ซัรบัน-โต๊ฟ-ยูเบาะห์-โต๊ะครู-กีตาฟ-บาลาเซาะห์ "ถ้าจะทำก็ทำได้ ไม่ใช่เรื่องยาก" ฮะยีหะมิดิง ซานอ "บาบอ" โรงเรียนปอเนาะปาแดรูคนปัจจุบัน ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเปิดสอนวิชาสามัญควบคู่ศาสนา "แต่มันต้องมีคนที่มีจุดยืนดีเหลืออยู่บ้าง"
ปอเนาะปาแดรูตั้งอยู่ริมถนนสายยะหา-สะบ้าย้อย ในตำบลกาตอง อำเภอยะหา จังหวัดยะลา ก่อตั้งโดย "บาบอ" ฮะยีอับดุลระมานอัสตะบูรี ซานอ ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ปาแดรูเคยเป็นปอเนาะที่มีชื่อเสียงมากของจังหวัดยะลา
หลังสิ้น "บาบอ" คนแรก ฮะยีหะมิดิงผู้เป็นลูกชายรับเป็น "บาบอ" สืบทอดต่อ และได้แปรสภาพปอเนาะมาเป็นระบบโรงเรียน ในชื่อใหม่ว่า โรงเรียนพัฒนาเยาวชนอิสลามวิทยาปาแดรู แบ่งการเรียนเป็น ๗ ชั้น และออกวุฒิบัตรรับรองผลการศึกษาให้เมื่อเรียนจบ แต่ยังคงสอนเฉพาะวิชาศาสนาเท่านั้น
"ถ้าสอนวิชาสามัญด้วย จะเรียนศาสนาไม่ทัน และเรียนได้ไม่ลึกซึ้ง ศาสนาเป็นเรื่อง big thinking
และไม่ใช่เรียนกันแค่ที่ตามองเห็นเท่านั้น วิทยาศาสตร์เรียนด้วยการเห็นอย่างเดียว แต่ศาสนาไม่ใช่ การเรียนศาสนาให้รู้จริงต้องรู้จักบทบาทและอยู่ภายใต้ระเบียบที่เข้มงวดจริงจัง"
ใคร-ผู้มีความหวังดี อาจบอกว่าโลกสมัยใหม่เป็นยุคแห่งเทคโนโลยี และเด็ก ๆ มุสลิมควรได้เรียนวิชาที่สอดคล้องตามความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
แต่สำหรับบาบอฮะยีหะมิดิง เขาเชื่อมั่นว่า "ถ้าเด็กเรียนดี มีความรู้ดี เป็นคนดี จะไม่ลำบาก ถ้าเขาเชื่อมั่นในอัลเลาะห์ อัลเลาะห์จะให้ เขาจะไม่มีวันลำบาก"
เรียนศาสนาทำไมต้องมาอยู่ปอเนาะ ?
"ในทางพุทธศาสนาหากจะเรียนรู้ศาสนาอย่างลึกซึ้งต้องไปอยู่ที่วัด-ใช่ไหม ?" "บาบอ" โรงเรียนปอเนาะปาแดรู ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ "แต่ในศาสนาอิสลามเราไม่มีนักบวช เพราะถือว่าทุกคนต้องมีความเป็นนักบวชอยู่ในตัวเอง"
การเข้ามาอยู่ปอเนาะนัยหนึ่งจึงเป็นเหมือนช่วงเวลาของการบำเพ็ญเพียร และฝึกฝนตนเองเพื่อเป็นนักบวชที่ดีตลอดชีวิต
ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันนี้ นายีบ บุญพิศ เด็กหนุ่มมุสลิมวัย ๒๑ ปี จากเมืองยะลา จึงตัดสินใจเข้ามาเรียนที่โรงเรียนสมบูรณ์ศาสน์ ในตำบลปะแต อำเภอยะรัง จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นโรงเรียนปอเนาะที่สอนเฉพาะวิชาศาสนาเช่นเดียวกับโรงเรียนปาแดรู และมีครู กศน. จากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน จังหวัดยะลา มาสอนวิชาสามัญ วิชาการอาชีพ ให้สัปดาห์ละหนึ่งวัน
นายีบเคยเรียนในโรงเรียนสอนศาสนาควบคู่วิชาสามัญที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดยะลาจนจบชั้น ๖ มาแล้ว แต่เขาบอกว่าการเรียนที่นั่นเขาและเพื่อนร่วมโรงเรียนได้ใช้ชีวิตด้วยกันในชั่วโมงเรียนเท่านั้น เรียนเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่มีเวลาที่จะทำความรู้จักกันอย่างสนิทสนม ไม่ได้ทำละหมาดด้วยกัน ไม่มีมิติของการเรียนรู้เชิงสังคมร่วมกัน
เมื่อมาเรียนที่โรงเรียนปอเนาะปะแต เขาได้เรียน "กีตาฟ" จากโต๊ะครู พักอยู่ในปอเนาะกับเพื่อน ๆ ได้ใช้วิถีชีวิตรวมหมู่ด้วยกัน มีอะไรก็กินด้วยกัน อด-อิ่มด้วยกัน ได้ทำละหมาดร่วมกัน ปอเนาะไม่เพียงประสาทความรู้ด้านศาสนา ยังสอนให้เขารู้จักสังคม
อยู่มาได้ระยะหนึ่ง นายีบพบว่าเขารู้จักรับผิดชอบตัวเอง และดูแลคนอื่นได้มากขึ้น
