทีเถอะ! 

หากตอบว่า  วันอะเราะฟะฮฺก็คือวันที่  9  ของเดือนซุลฮิจญะฮฺ  แล้วจะเถียงเอาอะไร?  แต่ถ้าเลี่ยงตอบเป็นอย่างอื่นซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร?  ก็ต้องถือว่าเล่นลิ้นและเฉไฉ 

เพราะ อ.มุรีดเองก็ระบุว่า  “ประการต่อมา  ท่านร่อซูลุลลอฮฺพูดต่อว่า  “วันนะหฺริ”  คือวันเชือด  วันเชือดคือวันอีดิลอัฎฮา  หรือวันที่  10  ซุลฮิจญะฮฺนั่นเอง” 

ก็ไหนละ!  ท่ารอซูลุลลอฮฺ  ท่านพูดว่า  “วันนะหฺริ”  ท่านไม่ได้พูดว่าวันที่  10  ซุลฮิจญะฮฺเสียหน่อย  คนที่พูดว่าวันที่  10  ซุลฮฺจญะฮฺ  นันก็คือ  อ.มุรีด เอง 

พอมาถึง  วันตัซรีก  อ.มุรีด  ก็ระบุอีกว่า  “คือวันที่  11, 12 และ  13  ซุลฮิจญะฮฺ  ซึ่งเป็นวันที่ศาสนายังอนุญาตให้เชือดเนื้อกุรบ่านได้ 

ท่านรอซูลุลลอฮฺ  ท่านพูดว่า  บรรดาวันตัซรีก  (أيام التشريق)  ในหะดีษท่านไม่ได้พูดเสียหน่อยว่าวันที่  11, 12  และ  13  ซุลฮิจญะฮฺ 

ทำไม?  อ.มุรีด จึงสับสนในความเข้าใจของตนเองเช่นนี้  และเมื่อท่านระบุว่า  ในหะดีษใช้คำว่า  “วันอะเราะฟะฮฺ”  ไม่ใช่วันที่  9  ซุลฮิจญะฮฺ

ซึ่งถ้าวันอีดอัลอัฎฮาคือวันที่  10  ซุลฮิจญะฮฺ  และบรรดาวันตัซรีก  คือวันที่ 11, 12  และ  13 แล้ว  (ตามที่ อ.มุรีด  ระบุ)  แล้ววันอะเราะฟะฮฺ  คือวันที่เท่าไหรเล่า?  ช่วยตอบที! 

ส่วนที่ท่านรอซูลุลลอฮฺ  (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะซัลลัม)  ใช้สำนวนว่า  ”วันอะเราะฟะฮฺ”  นั้นก็ไม่แปลกและไม่คลุมเครือ  เพราะท่านมิได้ใช้สำนวนในหะดีษนั้นว่า  วันวุกุฟ   แต่ใช้ว่า  “วันอะเราะฟะฮฺ” 
ซึ่งมีนัยครอบคลุมมิได้เจาะจงเรื่องการประกอบพิธีฮัจญ์  โดยเฉพาะการวุกุฟเพียงอย่างเดียว   กล่าวคือ  วันอะเราะฟะฮฺมี  2  ส่วน 


ส่วนที่หนึ่งเป็นวันอะเราะฟะฮฺในสิทธิของบรรดาฮุจญ๊าจที่ประกอบพิธีฮัจญ์  (يوم عرفة في حق الحجاج)  ซึ่งมีซุนนะฮฺให้บรรดาฮุจญ๊าจกล่าวตัลบียะฮฺมากๆ  และมีซุนนะฮฺ  (ตามทัศนะที่มีน้ำหนัก)    
ให้บรรดาฮุจญ๊าจงดถือศีลอดในวันอะเราะฟะฮฺ

ส่วนที่สองคือวันอะเราะฟะฮฺในสิทธิของผู้อื่น  ที่มิได้ประกอบพิธีอัจญ์  (يوم عرفة في حق غير الحجاج)  ซึ่งมีซุนนะฮฺให้กล่าวตักบีร  ตั้งแต่หลังซุบฮิของวันอะเราะฟะฮฺ  ไม่มีซุนนะฮฺให้กล่าวตัลบียะฮฺแต่อย่างใด 
และยังมีซุนนะฮฺให้ผู้ที่ไม่ได้ประกอบพิธีฮัจญ์ทำการถือศีลอดในวันอะเราะฟะฮฺอีกด้วย  ดังนั้นวันอะเราะฟะฮฺ  ที่หมายถึงวันที่  9  ซุลฮิจญะฮฺ  ย่อมไม่จำเป็นว่าต้องตรงกับวันวุกุฟของบรรดาฮุจญ๊าจเสมอไป 


หากเรายึดหลักการวุกุฟในวันอะเราะฟะฮฺเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงข้อปฏิบัติทางศาสนาที่ใช้ต่างกันระหว่างผู้ประกอบพิธีฮัจญ์กับผู้ที่ไม่ได้ประกอบพิธีอัจญ์  เรื่องมันก็จะสับสน 
อีกทั้งหากการวุกุฟเป็นกิจสำคัญของบรรดาผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ที่จะขาดไม่ได้  แต่วันอะเราะฟะฮฺ  มีศาสนกิจให้กระทำมากกว่าการวุกุฟ  เพราะครอบคลุมถึงผู้ที่ไม่ได้ประกอบพิธีฮัจญ์ด้วย

เราคงไม่เถียงหรอกว่า  การวุกุฟมีที่เดียวที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย  แต่การระบุของ อ.มุรีด  ที่ว่า 
“วันอะเราะฟะฮฺ  หรือวันวุกุฟนั้นมีที่ไหนบ้าง?  คำตอบคือ  เมืองไทยไม่มีวันอะเราะฟะฮฺหรือวันวุกุฟหรอกนะครับ  มีแต่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียแห่งเดียวเท่านั้น.....”   

ออกจะเป็นการด่วนสรุปมากไปเสียหน่อย  เพราะจำต้องแยกกันระหว่างการวุกุฟ  ซึ่งเป็นขั้นตอนของการประกอบพิธีฮัจญ์  และเป็นเรื่องเฉพาะของบรรดาฮุจญ๊าจที่โน่น
กับเรื่องของวันเวลา  คือวันอะเราะฟะฮฺ ที่มีศาสนกิจให้กระทำสำหรับประชาชาติมุสลิมทั่วโลก  กล่าวคือ  ต้องแยกระหว่างวุกุฟซึ่งป็นการกระทำที่เกิดขึ้น  ณ  สถานที่แห่งเดียว  (فعلي - مكاني) 
และวันเวลา  (زماني)  เพราะวันเวลาที่ไม่เกี่ยวกับการกระทำเฉพาะที่อาจจะไม่ตรงกันก็ได้


 การระบุว่า !  เมืองไทยไม่มีวันอะเราะฟะฮฺหรือวันวุกุฟเป็นการระบุที่ผิดพลาด  เพราะเมืองไทยหรือเมืองไหนๆ  ในโลกที่มีมุสลิมก็ต้องมีวันอะเราะฟะฮฺเช่นกัน  ถ้าหากเมืองไทยไม่มีวันอะเราะฟะฮฺแล้ว 
จะถือศีลอดซุนนะฮฺกันอย่างไร?  และหากมีแต่ที่ประเทศซาอุดิอารเบียแห่งเดียว  มุสลิมในเมืองไทยก็คงไม่ต้องถือศีลอดซุนนะฮฺกัน  หากใครต้องการถือศีลอดซุนนฮฺ  ในวันอะเราะฟะฮฺก็จะต้องเดินทางไปซาอุดิอารเบีย
กระนั้นหรือ? 

