ผู้เขียน หัวข้อ: การกล่าว "ซัยยิดินา" ในละหมาดได้หรือไม่?  (อ่าน 7918 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ kakashi

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 190
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกน้อยๆ ของข้าน้อยเอง

มีคนบอกผมว่า การเพิ่ม...ซัยดินา..ในอัตฮี่ยานั้นเป็นบิดอะฮ เพราะไม่มีฮาดิษบอกว่านบีทำ ลองถามอุซตะ อุซตะบอกว่ากล่าวได้เเต่ไม่ควรกล่าวดีกว่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 31, 2008, 06:30 AM โดย al-azhary »

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: 1.การเพิ่ม...ซัยดินา..ในอัตฮี่ยาได้หรือไม่
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ค. 31, 2008, 06:32 AM »
+1
بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ اَلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ

ท่านซัยยิดินามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  คือผู้เป็นหัวหน้า(ซัยยิดนา)แห่งมวลมนุษยชาติผู้เป็นลูกหลานของนบีอาดัม  ดังนั้นมนุษย์คนหนึ่งจะไม่เข้าไปอยู่ในห้วงของอิหม่านนอกจากเขาต้องมีความรัก  ให้เกียรติ  ต่อท่านนบีมุฮัมมัด  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

อนึ่ง  อัลเลาะฮ์ตะอาลา  ทรงสอนให้เรามีมารยาทต่อซัยยิดนามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ขณะที่พระองค์ได้ทรงสนทนากล่าวถึงบรรดานบีทั้งหมดเพียงแค่เอ่ยนามของพวกเขาเท่านั้น   แต่สำหรับท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  พระองค์มิได้กล่าวเพียงแต่ชื่อของท่านเพียงเท่านั้น   แต่ทว่าพระองค์จะทรงตรัสว่า   يَا أَيُّهَا النَّبِيُّ  “โอ้นบีเอ๋ย”  และทรงตรัสว่า  يَا أَيُّهَا الرَّسُولُ  “โอ้ร่อซูลเอ๋ย”   และพระองค์ได้ทรงบัญญัติใช้ให้เรามีมารยาทและทำการให้เกียรติต่อท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ซึ่งพระองค์ทรงตรัสความว่า

إِنَّا أَرْسَلْنَاكَ شَاهِدًا وَمُبَشِّرًا وَنَذِيرًا * لِتُؤْمِنُوا بِاللَّهِ وَرَسُولِهِ وَتُعَزِّرُوهُ وَتُوَقِّرُوهُ وَتُسَبِّحُوهُ بُكْرَةً وَأَصِيلًا

“แท้จริงเราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นศาสนทูตเพื่อเป็นสักขีพยาน  เพื่อเป็นผู้ประกาศข่าวอันประเสริฐ  และเป็นผู้ตักเตือน  เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์  และศาสนทูตของพระองค์   และเพื่อพวกเจ้าจะได้ช่วยเหลือเขา  และให้เกียรติยกย่องเขา  และพวกเขาจงสดุดีความบริสิทธิ์ต่อพระองค์ทั้งยามเช้าและยามเย็น”  อัลฟัตห์ 8 – 9

ท่านอัลก่อตาดะฮ์  ตาบิอีน  ได้กล่าวอธิบายว่า

وَتُوَقِّرُوهُ أمر الله بتسويده وتفخيمه

“พวกท่านจะได้ให้เกียรติยกย่องเขา  หมายถึง  พระองค์ทรงบัญชาใช้กล่าวซัยยิดินาต่อท่านนบีและยกย่องให้เกียรติต่อท่าน”  ตัฟซีรอัฏฏ่อบะรีย์ อธิบายซูเราะฮ์อัลฟัตห์ อายะฮ์ 8 - 9

ท่านอัซซุดีย์  ได้กล่าวอธิบายว่า

 وَتُوَقِّرُوهُ  ‏أي تسودوه

“เพื่อพวกท่านจะได้ให้เกียรติยกย่องเขา  หมายถึง  เพื่อพวกท่านจะได้กล่าวซัยยิดินาต่อเขา”  ตัฟซีรอัลกุรฏุบีย์  อธิบายซูเราะฮ์อัลฟัตห์ อายะฮ์ 8 - 9

และพระองค์ได้ทรงห้ามเราจะการสนทนาเรียกท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เหมือนกับที่พวกเราสนทนาเรียกชื่อกันเอง  พระองค์ทรงตรัสความว่า

لاَ تَجْعَلُوا دُعَاءَ الرَّسُولِ بَيْنَكُمْ كَدُعَاءِ بَعْضِكُم بَعْضًا

“พวกเจ้าอย่าทำการเรียกท่านศาสนทูตในระหว่างพวกเจ้าให้เหมือนการเรียกของพวกเจ้าซึ่งกันและกัน (คือเรียกชื่อเฉย ๆ แบบตรง ๆ หรือตะโกน  หรือเรียกอย่างขาดมารยาท)”  อันนูร 63

