อันดับแรกเราต้องเข้าใจหลักอะกีดะฮ์ก่อนครับ
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า
وَلَكِن يُؤَاخِذُكُم بِمَا كَسَبَتْ قُلُوبُكُمْ
“แต่พระองค์เอาผิดแก่พวกเจ้า ด้วยเหตุที่หัวใจของพวกเจ้าได้พากเพียรไว้” 2:225
คำว่า “หัวใจพากเพียร” นั้น มิใช่หมายความว่า หัวใจได้กระทำ แต่การพากเพียรที่เป็นหน้าที่ของหัวใจนั้น หมายถึงหัวใจได้มีความตั้งใจ เจตนา เลือกเฟ้นที่จะกระทำ เพราะอัลเลาะฮ์ได้ทรงมอบสิทธิพิเศษให้มนุษย์ได้ใช้สติปัญญาหรือหัวใจเลือกกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยมีหลักศาสนา(หลักชาเราะอฺ)มาควบคุม ดังนั้นหากเราเจตนาทำดี ก็ได้รับการตอบแทนที่ดี และหากเราเจตนาชั่วและลงมือกระทำขัดกับหลักศาสนา ก็จะได้รับการลงโทษ เฉพาะนั้นการเลือกเฟ้นและเจตนาของหัวใจนี่แหละที่เป็นตัวกำหนดของผลบุญและโทษ
สรุปตรงนี้ คือ มนุษย์ถูกให้สิทธิในการเลือกเฟ้นตัดสินใจที่กระทำสิ่งต่าง ๆ ได้ (โดยมีหลักศาสนามาควบคุม)
ส่วนการกระทำและผลการกระทำที่เกิดขึ้นนั้น อัลเลาะฮ์ผู้ทรงสร้างมันขึ้นอยู่บนครรลองที่พระองค์ได้วางไว้ให้แก่มนุษย์และมัคโลคทั้งหลาย ดังนั้น การกระทำของเราอัลเลาะฮ์องค์เดียวเท่านั้นผู้ทรงสร้าง กล่าวคือ หากเราเคลื่อนไหว ด้วยการนั่ง เดิน ทำงาน ทำอิบาดะฮ์ละหมาดด้วยการเคลื่อนไหวท่วงท่าต่าง ๆ นั้น ได้เป็นไปด้วยการมีอวัยวะและพละกำลังให้เกิดการกระทำขึ้นด้วยการสร้างและด้วยกุดเราะฮ์ของอัลเลาะฮ์ตะอาลา ที่ทรงทำให้มันเกิดขึ้น
เพราะอัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า
وَاللَّهُ خَلَقَكُمْ وَمَا تَعْمَلُونَ
“และอัลเลาะฮ์ทรงสร้างพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านได้กระทำขึ้น” อัซซอฟฟาต 96
ขอยกตัวอย่างเรื่องการละหมาด
การมีเจตนาตั้งใจทำละหมาดซุฮ์ริ 4 รอกะอัต
1. เราตั้งใจละหมาด แสดงว่าหัวใจเราได้พากเพียรแล้ว คือเราเจตนากระทำตามสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญญติใช้ในเรื่องละหมาด ซึ่งความตั้งใจตรงนี้ ถือว่าเราได้ผลบุญ ไม่ใช่หมายความว่าท่วงท่าที่เราละหมาด เช่น การยืน , การก้ม , การสุยูด ,นั้นทำให้ได้ผลบุญนะครับ เพราะถ้าหาก การยืน , การก้ม , การสุยูด , ทำให้ได้ผลบุญแล้ว แน่นอนว่า คนที่มีจิตใจโอ้อวด(ริยาอฺ)ในการละหมาด ก็ได้ผลบุญด้วยเช่นกัน แต่ตามหลักศาสนาถือว่าการกระทำที่โอ้อวดถือว่าไม่ได้ผลบุญ
