بسم الله الرحمن الرحيم
แนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์เกี่ยวกับซีฟาตของท่านอิมามอัลฮะซันอัลบันนา
ท่านอิมาม ผู้อาวุโส ท่านอัลฮะซัน บุตร อะห์มัด บุตร อับดุรเราะห์มาน อัลบันนา อัซซาอะตีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอะกออิด ของท่าน ในหน้าที่ 74 ตีพิมพ์ที่อัลอิตติฮาดอัลอิสลามีย์ ฮ.ศ. 1404 ดังมีเนื้อความดังนี้ :
แท้จริงข้าพเจ้าได้รู้ว่า มัซฮับสะลัฟเกี่ยวกับบรรดาอายะฮ์มุตะชาบิฮาต (อายะฮ์ที่มีความหมายคลุมเครือหลายนัย)และบรรดาฮะดิษที่เกี่ยวข้องกับบรรดาคุณลักษณะ(ซีฟัต)ของอัลเลาะฮ์ตะอาลานั้น คือให้อ่านผ่านมันไปตามที่มันได้มีระบุมา และพวกเขาก็ทำการนิ่งจากการอธิบาย(ตัฟซีร)และตีความ(ตะวีล) และมัซฮับค่อลัฟนั้น พวกเขาจะทำการตีความด้วยกับความหมายที่สอดคล้องกับความบริสุทธิ์ของอัลเลาะฮ์ตะอาลาจากการไปคล้ายคลึงกับมัคโลค และข้าพเจ้าได้ทราบมาว่าการขัดแย้งระหว่างสองแนวทางนี้ได้มีความรุนแรงจนกระทั่งจนพาไปสู่การตั้งฉายาในเชิงแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย
การชี้แจงสิ่งดังกล่าวนั้น มีหลายมุมมองด้วยกัน คือ :1. ทั้งสะลัฟและค่อลัฟนั้นมีความสอดคล้องกันบนความบริสุทธิ์ของอัลเลาะฮ์ตะอาลาจากการมีคุณลักษณะคล้ายคลึงกับมัคโลค
2. ทุกกลุ่มจากทั้งสองนั้น มีความเด็ดขาดว่า จุดมุ่งหมายจากบรรดาถ้อยคำต่าง ๆ ของตัวบทที่เกี่ยวกับ(คุณลักษณะของ)อัลเลาะฮ์ตะอาลานั้น ไม่ใช่อยู่บนความหมายแบบผิวเผินที่ถูกนำมาใช้กับบรรดามัคโลค และผลสืบเนื่องจากสิ่งดังกล่าวคือ ทั้งสองกลุ่มมีความสอดคล้องต่อการปฏิเสธความคล้ายคลึงในคุณลักษณะ(ซีฟัตของ)อัลเลาะฮ์ที่มีต่อมัคโลค
3. ทุกกลุ่มจากทั้งสองนั้น ต่างรู้ว่า บรรดาถ้อยคำได้ถูกวางขึ้นมาตามหลักภาษาอาหรับเพื่อสื่อสำนวนที่แสดงออกมาจากสิ่งที่คุ่นคิดอยู่ในจิตใจหรือเกิดขึ้นภายใต้บรรดาสัมผัส(ทั้ง 5) จากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของภาษาหรือผู้วางหลักภาษาขึ้นมา และบรรดาภาษานั้น ไม่ว่าจะกว้างขวางเพียงใด ก็ไม่สามารถรับรู้อย่างครอบคลุมได้ด้วยกับสิ่งที่เจ้าของภาษาเองก็ไม่สามารถรู้แก่นแท้ของมัน และแก่นแท้ของสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอัลเลาะฮ์ตะอาลานั้น ก็อยู่ในขอบข่ายนี้ (คือไม่สามารถรอบรู้ถึงแก่นแท้มันได้) ดังนั้นหลักภาษาจึงมีความบกพร่องเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เราทราบถึงบรรดาถ้อยคำที่บ่งชี้ถึงแก่นแท้ต่าง ๆ เหล่านี้ เพราะฉะนั้นการกล่าวตามอำเภอใจในการจำกัดความหมายต่าง ๆ ของถ้อยคำเหล่านี้ (คือถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ตะอาลา) ย่อมเป็นความเสี่ยง
เมื่อได้รับการยืนยันดังนี้ แน่นอนว่าสะลัฟและคอลัฟนั้นมีความสอดคล้องกันในรากฐานของการตะวีล(ตีความ) แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นจำกัดอยู่ในกรณีที่ คอลัฟนั้นเพิ่มการจำกัดความหมายที่ต้องการ โดยที่ความจำเป็นจากการยืนยันความบริสุทธิ์ของอัลเลาะฮ์(จากคุณลักษณะที่คล้ายคลึงกับมัคโลคนั้น)ทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาสิ่งดังกล่าว เพื่อรักษาไว้ซึ่งอะกีดะฮ์ของคนเอาวามจากความคลุมเครือของการยืนยันความคล้ายคลึงระหว่างคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ที่มีต่อมัคโลค และมันก็เป็นการขัดแย้งที่มิได้เป็นความสับสนวุ่นวายและตกอยู่ในความยากลำบากเลย
