ผู้เขียน หัวข้อ: ปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ห่างไกลจากแนวทางที่ถูกต้อง  (อ่าน 4298 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

ปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ห่างไกลจากแนวทางที่ถูกต้อง


ขณะที่ระยะทางของยุคสมัยและกาลเวลาระหว่างผู้คนกับแนวทางของบรรดาซอฮาบะฮ์มีความห่างไกล  และเมื่อการเจริญรอยตามของผู้คนด้วยกับรัศมีแห่งทางนำของท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้แผ่วเบาลง  บรรดาสิ่งที่คลุมเคลือสงสัยจึงเข้ามามีอิทธิพลต่อพวกเขา  โดยที่ผู้คนบางส่วนได้ทำการจินตนาการพระเจ้าของเขาอยู่บนรูปลักษณ์ของมนุษย์  เสมือนกับที่เขาและชัยฏอนของเขาได้ทำการจินตนาการอย่างนั้น  บรรดามนุษย์ได้มีความขัดแย้งเกี่ยวกับประการต่างๆ  เหล่านี้  เนื่องจากว่าพวกเขาได้อยู่ร่วมปะปนกับชาวเมืองที่อิสลามยึดครองอยู่  เช่น  พวกมุญูซีย์(พวกบูชาไฟ)ในเปอร์เซีย  พวกฮินดู  และกลุ่มชนอื่นๆ  โดยที่พวกยาฮูดี  พวกนาซอรอ  และกลุ่มศาสนาอื่นๆ ต่างก็ตระหนักถึงความเชื่อของพวกเขาดี  และพวกเขาก็ทำการแทรกซึมให้เข้ามาอยู่ในความคิดของบรรดามุสลิมีนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์  จนกระทั่งมันกลายเป็นความเชื่อของกลุ่มหนึ่งจากบรรดามุสลิมีน

ดังนั้น  ในขณะที่สะลัฟจากบรรดานักหะดิษได้เห็นถึงสถานภาพต่างๆ เหล่านี้  พวกเขาจึงสับสนในการบอกยืนยันเกี่ยวกับมัซฮับของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่เกี่ยวกับบรรดาอายะฮ์อัลกุรอานและหะดิษของท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่มีความหมายไม่ชัดเจน(มุชตะบิฮาด)  ดังนั้น  ท่านอิมามอะหฺมัด  ท่านดาวูด อัซฺซฺอฮิรีย์  และกลุ่มหนึ่งจากบรรดานักปราชญ์สะลัฟ  ได้ดำเนินตามแนวทางของสะลัฟรุ่นก่อนจากพวกเขาจากนักปราชญ์หะดิษ  เช่น  ท่านอิมามมาลิก  แล้วพวกเขาก็ดำเนินอยู่บนแนวทางที่ปลอดภัย  ดังนั้น  เมื่อเป็นเช่นนี้  พวกเขาจึงกล่าวว่า  เราศรัทธาด้วยสิ่งที่อัลเลาะฮ์และซุนนะฮ์ระบุมา  โดยเราไม่ทำการตีความ(ตะวีล) คือ หลังจากที่เรารู้อย่างมั่นใจว่า  อัลเลาะฮ์ไม่ทรงเหมือนและคล้ายคลึงกับสิ่งใดจากบรรดาสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาและมั่นใจว่า  ทุกๆ  สิ่งที่เกิดขึ้นในความนึกคิดของเรานั้น  อัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ ฯ ทรงสร้างและกำหนดมันขึ้นมาและไม่ใช่เป็นคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ 