แต่สำหรับ อับดุลมุตอลิบ หลานหมีน หนุ่มมุสลิมจากคลองจิหลาด อำเภอเมืองกระบี่ ซึ่งจบระดับมัธยมปลายและเคยเรียนในโรงเรียนปอเนาะที่จังหวัดบ้านเกิดมาแล้ว แต่เขาพบว่าการเรียนศาสนาในระบบชั้นเรียน เข้าเรียนเป็นคาบ จะศึกษาได้ไม่ละเอียด
เขาคิดว่าความรู้ทางศาสนาขั้นลึกซึ้ง และวัตรปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักศาสนบัญญัติ จะต้องเรียนจากโต๊ะครูในปอเนาะเท่านั้น
จริง-ตามคำสารภาพของอาจารย์ใหญ่โรงเรียนปอเนาะบาลอ ที่ยอมรับว่า ทุกวันนี้พฤติกรรมของเด็กในโรงเรียนรัฐบาลเป็นอย่างไร ใน "โรงเรียนปอเนาะ" ก็แทบไม่แตกต่างกัน เนื่องจากอิทธิพลของสื่อจากต่างวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนสูญหายไปหมดแล้ว แต่ใน "ปอเนาะ" วิถีวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของคนมุสลิมยังคงอยู่อย่างครบถ้วน
ทุกวันนี้ในจังหวัดปัตตานียังเหลือปอเนาะอยู่หลายแห่ง ยืนยงข้ามกาลเวลามาได้โดยไม่ปรับรูปแบบ ไม่ขึ้นทะเบียน ไม่แปรสภาพ และสอนเฉพาะศาสนา จึงไม่เคยได้รับการอุดหนุนจากรัฐ แต่พึ่งตนเองได้อย่างมั่นคงตลอดมา
ปอเนาะเหล่านี้ไม่มีชื่อในทำเนียบโรงเรียนเอกชนของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ล้วนมีตัวตนอยู่จริง !
วันหนึ่ง...เมื่อสองปีที่แล้ว ใจที่ใฝ่ถึงหลักศาสนธรรมนำอับดุลมุตอลิบ มาพบกับปอเนาะมะฮัดดารุลฮาดิส หรือความหมายในภาษาไทยว่า บ้านแห่งพระวจนของศาสดา ในตำบลตะปิ้ง อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ที่ก่อตั้งโดย
บาบออับดุลรอฉีดเซะวอเราะห์ บางทีจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปอเนาะเซะวอเราะห์
ในปอเนาะเซะวอเราะห์ หลักศาสนบัญญัติทุกข้อถูกปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ชาย-หญิงแยกจากกันชัดเจน ปอเนาะของผู้ชายตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข ๔๒ ส่วนปอเนาะผู้หญิงตั้งอยู่ลึกเข้าไปด้านหลัง ยามเมื่อมาทำละหมาดร่วมกันใน "บาลาเซาะห์" ก็ต้องมีม่านกั้นแบ่งแยกหญิง-ชายไม่ให้เห็นกัน
ปอเนาะไม่มีเครื่องแบบอย่างในระบบโรงเรียน โต๊ะครูและศิษย์ทุกคนแต่งกายตามแบบท่านศาสดา ใส่ "เสื้อโต๊ฟ" ตัวยาว โพกหัวด้วยผ้า "ซัรบัน" และส่วนใหญ่มักไว้เครายาว ผู้หญิงสวมใส่ "ยูเบาะห์" เป็นเสื้อตัวยาวคลุมปกปิดร่างกายมิดชิด เว้นแต่นอกข้อมือ ข้อเท้า และใบหน้า ที่ไม่ต้องอยู่ในร่มผ้า
การเรียนมีไม่มากรายวิชา แต่เรียนหนักยิ่งกว่าในระบบโรงเรียน ตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่ ทำละหมาด (หรือนมัสการพระผู้เป็นเจ้า วันละห้าเวลา คือ ซุบฮีย์-ตอนเช้ามืด ซุฮรี-หลังเที่ยง อัสรี-เวลาเย็น มัคริบ-หลังตะวันตกดิน อีซาร์-ก่อนนอน การละหมาดทุกครั้งต้องหันหน้าไปทางวิหารอัล กะบะห์ ในกรุงเมกกะ) เรียน และหยุดพัก สลับกันไปตลอดทั้งวัน เลยไปถึงกลางคืน กว่าจะได้เข้านอนก็ล่วงหลังเที่ยงคืน
นอกจากเรียนกับโต๊ะครูในเวลาเรียน คนที่เรียนไม่ทันหรือไม่เข้าใจบทเรียน ต้องหาเรียนเพิ่มเติมจากคนที่อยู่มาก่อน คนที่เรียนเก่งและความจำดี และต้องหมั่นใส่ใจศึกษาหาความรู้ให้ตนเองด้วย
ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง อับดุลมุตอลิบมักต้องหยิบอัลกุรอานขึ้นมาหัดอ่านเป็นกิจวัตร...
เสียงอ่านอัลกุรอานลอยแว่วมาจากใต้หลังคากระท่อม ทำให้บรรยากาศยามเย็นย่ำในปอเนาะเซะวอเราะห์อันสงัดอยู่แล้วยิ่งขรึมขลังขึ้นอีก ในท่วงทำนองสูงต่ำของน้ำเสียง คงมีแต่คนที่เคยได้ยินเท่านั้นจะรับรู้ถึงความสงบ เยือกเย็น และพลังในสำเนียง
และด้วย
สารในเสียงนี้ที่หล่อหลอมกล่อมเกลา เลือดเนื้อเชื้อไขของมุสลิมให้งดงามถึงพร้อมในความเป็นมนุษย์