เพราะวันอะเราะฟะฮฺ  มีวันเดียวที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย  อย่างที่ อ.มุรีด ระบุ  ความจริงวันอะเราะฟะฮฺมีมานานแล้ว  นับแต่ยุคอดีต  ถามว่าในครั้งอดีดที่ยังไม่มีประเทศซาอุดิอาระเบียนถูกสถาปนาขึ้นโดย
ราชวงศ์อาลสุฮูด   คนทั่วโลกที่เป็นมุสลิมเขาถือศีลอดวันอะเราะฟะฮฺกันหรือไม่?  หากตอบวา  เขาถือกัน  ก็ถามว่า  คนที่ไปทำฮัจญ์ย่อมรู้ว่าวันไหนเป็นวันอะเราะฟะฮฺเพราะเขาอยู่ที่มักกะฮฺ

แล้วคนที่อยู่ทางบ้านในยุคสยามประเทศเล่า  เขาจะรู้ไหมว่าซะรีฟมักกะฮฺประกาศวันอาเราะฟะฮฺหรือวันวุกุฟวันไหน?  แน่นอนคนที่อยู่ทางนี้ซึ่งก็เป็นบรรพชนของ อ.มุรีด ด้วย 
ก็ต้องอาศัยการดูจันทร์เสี้ยวเป็นหลักตามศาสนบัญญัติในการกำหนดวันที่  1  ซุลฮิจญะฮฺและวันอะเราะฟะฮฺ  ตลอดจนวันอีดิลอัฎฮาเป็นบรรดาวันตัซรีก  หากรอการประกาศของซะรีฟมักกะฮฺก็คง
ไม่ได้ประกอบศาสนกิจกันแล้วแหล่ะ


อ.มุรีด  อาจจะค้านว่า  นั่นเป็นเรื่องของอดีตในยุคที่ยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ซึ่งสามารถโทรศัพท์  หรือกดอินเตอร์เน็ต  หรือเปิดดาวเทียมได้เพื่อรับรู้ข่าวสารการประกาศของประเทศซาอุดิอารเบียก็ต้องบอกว่า  ความเจริญของเทคโนโลยีตามยุคตามสมัยนั้น  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหลักการของศาสนาที่บัญญัติเอาไว้ได้  เพราะหลักการดูจันทร์เสี้ยวเป็นหลักการที่มาจากกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺ 
อีกทั้งยังเป็นหลักการที่ยังคงใช้ได้กับชนบททุกหมู่เหล่า  ในขณะที่อินเตอร์เน็ตนั้นยังคงเป็นสิ่งใหม่ที่ผู้คนอีกเป็นจำนวนมากเข้าไม่ถึงและใช้ไม่เป็น 
หากยืนกรานว่าสามารถใช้เทคโนโลยีและไอทีในเรื่องนี้ได้ 


แล้วไฉนเลยนักวิชาการกลุ่มซุนนะฮฺซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกับ อ.มุรีด จึงปฏิเสธการใช้การคำนวณทางดาราศาสตร์  ซึ่งทุกวันนี้มีความเจริญก้าวหน้าและแม่นยำยิ่งนัก
ถ้าหากปฏิเสธการคำนวรทางดาราศาสตร์ที่ทันสมัยแล้ว     ทำไมจึงยึดเอาคำประกาศของซาอุดิอารเบียซึ่งเป็นเรื่องของเทคโนโลยีและไอทีเช่นกัน  หรือว่าพวกท่านถือ  2  มาตรฐาน  (ดับเบิ้ลสแตนดาร์ด)



ฉะนั้นเมืองไทยย่อมมีวันอะเราะฟะฮฺเหมือนกับประเทศอื่นๆ  ที่มีวันอะเราะฟะฮฺ  ทั้งๆ ที่ไม่มีการวุกุฟที่เมืองไทยและประเทศอื่นๆ นั่นแหละ  เพราะมุสลิมในเมืองไทยและประเทศอื่นๆ  ไม่ได้ไปทำอัจญ์
ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่มีเฉพาะที่  คือนนครมักกะฮฺและเขตปริมณฑล  การประกอบพิธีฮัจญ์เป็นเรื่องเฉพาะของฮุจญ๊าจไม่ว่าจะเป็นการครองเอียะฮฺรอม  การกล่าวตัลบียะฮฺ  การวุกุฟ  การค้างแรมที่มุซดะลิฟะฮฺ, 
การขว้างเสาหินที่มินา,  การตอว๊าฟอิฟาเฎาะฮฺ  การสะแอระหว่างซ่อฟาและมัรวะฮฺ  และการตะฮัลลุล  ล้วนแล้วแต่มีที่นครมักกะฮฺเพียงแห่งเดียวเท่านั้น  ไม่มีที่อื่นในโลก 


แต่วันอะเราะฟะฮฺเป็นเรื่องของวันเวลาที่ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีอัจญ์ในส่วนของประชาชาติมุสลิมที่ไม่ได้ประกอบพิธีอัจญ์ด้วย  จึงไม่จำเป็นว่าจะต้องตรงกับการประกาศของซาอุดิอารเบียก็ได้  เพราะเป็นเรื่องของวันเวลาที่อาจจะต่างกันก็ได้  อันเป็นผลมาจากการดูจันทร์เสี้ยวในการกำหนดวัน   ดังนั้นวันอะเราะฟะฮฺซึ่งตรงกับวันที่  9  ซุลฮิจญะฮฺในระเทศไทยจึงเรียกว่า
วันอะเราะฟะฮฺสำหรับพวกเรา  يوم عرفة في حقنا  และวันอะเราะฟะฮฺที่มีการวุกุฟที่ทุ่งอะเราะฟะฮฺจึงเรียกว่า วันอะเราะฟะฮฺสำหรับบรรดาฮุจญ๊าจ  (يوم عرفة في حق الحجاج) 

ซึ่งถือเป็นวันอีดสำหรับฮุจญ๊าจ  เนื่องจากพวกเขาได้มารวมตัวกัน  ณ  สถานที่วุกุฟ  (لأنه يوم عيد لأهل الموقف لإجتماعهم فيه)   (ดูฟัตฮุลบารีย์  ซัรฮฺ  ซอเฮียะฮฺ  อัลบุคอรีย์  4/193) 
ในขณะที่วันเชือด  (يوم النحر)  หรือวันอีดิลอัฎฮา  ถือเป็นวันอีดของประชาชาติมุสลิมโดยรวม  เหตุนี้ท่านร่อซู้ลจึงกล่าวว่า

يوم عرفة ويوم النحر وأيام مني عيدنا أهل الإسلام

“วันอะเราะฟะฮฺ, วันเชือด  และบรรดาวันของมินา  คือ  วันอีดของเราชาวอิสลาม”  (รายงานโดยอุกบะฮฺ  อิบนุ  อามิร) 


กล่าวคือ  วันอะเราะฟะฮฺคือวันอีดสำหรับฮุจญ๊าจที่ร่วมชุมนุมกันอยู่  ณ  เมากิฟ  (ที่วุกุฟ)  ส่วนวันเชือด  (อีดิลอัฎฮา)  และบรรดาวันตัซรีก  ซึ่งถูกเรียกว่าบรรดาวันแห่งมินา 
ถือเป็นวันอีดของประชาชาติโดยรวม  หากเราเจาะจงว่าวันอะเราะฟะฮฺมีที่เดียวในโลก  เพราะการวุกุฟมีที่เดียวในโลก  คือที่ซาอุดิอาระเบีย  แล้ววันเชือดเล่า  มีการเชือดสัตว์อุฎฮียะฮฺที่เดียวในโลก
เฉพาะที่ซาอุดิอารเบียกระนั้นหรือ?  หรือว่ามีการเชือดอุฎฮียะฮฺในที่อื่นๆ  ทั่วโลกด้วยเช่นกัน 

