เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ของขวัญ...แด่ผู้ป่วย

<< < (8/12) > >>

ILHAM:
หนามยอกเอาหนามบ่งใช่มั้ยครับพี่ แต่กรณีนี้เกิดจากแซแต เราต้องเอาอีกตัวไปสู้กับมันหรือเปล่า

คนเดินดิน:
salam

ตามนั้นมั้งคะพี่น้อง


หากผิดพลาดประการใดโปรดอภัยให้ด้วยนะพี่น้อง

nujjaba:
บัญญัติการทำละหมาด
และการทำความสะอาดสำหรับผู้ป่วย
บรรดาการสรรเสริญทั้งมวลล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ  พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลจักรวาลนี้  ขอพรและขอความสันติจงประสบแด่ท่านนบีมุฮัมมัด  ผู้เป็นนบีที่ทรงเกรียรติยิ่งในบรรดานบี  และบรรดาร่อซูลทั้งหลายที่ถูกส่งมายังพวกเรา  ขอพรและความสันติจงประสบแด่บรรดาวงศ์วาน  ตลอดจนบรรดาสาวกของท่านโดยถ้วนหน้ากัน

ข้อความที่จะกล่าวต่อไปนี้  เป็นเรื่องเกี่ยวกับบทบัญญัติบางประการของอิสลามในการทำความสะอาด ( ทำน้ำละหมาด ) และการทำการละหมาดของผู้ป่วย

แท้จริง  อัลลอฮฺ  ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  ได้ทรงกำหนดให้มีการทำความสะอาดในทุกครั้งที่จะทำการละหมาด  ฉะนั้น  การทำให้สิ่งสกปรก ( ฮะดัส ) หมดไป  และการขจัดสิ่งสกปรกออกไปให้หมดสิ้น  ไม่ว่าสิ่งสกปรกนั้นจะเปรอะเปื้อนติดอยู่ตามร่างกายหรือติดอยู่ตามเสื้อผ้าหรือติดอยู่ตามสถานที่ๆ ทำการละหมาดนั้นก็ตาม  จึงมีเงื่อนไขอยู่สองประการ  จากเงื่อนไขต่างๆ ของการทำละหมาด  นั่นก็คือ

เมื่อมุสลิมทุกคนที่ต้องการจะทำการละหมาด  จำเป็นที่เขาจะต้องทำการอาบน้ำละหมาดให้สะอาดปราศจากฮะดัสเล็ก  ตามที่ได้ทราบกันมาแล้วอย่างดี  เช่น  จากการผายลม  การปัสสาวะและการถ่ายอุจจาระ  เป็นต้น  หรือจะต้องชำระล้างร่างกายให้สะอาด  ด้วยการอาบน้ำให้ทั่วร่างกาย  ( อัลฆุสลฺ ) หากฮะดัสนั้น  เป็นฮะดัสใหญ่  ที่เกิดจากการร่วมหลับนอน  การฝันหรือการมีอสุจิเคลื่อนออกมา  ฯลฯ  และในกรณีที่ได้ปัสสาวะหรืออุจจาระก่อนทำละหมาด  ก็จำเป็นจะต้องชำระล้างด้วยน้ำ  หรือใช้ก้อนหินเช็ด  เพื่อที่จะทำให้ ( ทวารทั้งสอง )  เกลี้ยงเกลาและสะอาดหมดจรดอย่างสมบูรณ์

ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดบางประการของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวพันกับสิ่งที่กล่าวมาแล้ว
ดังนั้น  การชำระล้างด้วยน้ำนั้น  จึงเป็นสิ่งจำเป็น ( วาญิบ ) สำหรับสิ่งที่ออกมาจากทวารทั้งสองทุกชนิด  เช่น  ปัสสาวะ  และอุจจาระ  เป็นต้น

สำหรับผู้ที่นอนหลับหรือผู้ที่ผายลมนั้น  ไม่ต้องชำระล้างอวัยวะส่วนใด  เพียงแต่ต้องอาบน้ำละหมาดเท่านั้น  เพราะการชำระล้างนั้นได้กำหนดขึ้นมาเพื่อชำระสิ่งสกปรกเท่านั้น  ฉะนั้นในกรณีนี้ไม่ถือว่าการผายลมเป็นสิ่งสกปรก ( นะญิส ) และการใช้ก้อนหินชำระนั้นเป็นการทำความสะอาดแทนการใช้น้ำชำระล้าง ( อิสตินญาอฺ ) และจำเป็นจะต้องใช้หินที่สะอาดอย่างน้อยสามก้อนในการชำระนั้น  ดังมีฮะดีสจากท่านนบี  ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า

