เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม
ของขวัญ...แด่ผู้ป่วย
ILHAM:
หนามยอกเอาหนามบ่งใช่มั้ยครับพี่ แต่กรณีนี้เกิดจากแซแต เราต้องเอาอีกตัวไปสู้กับมันหรือเปล่า
คนเดินดิน:
salam
ตามนั้นมั้งคะพี่น้อง
หากผิดพลาดประการใดโปรดอภัยให้ด้วยนะพี่น้อง
nujjaba:
บัญญัติการทำละหมาด
และการทำความสะอาดสำหรับผู้ป่วย
บรรดาการสรรเสริญทั้งมวลล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลจักรวาลนี้ ขอพรและขอความสันติจงประสบแด่ท่านนบีมุฮัมมัด ผู้เป็นนบีที่ทรงเกรียรติยิ่งในบรรดานบี และบรรดาร่อซูลทั้งหลายที่ถูกส่งมายังพวกเรา ขอพรและความสันติจงประสบแด่บรรดาวงศ์วาน ตลอดจนบรรดาสาวกของท่านโดยถ้วนหน้ากัน
ข้อความที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับบทบัญญัติบางประการของอิสลามในการทำความสะอาด ( ทำน้ำละหมาด ) และการทำการละหมาดของผู้ป่วย
แท้จริง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกำหนดให้มีการทำความสะอาดในทุกครั้งที่จะทำการละหมาด ฉะนั้น การทำให้สิ่งสกปรก ( ฮะดัส ) หมดไป และการขจัดสิ่งสกปรกออกไปให้หมดสิ้น ไม่ว่าสิ่งสกปรกนั้นจะเปรอะเปื้อนติดอยู่ตามร่างกายหรือติดอยู่ตามเสื้อผ้าหรือติดอยู่ตามสถานที่ๆ ทำการละหมาดนั้นก็ตาม จึงมีเงื่อนไขอยู่สองประการ จากเงื่อนไขต่างๆ ของการทำละหมาด นั่นก็คือ
เมื่อมุสลิมทุกคนที่ต้องการจะทำการละหมาด จำเป็นที่เขาจะต้องทำการอาบน้ำละหมาดให้สะอาดปราศจากฮะดัสเล็ก ตามที่ได้ทราบกันมาแล้วอย่างดี เช่น จากการผายลม การปัสสาวะและการถ่ายอุจจาระ เป็นต้น หรือจะต้องชำระล้างร่างกายให้สะอาด ด้วยการอาบน้ำให้ทั่วร่างกาย ( อัลฆุสลฺ ) หากฮะดัสนั้น เป็นฮะดัสใหญ่ ที่เกิดจากการร่วมหลับนอน การฝันหรือการมีอสุจิเคลื่อนออกมา ฯลฯ และในกรณีที่ได้ปัสสาวะหรืออุจจาระก่อนทำละหมาด ก็จำเป็นจะต้องชำระล้างด้วยน้ำ หรือใช้ก้อนหินเช็ด เพื่อที่จะทำให้ ( ทวารทั้งสอง ) เกลี้ยงเกลาและสะอาดหมดจรดอย่างสมบูรณ์
ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดบางประการของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวพันกับสิ่งที่กล่าวมาแล้ว
ดังนั้น การชำระล้างด้วยน้ำนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็น ( วาญิบ ) สำหรับสิ่งที่ออกมาจากทวารทั้งสองทุกชนิด เช่น ปัสสาวะ และอุจจาระ เป็นต้น
สำหรับผู้ที่นอนหลับหรือผู้ที่ผายลมนั้น ไม่ต้องชำระล้างอวัยวะส่วนใด เพียงแต่ต้องอาบน้ำละหมาดเท่านั้น เพราะการชำระล้างนั้นได้กำหนดขึ้นมาเพื่อชำระสิ่งสกปรกเท่านั้น ฉะนั้นในกรณีนี้ไม่ถือว่าการผายลมเป็นสิ่งสกปรก ( นะญิส ) และการใช้ก้อนหินชำระนั้นเป็นการทำความสะอาดแทนการใช้น้ำชำระล้าง ( อิสตินญาอฺ ) และจำเป็นจะต้องใช้หินที่สะอาดอย่างน้อยสามก้อนในการชำระนั้น ดังมีฮะดีสจากท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
من استجمر فليوتر" رواه البخا ري"
"ผู้ใดที่ชำระด้วยก้อนหิน ก็จงใช้มันเป็นจำนวนคี่"
( บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์ )
และมีฮะดีสของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อีกเช่นเดียวกัน ว่า
إذا ذهب أحدكم إلى الغائط فليذهب معه بثلاثة أحجار يستطيب بهن فإنها تجزئ عنه" رواه أبوداود"
"เมื่อคนใดในพวกท่านต้องการไปถ่ายอุจจาระ ก็จงนำหินติดตัวไปด้วยสามก้อน เพราะมันเพียงพอสำหรับเขาแล้ว"
( บันทึกโดย อิมามอบูดาวู๊ด )
"และท่านนบี ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ห้ามมิให้ใช้ก้อนหินในการชำระน้อยกว่าจำนวนสามก้อน"
( บันทึกโดย อิมามมุสลิม )
ไม่อนุญาตให้นำมูลสัตว์ กระดูก หรือสิ่งที่เป็นอาหาร และทุกสิ่งที่ต้องให้เกียรติยกย่องมาใช้ในการชำระ ที่ดีที่สุด คือ ให้ใช้ก้อนหินและสิ่งที่ใช้แทนกันได้ชำระ เช่นกระดาษชำระและที่มีลักษณะคล้ายๆ กันนั้น แล้วหลังจากนั้นให้ใช้น้ำล้างตามอีกทีหนึ่ง เพราะหินนั้น เป็นเพียงตัวขจัดความสกปรกให้หมดไปเท่านั้น ส่วนน้ำนั้นเป็นตัวชำระล้างบริเวณที่สกปรกให้สะอดหมดจรด ฉะนั้นน้ำจึงล้างได้สะอาดกว่า และผู้ที่ทำการชำระล้างนั้น มีสิทธิเลือกไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งระหว่างการชำระล้างด้วยน้ำ หรือชำระด้วยก้อนหิน หรือจะเลือกใช้กระดาษชำระ หรือจะเลือกใช้ทั้งสองวิธีรวมกันเลยก็ได้ ดังมีรายงานจากท่านอนัส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า
عن أنس رضي الله عنه قال : كان النبي صلى الله عليه وسلم يدخل الخلاء فأحمل أنا وغلام نحوي إداوة من ماء وعنزة فيستنجي بالماء" متفق غليه"
"ท่านนบี ศ็อลัลลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ไปเข้าห้องน้ำ ฉัน ( อนัส ) และเด็กอีกคนหนึ่ง รุ่นเดียวกันกับฉันช่วยกันถือภาชนะใส่น้ำ และไม้เท้า ( ที่ติดเหล็กแหลมไว้ที่ปลายไม้ ) เป็นประจำ เมื่อท่านนบีทำธุระเสร็จแล้ว ท่านจะใช้น้ำทำความสะอาด"
( บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม )
และมีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา แจ้งว่า เธอได้พูดกับบรรดาสตรีกลุ่มหนึ่งว่า
"مرن أزواجكن أن يستطيبوا بالماء فإني أستحييهم وإن رسول الله صلى الله عليه وسلم كان يفعله"
قال الترمذي : هذا حديث صحيح
"พวกเธอจงใช้ให้บรรดาสามีของพวกเธอใช้น้ำทำความสะอาด เพราะแท้จริง ฉันนั้นอายที่จะบอกกับพวกเขา และแท้จริง ท่านร่อซูล ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กระทำเช่นนั้นเป็นประจำ"
( ท่านอัตติรมีซีย์ กล่าวว่า ฮะดีสนี้ซอฮี๊ฮฺ ถูกต้อง )
และถ้าต้องการจะเจาะจงเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ให้เลือกการใช้น้ำทำความสะอาดจะดีกว่า เพราะว่าน้ำนั้นจะช่วยทำความสะอาดบริเวณที่สกปรก ขจัดสิ่งที่สกปรกและร่องรอยของมันให้หมดไปได้ และมันย่อมทำความสะอาดได้ล้ำลึกกว่า
แต่ถ้าต้องการเจาะจงเลือกก้อนหินเพื่อชำระเพียงอย่างเดียว ก็ให้ใช้ก้อนหินจำนวนสามก้อนก็เป็นที่เพียงพอแล้วสำหรับเขา ถ้าสามารถใช้มันทำให้บริเวณนั้นสะอาดได้ แต่ถ้ามันไม่เพียงพอก็ให้เพิ่มเป็นสี่ก้อน หรือห้าก้อน จนกระทั่งแน่ใจว่าบริเวณนั้นสะอาดแล้ว ดังฮะดีสของท่านนบี ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า