บรรดาวันแห่งมินา  (أيام مني)  นั้นแน่นอนเป็นวันเฉพาะสำหรับบรรดาฮุจญ๊าจซึ่งยังคงประกอบพิธีฮัจญ์ในขั้นตอนสุดท้ายคือ  การขว้างเสาหิน  3  ต้นที่ ต.มินา  ส่วนบรรดาวันตัซรีก  (أيام التشريق) 
นั้นเป็นวันอีดต่อเนื่องสำหรับประชาชาติโดยรวมทั้งหมดนับแต่วันอะเราะฟะฮฺ,  วันเชือดและอีก  3  วันหลังล้วนแต่เป็นวันอีด  คือวันรื่นเริงสำหรับาชาวอิสลามโดยรวม  กล่าวโดยสรุปก็คือ 
วันอีดสำหรับประชาชาติมุสลิมนั้นมีถึง 5 วันด้วยกันคือ  วันอะเราะฟะฮฺ,  วันอีดิลอัฎฮา  และวันตัซรีกอีก  3   วัน  มิใช่วันหนึ่งวันใดเป็นการเฉพาะ 

เพราะคำขยาย  (خبر)  ของประโยคในหะดีษข้างต้นหมายรวมเอาวันทั้ง 5  นั้นเข้ามาอยู่ในฮู่ก่มเดียวกัน  คือ  ถือเป็นวันอีกของเราชาวอิสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 06, 2008, 03:07 PM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
การที่ อ.มุรีด  ระบุว่า
“ท่านนบีมุหัมมัดระบุว่าให้พี่น้องมุสลิมทั้งหมดที่เป็นประชาชาติของท่านบีมุหัมมัดให้ร่วมกันเฉลิมฉลองวันต่างๆ ข้างต้น
ไม่ว่ามุสลิมในประเทศใด,ทวีปใด,ดินแดนใด หากเป็นมุสลิม (อะฮุลอิสลาม) จำเป็นจะต้องออกอีดิลอัฎฮาด้วยความพร้อมเพรียงกันทั้งหมด
เมื่อเป็นเช่นนั้นมุสลิมคนใดหรือองค์กรมุสลิมใดที่มีวันอะเราะฟะฮฺไม่ตรงกัน และออกอีดิลอัฎฮาไม่ตรงกันนั้น ต้องชี้แจงแล้วละครับว่าเป็นเพราะสาเหตุใดจึงไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
ของท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)”



เป็นการสรุปตามความเข้าใจของ อ.มุรีดเอง เพราะคำว่า  “หากเป็นมุสลิม  (อะหฺลุลอิสลาม)  จำเป็นต้องออกอีดิลอัฎฮาด้วยความพร้อมเพรียงกันทั้งหมด” 
แสดงว่าถ้าออกอีดิลอัฎฮาไม่ตรงกัน  ไม่พร้อมเพรียงกันทั้งหมดก็ไม่ไช่มุสลิมกระนั้นหรือ?  ซุฮานัลลอฮฺ!  ช่างเป็นการฟันธงที่กล้าหาญยิ่งนัก

ผู้เขียนเชื่อว่าไม่มีมุสลิมคนใดที่ปฏิเสธซุนนะฮฺของท่านร่อซู้ล  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  ในเรื่องนี้ทุกคนย่อมทุ่มเทในการปฏิบัติตามอย่างสุดความสามารถ  การออกอีดทั้ง 2 
และการเริ่มถือศีลอดโดยพร้อมเพรียงกัน  เป็นความหวังของมุสลิมทุกคน  แต่เมื่อยังไม่สามารถบรรลุสู่ความหวังนั้นได้ 
อย่างน้อยก็จำเป็นที่เราจะต้องเพียรพยายามต่อการสร้างเอกภาพในภาพส่วนจำเพาะระหว่างชาวมุสลิมในดินแดนเดียวกัน  (ฟิกฮุซซิยาม  ดร.ยูซุฟ  กอรฏอวีย์  หน้า  32) 


เป็นเรื่องแปลกที่มีกลุ่มคนบางส่วนเรียกร้องให้ชาวมุสลิมมีเอกภาพและมีความพร้อมเพรียงกับชาวมุสลิมทั่วโลกในเรื่องการเริ่มถือศีลอดพร้อมกัน  ออกอีดพร้อมกัน 
แต่กลับไม่สนใจใยดีต่อเอกภาพและความพร้อมเพรียงกับผู้คนในประเทศเดียวกัน  มิหนำซ้ำยังเที่ยวกล่าวหาผู้คนส่วนใหญ่ที่เริ่มถือศีลอดและออกอีดไม่ตรงสกับพวกตนว่า
ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านร่อซู้ล  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องของการอิจฺติฮาด  (إجتهاد)  เป็นเรื่องของการวิเคราะห์นัยและหลักคำสอนจากตัวบท 
ไม่ใช่เรื่องหลักมูลฐาน  (الأصول)  ของศาสนาที่จะนำมาฮุก่มชี้ขาดกันอย่างฟันธงและเด็ดขาดแต่อย่างใด


อ.มุรีดได้อ้างถึงหะดีษที่ท่านอบูสะอีด  อัลคุดรีย์  รายงานจากท่านร่อซู้ล  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  และระบุว่า  “หะดีษข้างต้นชัดเจนครับว่า ท่านรสูลห้ามถือศีลอดในวันอีดิลฟิฎริ
และอีดิลอัฎฮา เมื่อเป็นเช่นนั้นปีนี้ก็จะต้องสับสนแล้วละครับ กล่าวคือ วันอะเราะฟะฮฺตรงกับวันศุกร์ 29 ธันวาคม 2549 และวันอีดิลอัฎฮาตรงกับวันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม 2549 แต่มุสลิมบางกลุ่มในประเทศไทยออกอีดิลอัฎฮาในวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2549 ฉะนั้นหากมุสลิมที่ออกอีดในวันอาทิตย์มีสุนนะฮฺให้ถือศีลอดในวันเสาร์ แต่ไปตรงกับวันอีดิลอัฏฮาของมุสลิม
ที่ออกตามประเทศซาอุฯได้ประกาศ  ก็เท่ากับว่าบุคคลผู้นั้นฝ่าฝืนคำสั่งของท่านนบีที่ถือศีลอดในวันอีดิลอัฏฮา ซึ่งเป็นวันที่ท่านรสูลห้ามถือศีลอดนั่นเอง
 (อีกทั้งผู้ที่จะถือศีลอดในวันเสาร์จะเนียตวันถือศีลอดสุนนะฮฺวันอะเราะฟะฮฺก็ไม่ได้ เพราะถือศีลอดไม่ตรงกับวันอะเราะฟะฮฺที่ประเทศซาอุฯ ซึ่งเป็นวันศุกร์)



ข้อนี้ต้องสับสนล่ะ  ถ้าหากถือตามที่ อ.มุรีด กล่าว  เพราะ อ.มุรีด พูดเองเออเองในประเด็นข้อปัญหานี้  ในส่วนของตัวบทหะดีษนั้นชัดเจน  ไม่มีใครปฏิเสธ  แต่การวินิจฉัยปัญหาอันเนื่องมาจาก
ถือวันไม่ตรงกันเป็นอีกเรื่งหนึ่ง  และประเด็นเฉกเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  จึงต้องกลับไปดูว่านักวิชากรผู้สันทัดกรณีให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไร?  เพื่อให้ความเข้าใจที่ชัดเจน

ผู้เขียนขอตั้งเรื่องอย่างนี้ก่อนว่า  มุสลิมส่วนใหญ่  (มิใช่บางกลุ่มอย่าที่ระบุ)  ในประเทศไทย ออกอีดอัฎฮาในวันอาทิตย์  ตามประกาศสำนักจุฬาราชมนตรี  แต่ทว่าในวันเสาร์นั้น  ทางซาอุดิอารเบีย 
ถามว่า  การถือศีลอดซุนนะฮฺของมุสลิมไทยในวันเสาร์เป็นที่อนุญาตหรือไม่?  เพราะไปตรงกับวันอีดของซาอุดิอารเบียนั่นเอง 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านซัยคุลอิสลาม  อิบนุตัยมียะฮฺ  (ร.ฮ.)  ได้ตอบว่า 