และดังกล่าวทั้งหมดนี้  คือสิ่งที่ท่าน อัชชะฮ์ร๊อสตานีย์ได้กล่าวไว้  โดยที่ท่านอัชชะฮ์ร๊อสตานีย์  ได้กล่าวว่า "บรรดาสะลัฟนั้น  พวกเขาต่างระวังจากการตัชบีหฺ(การเชื่อคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์โดยคล้ายคลึงกับมัคโลค)อย่างที่สุด  โดยที่พวกเขากล่าวว่า  ผู้ที่เคลื่อนไหวมือของเขาในขณะที่อ่านอายะฮ์ที่ว่า ( خلقت بيده )  หรือชี้ด้วยนิ้วของเขาในขระที่เขารายงานหะดิษที่ว่า " قلب المؤمن بين أصبعين من أصابع الرحمن " นั้น  ก็จำเป็นที่จะต้องตัดมือหรือถอดนิ้วของเขา  และพวกเขายังกล่าวอีกว่า  การที่เราได้หยุดการอธิบายหรือการตีความอายะฮ์อัลกุรอานนั้น  เนื่องจาก 2  ประการ

1. การห้ามที่ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอานที่ว่า

فأما الذين فى قلوبهم زيغ فيتبعون ما تشابه منه ابتغاء الفتنة وابتغاء تأويله وما يعلم تأويله إلا الله والراسخون فى العلم يقولون أمنا به كل من عند ربنا

"พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า โดยที่ส่วนหนึ่งจากคัมภีร์นั้นมีบรรดาโฮงการที่มีข้อความรัดกุมชัดเจน  ซึ่งโองการเหล่านั้น คือรากฐานของคัมภีร์  และมีโองการอื่น ไ อีกที่มีข้อความเป็นนัย  ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีการเอนเอียงออกจากความจริงนั้น เขาจะติดตามโองการที่มีข้อความเป็นนัยจากคัมภีร์ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย  และเพื่อแสวงหาการตีความในโองการนั้น  และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศรัทธาต่อโองการนั้น ทั้งหมดนั้นมาจากที่ที่พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งสิ้น" อาละอิมรอน 7

ดังนั้น  พวกเราจึงระวังจากการตีความ

2. การตีความนั้น  เป็นเรื่องที่คาดการว่าถูก(ไม่ยะเกน) โดยความเห็นเอกฉันท์  และการกล่าวเกี่ยวกับคุณลักษณะ(ซีฟาต)ของอัลเลาะฮ์ด้วยการคาดว่าถูกนั้น  ก็ไม่เป็นสิ่งที่อนุญาต  เพราะบางครั้งเราอาจจะตีความโดยไม่อยู่บนจุดมุ่งหมายของอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ ฯ  เราก็จะตกอยู่ในความไม่ถูกต้อง  แต่เราขอกล่าวเหมือนกับบรรดาผู้ทรงความรู้กล่าวว่า "ทั้งหมดนั้นมาจากพระผู้อภิบาลของเรา"  เราศรัทธาด้วยกับสิ่งที่ถูกกล่าวไว้อย่างชัดเจน  และเราเชื่อด้วยสิ่งที่ล้ำลึกของมัน  และเราก็มอบหมายความรู้นั้นไปยังกับอัลเลาะฮ์  ซุบหานะฮ์ ฯ  โดยที่เราไม่ได้ถูกบัญญัติให้รับรู้สิ่งดังกล่าว  เนื่องจากมันไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของบรรดาเงื่อนไขและองค์ประกอบของอิหม่าน

ท่านอัชชะฮ์ร๊อสตานีย์กล่าวอีกว่า  "สะลัฟบางส่วนได้มีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง  จนกระทั้งพวกเขาไม่เคยกล่าวคำว่า اليد เป็นภาษาเปอร์เซียเลย ( คือหากเป็นคนไทยก็ไม่เคยกล่าวเป็นภาษาไทยว่า "มือ") ไม่เคยกล่าวคำว่า وجه(พระพักตร์)  คำว่า الإستواء และซีฟัตที่เหมือนกับสิ่งดังกล่าวเป็นภาษาเปอร์เซียเลย  ซึ่งหากพวกเขาจะกล่าวด้วยสำนวนหนึ่ง พวกเขาก็จะทำการกล่าวมันด้วยคำต่อคำ(ทับศัพท์)  และนี้ก็คือหนทางที่ปลอดภัย  และอัลเลาะฮ์  ก็ไม่คล้ายคลึงกับสิ่งใดเลย" ดู หนังสือ  อัลมิลัล วะ อันนิหัล  เล่ม 1 หน้า 118 - 119 ตีพิมพ์ดารุลมะริฟะฮ์  เบรุต