من استجمر فليوتر" رواه البخا ري"
"ผู้ใดที่ชำระด้วยก้อนหิน ก็จงใช้มันเป็นจำนวนคี่"
( บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์ )
และไม่อนุญาตให้ชำระด้วยมือขวา ดังมีรายงานจากท่านซัลมาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า
نهانا رسول الله صلى الله عليه وسلم أن يستنجي" رواه الترمذي"
"ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามมิให้พวกเราทำความสะอาด ( อวัยวะ ) ด้วยมือขวา"
( บันทึกโดย อัตติรมีซีย์ )
และฮะดีสของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
لا يمسكن أحدكم ذكره بيمينه وهو يبول ولا يتمسح من الخلاء بيمينه" رواه مسلم"
"คนหนึ่งคนใดในพวกท่าน อย่าใช้มือขวาจับอวัยวะเพศของเขา ในขณะที่เขาปัสสาวะเป็นอันขาด และเมื่อเสร็จธุระแล้ว อย่าได้ชำระด้วยมือขวาของเขา"
( บันทึกโดย อิมามมุสลิม )
แต่ถ้าเขาผู้นั้นเป็นคนที่มือซ้ายขาด หรือหัก หรือป่วย ไม่สามารถใช้มือซ้ายได้ ก็ให้ใช้มือขวาทำความสะอาดได้ เนื่องด้วยเหตุจำเป็นโดยไม่มีโทษอันใดต่อการกระทำเช่นนั้น และถ้าเขาจะรวมการใช้น้ำทำความสะอาดและใช้ก้อนหินชำระไปพร้อมๆ กัน ก็ย่อมเป็นการดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุด
และเนื่องจากบทบัญญัตของศาสนาอิสลาม เป็นบทบัญญัตที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความสะดวกและความง่ายดายนี่เอง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จึงได้ทรงผ่อนปรนการกระทำอิบาดะฮฺให้แก่บรรดาผู้ที่มีอุปสรรค ( ผู้ป่วย ) ตามสภาพความเจ็บป่วยของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้สามารถทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา โดยไม่อึดอัดใจและไม่มีความยากลำบากใดๆ เลย ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ อัลฮัจญ์ อายะฮฺที่ 78 ว่า
"และ ( อัลลอฮฺ ) ไม่ทรงทำให้เกิดความยากลำบากใดๆ แก่พวกเจ้าในเรื่องศาสนา"
และอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวว่า
"อัลลอฮฺ ทรงประสงค์ความสะดวกง่ายดายให้แก่พวกเจ้าและพระองค์ไม่ทรงประสงค์ ให้มีความยุ่งยากลำบากแก่พวกเจ้าเลย" ( อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 185 )
และพระองค์ยังทรงกล่าวอีกว่า
"ดังนั้น พวกเจ้าทั้งหลายจงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด เท่าที่พวกเจ้าจะสามารถ ( กระทำได้ )" ( อัตตะฆอบุน อายะฮฺที่ 16 )
ท่านนบี ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
قال النبي صلى الله عليه وسلم : إذا أمرتكم بأمر فأتوا منه ما ا ستطعتم" متفق عليه"
"เมื่อฉันใช้ให้พวกท่านกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด พวกท่านก็จงทำสิ่งนั้นเท่าที่พวกท่านจะสามารถกระทำได้"
( บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม )
และท่านร่อซูล ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
وقال صلى الله عليه وسلم : إن الدين يسر" رواه البخا ري"