وصوم اليوم الذي يشك فيه  هل هو تاسع ذي الحجة  أو عاشر ذي الحجة جائز بلا نزاع بين العلماء لأن الأصل عدم العاشر

“และการถือศีลอดของวันซึ่งสงสัยว่าวันนั้นเป็นวันที่  9 ซุลฮิจญะฮฺหรือวันที่  10  ซุลฮิจญะฮฺ? 
เป็นที่อนุญาตโดยไม่มีข้อขัดแย้งระหว่างบรรดานักปราชญ์   เพราะเดิมนั้นไม่มีวันที่  10”  (มัจมูอะฮฺ  อัลฟะตาวา  25/111) 
หมายความว่าชาวมุสลิมไทยที่ถือศีลอดในวันเสาร์  ซึ่งนับเป็น  วันที่  9  ซุลฮิจญะฮฺตามคำประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรีแต่ไปตรงกับวันที่  10  ซุลฮิจญะฮฺ  (คือวันอีดอัฎฮา) 
ของชาวซาอุดีย์นั้นย่อมเป็นที่อนุญาตโดยไม่มีข้อโต้แย้งระหว่างนักปราชญ์  และไม่เข้าข่ายในข้อห้ามของหะดีษข้างต้น  เพราะคนที่ถือศีลอดในวันเสาร์ถือศีลอดบนพื้นฐานที่ว่า  วันเสาร์คือวันที่  9  ซุลฮิจญะฮฺ 

ไม่มีผู้ใดถือศีลอดในวันที่  10  ซุลฮิจญะฮฺซึ่งเป็นวันอีดอัฎฮา  อันจะเป็นเหตุนำมาอ้างว่า  ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านร่อซู้ล  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  ที่ห้ามถือศีลอดในวันอีดได้ 
ทั้งนี้เพราะเขาถือศีลอดในวันที่  9  ซุลฮิจญะฮฺไม่ได้ถือในวันที่  10  ซุลฮิจญะฮฺ  ซึ่งเป็นอีดอัฎอาแต่อย่างใด 


นี่คือคำตอบของท่านชัยคุลอิสลาม  อับนุตัยมียะฮฺ  (ร.ฮ.) 
นักวิชาการผู้เลื่องลือในการฟื้นฟูซุนนฮฺและแนวทางของสะลัฟซอลิฮฺ 
ท่านผู้อ่านก็เลือกเอาว่าจะเชื่อตาม อ.มุรีด หรือตามคำฟัตวาของนักปรชณ์สละฟีย์ผู้นี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 06, 2008, 03:09 PM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
ประเด็นเรื่องการตามผู้นำที่ อ.มุรีด  ได้อ้างเหตุผลที่จะไม่ปฏิบัติตามท่านจุฬาราชมนตรีนั้นค่อนข้างจะยืดยาวและหลงประเด็นอยู่หลายข้อ  จึงขอวิภาษโดยสรุปดังนี้


1) อ.มุรีด  ตั้งคำถามว่า  “ผู้นำประเทศมุสลิมนั้นๆ ที่เราจะต้องปฏิบัติตามเขานั้น เป็นผู้นำประเภทไหน? หากเป็นผู้นำอย่างประเทศซาอุดิอาระเบีย นั่นแน่นอนครับที่เราต้องตาม
เพราะผู้นำของเขามีอำนาจสั่งการต่างๆ เช่นสั่งการให้ลงโทษผู้ที่กระทำความผิดหลักการของศาสนา เช่น หากทำซินา ก็ให้เฆี่ยนเป็นต้น เช่นนี้ไม่ตามไม่ได้ครับ วาญิบต้องตามครับ,
แต่ผู้นำมุสลิมในเมืองไทยเป็นผู้นำที่ทางรัฐบาลกำหนดให้มีตำแหน่งผู้นำมุสลิมโดยให้ชื่อว่า ตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำมุสลิมที่ไม่สามารถออกกฎหมายหรือลงโทษผู้หนึ่งผู้ใดหากใครทำผิดหลักการของศาสนา ผู้นำประเภทนี้ไม่วาญิบต้องตามนะครับ”



นั่นคือเหตุผลของ อ.มุรีด    แต่เราลองมาพิจารณาความเห็นของนักวิชาการกันบ้าง  ท่านอิบนุ  อบิลอิซฺ  อัลฮะนะฟีย์  ผู้อรรถาธิบาย  หนังสือ  อัลอะกีดะฮฺ  อัฏฏ่อฮาวียะฮฺได้ระบุว่า

وقد دلت نصوص الكتاب والسنة وإجماع الأمة أن ولي الأمر وإمام الصلاة والحاكم وأمير الحرب وعامل الصدقة : يطاع في مواضع الإجتهاد وليس عليه أن يطيع أتباعه في موارد الإجتهاد ،
 بل عليهم أن طاعته في ذلك وترك رأيهم لرأيه فإن مصلحة الجماعة الإئتلاف ومفسدة الفرقة والإختلاف أعظم من أمر المسائل الجزئ

“และแท้จริงบรรดาตัวบทของคัมภีร์อัลกุรอ่าน, ซุนนะฮฺ  และมติเห็นพ้องของบรรพชนสลัฟของประชาชาติได้บ่งว่าวะลียุลอัมรฺ  (ผู้นำ),  อิหม่ามนำละหมาด,  ผู้ปกครอง,  แม่ทัพนายกอง 
และเจ้าหน้าที่เก็บซะกาตจะถูกเชื่อฟัง  (ปฏิบัติตาม)  ในบรรดาตำแหน่ง  (ประเด็นต่างๆ)  ของการวิเคราะห์  (อิจฺติฮาจ)  หากแต่จำเป็นที่บรรดาผู้ตามต้องเชื่อฟังในเรื่องดังกล่าว 
และจำเป็นต้องละทิ้งความเห็นของตนยังความเห็นของผู้นำ  เพราะแท้จริงประโยชน์ของหมู่คณะและความเป็นน้ำหนึ่ง  ตลอดจนผลร้ายของการแตกแยกการขัดแย้งย่อมสำคัญกว่าเรื่องของ
ประเด็นปัญหาปลีกย่อยทั้งหลาย”     (ซัรฮุ  อัลอะกีดะฮฺ  อัฏฏ่อฮาวียะฮฺ  ของอัลลามะฮฺ  อิบนุ  อบิลอิซฺ  อัลฮะนะฟีย์  หน้า  376)

หมายความว่า  การเห็นพ้องตรงกัน  และความเป็นน้ำหนึ่งถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องคำนึงถึง  และจำเป็นต้องละทิ้งการขัดแย้งที่นำพาไปสู่ความเสียหาย  (เล่มเดียวกัน  หน้า 377) 

โปรดสังเกตคำว่า  อิหม่ามนำละหมาดและเจ้าหน้าที่จัดเก็บซะกาต  ซึ่งไม่มีพระเดชคืออำนาจในการลงโทษหรือออกกฎหมายอย่างที่ อ.มุรีด อธิบาย  แต่ก็วายิบต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามดังระบุข้างต้น


ดร.ยูซุฟ  อัลกอรฎอวีย์  ได้ระบุว่า

فإذا صدرت السلطة الشرعية المسؤلة عن إثبات الهلال في بلد إسلامي - المحكمة العليا أو دار الإفتاء أو رئاسة الشوؤن الدينية أو غيرها -
لأنها طاعة في المعروف وإن كان ذلك مخالفا لما ثبت في بلد أخر فإن حكم الحاكم هنا رجح الرأي الذي يقول : إن كل بلد رؤيته