การให้น้ำหนักแนวทางสะลัฟเราเชื่อว่าทัศนะของสะลัฟจากการหยุดนิ่งและมอบหมายการรู้บรรดาความหมายต่าง ๆ เหล่านี้ (คือความหมายของอายะฮ์ต่าง ๆ ที่มีความหมายหลายนัย ที่พูดเกี่ยวกับซีฟัตของอัลเลาะฮ์) ไปยังอัลเลาะฮ์ตะอาลา ถือว่าปลอดภัยและสมควรยิ่งแก่การเจริญรอยตาม เพื่อตัดเรื่องการตะวีล(ตีความ)และการตะอฺตีล(ปฏิเสธคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์)
และแท้จริงนักปราชญ์ที่ยึดทัศนะสะลัฟอย่างยิ่งยวดนั้น ต้องพึ่งพาการตะวีล(ตีความ)ในหลายสถานที่ด้วยกัน เขาคือ อิมามอะห์มัด บิน ฮัมบัล ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งจากสิ่งดังกล่าวก็คือท่านอะห์มัดได้ทำการตะวีล(ตีความ) ฮะดิษที่ว่า “หินดำอยู่ข้างขวาของอลเลาะฮ์บนผืนแผ่นดินของพระองค์” และคำกล่าวของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม “หัวใจของผู้ศรัทธานั้นอยู่ระหว่างสองนิ้วจากบรรดานิ้วของอัลเลาะฮ์ผู้ปราณี” และคำกล่าวของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่ว่า “ฉันพบว่าลมหายใจของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงปราณีนั้นมาจากด้านเยเมน”
“ฉันได้เห็นอิมามอันนะวาวีย์ ร่อฏอยัลลอฮุอันฮุ กล่าวสิ่งที่ทำให้ทราบถึงความใกล้เคียงระหว่างการความแตกต่างทั้งสองทัศนะความเห็นนี้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ได้ทิ้งให้มีขอบข่ายใด ๆ ที่จะโต้แย้งหรือถกเถียงกันเลย
ท่านอัรรอซีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อะซาซุดตักดีซ” ของท่านความว่า “
หากเราอนุญาตให้ทำการตะวีล(ตีความ) เราก็จะเสียสละกระทำการกล่าวการตะวีลตัวบทต่าง ๆ แบบรายละเอียด และหากเราไม่อนุญาตทำการตีความ เราก็จะทำการมอบหมายความรู้ไปยังอัลเลาะฮ์ตะอาลา นี้คือกฎโดยรวมที่ถูกหวนกลับไปยังตัวบทต่าง ๆ ที่มีถ้อยคำหลายนัย และด้วยอัลเลาะฮ์นั้น ทรงชี้นำทาง”
บทสรุปการวิเคราะห์นี้ คือสะลัฟและคอลัฟนั้นมีความสอดคล้องกันว่า จุดมุ่งหมาย(จากถ้อยคำหลายนัยที่เกี่ยกับซีฟัตของอัลเลาะฮ์นั้น) ไม่ใช่ความหมายแบบผิวเผินอันเป็นที่รู้กันระหว่างมัคโลคทั้งหลาย ซึ่งมันคือการตะวีล(ตีความ)แบบสรุป และเช่นเดียวกับสิ่งดังกล่าว คือทั้งสองแนวทางมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ทุก ๆ การตะวีล(ตีความ)ที่ค้านกับหลักพื้นฐานของศาสนานั้น ไม่เป็นที่อนุญาต และความแตกต่างนั้นจำกัดอยู่ในการตะวีลบรรดาถ้อยคำด้วยกับสิ่งที่ศาสนาอนุญาต ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สะดวกง่ายดายเฉกเช่นที่ท่านเห็น และสะลัฟบางส่วนเองนั้นก็จำเป็นต้องพึงพาการตะวีล และที่สำคัญยิ่งจากสิ่งที่ปณิธานของบรรดามุสลิมีนในปัจจุบันนี้คือมีความเป็นเอกภาพและรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเท่าที่เราสามารถจะกระทำได้ และพระองค์(เพียงองค์เดียว) เป็นความเพียงพอแก่เราแล้ว และทรงเป็นที่มอบหมายที่เยี่ยมยอดที่สุด”
والله سبحانه وتعالي أعلي وأعلم