من استجمر فليوتر" رواه البخا ري"

"ผู้ใดที่ชำระด้วยก้อนหิน  ก็จงใช้มันเป็นจำนวนคี่"

( บันทึกโดย  อิมามอัลบุคอรีย์ )


และมีฮะดีสของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  อีกเช่นเดียวกัน  ว่า

إذا ذهب أحدكم إلى الغائط فليذهب معه بثلاثة أحجار يستطيب بهن فإنها تجزئ عنه"  رواه أبوداود"

"เมื่อคนใดในพวกท่านต้องการไปถ่ายอุจจาระ  ก็จงนำหินติดตัวไปด้วยสามก้อน  เพราะมันเพียงพอสำหรับเขาแล้ว"

( บันทึกโดย  อิมามอบูดาวู๊ด )


"และท่านนบี  ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ห้ามมิให้ใช้ก้อนหินในการชำระน้อยกว่าจำนวนสามก้อน"

( บันทึกโดย  อิมามมุสลิม )


ไม่อนุญาตให้นำมูลสัตว์  กระดูก  หรือสิ่งที่เป็นอาหาร  และทุกสิ่งที่ต้องให้เกียรติยกย่องมาใช้ในการชำระ  ที่ดีที่สุด  คือ  ให้ใช้ก้อนหินและสิ่งที่ใช้แทนกันได้ชำระ  เช่นกระดาษชำระและที่มีลักษณะคล้ายๆ กันนั้น  แล้วหลังจากนั้นให้ใช้น้ำล้างตามอีกทีหนึ่ง  เพราะหินนั้น  เป็นเพียงตัวขจัดความสกปรกให้หมดไปเท่านั้น  ส่วนน้ำนั้นเป็นตัวชำระล้างบริเวณที่สกปรกให้สะอดหมดจรด  ฉะนั้นน้ำจึงล้างได้สะอาดกว่า  และผู้ที่ทำการชำระล้างนั้น  มีสิทธิเลือกไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งระหว่างการชำระล้างด้วยน้ำ  หรือชำระด้วยก้อนหิน  หรือจะเลือกใช้กระดาษชำระ  หรือจะเลือกใช้ทั้งสองวิธีรวมกันเลยก็ได้  ดังมีรายงานจากท่านอนัส  ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ  กล่าวว่า

عن أنس رضي الله عنه قال : كان النبي صلى الله عليه وسلم يدخل الخلاء فأحمل أنا وغلام نحوي إداوة من ماء وعنزة فيستنجي بالماء" متفق غليه"

"ท่านนบี  ศ็อลัลลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ไปเข้าห้องน้ำ  ฉัน ( อนัส ) และเด็กอีกคนหนึ่ง  รุ่นเดียวกันกับฉันช่วยกันถือภาชนะใส่น้ำ  และไม้เท้า ( ที่ติดเหล็กแหลมไว้ที่ปลายไม้ ) เป็นประจำ  เมื่อท่านนบีทำธุระเสร็จแล้ว  ท่านจะใช้น้ำทำความสะอาด"

( บันทึกโดย  อิมามอัลบุคอรีย์  และอิมามมุสลิม )


และมีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ  ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา  แจ้งว่า  เธอได้พูดกับบรรดาสตรีกลุ่มหนึ่งว่า

"مرن أزواجكن أن يستطيبوا بالماء فإني أستحييهم وإن رسول الله صلى الله عليه وسلم كان يفعله"
قال الترمذي : هذا حديث صحيح

"พวกเธอจงใช้ให้บรรดาสามีของพวกเธอใช้น้ำทำความสะอาด  เพราะแท้จริง  ฉันนั้นอายที่จะบอกกับพวกเขา  และแท้จริง  ท่านร่อซูล  ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กระทำเช่นนั้นเป็นประจำ"

( ท่านอัตติรมีซีย์  กล่าวว่า  ฮะดีสนี้ซอฮี๊ฮฺ  ถูกต้อง )


และถ้าต้องการจะเจาะจงเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใด  ก็ให้เลือกการใช้น้ำทำความสะอาดจะดีกว่า  เพราะว่าน้ำนั้นจะช่วยทำความสะอาดบริเวณที่สกปรก  ขจัดสิ่งที่สกปรกและร่องรอยของมันให้หมดไปได้  และมันย่อมทำความสะอาดได้ล้ำลึกกว่า