“ดังนั้นเมื่อองค์กรที่มีอำนาจตามศาสนบัญญัติที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการยืนยันจันทร์เสี้ยวในประเทสมุสลิม  (อาทิเช่น)  ศาลสูงสำนักวินิจฉัย  หรือองค์กรผุ้นำกิจการทางศาสนาหรืออื่นๆ 
ได้ออกแถลงการณ์ของตนให้ถือศีลอดหรือออกอีดฟิฏริแล้ว  ก็จำเป็นที่ชาวมุสลิมของดินแดนนั้นต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดเพราะเป็นการเชื่อฟังในสิ่งที่ดีตามหลักการของศาสนา 
ถึงแม้ว่าสิ่งดังกล่าวค้านกับสิ่งที่ได้รับการยืนยันในดินแดนอื่น  เพราะแท้จริงการชีขาดของผู้มีอำนาจ  ณ  ที่นี้ได้ให้น้ำหนักแก่ทัศนะซึ่งกล่าวว่า  แท้จริงแต่ละดินแดนนนั้นคือการเห็นจันทร์เสี้ยวของตน” 
(ฟิกฮุซซิยาม  ดร.ยูซุฟ  อัลกอรฎอวีย์  ดารุ้ลวะหาฮฺ  หน้า  32) 

โปรดสังเกตุว่า  “สำนักวินิจฉัย” หรือดารุ้ลอิฟตาฮฺ  ซึ่งเป็นสำนักงานของมุฟตีย์  อันหมายถึง  ผู้วินิจฉัยปัญหาข้อศาสนา  ซึ่งไม่มีอำนาจในการลงโทษหรือบังคับใช้กฎหมาย  ตลอดจน  คำว่า
 “องค์กรผู้นำศาสนา”  ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีอำนาจในด้านการบริหารและการปกครองทางรัฐศาสคร์  แต่เป็นองค์กรทางศาสนาที่รับผิดชอบกิจการของมุสลิมในประเทศทั้นๆ  คล้ายกับสำนักจุฬาราชมนตรีของไทย
 ถึงแม้ว่าองค์กรทั้ง  2  จะไม่มีอำนาจอย่างที่  อ.มุรีด  ระบุ  แต่ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามเช่นกัน  ตามข้อเขียนของ ดร.ยูซุฟ  อัลกอรฎอวีย์ข้างต้น 


อ.มุรีด  อาจจะค้านว่า  นั่นเป็นองค์กรในประเทศมุสลิม  ส่วนสำนักจุฬาราชมนตรี  เป็นองค์กรศาสนาในประเทศที่มิใช่ประเทศมุสลิมก็ขอให้ติดตามต่อไปว่า  นักวิชาการให้คำตอบอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ 
ท่านอิซฺซุดดีน  อิบนุ  อับดิสสลาม  (ร.ฮ.)  ได้ตอบไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อ ก้อวาอิดุลฺอะฮฺกาม  ฟี  มะซอลิฮิลอะนาม  ว่า “และหากว่าบรรดากุฟฟ๊ารได้มีอำนาจยึดครองเหนือเขตแคว้นขนาดใหญ่แล้ว 
พวกเขาได้แต่งตั้งตำแหน่งผู้ชี้ขาด  (กอฎีย์)  แก่บุคคลที่นำมาซึ่งผลประโยชน์โดยรวมของชาวมุสลิม  สิ่งที่ปรากฎชัดก็คือ  ถือว่าการชี้ขาดทั้งหมดดังกล่าวเป็นที่ลุล่วง  ทั้งนี้เพื่อเป้นการนำมา 
ซึ่งสิทธิประโยชน์ของส่วนรวมและเพื่อเป็นการปัดป้องความเสียหายที่ครอบคลุม” 


หากยังติดของหมองใจก็ลองพิจารณาเพิ่มเติมจากคำวินิจฉัยของ  “คณะกรรมการถาวรเพื่อการวินิจฉัยวิชาการและการตอบปัญหาศาสนา”   (اللجنة الدائمة للبحوث العلمية والإفتاء) 
ของประเทศซาอุดิอารเบีย    ซึ่งมีชัยคฺอับดุลอะซีซ  อิบนุ  อับดิลลาฮฺ  อิบนุ  บ๊าซ  (ร.ฮ.)  หรือ  เชค  บินบ๊าซฺ  เป็นประธานคำฟัตวาเลขที่  2149

(คำถาม)  อนุญาติให้ชาวมุสลิมซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศที่ไม่ใช่ประเทศอิสลาม  ในการก่อตั้งคณะกรรมการจากชาวมุสลิมเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบการยืนยันจันทร์เสี้ยวของร่อมาฎอน,  ซาวาล,  และซุลฮิจญะฮฺ”
 (ฟะตาวา  อัลลัจญนะฮฺ”  (ฟะตาวา  อัลลัจญนะฮฺ  อัดดาอิมะอฺ ฯ  เล่มที่  10/112  ดารุ้ลอาซิมะฮฺ  พิมพ์ครั้งแรก  ปี  ฮ.ศ.1416-ค.ศ.1996)


อ.มุรีด  ระบุถึงการออกตราหะลาล  ให้แก่ยาดองเหล้ายี่ห้อหนึ่ง  โดยสมมติ  (ซึ่งจริงๆ  แล้วมิใช่สมมติเพราะเคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อนแล้ว)   แล้วก็สรุปว่า
 “ถ้าหากเราบอกว่าเราตามผู้นำ  หรือสำนักจุฬาราชมนตรีเราก็ต้องซื้อมาดื่มนะซิครับ” 


นี่เป็นการสรุปที่ผิดประเด็น เพราะมีตัวบทกำหนดชัดเจนว่า  ไม่ต้องตามผู้นำในเรื่องที่ฝ่าฝืนต่อหลักการของศาสนา
 (لا طاعة لمخلوق في معصية الخالق)  “ไม่มีการเชื่อฟังต่อมัคลูกในกรณีฝ่าฝืนผู้ทรงสร้าง” 
ส่วนเรื่องของการปฏิบัติตามผู้นำในเรื่องที่ไม่ขัดต่อหลักการของศาสนานั้นเป็นสิ่งจำเป็น  (إنما الطاعة في المعروف)  “อันที่จริงการเชื่อฟังนั้นเฉพาะสิ่งที่เป็นความดีเท่านั้น" 


ทั้งนี้เพราะการเชื่อฟังผู้นำนั้น  นักวิชาการเรียกว่า  إطاعة مقيدة  (การเชื่อฟังที่มีเงื่อนไข) 
กล่าวคือต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการของศาสนาหรืออยู่ในประเด็นปัญหาข้อปลีกย่อยที่มีการวิเคราะห์และให้น้ำหนัก  (المسائل الجزئية الإجتهادية ) 

ส่วนการปฏิบัติตามและเชื่อฟังอัลลอฮฺ (ซ.บ.)  และร่อซู้ลนั้นเรียกว่า  (إطاعة مطلقة )  หมายถึงการเชื่อฟังปฏิบัติตามโดยสิ้นเชิงไม่มีข้อแม้  ดังนั้นการตามผู้นำซึ่งเป็นมนุษย์ปุถุชนมีผิดมีถูก 
จึงมีข้อยกเว้นในกรณีที่ขัดต่อหลักการของศาสนา  ก็ไม่ต้องถือตาม  ดังมีหะดีษซอเฮียะฮฺ  ระบุว่า

علي المرء المسلم السمع والطاعة فيما أحب وكره ، إلا أن يؤمر بمعصية فإن أمر بمعصية فلا سمع ولا طاعة [ متفق عليه من حديث ابن عمر]

“จำเป็นเหนือบุคคลที่เป็นมุสลิมต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามทั้งในสิ่งที่เขาชอบและรังเกียจ  นอกจากการที่เขาถูกใช้ให้กระทำสิ่งที่ขัดต่อหลักการของศาสนา 
(ดังนั้นถ้าหากเขาถูกใช้ให้กระทำสิ่งที่ขัดต่อหลักการของศาสนา)  ก็ย่อมไม่มีการเชื่อฟังการปฏิบัติตามแต่อย่างใด”
 (รายงานพ้องกันดดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม  จาหะดีษของอิบนุ  อุมัร) 