ดังนั้น  จึงเป็นสิทธิบนพวกเรา  ที่จะต้องสนองคำบัญชาใช้ของอัลเลาะฮ์ตะอาลา  และศึกษาร่ำเรียนเกี่ยวการมีมารยาทพร้อมกับความรักที่มีต่อท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  และส่วนหนึ่งจากการมีมารยาทต่อท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็คือ  การกล่าวซัยยิดนาและซ่อลาวาตต่อท่านนบีในทุกครั้งที่ถูกกล่าวขึ้น  และเราอย่ากล่าวพูดถึงท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  โดยปราศจากการให้เกียรติและยกย่อง

ปวงปราชญ์แห่งประชาชาติอิสลาม  ได้ลงมติว่า  ชอบให้กระทำ(มุสตะฮับ) การเอ่ยนามอันมีเกียรติของท่านนบีอยู่พร้อมกับคำว่า ซัยยิดินา  ที่อื่นจากถ้อยคำที่ไม่ได้รายงานไว้ในเชิงอิบาดะฮ์จากทางด้านบัญญัติศาสนา  แต่สำหรับถ้อยคำการเอ่ยนามของท่านนบีที่มีรายงานมาจากทางด้านศาสนานั้น  เป็นมัซฮับส่วนมากของนักปราชญ์ที่มีความเน้นแฟ้นในความรู้  ซึ่งเป็นทัศนะที่ถูกยึดถือของปราชญ์อัชชาฟิอียะฮ์  -  อาทิเช่น  ท่านอิมามญะลาลุดดีน อัลมุฮัลลีย์ , ท่านอิมามอัสศะยูฏีย์ , ท่านอิมามอิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ , ท่านอิมามอัรร็อมลี  เป็นต้น -  และเป็นทัศนะของปราชญ์ฮะนะฟียะฮ์  -  เช่น  ท่านอิมามอัลฮะละบีย์ , ท่านอิมามอัฏเฏ่าะห์ฏอวีย์ -   และเป็นทัศนะของปราชญ์มาลิกียะฮ์บางส่วน  ซึ่งพวกเขาได้กล่าวว่า  ชอบให้กระทำ (มุสตะฮับ) การเอ่ยนามอันมีเกียรติของท่านนบีอยู่พร้อมกับคำว่า ซัยยิดินา  ในละหมาด  โดยขึ้นอยู่บนหลักการที่ว่า  “การแสดงออกซึ่งมารยาทนั้นจะถูกอยู่ก่อนการปฏิบัติตาม”  ซึ่งหลักการดังกล่าวได้ปรากฏว่าเป็นจุดยืนของท่านอะลี ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ในช่วงการทำสนธิสัญญาอัลฮุดัยบียะฮ์  โดยท่านอะลีได้ปฏิเสธการลบถ้อยคำว่า “ร่อซูลุลลอฮ์” ในขณะที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้สั่งใช้ให้ลบมัน  เนื่องจากว่าท่านอะลีได้นำการแสดงออกซึ่งมารยาทอยู่ก่อนการปฏิบัติตาม

และหลักการดังกล่าวได้เกิดขึ้นท่านอบูบักร  อัศศิดดีก ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  เช่นกัน  กล่าวคือ  ในขณะนำละหมาดอยู่ท่านอบูบักร์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ได้ถอยหลังกลับจากการนำละหมาด  หลังจากที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้สั่งใช้ให้ท่านอบุบักรคงอยู่ในสถานที่เดิม  และท่านอบูบักรได้กล่าวแก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ภายหลังจากละหมาดเสร็จว่า

  مَا كَانَ لاِبْنِ أَبِي قُحَافَةَ أَنْ يَتَقَدَّمَ بَيْنَ يَدَيْ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وآله وسلم

“ไม่บังควรแก่อิบนุอบีกุฮาฟะฮ์ (คือท่านอบูบักร) ทำการล้ำหน้าท่านร่อซุลุลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม”

การกระทำของท่านอุษมาน  อิบนุ  อัฟฟาน  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ   ก็เช่นเดียวกัน  คือท่านอุษมานได้ล่าช้าการตอวาฟ  กล่าวคือในช่วงเวลาการทำสนธิสัญญาอัลฮุดัยบียะฮ์  ท่านอุษมานได้เข้าไปยังมักกะฮ์   ท่านรู้ดีว่าจำเป็น(วายิบ)ต้องทำการตอวาฟต่อผู้ที่เข้ามักกะฮ์ตามคำสั่งของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม   แต่ทว่าด้วยการแสดงถึงมารยาทต่อท่านร่อซูลุลลอฮ์  ท่านอุษมานจึงล่าช้าการตอวาฟ  โดยไม่ตอวาฟก่อนท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  แล้วท่านอุษมาน  ก็กล่าวว่า

مَا كُنْتُ لأَفْعَلَ حَتَّى يَطُوفَ بِهِ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وآله وسلم