ท่านผู้อ่านที่เคารพ  ท่านโปรดพิจารณาหลักการข้างต้นซิครับ  ซึ่งมันชี้ถึงความปารถนาของสะละฟุศศอลิหฺ  ในการสนองคำบัญชาของอัลเลาะฮ์  ซุบหานะฮ์ ฯ  กับการที่พวกเขามีความระมัดระวัง  เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในความผิดพลาด  ท่านอิมามอะหฺมัดได้กล่าวไว้ในขณะที่ท่านถูกถามเกี่ยวกับบรรดาหะดิษซิฟาตว่า

نؤمن بها ونصدق بها ولا كيف ولا معنى

?เราศรัทธาและยอมรับด้วยกับมัน โดยที่ไม่มีวิธีการว่าเป็นอย่างไร และความหมาย (หมายถึงมอบหมายวิธีการและความหมาย) "  ดู ลุมอะฮ์ อัลเอี๊ยะติก๊อต หน้า 3

 ท่านอิมามอัตติรมีซีย์  ได้กล่าวไว้ใน  สุนันของท่าน เล่ม 4 หน้า 692  ว่า "แนวทางเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น  ตามทัศนะของนักปราชญ์  อย่างเช่น  ท่านซุฟยาน อัษเษารีย์ , อิมามมาลิกบินอะนัส , ท่านอิบนุมุบาร๊อก , ท่านอิบนุอุยัยนะฮ์ , ท่านวะเกี๊ยะอฺ , และคนอื่นๆ   ได้ทำการรายงานสิ่งดังกล่าว  แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า "บรรดาหะดิษเหล่านี้  ได้ถูกรายงานมา  และเราขอศรัทธาด้วยกับมัน  โดยไม่กล่าวถามว่ามันเป็นอย่างไร?"  นี้คือสิ่งที่นักหะดิษได้เลือกทำการรายงานหะดิษต่างๆ เหล่านี้เหมือนกับที่มันได้ระบุมา และทำการเชื่อศรัทธาด้วยกับมัน  โดยไม่มีการอธิบาย  และไม่มีการสงสัย  ไม่มีการกล่าวว่ามันเป็นอย่างไร  และนี้ก็คือ  การงานของอุลามาอ์ที่พวกเขาเลือกและได้ให้ทัศนะไว้"

ท่านผู้อ่านครับ  นี่คือมัซฮับแนวทางของสะลัฟ  (ร่อหิมะฮุมุลเลาะฮ์) ซึ่งพวกเขาได้ทำการมอบหมายกับ "ความหมาย"  โดยไม่ทำการอธิบาย , และแนวทางใหนล่ะครับ  ที่ทำการอธิบาย  พาดพิงไปยังอัลเลาะฮ์กับการมีมือที่เป็นอวัยวะ , การอิสติวาอ์ คือ การนั่ง  สถิต  สัมผัสกับบัลลังก์ , พระองค์มีซีฟัต (نزول) ที่อยู่ในความหมายการลงมา  โดยมีการเคลื่อนไหว  เคลื่อนย้าย  และอื่นๆ  อีกจากบรรดาความนึกคิดและจินตนาการ (แล้วบอกเอาใจคนเอาวามว่า ไม่รู้วิธีการเป็นอย่างไร?)   เพราะฉะนั้น  สิ่งดังกล่าวนี้หรือ? ที่เป็นเป้าหมายของสะละฟุศศอลิหฺ  ทั้งที่พวกเขากล่าวว่า "พวกท่านจงผ่านมันไป  เสมือนกับที่มันได้มีระบุมาโดยไม่ต้องอธิบาย"  ฉะนั้น  บรรดาสะละฟุศศอลิหฺท่านใหนบ้างหรือ? ที่ยืนยันคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์เหมือนกับคุณลักษณะของมนุษย์  ทั้งที่บรรดาสะลัฟที่ทำการมอบหมายความรู้เกี่ยวกับบรรดาอายะฮ์มุตะชาบิฮาด(ที่มีความหมายเป็นนัย)ทั้งหมดไปยังอัลเลาะฮ์  ซุบหานะฮ์ ฯ พร้อมกับยืนยันในความบริสุทธิ์ของพระองค์   ซึ่งสิ่งดังกล่าวนั้น  ไม่ใช่เป็นการอธิบายตามแนวทางของผู้ที่อ้างตัวเองว่าอยู่ในแนวทางของสะละฟุศศอลิหฺ(ในปัจจุบัน)  พวกเขาที่อ้างตัวเองโดยได้สร้างความสงสัยเคลือบแคลงอันน่าสะพรึงกลัวแก่คนทั่วไป  และพวกเขาก็ได้พูดออกมาด้วยถ้อยคำต่างๆ  ที่ผู้คนทั่วไปไม่เข้าใจความหมายของมัน  และพวกเขาก็ออกมาฟัตวาชี้ขาดกับผู้คนทั้งหลาย  แล้วพวกเขาก็ลุ่มหลงและทำให้ผู้อื่นลุ่มหลงไปด้วย