ฉะนั้นการที่สำนักจุฬาฯสั่งใช้ให้เราในฐานะผู้ตามกระทำสิ่งที่ผิดหลักการของศาสนา  ก็ไม่ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามแต่อย่างใด  มิหนำซื้อยังห้ามตามด้วยซ้ำไป 

แต่เรื่องที่เรากำลังถกกันอยู่นี้คือเรื่องการตามข้อวินิจฉัย  (الإجتهاد)  ของผู้นำหรือสำนักจุฬาราชมนตรี  ซึ่งเป็นเรื่องดี  (المعروف)  กล่าวคือ  ใช้ให้เข้าบวช, ออกบวช, ใช้ให้ละหมาดอีดวันนั้นวันนี้ 
ไม่ใด้ใช้ให้ไปซื้อยาดองเหล้า!  หรือใช้ให้เราบิดเบือนหลักอะกีดะฮฺ  (หลักความเชื่อ)



การอ้างของ อ.มุรีด  โดยยกกรณีของเรื่องยาดองเหล้าที่มีการออกตราฮะล้าล  หรือการเขียนเรื่องราวของอิหม่ามอะหฺหมัด อิบนุ ฮัมบัล (ร.ฮ.)  ที่ต่อสู้กับกลุ่มอะหฺลุลบิดอะฮฺ วัฎฎอลาละฮฺ
เพื่อปกป้องหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง  และเขียนเสียยืดยาวนั้นเป็นการหลงประเด็นแบบสุดกู่  และเป็นการบ่งว่า  ตัวอาจารย์เองแยกแยะเรื่องนี้ไม่ออก 
จึงไม่แปลกใจเลยที่มีพี่น้องมุสลิมบางส่วนเกิดความสับสนในเรื่องการตามผู้นำ 


เพราะ อ.มุรีด ระบุว่า  “หวังว่าตัวอย่างของท่านอิมามอะหฺมัด บุตรของฮัมบัลจะทำให้มุสลิมในเมืองไทยแยกแยะออกนะครับว่า
ระหว่างคำสั่งของผู้นำ กับความถูกต้องของหลักการศาสนาเราจะเลือกสิ่งไหน?”


ข้อความที่  อ.มุรีด  อ้างส่อให้เห็นว่า  อ.มุรีดไม่รู้จัดแยกแยะระหว่างเรื่องหลักศรัทธาซึ่งเป็นหลักมูลฐานของศาสนา  (الأصول)  อันเป็นเรื่องเด็ดขาด,  ชัดเจน  และไม่อนุญาตให้เห็นต่าง 
เพราะจะเป็นสิ่งที่ทำให้หลุดออกจากกรอบของอะหฺลิซฺซนนะฮฺ  วัลญ่ามาอะฮฺได้  หรือที่เลวร้ายที่สุดก็คือสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม 


ส่วนเรื่องปัญหาการกำหนดวันสำคัญของผู้นำอันเกิดจากจากวิเคราะห์ตัวบท  (الإستنباط)  หรือทุ่มเทวินิจฉัยประเด็นข้อปัญหาศานา  (الأجتهاد)  นั้นอยู่ในหมวดของข้อปลีกย่อยที่เรียกว่า  (الفروع) 
มิหนำซ้ำการอ้างตัวอย่างเทียบเคียง  (القياس)  ของ อ.มุรีดในเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นการเทียบเคียงที่ใช้ไม่ได้   เพราะมีตัวเทียบหรือเหตุผล  (علة)  ในการเทียบเคียงที่แตกต่างกัน 
นักอุซูลุลฟิกฮฺ  เขาเรียกการเทียบเคียงเช่นนี้ว่า   ถือว่าเป็นการเทียบเคียงที่โมฆะใช้ไม่ได้  (القياس مع الفارق) 

อ.มุรีด อาจจะค้านว่าตนไม่เห็นด้วยกับหลักกิย๊าส  (การเทียบเคียง) แต่การยกตัวอย่างนำมาประกอบ  (التمثي)  ของอาจารย์ก็เข้าข่ายเป็นการเทียบเคียง  อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง 


“ฉะนั้นการอ้างอิงผิดที่จึงทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดอย่างไม่ต้องสงสัยนะครับ” 
นี่คือข้อความที่ อ.มุรีด  ระบุในบทความเฉพาะกิจของท่าน  ซึ่งพอเอาเข้าจริงแล้ว  อ.มุรีด  เองก็อ้างอิงผิดที่เสียเอง  เพราะการปฏิบัติตามผู้นำในประเด็นที่เรากำลังวิภาษอยู่นี้ก็เป็นเรื่องของ
ข้อปลีกย่อย  (الأحكام الفرعية )  ไม่ใช้เรื่องของลักมูลฐานทางศาสนา  (الأحكام الأصولية )  ซึ่งมิอาจคัดค้านหรือใช้สติปัญญา  เข้าไปวิเคราะห์เพียงลำพัง 

หากผู้นำชี้ขาดหรือมีคำฟัตวา  (คำวินิจฉัย)  ที่ค้านกับตัวบทของอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺแล้ว  ก็มิต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด!



อ.มุรีด  เน้นย้ำอยู่หลายตอนในบทความของท่าน  ว่าเราจะต้องฟังคำประกาศของซาอุดิอารเบีย  ในเรื่องการกำหนดวันอีดอีดิลอัฎฮา ตลอดจนวันอะเราะฟะฮฺ
 เพราะอะเราะฟะฮฺมีอยู่ที่เดียวในโลกคือที่ซาอุดิอาระเบีย  นครมักกะฮฺ 

แต่เป็นเรื่องแปลกที่องค์กรของซาอุดิอาระเบียเอง  กลับมีแถลงการณ์ว่า  ให้ตามคำประกาศของนครมักกะฮฺเฉพาะในเรื่องการประกอบพิธีฮัจญ์ 
(อัลม่านาซิก)  เท่านั้นโดยมุ่งหมายเฉพาะบรรดาฮุจญ๊าจที่อยู่ที่โน่น  ส่วนการกำหนดวันสำคัญทางศาสนาในเดือนซุลฮิจญะฮฺหรือปฏิทิน
ให้ถือตรามคำยืนยันของผู้รับผิดชอบในแต่ละประเทศ 

ดังปรากฎในคำวินิจฉัยของ  ดร.ฮานี  อิบนุ  อับดิลลาฮฺ  อัลญุบัยร์  กอฎีย์ประจำศาลของนครมักกะฮฺ  ลงวันที่  22/6/ฮ.ศ.1424  โดยมีผู้ถามปัญหาเกี่ยวกับความแตกต่างของมัฏละฮฺ 
ในเดือนวุลฮิจญะฮฺและกรณีการกำหนดวันอีดและการถือศิลอดในวันอะเราะฟะฮฺว่าเกี่ยวข้องผู้พันกันสถานที่อันหมายถึง  การวุกุ๊ฟของบรรดาฮุจญ๊าจในทุ่งอะเราะฟะฮฺหรือไม่  ท่านกอฎีย์ตอบว่า 
เมื่อปรากฎว่ามุสลิมอยู่ในประเทศที่ใช้การเห็นจันทร์เสี้ยวตามหลักศาสนบัญญัติ  และยึดการเห็นจันทร์เสี้ยวเป็นแนวทางในการกำหนดวันเดือนปีตามปฏิทิน  ให้มุสลิมผู้นั้นปฏิบัติตามข้อชี้ขาดผู้ที่สันทัดกรณี 
ณ  ประเทศนั้นยืนยัน  และให้ถือศีลอดอะเราะฟะฮฺในวันที่  9  ถึงแม้ว่าในนครมักกะฮฺจะไปตรงกับวันที่ 8 หรือวันที่  10  ก็ตาม  ส่วนในการประกอบพิธีฮัจญ์นั้นให้ปฏิบัติตามการเห็นจันทร์เสี้ยว
ที่มีการยืนยันในนครมักกะฮฺ ...”     