"แท้จริง ศาสนานั้นมีความสะดวกง่ายดาย"
( บันทึกโดยอิมาม อัลบุคอรีย์ )
ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถใช้น้ำทำน้ำละหมาดหรือเพื่อทำความสะอาดเนื่องจากมีฮะดัสเล็ก หรือใช้น้ำชำระร่างกายให้สะอาด เนื่องจกามีฮะดัสใหญ่ เพราะความอ่อนแอของเขา หรือกลัวว่าอาการป่วยจะกำเริบหนักขึ้น หรือกลัวว่าจะหายช้าลงไปอีก ก็ให้ผู้ป่วยทำ "ตะยัมมุม" แทน คือให้ผู้ป่วยเอามือทั้งสองตบลงไปบนดินที่สะอาดเพียงครั้งเดียว แล้วให้เอามือทั้งสองข้างของเขาลูบไปบนใบหน้า และลูบบนหลังมือ ด้วยฝ่ามือทั้งสอง ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงตรัสไว้ว่า
"และหากพวกเจ้ามี "ญะนาบะฮฺ" ( จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เช่น จากการร่วมหลับนอนกับภรรยาหรือมีอสุจิลั่งออกมา ) ก็จงชำระล้างร่างกายให้สะอาด และหากพวกเจ้าเจ็บป่วยหรืออยู่ในระหว่างเดินทาง หรือคนใดในพวกเจ้าเสร็จจากการถ่ายทุกข์ หรือพวกเจ้าสัมผัสกับหญิง ( ร่วมหลับนอนกับภรรยา ) มา แล้วพวกเจ้าหาน้ำไม่ได้ ( ไม่พบน้ำ ) ก็จงมุ่งหาดินที่ดี ( สะอาด ) แล้วจง ( เอามันมา ) ลูบใบหน้าของพวกเจ้า และมือของพวกเจ้าจากดินนั้น"
( อัลมาอิดะฮฺ อายุฮฺที่ 6 )
...อินชาอัลลอฮฺ ไว้มาต่อใหม่ cool2:
al-azhary:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
ได้ประโยชน์เป็นอย่างมากเลยครับ ;D
جزاكِ الله أحسن الخير
nujjaba:
ฉะนั้น ผู้ป่วยที่อ่อนแอจนไม่สามารถจะใช้น้ำได้ กฎเกณฑ์ของเขานั้น ก็เป็นกฎเกณฑ์เดียวกับผู้ไม่พบน้ำ ดังคำดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า
"ดังนั้น พวกเจ้าทั้งหลายจงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด เท่าที่พวกเจ้าจะสามารถ ( กระทำได้ )" ( อัตตะฆอบุน อายะฮฺที่ 16 )
และดังคำกล่วของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮอะลัยฮิวะซัลลัม กับท่านอัมม๊าร อิบนุ ยาซิร ที่ว่า
إنما يكفيك أن تقول بيديك هكذا
"แท้จริง เป็นที่เพียงพอสำหรับท่านแล้วในกรใช้มือทั้งสองของท่านกระทำอย่างนี้"
( บันทึกโดย อิมามมุสลิม )
แล้วท่าน ( นบี ศ็อลลัลลอฮอะลัยฮิวะซัลลัม ) ได้เอามือทั้งสองของท่านตบลงไปบนพื้นดินหนึ่งครั้ง แล้วท่านก็เอามือทั้งสอง ลูบใบหน้าและมือทั้งสองของท่าน
และไม่อนุญาตให้ทำ "ตะยัมมุม" ด้วยสิ่งอื่นนอกจาก "ตะยัมมุม" ด้วยดินที่สะอาดที่มีฝุ่นอยู่ด้วยเท่านั้น
การทำ "ตะยัมมุม" จะถูกต้องใช้ได้นั้น จะต้องมีการตั้งเจตนา ดังหลักฐานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
إنما الأعمال بالنيّات ، وإنما لكل امرئ مانوى" رواه البخا ري ومسلم"
"แท้จริงการงานต่างๆ นั้น ขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนา และแท้จริง ทุกคนจะได้รับในสิ่งที่เขาได้เจตนาไว้"
( บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม )
ในการทำความสะอาดของผู้ป่วยนั้น มีอยู่หลายสภาพด้วยกัน ดังนี้