และเป็นไปได้อย่างไร?  ที่สะลัฟถูกยืนยันว่า  พวกเขาเป็นพวกมุชับบิฮะฮ์ที่เป็นพวกยืนยันการมีทิศ มีสถานที่ขอบเขตจำกัด  มีการเคลื่อนไหว  และมีที่อยู่ให้กับอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์    ท่านชัยค์  อัลลามะฮ์  อิบนุ ญะฮ์บัล  กล่าวว่า "มัซฮับสะลัฟนั้นคือ  การยอมรับในความเอกกะและความบริสุทธิ์โดยไม่คิดว่าอัลเลาะฮ์เป็นตัวตนหรือคล้ายคลึงกับมัคโลค (ตัชบีฮ์)  และพวกบิดอะฮ์ที่อ้างตนเองว่าอยู่บนแนวทางของสะลัฟ  คือ

وكل يدعون وصال ليلى    وليلى لا تقر بذاكا

"ทั้งหมดอ้างว่ามีความผูกพันกับไลลา   โดยที่ไลลาไม่ยอมรับด้วยกับดังกล่าว"

และเป็นไปได้อย่างไร? ที่สะลัฟจะเชื่อมั่นกับการตัชบีฮ์  หรือนิ่งเฉยในขณะที่เกิดบิดอะฮ์ต่างๆ ขึ้นมา  ทั้งที่อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า

ولا تلبسوا الحق بالباطل وتكتموا الحق وأنتم تعلمون

"และพวกเจ้าทั้งหลาย  อย่าได้นำสิ่งที่โมฆะผสานกับสัจจะ(เป็นอันขาด) และพวกเจ้าอย่าปิดบังความจริง  ทั้งที่พวกเจ้าก็รู้ดี"

وإذا أخذ الله ميثاق الذين أوتوا الكتاب لتبيننه للناس ولا تكتمونه

"และ(จงระลึกถึง)เมื่อครั้งที่อัลเลาะฮ์ทรงเอาสัญญา  แก่บรรดาผู้ถูกประทานคัมภีร์ว่า "พวกเจ้าทั้งหลายจะต้องเปิดเผยคัมภีร์นั้นแก่มวลมนุษย์และพวกเจ้าอย่าได้ปกปิดมัน"

لتبين للناس ما نزل إليهم

"เพื่อเจ้าได้ชี้แจงแก่มวลมนุษย์ในสิ่งที่ถูกบัญญัติแก่พวกเขา"   ดู  อัฏเฏาะบะก๊อต อัลกุบรอ  เล่ม 9 หน้า 34  ของท่านชัยคุลอิสลาม อัศศุบกีย์