แต่ถ้าต้องการเจาะจงเลือกก้อนหินเพื่อชำระเพียงอย่างเดียว  ก็ให้ใช้ก้อนหินจำนวนสามก้อนก็เป็นที่เพียงพอแล้วสำหรับเขา  ถ้าสามารถใช้มันทำให้บริเวณนั้นสะอาดได้  แต่ถ้ามันไม่เพียงพอก็ให้เพิ่มเป็นสี่ก้อน  หรือห้าก้อน  จนกระทั่งแน่ใจว่าบริเวณนั้นสะอาดแล้ว  ดังฮะดีสของท่านนบี  ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่ว่า

من استجمر فليوتر" رواه البخا ري"

"ผู้ใดที่ชำระด้วยก้อนหิน  ก็จงใช้มันเป็นจำนวนคี่"

( บันทึกโดย  อิมามอัลบุคอรีย์ )


และไม่อนุญาตให้ชำระด้วยมือขวา  ดังมีรายงานจากท่านซัลมาน  ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ  แจ้งว่า

نهانا رسول الله صلى الله عليه وسلم أن يستنجي" رواه الترمذي"

"ท่านร่อซูล  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ห้ามมิให้พวกเราทำความสะอาด ( อวัยวะ ) ด้วยมือขวา"

( บันทึกโดย  อัตติรมีซีย์ )


และฮะดีสของท่านร่อซูล  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า

لا يمسكن أحدكم ذكره بيمينه وهو يبول ولا يتمسح من الخلاء بيمينه" رواه مسلم"

"คนหนึ่งคนใดในพวกท่าน  อย่าใช้มือขวาจับอวัยวะเพศของเขา  ในขณะที่เขาปัสสาวะเป็นอันขาด  และเมื่อเสร็จธุระแล้ว  อย่าได้ชำระด้วยมือขวาของเขา"

( บันทึกโดย  อิมามมุสลิม )


แต่ถ้าเขาผู้นั้นเป็นคนที่มือซ้ายขาด  หรือหัก  หรือป่วย  ไม่สามารถใช้มือซ้ายได้  ก็ให้ใช้มือขวาทำความสะอาดได้  เนื่องด้วยเหตุจำเป็นโดยไม่มีโทษอันใดต่อการกระทำเช่นนั้น  และถ้าเขาจะรวมการใช้น้ำทำความสะอาดและใช้ก้อนหินชำระไปพร้อมๆ กัน  ก็ย่อมเป็นการดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุด

และเนื่องจากบทบัญญัตของศาสนาอิสลาม  เป็นบทบัญญัตที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความสะดวกและความง่ายดายนี่เอง  อัลลอฮฺ  ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  จึงได้ทรงผ่อนปรนการกระทำอิบาดะฮฺให้แก่บรรดาผู้ที่มีอุปสรรค  ( ผู้ป่วย ) ตามสภาพความเจ็บป่วยของพวกเขา  เพื่อพวกเขาจะได้สามารถทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ  ตะอาลา  โดยไม่อึดอัดใจและไม่มีความยากลำบากใดๆ เลย  ดังที่อัลลอฮฺ  ตะอาลา  ได้ทรงกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ  อัลฮัจญ์  อายะฮฺที่  78  ว่า

"และ ( อัลลอฮฺ )  ไม่ทรงทำให้เกิดความยากลำบากใดๆ แก่พวกเจ้าในเรื่องศาสนา"

และอัลลอฮฺ  ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  ได้ทรงกล่าวว่า

"อัลลอฮฺ  ทรงประสงค์ความสะดวกง่ายดายให้แก่พวกเจ้าและพระองค์ไม่ทรงประสงค์  ให้มีความยุ่งยากลำบากแก่พวกเจ้าเลย"  ( อัลบะเกาะเราะฮฺ  อายะฮฺที่  185 )

และพระองค์ยังทรงกล่าวอีกว่า

"ดังนั้น  พวกเจ้าทั้งหลายจงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด  เท่าที่พวกเจ้าจะสามารถ ( กระทำได้ )"  ( อัตตะฆอบุน  อายะฮฺที่  16 )


ท่านนบี  ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า

 قال النبي صلى الله عليه وسلم  : إذا أمرتكم بأمر فأتوا منه ما ا ستطعتم" متفق عليه"

"เมื่อฉันใช้ให้พวกท่านกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด  พวกท่านก็จงทำสิ่งนั้นเท่าที่พวกท่านจะสามารถกระทำได้"

( บันทึกโดย  อิมามอัลบุคอรีย์  และอิมามมุสลิม )


และท่านร่อซูล  ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า

وقال صلى الله عليه وسلم :  إن الدين يسر" رواه البخا ري"

"แท้จริง  ศาสนานั้นมีความสะดวกง่ายดาย"

( บันทึกโดยอิมาม  อัลบุคอรีย์ )