นี่คือคำตอบของกอฎีย์ประจำศาลของนครมักกะฮฺ  ซึ่งเป็นผู้มีตำแหน่งในองค์กรสำคัญของซาอุดิอารเบียเอง


อีกทั้งยังมีคำตอบของคณะกรรมการเพื่อการวิจัยปัญหาศาสนา  (อัลลัจญ์นะฮฺ  อัดดาอิมะฮฺฯ)  ของซาอุดิอาระเบีย  ระบุเกี่ยวกับการละหมาดอีดทั้งสองวันให้เป็นไปพร้อมกับบรรดามุสลิมในประเทศของพวกเขา
คำฟัตวา  เลขที่  10973  (เล่มที่  10/94-95)  ให้ปฏิบัติตามวะลียุลอัมร์  (ผู้นำ)  ในแต่ละประเทศ  คำฟัตวาเลขที่ 313 (เล่มที่  10/96-98 )  และคำฟัตวา  เลขที่  319  (เล่มที่  10/98-100 ), 
คำฟัตวาเลขที่  388 (เล่มที่ 10/100-102  )  คำฟัตวา  เลขที่  3686 (เล่มที่  10/102-103) 


ซึ่งระบุว่า  ตลอดเวลา  14  ศตวรรษที่ผ่านมาไม่เคยรับทราบว่าประชาชาติอิสลามมีเอกภาพหนึ่งเดียวบนการเห็นจันทร์เสี้ยวและแต่ละประเทศมิสิทธิในการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้  ทั้งหมดเป็นคำตอบของบรรดานักวิชาการในประเทศซาอุดิอาระเบียเอง  ซึ่งมีทัศนะความเห็นเป็นคนละเรื่องกับที่  อ.มุรีด  พยายามนำเสนอและเน้นย้ำในบทความของท่าน 
ในขณะที่มีการเรียกร้องให้ตามซาอุดีย์  แต่นักวิชาการของซาอุดีย์เองกลับไม่คิดเช่นนั้น 

หรือว่า  อ.มุรีด จะรู้กว่าบรรดานักวิชาการเหล่านั้น  ข้อนี้ผู้เขียนก็มิอาจทราบได้  ขอให้ผู้อ่านใช้ดุลพินิจเอาเองเถิด


นอกจากนี้  ดร.ซอลิฮฺ  ซาบิน  อับมัรซูกีย์  อัลบักมีย์  เลขาธิการของสภาองค์กรนิติศาสตร์อิสลาม  (อัลมัจฺมะอฺ  อัลฟิกฮีย์  อัลอิสลามีย์)  ได้ยืนยันว่า 
สิ่งที่บรรดาผู้กล่าวอ้างว่จำเป็นจะต้องเข้าบวชและออกบวชตรงกันอย่างมีเอกภาพนั้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักการของศาสนาและสติปัญญา 
คณะกรรมการของสภาองค์กรนิติศาสตร์อิสลามได้มีมติว่า  ไม่มีความจำเป็นต้องเรียกร้องให้มีเอกภาพในการดูจันทร์เสี้ยวและวันอีดในโลกอิสลาม 


เพราะการมีเอกภาพในเรื่องนี้ไม่ได้ประกันถึงเอกภาพหนึ่งเดียวของประชาคมอิสลามเหมือนอย่างที่มีผู้เสนอเป็นจำนวนมากให้สร้างเอกภาพในการดูจันทร์เสี้ยวและวันอีดหลงเข้าใจ
และให้ปล่อยวางกรณีการยืนยันจันทร์เสี้ยวเป็นหน้าที่ของสำนักวินิจฉัย  (ดารุ้ลอิฟตาอฺ)  และศาสในกลุ่มประเทศอิสลาม  โดยสรุปจากหนังสือพิมพ์อัลอาลัม  อัลอิสลามีย์
อันดับที่  2010  วันที่  5  มุอัรรอม  ฮ.ศ.1429/14 มกราคม ค.ศ. 2008  (วันจันทร์)  ออกโดย  องค์การรอบิเฏาะฮฺ  อัลอาลัม  อัลอิสลามีย์  ประเทศซาอุดิอารเบีย
ความเห็นของ  ดร.อัลมัรซูกีย์  ถือเป็นตัวแทนของปวงปราชญ์ในราชอาณาจักรซาอุดิอารเบียเกี่ยวกับเรื่องนี้ตามที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ระบุ 



และผู้เขียนก็พยายามอธิบายและแจกแจงใชเชิงวิภาษเกี่ยวกับบทความของ อ.มุรีด  แล้วเท่าที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.)  ทรงฮิดายะฮฺ  เตาฟีกให้แก่ผู้เขียน 
ส่วนผู้อ่านจะเห็นด้วยกับการวิภาษของผู้เขียนหรือไม?  ก็เป็นสิทธิของแต่ละท่านที่อยู่นอกเหนือหน้าที่และภารกิจของผู้เขียน 

โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนก็เคยรู้จักกับ  อ.มุรีด  เพราะเคยร่วมบรรยายกับท่านอยู่สองสามครั้งแต่ความรู้สึกร่วมกันในอุดมการณ์ของการเผยแผ่หลักคำสอนที่ถูกต้องแก่พี่น้องมุสลิมนั้น
ก็มิอาจทำให้ผู้เขียนต้องนิ่งเฉย  และละทิ้งอามานะฮฺทางวิชาการไปได้  อย่างน้อยก็บนพื้นฐานของการนะซีฮะฮฺระหว่างกัน 
การสร้างความแตกแยกหรือการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายด้วยการเอาประเด็นความเห็นต่างในข้อปลีกย่อยของศาสนาเป็นที่ตั้งจนปฏิเสธ
หรือฟันธงอีกฝ่ายว่าผิดพลาดหรือไม่ตามกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺมิใช่วิสัยของผู้เขียนอยู่แล้ว 

หากผู้เขียนไม่วิภาษผู้เขียนก็สามารถกระทำได้  และไม่เปลืองตัวอีกด้วย  แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า
ผู้ไม่พูดความจริงหรือนิ่งเงียบอบพนำจากการพูดความจริงก็เปรียบเสมือนซัยฏอนใบ้นั่นเอง



والله ولي التوفيق

والسلام عليكم ورحمة الله وبركات

อาลี   เสือสมิง


คัดจากหนังสืออนุสรณ์  มัสยิดนูรุลอิสลาม บ้านป่า, งานฉลอง 200 ชุมชนบ้านป่า 
4-5  เมษายน  2551

_____________________________________________________________________________

อัลอัมดุลิลลาฮฺ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 06, 2008, 03:18 PM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ al-ciddix

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 93
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณครับ บัง
Deeneeya

ได้รับความรู้เพิ่มขึ้นมากเลยครับ บัง  และยังได้รับรู้ถึงสาเหตุของฝ่ายที่อ้างมาคัดค้านผู้นำ(จุฬา)ด้วยครับ   


บางครั้งการได้รับข้อมูลฝ่ายเดียวนั้นดูจะไม่ธรรมเลยสำหรับคนบ้านๆอย่างเรา 

ผมเคยได้ยิยเทปการบรรยายของอ.ท่านนี้ผมเคยได้ยิยเทปบรรยายของ อ.ท่านนี้จากวิทยุกระจายเสียงบ่อยครับซึ่งนำมาเปิด  ชาวบ้านที่ได้ฟัง มักตั้งคำถามตัวเองว่า


จริงหรือว่า ปัจจุบันนี้ ผู้นำไม่จำเป็นในการตามเสียแล้ว  อย่างที่อ.ท่านนี้พูด


ตอนนี้  ผมภูมิใจตัวเองมากที่ได้มีผู้นำหลักฐานมาแก้ต่างหรือทำการวิจานกับคำพูดที่ ของอ.บางท่านที่ไม่ยอมรับตัวผู้นำที่มุสลิมส่วนมากยอมรับครับ