1- ถ้าหากอาการป่วยของเขาเล็กน้อย เขาไม่กลัวอันตรายต่อการใช้น้ำทำความสะอาดทั้งๆ ที่มีอาการป่วยอยู่ และไม่ทำให้อาการป่วยหนักขึ้น และไม่ทำให้อาการป่วยนั้นหายช้าลง ไม่ทำให้ความเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้น และไม่ทำให้มีสิ่งใดๆ ที่เลวร้ายเกิดขึ้น เช่น ปวดศีรษะ ปวดฟัน ฯลฯ หรือผู้ป่วยเป้นผู้ที่สามารถใช้น้ำอุ่นทำความสะอาดได้ และไม่ทำให้เกิดอันตรายใดๆ แก่เขา ดังนั้น ในกรณีเช่นนี้ ไม่เป็นที่อนุญาตแก่ผู้ป่วย ที่จะทำการ "ตะยัมมุม" ( ใช้ฝุ่น ) ได้ เพราะการอนุญาตให้ทำการ "ตะยัมมุม" ได้นั้น ก็เพื่อให้ปลอดภัยจากอันตรายใดๆ แก่เขา ( ในการใช้น้ำทำความสะอาด ) และผู้ป่วยอยู่ในข่ายของผู้ที่พบน้ำอยู่เบื้องหน้าของเขา จึงจำเป็นที่เขาจะต้องใช้น้ำทำความสะอาด
2- ถ้าในตัวผู้ป่วยมีโรค และเขากลัวว่า เมื่อใช้น้ำทำความสะอาดทั้งๆ ที่ป่วยอยู่ จะเกิดอันตรายแก่ร่างกาย หรือจะเกิดอันตรายแก่อวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทำให้เกิดโรคที่กลัวว่าจะทำให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย หรือทำให้เกิดอันตรายแก่อวัยวะได้ ในกรณีเช่นนี้ อนุญาตให้ผู้ป่วย ทำการตะยัมมุมได้ ดังที่ อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า
"และพวกเจ้าอย่าได้ฆ่า ( ทำลาย ) ชีวิตของพวกเจ้า แท้จริง อัลลอฮฺเป้นผู้ทรงเมตตาสงสารพวกเจ้า" ( อันนิซาอฺ อายะฮฺที่ 29 )
3- ถ้าในตัวของผู้ป่วยมีโรค ซึ่งโรคนั้นทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และไม่มีผู้ใดช่วยจัดการหาน้ำให้เขาได้ ก็อนุญาตให้ทำ "ตะยัมมุม" ได้ และถ้าเขาไม่สามารถทำการ "ตะยัมมุม" ด้วยตัวเองได้ ก็ให้ผู้อื่นช่วยทำ "ตะยัมมุม" ให้แก่ผู้ป่วย และถ้าร่างกายของผู้ป่วยหรือเสื้อผ้าหรือที่นอนเปรอะเปื้อนสิ่งสกปรก และไม่สามารถขจัดสิ่งนั้นออกไปได้หรือทำความสะอาดให้หมดไปได้ ก็อนุญาตให้ผู้ป่วยทำการละหมาดได้ตามสภาพที่เขาเป็นอยู่ ดังคำดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า
"ดังนั้น พวกเจ้าทั้งหลายจงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด เท่าที่พวกเจ้าจะสามารถ ( กระทำได้ )" ( อัตตะฆอบุน อายะฮฺที่ 16 )
และไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยยืดเวลาการทำละหมาดให้ล่าช้าออกไปจากเวลาของมัน ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม ทั้งๆ ที่มีสาเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถทำความสะอาด หรือขจัดสิ่งสกปรกให้หมดไปได้ก็ตาม
4- ผู้ใดที่ร่างกายบาดเจ็บ หรือมีบาดแผล หรือกระดูกแตก หัก หรือป่วยไข้ แล้วเกิดมี "ญะนาบะฮฺ" หากเมื่อใช้น้ำทพความสะอาดร่างกายจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยได้ ก็เป็นที่อนุญาตแก่เขา ให้ทำการ "ตะยัมมุม" ( ใช้ฝุ่นแทนการใช้น้ำ ) ได้ ตามหลักฐานที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น และถ้าสามารถล้างส่วนที่ไม่บาดเจ็บ ไม่มีบาดแผลจากร่างกายได้ ก็จำเป็นจะต้องทำการล้าง แล้วให้ทำการ "ตะยัมมุม" ในส่วนที่บาดเจ็บนั้น
ไว้มาต่อ อินชาอัลลอฮฺ party:
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version