ท่านอิมาม อบูญะฟัร อัฏเฏาะหาวีย์  ได้กล่าวไว้ในอากิดะฮ์อัฏเฏาะหาวียะฮ์ของท่านว่า

إن الله واحد لا شريك له ولا شىء مثله ولا شىء يعجزه ولا إله غيره قديم بلا إبتداء دائم بلا إنتهاء لا يفنى ولا يبيد ولا يكون الأ ما يريد، ولا تبلغه الأوهام ولا تدركه الأفهام ولا تشبهه الأنام

"แท้จริงอัลเลาะฮ์นั้น  ทางเอกะ  ไม่มีภาคีให้กับพระองค์  และไม่มีสิ่งใดเหมือนกับพระองค์  และไม่มีสิ่งใดที่ทำให้อ่อนแอกับพระองค์  และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์  พระองค์ทรงมีมาตั้งแต่เดิม  โดยไม่มีจุดเริ่มต้น  ทรงถาวรโดยไม่มีที่สิ้นสุด  เพราะองค์ไม่ทรงเสียหายและไม่ทรงสูญสลวย  และไม่มีสิ่งได้นอกจากด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ , บรรดาความนึกคิดย่อมไปไม่ถึงกับพระองค์  บรรดาความเข้าใจไม่สามารถรับรู้กับพระองค์ได้  และบรรดามัคโลคไม่คล้ายคลึงกับพระองค์"

ดังนั้น  ท่านผู้อ่านโปรดพิจารณาคำของบรรดานักปราชน์ที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้น  และท่านจงสำรวจตนเองว่า  ท่านได้จินตนาการรูปแบบที่เฉพาะให้กับอัลเลาะฮ์หรือไม่?  ท่านกำลังจินตนาการว่าพระองค์ทรงมีรูปร่างที่ใหญ่หรือขนาดเล็กหรือไม่?  ท่านกำลังจินตนาการว่าพระองค์ทรงมีรูปแบบที่เฉพาะเหมือนกับมนุษย์หรือใหญ่กว่าเหมือนกับพวกอัลมุชับบิฮะฮ์กล่าวไว้หรือไม่?  ท่านกำลังจินตนาการกับพระองค์ว่า  พระองค์ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์เหมือนกับการนั่งของมนุษย์หรือไม่?  ท่านกำลังคิดว่า  พระองค์ทรงนั่งโดยสัมผัสกับบัลลังก์หรือไม่?  หรือว่าพระองค์กับบัลลังก์มีระยาทางที่ห่างกัน?  ท่านกำลังคิดว่า  อัลเลาะฮ์ทรงใกล้ชิดกับบ่าวของพระองค์  โดยใกล้แบบสถานที่  จนกระทั่งเราสามารถจำกัดได้ว่าพระองค์ทรงอยู่ในสถานที่หนึ่งหรือในทิศใดทิศหนึ่ง

ผู้อ่านที่เคารพครับ  ท่านโปรดจงสำรวจตนเอง  โดยอย่าไปหลงเชื่อบรรดาคำกล่าวอ้างที่บางกลุ่มที่ชอบนำมากล่าวกัน  ซึ่งเป็นคำที่ไม่เข้าใจความหมาย  เช่นอัลเลาะฮ์ทรงนั่ง  อัลเลาะฮ์มีทิศ  อัลเลาะฮ์ทรงมีสถานที่หนึ่ง  อัลเลาะฮ์อยู่บนฟ้า  อัลเลาะฮ์ทรงเคลื่อนไหว  ทรงเคลื่อนย้ายจากด้านบนสู่ด้านล่าง  ซึ่งถ้อยคำความเชื่อเหล่านี้  ท่านจงสลัดมันให้ออกไปจากจิตใจของท่าน  และจงรีบขออภัยโทษต่ออัลเลาะฮ์  ซุบหานะฮ์ ฯ  และจงกล่าวและจงยึดมั่นว่า

ليس كمثله شىء وهو السميع البصير

"พระองค์ทรงไม่คล้ายเหมือนกับสิ่งใด  และพระองค์ทรงได้ยินและทรงเห็นยิ่ง"

 พวกท่านก็อย่าจินตนาการไป  เพียงแค่คำกล่าวอ้างที่ว่า "พวกเราคือสะละฟีย์  ผมเจริญรอยตามสะลัฟ"  จะทำให้พวกท่านรอดพ้นปลอดภัย  เนื่องจากสะลัฟจริงๆ นั้น  พวกเขาไม่มีอากิดะฮ์ที่เสื่อมเสียอย่างนี้  โดยที่พวกเขาไม่เคยเปรียบเทียบคล้ายอัลเลาะฮ์กับมัคโลคด้วยกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย   และสะลัฟของประชาชาติอิสลามในยุคศตวรรษแรกนั้น  พวกเขาไม่เคยกล่าวว่า "อุลามาอ์แห่งโลกอิสลามส่วนมากเป็นผู้ที่มีอากิดะฮ์บิดอะฮ์และทำบิดอะฮ์"!!! หรือว่าอุลามาอ์แห่งโลกอิสลามส่วนมากที่ทำการถ่ายทอดหลักการของอิสลามแต่ละยุคแต่ละสมัยจากอุลามาอ์ฟิกห์  อุลามาอ์ตัฟซีร  อุลามาอ์ลูเฆาะฮ์และอุลามาอ์วิทยาการสาขาอื่นๆ เป็นผู้ที่มีอากิดะฮ์บิดอะฮ์และทำบิดอะฮ์  โดยที่กลุ่มสะละฟีย์เท่านั้นคืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  ความรู้ของพวกท่านหรือที่จะมาเทียบความรู้ของพวกเขา  ความยำเกรงของพวกท่านหรือที่จะมาเทียบความยำเกรงของพวกเขา  หรือพวกท่านไม่ได้ทำอะไรนอกจากจุดฟิตนะฮ์ขึ้นมาเกี่ยวกับบางปัญหาข้อปลีกย่อยของวิชาฟิกห์ ที่อัลเลาะฮ์ทรงทำให้การขัดแย้งของบรรดาอุลามาอ์นั้นเป็นความเมตตา  แต่พวกท่านละเลยในเรื่องหลักการของอากิดะฮ์  โดยทำการกล่าวด้วยหลักการของกลุ่มอัลมุญัสสิมะฮ์  โดยที่พวกเขาคิดว่ามันเป็นการกระทำที่ดีแล้วกระนั้นหรือ ??   ทั้งหมดของตอนที่ 3 นี้ มาจากหนังสือ อัลฟัรกุลอะซีม บัยนัตตันซีฮ์ วัตตัชบีฮ์   ของท่านชัยค์  อัลอัลละฏีฟ ฟูดะฮ์  หน้า 9 -  14
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
ท่านอิมามอัตติรมีซีย์  ได้กล่าวไว้ใน  สุนันของท่าน เล่ม 4 หน้า 692  ว่า "แนวทางเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น  ตามทัศนะของนักปราชญ์  อย่างเช่น  ท่านซุฟยาน อัษเษารีย์ , อิมามมาลิกบินอะนัส , ท่านอิบนุมุบาร๊อก , ท่านอิบนุอุยัยนะฮ์ , ท่านวะเกี๊ยะอฺ , และคนอื่นๆ   ได้ทำการรายงานสิ่งดังกล่าว  แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า "บรรดาหะดิษเหล่านี้  ได้ถูกรายงานมา  และเราขอศรัทธาด้วยกับมัน  โดยไม่กล่าวถามว่ามันเป็นอย่างไร?"  นี้คือสิ่งที่นักหะดิษได้เลือกทำการรายงานหะดิษต่างๆ เหล่านี้เหมือนกับที่มันได้ระบุมา และทำการเชื่อศรัทธาด้วยกับมัน  โดยไม่มีการอธิบาย   และไม่มีการสงสัย  ไม่มีการกล่าวว่ามันเป็นอย่างไร  และนี้ก็คือ  การงานของอุลามาอ์ที่พวกเขาเลือกและได้ให้ทัศนะไว้"

แต่วะฮาบีอธิบายครับ แล้วสะลัฟตรงใหน ??

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
ญะซากัลลอฮฺค็อยรอน mycool:

 

GoogleTagged