ขอความกรุณาช่วยกันให้รายละเอียดด้วยครับ ตามมัซฮับอีมามชาฟีอีนะครับ
وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
บางคนที่อ้างตนเองตามซุนนะฮ์ มักจะเข้าใจว่า การตามมัซฮับ อิมามอัชชาฟิอีย์ หมายถึง การตามสิ่งที่อิมามชาฟิอีย์ได้ฮุกุ่มเอาไว้แล้วเท่านั้น หากไม่ทำตามที่อิมามชาฟิอีย์ฮุกุ่มบอกเอาไว้ ย่อมไม่ใช่เป็นผู้ตามมัซฮับอิมามชาฟิอีย์ ซึ่งคำกล่าวอย่างนี้ ถือว่าเป็นคำพูดที่ไม่เข้าใจหลักนิติศาสตร์อิสลาม , ไม่เข้าใจการตามมัซฮับ , ไม่เข้าใจหลักวินิจฉัยของบรรดาสะลัฟที่มีมัซฮับเป็นของตนเอง
คำว่า "มัซฮับ" คือ
"มัซฮับตามหลักภาษา หมายถึง ที่ไป หรือ ทางไป ตามหลักวิชาการ หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เกียวกับธรรมเนียมในเชิงปฏิบัติของปวงปราชญ์ที่ถูกนำมาใช้กับฮุกุ่มต่างๆ ที่อิมามในขั้นระดับมุจญฮิดได้วินิจฉัยออกมา หรือ
หมายถึงฮุกุ่มต่างๆ ที่ได้วินิจฉัยออกมาตรงตามกฎเกณฑ์และหลักการของอิมามที่อยู่ในขั้นระดับมุจญฮิด โดยบรรดาสานุศิษย์ที่อยู่ในระดับมุจญฮิดที่ปฏิบัติตามหลักการต่างๆ ของอิมามในการวิเคราะห์วินิจฉัยฮุกุ่มออกมา"
สรุปในประเด็นนี้คือ "การที่เราเอาหลักการต่าง ๆ القواعد ในเชิงการวินิจฉัยของบรรดาอิมามชาฟิอีย์ มาทำการวินิจฉัยตัวบทของศาสนา นั่นย่อมหมายถึงว่า เป็นมัซฮับของอิมามชาฟิอีย์ หรือ เป็นฮุกุ่มที่มาจากกฏเกนฑ์และหลักการวินิจฉัยที่อิมามชาฟิอีย์ได้วางแนวทางเอาไว้ เช่น
1. อัลกุรอาน
2. อัซซุนนะฮ์
3. อิจญฺมาอ์
4. การกิยาส
ท่านอิบนุก๊อยยิม ได้กล่าวคำพูดของอิมามชาฟิอีย์ไว้ว่า
قال يونس بن عبد الأعلى قال لي محمد بن إدريس الشافعي رضي الله عنه الأصل قرآن وسنة فإن لم يكن فقياس عليهما
"ยูนุส บิน อับดุลอะลา กล่าวว่า มุฮัมมัด บิน อิดรีส อัชชาฟิอีย์ (ร.ฏ.) กล่าวว่า "หลักฐานเดิม คือ อัลกุรอานและซุนนะฮ์ ดังนั้น หากไม่มี ก็ให้ทำการกิยาสกับทั้งสอง" ดู หนังสือ อิจญฺมาอ์ อัลญุยูช อิสลามียะฮ์ ของท่านอิบนุก๊อยยิม หน้า 98 ตีพิมพ์ อัลมักตะบะฮ์ อัตเตาฟีกียะฮ์ บรรทัดที่ 6
อิมามอัชชาฟิอีย์(ร.ฏ.) กล่าวว่า
كل ما له مستند من الشرع فليس ببدعة فلو لم يعمل به السلف
"ทุกๆสิ่งที่มีสิ่งที่อิงถึงหลักศาสนา มันย่อมไม่เป็นบิดอะฮ์(ที่ลุ่มหลง) ถึงแม้นว่า สะลัฟไม่เคยปฏิบัติด้วยกับมันก็ตาม" ดู หนังสือ อิตกอน อัลซ๊อนอะฮ์ ฟี ตะหฺกีก มะอฺนา บิดอะฮ์ ของท่าน มุหัดดิษ ชัยค์ อัลฆุมารีย์ หน้า 14 ตีพิพม์ มัตตักอัลกอฮิเราะฮ์ ปี ฮ.ศ. 1426 - ค.ศ. 2005
อิมามอัช-ชาฟิอีย์ (ร.ฏ.) กล่าวว่า
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น มี 2 ประเภท
(1) สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ ที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ คำพูดที่ถูกรายงานมา และอิจญฺมาอ์ สิ่งนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง
(2) สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่จากคุณงามความดี ที่ไม่ขัดกับอันหนึ่งอันใด(ที่กล่าวมาแล้ว)นี้ และนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่โดยไม่ถูกตำหนิ
ท่านอุมัรได้กล่าว เกี่ยวกับ(การรวม)ละหมาดตะรอวิหฺ ว่า
نعمت البدعة هذه
"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"
หมายความว่า"การ(รวมตัว)ละหมาดตะรอวิหฺ(20 ร่อกะอัต)ในคืนร่อมาฏอนนี้ คือสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเมื่อมีการกระทำขึ้นมาแล้ว ก็ไม่เป็นการขัดต่อสิ่งที่กล่าวมา " และสายรายงานนี้ ซอเฮี๊ยะห์ ดู หนังสือ มะนากิบ อัช-ชาฟิอีย์ เล่ม1 หน้า 468 - 469
ท่านอบู นุอัยม์ ได้นำเสนอรายงานอีกสายรายงานหนึ่ง ไว้ในหนังสือ หิลยะตุลเอาลิยาอ์ เล่ม 9 หน้า 113 ว่า "ท่านอิมามอัช-อัชชาฟิอีย์ กล่าวว่า บิดอะฮ์นั้น มี 2 ประเภท คือบิดอะฮ์ที่ถูกสรรเสริญ และบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ ดังนั้น สิ่งที่สอดคล้องกับซุนนะฮ์ ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกสรรเสริญ และสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮ์ ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกตำหนิ และอิมามชาฟิอีย์ ได้อ้างหลักฐานด้วยคำกล่าวของท่านอุมัร(ร.ฏ.) เกี่ยวกับ ละหมาดตะรอวิหฺในเดือนรอมฏอนที่ว่า
نعمت البدعة هذه
"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"
วัลลอฮุอะลัม