ดังนั้น  เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถใช้น้ำทำน้ำละหมาดหรือเพื่อทำความสะอาดเนื่องจากมีฮะดัสเล็ก  หรือใช้น้ำชำระร่างกายให้สะอาด  เนื่องจกามีฮะดัสใหญ่  เพราะความอ่อนแอของเขา  หรือกลัวว่าอาการป่วยจะกำเริบหนักขึ้น  หรือกลัวว่าจะหายช้าลงไปอีก  ก็ให้ผู้ป่วยทำ  "ตะยัมมุม"  แทน  คือให้ผู้ป่วยเอามือทั้งสองตบลงไปบนดินที่สะอาดเพียงครั้งเดียว  แล้วให้เอามือทั้งสองข้างของเขาลูบไปบนใบหน้า  และลูบบนหลังมือ  ด้วยฝ่ามือทั้งสอง  ดังที่อัลลอฮฺ  ตะอาลา  ได้ทรงตรัสไว้ว่า

"และหากพวกเจ้ามี  "ญะนาบะฮฺ"  ( จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม  เช่น  จากการร่วมหลับนอนกับภรรยาหรือมีอสุจิลั่งออกมา ) ก็จงชำระล้างร่างกายให้สะอาด  และหากพวกเจ้าเจ็บป่วยหรืออยู่ในระหว่างเดินทาง  หรือคนใดในพวกเจ้าเสร็จจากการถ่ายทุกข์  หรือพวกเจ้าสัมผัสกับหญิง ( ร่วมหลับนอนกับภรรยา ) มา  แล้วพวกเจ้าหาน้ำไม่ได้ ( ไม่พบน้ำ ) ก็จงมุ่งหาดินที่ดี ( สะอาด ) แล้วจง ( เอามันมา ) ลูบใบหน้าของพวกเจ้า  และมือของพวกเจ้าจากดินนั้น"  

( อัลมาอิดะฮฺ  อายุฮฺที่  6 )


...อินชาอัลลอฮฺ  ไว้มาต่อใหม่   cool2:

al-azhary:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ได้ประโยชน์เป็นอย่างมากเลยครับ  ;D

جزاكِ الله أحسن الخير

nujjaba:
ฉะนั้น  ผู้ป่วยที่อ่อนแอจนไม่สามารถจะใช้น้ำได้  กฎเกณฑ์ของเขานั้น  ก็เป็นกฎเกณฑ์เดียวกับผู้ไม่พบน้ำ  ดังคำดำรัสของอัลลอฮฺ  ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  ที่ว่า

"ดังนั้น  พวกเจ้าทั้งหลายจงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด  เท่าที่พวกเจ้าจะสามารถ ( กระทำได้ )"  ( อัตตะฆอบุน  อายะฮฺที่  16 )

และดังคำกล่วของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮอะลัยฮิวะซัลลัม  กับท่านอัมม๊าร  อิบนุ  ยาซิร  ที่ว่า

إنما يكفيك أن تقول بيديك هكذا

"แท้จริง  เป็นที่เพียงพอสำหรับท่านแล้วในกรใช้มือทั้งสองของท่านกระทำอย่างนี้"

( บันทึกโดย  อิมามมุสลิม )

แล้วท่าน ( นบี  ศ็อลลัลลอฮอะลัยฮิวะซัลลัม ) ได้เอามือทั้งสองของท่านตบลงไปบนพื้นดินหนึ่งครั้ง  แล้วท่านก็เอามือทั้งสอง  ลูบใบหน้าและมือทั้งสองของท่าน
และไม่อนุญาตให้ทำ "ตะยัมมุม" ด้วยสิ่งอื่นนอกจาก "ตะยัมมุม" ด้วยดินที่สะอาดที่มีฝุ่นอยู่ด้วยเท่านั้น
การทำ "ตะยัมมุม" จะถูกต้องใช้ได้นั้น  จะต้องมีการตั้งเจตนา  ดังหลักฐานจากท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า

إنما الأعمال بالنيّات ، وإنما لكل امرئ مانوى"    رواه البخا ري ومسلم"

"แท้จริงการงานต่างๆ นั้น  ขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนา  และแท้จริง  ทุกคนจะได้รับในสิ่งที่เขาได้เจตนาไว้"

( บันทึกโดย  อิมามอัลบุคอรีย์  และอิมามมุสลิม )