2. การละหมาดต้องมีการกระทำของร่างกาย เช่น ยืนตรง , กุ้มโค้งร่อกั๊วะอฺ , เงยขึ้นมา , ก้มลงสุยูด , นั่ง , ซึ่งการกระทำของอวัยวะร่างกายและพละกำลังที่ทำให้เกิดการกระทำท่วงท่าในละหมาดเหล่านี้ อัลเลาะฮ์เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาให้มันเป็นไปด้วยเดชานุภาพของพระองค์ ดังนั้นเราจะเห็นว่าคนชรายืนละหมาดไม่ไหวทั้งที่เขาก็มีสองขา ซึ่งการที่คนชรายืนไม่ไหวนั้น เพราะอัลเลาะฮ์ไม่ทรงสร้างด้วยกุดเราะฮ์(เดชานุภาพของพระองค์)ให้คนชรามีความสามารถยืนละหมาดได้
ดังนั้น ผู้ให้ยืนละหมาดได้ ให้ก้มสุยูดได้นั้น คืออัลเลาะฮ์องค์เดียวเท่านั้นคือผู้สร้างมันขึ้นมาเพื่อให้ผู้ละหมาดจึงสามารถเคลื่อนไหวท่วงท่าต่าง ๆ ในละหมาดได้ นี่แหละที่อัลเลาะฮ์ตรัสว่า
“และอัลเลาะฮ์ทรงสร้างพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านได้กระทำขึ้น” อัซซอฟฟาต 96
และสิ่งที่ได้กล่าวนี้ เราก็จะเข้าใจคำพูดที่ว่า توحيد الأفعال “ความเอกะในการกระทำ(สรรสร้าง)” คือ อัลเลาะฮ์ทรงเอกะในการสรรสร้างแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น หากเราอ้างว่ามีผู้อื่นกระทำด้วยนั้น ถือว่า ชิริก ภาคีต่ออัลเลาะฮ์ในการสรรสร้าง
ส่วนคำพูดของคนทั่วไปที่ว่า “ฉันได้ทำอย่างนั้น ฉันได้ทำอย่างนี้ เขาได้ทำสิ่งนั้น เขาได้ทำสิ่งนี้ เป็นต้น นั้น” เป็นคำพูดในเชิงปกติวิสัย (หลักอาดัต) ธรรมดาทั่วไป และถือว่าเป็นคำพูดแบบ มะญาซฺ المجاز พูดแบบอ้อม ๆ ไม่ใช่ความหมายแท้ แต่หากเราได้พูดพร้อมกับเอี๊ยะอฺติก็อตยึดมั่นว่า เราได้กระทำ และเราก็สร้างการกระทำนั้นขึ้นมาโดยมิใช่อัลเลาะฮ์เป็นผู้สร้างการทำนั้น ถือว่าเขาตั้งภาคี (ชิรก) ต่ออัลเลาะฮ์เสียแล้ว
เรามาดูอายะฮ์ที่อยู่ในประเด็น คือ
อัลเลาะฮ์ตะอาลา ทรงตรัสความว่า
وَمَا رَمَيْتَ إِذْ رَمَيْتَ وَلَـكِنَّ اللّهَ رَمَى
“และเจ้าไม่ได้ขว้าง เมื่อขณะที่เจ้าขว้างนั้น แต่อัลเลาะฮ์ต่างหากที่ทำการขว้าง” อัลอัมฟาล 17
หมายถึง ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีเจตนาตั้งใจในการขว้างทรายออกไปเพื่อใส่หน้าศัตรูในสงครามบะดัร แต่การกระทำที่อยู่ในความหมายที่ว่า “ขว้างออกไป” นั้น อัลเลาะฮ์เป็นผู้สร้างมันด้วยกุดเราะฮ์(เดชานุภาพ)ของพระองค์ให้ท่านนบีมีความสามารถข้างทรายนั้นไปยังใบหน้าของศัตรูได้ ดังนั้นผู้สร้างการกระทำ (การขว้าง) ที่แท้จริง คืออัลเลาะฮ์ตะอาลา
ฉะนั้น ความหมายของอายะฮ์นี้ก็คือ เจ้ามิได้ขว้างด้วยพลังของเจ้า ในขณะที่เจ้าได้ขว้างหรอก แต่ด้วยพลังของอัลเลาะฮ์ต่างหากที่ท่านสามารถขว้างไปได้ (ตัฟซีรกุรตุบีย์ได้อธิบายไว้เฉกเช่นนี้แหละครับ)
วัลลอฮุอะลัม