salam
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า
من مَنْ سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ سُنَّةً حَسَنَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ لَهُ مِثْلُ أَجْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلَا يَنْقُصُ مِنْ أُجُورِهِمْ شَيْءٌ وَمَنْ سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ سُنَّةً سَيِّئَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ عَلَيْهِ مِثْلُ وِزْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلَا يَنْقُصُ مِنْ أَوْزَارِهِمْ شَيْءٌ
" ผู้ใด ที่ได้ริเริ่มทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน เขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งบกพร่องลงเลย จากผลบุญของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ริเริ่มทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่เลว แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน หลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" (รายงานโดย ท่านอิมาม มุสลิม ไว้ในซอเฮี๊ยะหฺของท่าน หะดิษที่1017)
แต่กลุ่มอัลวะฮาบีย์พยายามฝืนอธิบายฮะดิษ (من سن في الإسلام سنة حسنة...)ว่า มันคือ أحيا (ฟื้นฟูซุนนะฮ์นบี)
ผู้ใดที่ฟื้นฟูซุนนะฮ์ที่ดีในอิสลาม แต่ถ้าหากเราถามชาววะฮาบีย์ว่า อะไรคือจุดมุ่งหมายของตัวบทฮะดิษส่วนที่เหลือที่มีความว่า (من سن في الإسلام سنة سيئة)
ผู้ใดฟื้นฟูซุนนะฮ์นบีที่เลวในอิสลาม ดังนั้นหากคำว่า سَنَّ หมายถึงการฟื้นฟู แสดงว่าท่านนบีมีซุนนะฮ์ที่เลวซึ่งจำเป็นที่เราจะต้องไม่ฟื้นฟูมันขึ้นมากระนั้นหรือ?!
แต่ท่านชัยค์อิบนุตัยมียะฮ์ อุลามาอ์ใหญ่ของวะฮาบีย์ได้อธิบายความหมายของ سَنَّ ว่า คือการริเริ่มกระทำขึ้นมา ซึ่งเป็นความหมายที่ซอฮิห์ถูกต้องโดยขัดแย้งกับการอธิบายบิดเบือนในเชิงภาษาของวะฮาบีย์
ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า
ومنها
ما يتولد عن فعل الإنسان كالداعى إلى هدى أو إلى ضلالة و
السان سنة حسنة وسنة سيئة كما ثبت فى الصحيحين عن النبى أنه قال ( من دعا إلى هدى كان له من الأجر مثل أجور من تبعه من غير أن ينقص من أجورهم شىء ومن دعا إلى ضلالة كان عليه من الوزر مثل أوزار من تبعه من غير أن ينقص أوزارهم شىء ( وثبت عنه فى الصحيحين أنه قال ( من سن سنة حسنة كان له أجرها وأجر من عمل بها إلى يوم القيامة من غير أن ينقص من أجورهم شىء
"และส่วนหนึ่งจากการมีเจตนาที่มั่นใจ
คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำของมนุษย์ เช่น ผู้ที่เชิญชวนไปสู่ทางนำและไปสู่ความลุ่มหลง และ