ในการทำความสะอาดของผู้ป่วยนั้น  มีอยู่หลายสภาพด้วยกัน  ดังนี้

1- ถ้าหากอาการป่วยของเขาเล็กน้อย  เขาไม่กลัวอันตรายต่อการใช้น้ำทำความสะอาดทั้งๆ ที่มีอาการป่วยอยู่  และไม่ทำให้อาการป่วยหนักขึ้น  และไม่ทำให้อาการป่วยนั้นหายช้าลง  ไม่ทำให้ความเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้น  และไม่ทำให้มีสิ่งใดๆ ที่เลวร้ายเกิดขึ้น  เช่น  ปวดศีรษะ  ปวดฟัน  ฯลฯ  หรือผู้ป่วยเป้นผู้ที่สามารถใช้น้ำอุ่นทำความสะอาดได้  และไม่ทำให้เกิดอันตรายใดๆ แก่เขา  ดังนั้น  ในกรณีเช่นนี้  ไม่เป็นที่อนุญาตแก่ผู้ป่วย  ที่จะทำการ "ตะยัมมุม" ( ใช้ฝุ่น ) ได้  เพราะการอนุญาตให้ทำการ "ตะยัมมุม" ได้นั้น  ก็เพื่อให้ปลอดภัยจากอันตรายใดๆ แก่เขา ( ในการใช้น้ำทำความสะอาด ) และผู้ป่วยอยู่ในข่ายของผู้ที่พบน้ำอยู่เบื้องหน้าของเขา  จึงจำเป็นที่เขาจะต้องใช้น้ำทำความสะอาด

2- ถ้าในตัวผู้ป่วยมีโรค  และเขากลัวว่า  เมื่อใช้น้ำทำความสะอาดทั้งๆ ที่ป่วยอยู่  จะเกิดอันตรายแก่ร่างกาย  หรือจะเกิดอันตรายแก่อวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใด  หรือทำให้เกิดโรคที่กลัวว่าจะทำให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย  หรือทำให้เกิดอันตรายแก่อวัยวะได้  ในกรณีเช่นนี้  อนุญาตให้ผู้ป่วย  ทำการตะยัมมุมได้  ดังที่  อัลลอฮฺ  ตะอาลา  ตรัสว่า

"และพวกเจ้าอย่าได้ฆ่า ( ทำลาย ) ชีวิตของพวกเจ้า  แท้จริง  อัลลอฮฺเป้นผู้ทรงเมตตาสงสารพวกเจ้า"  ( อันนิซาอฺ  อายะฮฺที่  29 )

3- ถ้าในตัวของผู้ป่วยมีโรค  ซึ่งโรคนั้นทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้  และไม่มีผู้ใดช่วยจัดการหาน้ำให้เขาได้  ก็อนุญาตให้ทำ "ตะยัมมุม" ได้  และถ้าเขาไม่สามารถทำการ "ตะยัมมุม" ด้วยตัวเองได้  ก็ให้ผู้อื่นช่วยทำ "ตะยัมมุม" ให้แก่ผู้ป่วย  และถ้าร่างกายของผู้ป่วยหรือเสื้อผ้าหรือที่นอนเปรอะเปื้อนสิ่งสกปรก  และไม่สามารถขจัดสิ่งนั้นออกไปได้หรือทำความสะอาดให้หมดไปได้  ก็อนุญาตให้ผู้ป่วยทำการละหมาดได้ตามสภาพที่เขาเป็นอยู่  ดังคำดำรัสของอัลลอฮฺ  ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  ที่ว่า

"ดังนั้น  พวกเจ้าทั้งหลายจงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด  เท่าที่พวกเจ้าจะสามารถ ( กระทำได้ )"  ( อัตตะฆอบุน  อายะฮฺที่  16 )

และไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยยืดเวลาการทำละหมาดให้ล่าช้าออกไปจากเวลาของมัน  ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม  ทั้งๆ ที่มีสาเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถทำความสะอาด  หรือขจัดสิ่งสกปรกให้หมดไปได้ก็ตาม

4- ผู้ใดที่ร่างกายบาดเจ็บ  หรือมีบาดแผล  หรือกระดูกแตก  หัก  หรือป่วยไข้  แล้วเกิดมี "ญะนาบะฮฺ" หากเมื่อใช้น้ำทพความสะอาดร่างกายจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยได้  ก็เป็นที่อนุญาตแก่เขา  ให้ทำการ "ตะยัมมุม" ( ใช้ฝุ่นแทนการใช้น้ำ ) ได้  ตามหลักฐานที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น  และถ้าสามารถล้างส่วนที่ไม่บาดเจ็บ  ไม่มีบาดแผลจากร่างกายได้  ก็จำเป็นจะต้องทำการล้าง  แล้วให้ทำการ "ตะยัมมุม"  ในส่วนที่บาดเจ็บนั้น

ไว้มาต่อ  อินชาอัลลอฮฺ   party:

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version