ขออัลเลาะตอบแทนบังครับที่นำความรู้เล็กๆน้อยมาให้พวกเรา

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam
น่าจะนำบทวิภาษณ์นี้ ไปโพสในกระดานเสวนาใน mureed.com บ้างนะ แล้วก็เสวนาในเชิงวิชาการกัน..ท่านเห็นว่าอย่างไร

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
อัลฮัมดุลิ้ลลาฮฺ

ขอนำไฟล์เสียงที่  อ.อาลี  เสือสมิง  ตอบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการดูจันทร์เสี้ยวที่ต่างทัศนะกัน

<a href="http://www.mediamax.com/deeneeyah/Hosted/mp3ss8d.swf" target="_blank" class="new_win">http://www.mediamax.com/deeneeyah/Hosted/mp3ss8d.swf</a>

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
อัสสลามุ อลัยกุม

            พูดถึงเรื่องจุฬาฯ แล้ว เพื่อนผมที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาของ อ.ริฎอ และมุรีดบางครั้ง เวลาพูดถึงจุฬาฯ ก็มักจะวิจารณ์ในแง่ลบ และคำพูดแต่ละคำไม่บ่งบอกถึงความเป็นคนที่มีมารยาทแบบอิสลามเลย ไม่ผิดเพี้ยนกับ อ.ของพวกเขาเลย น่าเศร้ามากๆ ครับ พวกเขาพูดคล้ายๆ กับแค้นอะไรบางอย่างกับจุฬาฯ แต่ก็น่าแปลกใจที่จุฬาฯ ไม่เคยออกมาตอบโต้บ้าง (เท่าที่ผมติดตามมานะครับ อาจจะมีการตอบโต้ แต่ผมไม่รู้ก็ได้) จะด้วยเหตุใดอันใด ก็ วัลลอฮุ อะอฺลัม

วัสสลามุ อลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
 salam

อ้างถึง
พูดถึงเรื่องจุฬาฯ แล้ว เพื่อนผมที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาของ อ.ริฎอ และมุรีดบางครั้ง เวลาพูดถึงจุฬาฯ ก็มักจะวิจารณ์ในแง่ลบ และคำพูดแต่ละคำไม่บ่งบอกถึงความเป็นคนที่มีมารยาทแบบอิสลามเลย ไม่ผิดเพี้ยนกับ อ.ของพวกเขาเลย น่าเศร้ามากๆ ครับ พวกเขาพูดคล้ายๆ กับแค้นอะไรบางอย่างกับจุฬาฯ แต่ก็น่าแปลกใจที่จุฬาฯ ไม่เคยออกมาตอบโต้บ้าง (เท่าที่ผมติดตามมานะครับ อาจจะมีการตอบโต้ แต่ผมไม่รู้ก็ได้) จะด้วยเหตุใดอันใด ก็ วัลลอฮุ อะอฺลัม

ผมเคยเข้าไปอ่านและฟังรายการวิทยุในเวปของอาจารย์ของพวกเขามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ เห็นว่าจะไปเดินประท้วงไล่ท่านจุฬากันด้วย

แต่วันก่อนจำได้มีคนถามว่าทำไมไม่มีปฏิทินอิสลามในเวป>>เขาตอบว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะติดตามการเห็นจันทร์เสี้ยวทุกเดือน
แสดงว่า ดูแต่ช่วงเข้า-ออกบวช  และอีดใหญ่

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
salam
น่าจะนำบทวิภาษณ์นี้ ไปโพสในกระดานเสวนาใน mureed.com บ้างนะ แล้วก็เสวนาในเชิงวิชาการกัน..ท่านเห็นว่าอย่างไร

เมื่อเช้าเห็นพี่น้องนำไปตั้งกระทู้ถาม อ.มุรีด โดยอ้างอิงลิงค์ของกระทู้นี้  ปรากฏว่าโดนลบอย่างกระทันหันแบบฝุ่นตลบ   แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปโพสต์ที่เว็บมุรีด  อีกอย่างหนึ่งเราสังเกตุว่า  ผู้บรรดาผู้เสวนาหลักๆ ของเว็บมุรีดนั้น  ถนัดนำเสนอฝ่ายเดียว กินเองชงเอง  แต่เวลาเสวนาแบบฟันต่อฟันตาต่อตา  หลักฐานต่อหลักฐาน  พวกเขาไม่มีพื้นฐานของหลักนิติศาสตร์อิสลามนะครับ   พอบางช่วงมีการกล่าวหาแนวทางอื่น  หลังจากนั้นแนวทางอื่นเข้ามาชี้แจง  ก็จะร้อนตัวอยู่ในไม่ติดอยู่ร่ำไป  และอีกอย่างเว็บมุรีดมีกระดานเสวนาแบบไม่เป็นระบบ  เป็นแบบสลัดผักมากกว่า ใครนึกอะไรจะโพสต์ก็โพสต์กันตามใจชอบ     เราว่าให้คนที่คิดว่าจัง ๆ จากเว็บมุรีดมาเสวนาในกระทู้กันในเชิงวิชาการและทำตามกฏเสวนาของเว็บนี้ไม่ดีกว่าหรือครับ หรือว่ามีศักยภาพไม่พอ  อันนี้ไม่ทราบได้ก็ต้องดูกันไปครับ  ใช่ป่ะ  oh:
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
ผมว่าเนื้อหาในบทความเฉพาะกิจ  และ บทวิภาษบทความเฉพาะกิจ   ก็ชัดเจนดีอยู่แล้ว

การเสวนากันคงไม่ก่อเกิดประโยชน์สักเท่าไร่

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
อัสสลามุ อลัยกุม

             เท่าที่ผมติดตามผลงานของ อ.มุรีด ที่ผ่านมา รู้สึกว่าท่านจะถนัดเรื่องการใช้สำนวนการโน้มน้าวจิตใจผู้คนเป็นอย่างมาก และรู้สึกว่าจะได้ผลดีด้วย และการนำเสนอวิชาการของท่าน ก็มีแต่การอ้างอิงแบบตักลีด และวิจารณ์แบบเข้าข้างทัศนะของตน บางครั้งผมแค่ดูหัวข้อ แล้วเดาดูว่าท่านน่าจะตอบอย่างไร จากนั้น ข้ามไปดูคำสรุปความเห็นของท่าน ปรากฎว่า มันมักจะตรงกับที่เดาไว้เสมอ  Oops: Oops: Oops:

วัสสลามุ อลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
 salam

ยะซากัลลอฮฺ บังดีนียะฮฺ ที่นำบทความดี ๆ มาให้  เคยไปงานมัสยิดแถว ๆ อยุธยาได้ฟังท่านอาจารย์อาลี เสือสมิงบรรยายเรื่อง เข้าออกรอมฎอนนี่ล่ะ ยังติดใจอยู่เลย  myGreat:  เจอท่านอีกทีที่งาน รร. ท่านเอง ท่านก็ไม่ยอมขึ้นเวที มานั่งขายน้ำกับเด็กนักเรียน (น่ารักดีไหมล่ะ ^^)

ส่วนเรื่องอุปนิสัย อ. ท่านอื่น ๆ เราเลิกวิจารณ์กันดีกว่าเนอะ  ;D  การงานของเขาก็จะได้แก่เขา 
ประเดี๋ยวบทความจะไปขึ้นหน้าเวบ อินชาอัลลอฮฺ  loveit:

ยะซากัลลอฮฺ ท่านอาจารย์ ไว้ด้วยนะคะ

يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

ประเดี๋ยวบทความจะไปขึ้นหน้าเวบ อินชาอัลลอฮฺ  loveit:


ขอตรวจอักษรอีกรอบ เพราะมีการพิมพ์ตกหล่นบ้างเล็กน้อยทั้งภาษาไทยและอาหรับ  หลังจากนั้นจะ่ส่งไปขึ้นอัพเดทหน้าเว็บไซต์ครับ  อินชาอัลเลาะฮ์
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged