หะซัน อัลบันนาและทัศนะต่อซูฟีย์
น่าจะดีถ้าข้าพเจ้าจะได้บันทึกความรู้สึกในใจบางประการลงในบันทึกนี้
เกี่ยวกับตะเซาวุฟและตอรีเกาะต์ โดยจะกล่าวถึงความเป็นมา อิทธิพล แนวโน้ม และการทำอย่างไรให้กลุ่มนี้สร้างสรรค์ประโยชน์แก่สังคมมุสลิม แต่ไม่ใช่งานเชิงวิจัยทางวิชาการ การศึกษาศาสตร์ด้านนี้ในเชิงลึก หากเป็นเพียงการบันทึกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ หรือสิ่งที่โลดแล่น อยู่ในความรู้สึกนึกคิด หากว่าถูกต้องก็มาจากอัลลอฮฺ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ทำไปด้วยความปรารถนาดี การงานทุกอย่าง ล้วนมีเจตนามุ่งสู่อัลลอฮฺ
เมื่อความรุ่งโรจน์แห่งอาณาจักรอิสลามแผ่ขยายออกไปในศตวรรษแรก มีชัยเหนืออาณาจักรน้อยใหญ่ คนในหล้าหันมาสนใจมุสลิม บรรณาการต่างๆ ทยอยมามอบให้กับพวกเขา
ความยิ่งใหญ่นี้ทำให้พวกเขากล่าวกับท้องฟ้าทิศตะวันออกและตะวันตกว่า
หยาดน้ำของท่าน ตกลง ณ แดนใดในหล้า
ผลประโยชน์นานา จะกลับคืนมาสู่เรา
พวกเขาเสพย์สุขกับลาภ ดื่มด่ำในรสชาดและสีสันแห่งชีวิตทางโลก บ้างอยู่ในขอบเขต บ้างเลยเถิด จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม จากความลำบากยากแค้นในยุคของความรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยศาสดา สู่ความหรูหราในยุคหลัง ทำให้นักปราชญ์ในสังคมต้องเรียกร้องสู่ความมักน้อยต่อการเสพย์สุขในสีสันของดุนยา ให้รำลึกถึงสิ่งบันดาลสุขในวันสุดท้ายอันนิรันดร์
บุคคลแรกที่เรียกร้องคือ หะซันอัลบัศรีย์ ครูผู้นำ มีกัลยาณชนมากมายเจริญตามรอยท่าน จึงเกิดเป็นกลุ่มหนึ่งที่รู้จักกันในนามกลุ่มซูฟีย์ ที่เน้นการรำลึกถึงอัลลอฮฺและวันสุดท้าย การถือสันโดษและการฝึกฝนจิตใจในการภักดีต่ออัลลอฮฺ การประกอบศาสนกิจ การรู้จักอัลลอฮฺ และการแสวงหาความพึงพอใจของพระองค์
ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าลักษณะดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งแห่งศาสตร์ที่เป็นสารัตถะแห่งอิสลาม
ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่ามีชาวซูฟีย์ทั่วไป สามารถฝึกฝนและเยียวยาจิตใจ ถึงระดับที่ชนชั้นแนวหน้าของกลุ่มอื่นก็ไม่สามารถกระทำได้
ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า พวกเขาสามารถปฏิบัติจริงให้คนเห็นได้ ทั้งด้านการมุ่งมั่นในการปฏิบัติศาสนกิจ ละทิ้งสิ่งต้องห้าม
ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า กลุ่มซูฟีย์ ตะเซาวุฟและตอรีเกาะต์ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อิสลามเผยแผ่ออกไปสู่ภูมิภาคและดินแดนอันไกลโพ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีของทวีปอัฟริกา และแถบทะเลทรายอันแห้งแล้งของมัน และกรณีของภูมิภาคต่างๆของเอเชีย
ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าการใช้หลักตะเซาวุฟในเรื่องมารยาทและพฤติกรรมมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อใจคน
แม้ว่าหลายต่อหลายครั้งที่พวกเขารับเอาอิทธิพลของสังคมแห่งยุคสมัยเข้าไปด้วยบ้าง เช่น การเลยเถิดในเรื่องการวางเฉย การงดอาหาร การงดนอนกลางคืนและการปลีกวิเวก แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะมีหลักการเดิมของศาสนาอยู่ก็ตาม ศาสนาถูกปนเปด้วยสิ่งแปลกปลอม
สิ่งแปลกปลอมดังกล่าวจึงเข้าไปทำลายสิ่งดีๆเหล่านั้นจนแทบหมดสิ้น
หน้าที่ของนักปฏิรูปคือการครุ่นคิดอย่างยาวนาน ในการเยียวยาความผิดพลาดในกลุ่มชนเหล่านั้น พวกเขามีความอย่างสมบูรณ์ต่อการแก้ไข และน่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่พร้อมจะแก้ไขข้อผิดพลาดมากที่สุด หากได้รับการชี้นำที่ถูกต้อง ซึ่งไม่มากไปกว่าการให้มีนักวิชาการ และดาอีย์ที่มีความรู้และความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ ทำการศึกษาสังคมของพวกเขา แยกแยะสิ่งแปลกปลอมออกไปและนำมรดกทงวิชาการเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์
การประสานพลังทางวิชาการของนักวิชาการ พลังทางจิตใจของกลุ่มซูฟีย์ และพลังกิจกรรมของกลุ่มองค์กรเคลื่อนไหวเพื่ออิสลาม ประชาชาติอิสลามก็จะไร้คู่ต่อกร
ที่มา
http://ghazalimhd.blogspot.com