เช่นผู้ที่ริเริ่มแนวทางที่ดีหรือแนวทางที่ไม่ดี เช่นฮะดิษที่ยืนยันไว้ในซอฮิห์บุคอรีย์และมุสลิม จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม "ผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ทางนำ แน่นอน ย่อมมีผลตอบแทนแก่เขา เหมือน บรรดาการตอบแทนของผู้ที่เจริญตาม โดยดังกล่าวนั้น จะไม่บั่นทอนผลบุญของพวกเขาแม้แต่เพียงเล็กน้อย และผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ความหลงผิด แน่นอน เขาย่อมได้รับบาป เหมือนกับบรรดาบาปของผู้กระทำตาม โดยที่บาปดังกล่าวนั้น จะไม่ถูกบั่นทอนลงแม้แต่เพียงน้อยนิด" และฮะดิษบุคอรีและมุสลิมที่ยืนยันจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งท่านกล่าวว่า "ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน เขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งบกพร่องลงเลย จากผลบุญของพวกเขา"
http://arabic.islamicweb.com/Books/Taimiya.asp?book=77&id=145ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า
وكذلك ( الداعى إلى الهدى والضلالة ( لما كانت إرادته جازمة كاملة فى هدى الأتباع وضلالهم وأتى من الإعانة على ذلك بما يقدر عليه كان بمنزلة العامل الكامل فله من الجزاء مثل جزاء كل من إتبعه للهادى مثل أجور المهتدين وللمضل مثل أوزار الضالين وكذلك
السان سنة حسنة وسنة سيئة فإن السنة هى ما رسم للتحرى فإن السان كامل الإرادة لكل ما يفعل من ذلك وفعله بحسب قدرته ومن هذا قوله فى الحديث المتفق عليه عن إبن مسعود عن النبى أنه قال ( لا تقتل نفس ظلما إلا كان على بن آدم الأول كفل من دمها لأنه أول من
سن القتل فالكفل النصيب مثل القاتل)
"และเช่นเดียวกัน ผู้ที่เชิญชวนไปยังทางนำหรือความลุ่มหลง ในขณะที่เจตนาของเขามีความมั่นใจอีกทั้งสมบูรณ์ในการชี้นำผู้เจริญรอยตามและสร้างความลุ่มหลงแก่ผู้ที่ตาม และเขาได้นำมาซึ่งการให้ความช่วยเหลือต่อสิ่งดังกล่าวด้วยสิ่งที่เขามีความสามารถ แน่นอนว่าเขาก็อยู่ในฐานะของผู้ที่ทำการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น สำหรับเขาก็จะได้การตอบแทนเสมือนกับการตอบแทนของทุก ๆ คนที่เจริญรอยตามเขา ให้กับผู้ที่ชี้นำ(เขาจะได้รับผลการตอบแทน) เหมือนกับผลการตอบแทนของผู้ที่ได้รับการชี้นำ และให้กับผู้ที่ทำให้ลุ่มหลง(ก็จะได้รับผลการตอบแทน)เหมือนกับผลบาปของผู้ที่ลุ่มหลง และเฉกเช่นเดียวกัน
ผู้ที่ริ่เริ่มแนวทางที่ดีและแนวทางที่ไม่ดี เพราะแท้จริงแนวทาง(อัซซุนนะฮ์)นั้นคือสิ่งที่ถูกวางขึ้นมาเพื่อมีเป้าหมาย ดังนั้นผู้ที่เริ่มแนวทางโดยเป็นผู้มีเจตนาสมบูรณ์ให้กับทุกสิ่งที่เขาได้กระทำจากสิ่งดังกล่าวและการกระทำของเขาก็ตามความสามารถของเขา และจากดังกล่าวนี้ ก็มีคำกล่าวของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในฮะดิษบุคอรีและมุสลิม รายงานจากท่านอิบนุมัสอูด จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า "ชีวิตหนึ่งจะไม่ถูกฆ่าโดยอธรรมนอกจากบนบุตรคนแรกของอาดัมจะมีส่วนได้รับ(เหมือนกับเป็นคนฆาตกร)จากเลือดชีวิตนั้น(ได้หลั่งออกมาเนื่องจากถูกฆ่า) เนื่องจากเขาเป็นบุคคลแรกที่
ได้ริเริ่ม(วางแนวทาง)การฆ่า"
http://arabic.islamicweb.com/Books/Taimiya.asp?book=77&id=146http://arabic.islamicweb.com/Books/Taimiya.asp?book=77&id=147และท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวเช่นกันว่า
ولهذا
كان المبتدئ بالخير والشر له مثل من تبعه من الأجر والوز كما قال النبى ( من سن سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها الى يوم القيامة من غير أن ينقص من أجورهم شيئا ومن سن سنة سيئة فعليه وزرها ووزر من عمل بها الى يوم القيامة من غير أن ينقص من أوزارهم شيئا ( وذلك لاشتراكهم فى الحقيقة وان حكم الشئ حكم نظيره وشبه الشئ منجذب اليه
"และด้วยเหตุดังกล่าวนี้
ผู้ที่ริเริ่มกระทำความดีงามและความชั่ว ให้กับเขาก็จะได้รับการตอบแทนและบาปเหมือนกับผู้ที่ตามเขา ดังคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่ว่า " ผู้ใด ที่ได้ริเริ่มทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน เขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งบกพร่องลงเลย จากผลบุญของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ริเริ่มทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่เลว แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน หลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา"
http://arabic.islamicweb.com/Books/taimiya.asp?book=28&id=721มุสลิมได้รายงานจากอับดุลลอฮ์ อิบนุ มัสอูด ความว่า
قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَا تُقْتَلُ نَفْسٌ ظُلْمًا إِلَّا كَانَ عَلَى ابْنِ آدَمَ الْأَوَّلِ كِفْلٌ مِنْ دَمِهَا لِأَنَّهُ كَانَ أَوَّلَ مَنْ سَنَّ الْقَتْلَ
"ชีวิตหนึ่งจะไม่ถูกฆ่าโดยอธรรมนอกจากบนบุตรคนแรกของอาดัมจะมีส่วนได้รับ(เหมือนกับเป็นคนฆาตกร)จากเลือดชีวิตนั้น(ได้หลั่งออกมาเนื่องจากถูกฆ่า) เนื่องจากเขาเป็นบุคคลแรกที่ได้ริเริ่ม(วางแนวทาง)การฆ่า" ฮะดิษลำดับที่ (3177)
ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวอธิบายว่า
وَهَذَا الْحَدِيث مِنْ قَوَاعِد الْإِسْلَام , وَهُوَ : أَنَّ كُلّ
مَنْ اِبْتَدَعَ شَيْئًا مِنْ الشَّرّ كَانَ عَلَيْهِ مِثْل وِزْر كُلّ مَنْ اِقْتَدَى بِهِ فِي ذَلِكَ الْعَمَل مِثْل عَمَله إِلَى يَوْم الْقِيَامَة , وَمِثْله مَنْ
اِبْتَدَعَ شَيْئًا مِنْ الْخَيْر كَانَ لَهُ مِثْل أَجْر كُلّ مَنْ يَعْمَل بِهِ إِلَى يَوْم الْقِيَامَة , وَهُوَ مُوَافِق لِلْحَدِيثِ الصَّحِيح : " مَنْ سَنَّ سُنَّة حَسَنَة وَمَنْ سَنَّ سُنَّة سَيِّئَة"... وَاللَّهُ أَعْلَم
ฮะดิษนี้เป็นส่วนหนึ่งจากหลักการของอิสลาม กล่าวคือ
แท้จริงทุก ๆ ผู้ที่อุตริริเริ่มสิ่งหนึ่งจากความชั่ว แน่นอนบนเขาก็จะได้รับเหมือนกับความชั่วของทุก ๆ ผู้ที่กระทำตามเขาในการกระทำดังกล่าวเหมือนกับการกระทำของเขาจนทั่งถึงวันกิยามะฮ์ และเช่นเดียวกับผู้ที่ริเริ่มทำความชั่ว ก็คือ
ผู้ที่อุตริริเริ่มสิ่งหนึ่งจากความดีงาม แน่นอนเขาก็จะได้รับเหมือนกับการตอบแทน(ความดีงาม)ของผู้ที่ปฏิบัติตามเขาจนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ์ และฮะดิษนี้ก็
สอดคล้องกับฮะดิษซอฮิห์ที่ว่า
ผู้ใดที่ริเริ่มวางแนวทางที่ดีและผู้ใดที่ริเริ่มวางแนวทางที่ชั่ว ชัรหฺซอฮิห์มุสลิม
วัลลอฮุอะลัม