“ฉันจะไม่ทำการตอวาฟอย่างแน่นอน  จนกว่าท่านร่อซุลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ทำการตอวาฟเสียก่อน”

ท่านอัลลามะฮ์  ญะลาลุดดีน  อัลมุฮัลลีย์  กล่าวว่า  “การแสดงออกซึ่งมารยาทกับผู้ที่ถูกเอ่ยนามขึ้น  ด้วยการกล่าว ว่า  ซัยยิด  ถูกใช้ให้กระทำตามหลักของศาสนา  ดังนั้นในฮะดิษที่รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม  ที่ว่า  “พวกท่านจงยืนให้แก่หัวหน้า(ซัยยิด)ของพวกท่านเถิด” หมายถึง  ท่านสะอัด บิน มุอาซฺ  และการเป็นหัวหน้าแกนนำของท่านสะอัด บิน มุอาซฺ นั้น  คือ  ในแง่ของความรู้และเคร่งครัดในศาสนา  และคำกล่าวของผู้ทำการละหมาด  ที่ว่า

اللهم صل على سيدنا محمد

“อัลลอฮุ้มม่า  ซ็อลลิ  อะลา  ซัยยิดินา  มุฮัมมัด”

ในคำกล่าวนี้  เป็นการนำมาซึ่งสิ่งที่เราได้ถูกบัญชาใช้  และเพิ่มการบ่งบอกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น (คือท่านนบีเป็นซัยยิดินาเป็นนายและหัวหน้าของเรา)  นั่นก็คือ  การแสดงออกถึงการมีมารยาท  ซึ่งย่อมเป็นสิ่งที่ الأفضل ประเสริฐกว่าการละทิ้งการกล่าวซัยยิดินาอันเนื่องจากความชัดเจนของฮะดิษดังกล่าว  และหากแม้นว่าท่านอัชชัยค์  ญะมาลุดดีน  อัลอัสนาวี  จะมีความสับสนในเรื่อง  ที่ว่าประการใดความประเสริฐกว่า  (คือการกล่าวซัยยิดินาหรือไม่กล่าวนั้นอันใดประเสริฐกว่า)ก็ตาม

สำหรับฮะดิษที่ว่า

لا تُسَيِّدُوني في الصلاة

“พวกท่านอย่ากล่าวซัยยิดินากับฉันในละหมาด”

ซึ่งเป็นฮะดิษที่โมฆะ  ไม่มีที่มาของสายรายงาน  เสมือนกับที่บรรดาฮุฟฟาซฺนักปราชญ์ฮะดิษยุคหลังบางส่วนได้กล่าวไว้...”

ท่านอัลฮาฟิซฺ  ญะลาลุดดีน  อัสศะยูฏีย์  ได้ถูกถามเกี่ยวกับฮะดิษดังกล่าวว่า  ซึ่งท่านอัสศะยูฏีย์  ได้ตอบว่า  “ฮะดิษดังกล่าวไม่เคยมีการรายงานมาเลย”  และกล่าวอีกว่า  “แท้จริงการที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่ได้กล่าวคำว่า  ซัยยิดินา  ในขณะที่ท่านได้ทำการสอนซอฮาบะฮ์เกี่ยวกับวิธีการซอลาวาตนั้น  เนื่องจากท่านมิชอบการยกเกียรติตนเอง  ด้วยเหตุนี้  ท่านจึงกล่าวว่า

أَنَا سَيِّدُ وَلَدِ آدَمَ وَلاَ فَخْرَ

“ฉันนาย(ซัยยิด)ของลูกหลานอาดัม  โดยมิได้ทนงตน”

สำหรับเรานั้น  จำเป็นต้องทำการให้เกียรติและยกย่องต่อท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  และด้วยเหตุนี้  อัลเลาะฮ์ตะอาลา  จึงทรงห้ามเราให้เรียกท่านนบี  เพียงแค่ชื่อเฉย ๆ   พระองค์ทรงตรัสความว่า

لاَ تَجْعَلُوا دُعَاءَ الرَّسُولِ بَيْنَكُمْ كَدُعَاءِ بَعْضِكُم بَعْضًا

“พวกเจ้าอย่าทำการเรียกท่านศาสนทูตในระหว่างพวกเจ้าให้เหมือนการเรียกของพวกเจ้าซึ่งกันและกัน (คือเรียกชื่อเฉย ๆ แบบตรง ๆ หรือตะโกน  หรือเรียกอย่างขาดมารยาท)”  อันนูร 63

ในหนังสือ  มิฟตาฮุลฟะลาห์  ของท่านอิมามอิบนุ อะฏออิลลาฮ์  อัสสะกันดารีย์  กล่าวว่า  “ท่านจงระวังการละทิ้งคำว่า  ซัยยิดินา  เพราะในคำว่า  ซัยยิดินา  นั้น  มีความเร้นลับที่ได้ปรากฏขึ้นแก่ผู้ที่ทำการกล่าวมันเป็นประจำกับอิบาดะฮ์(การซ่อลาวาต)นั้น” อ้างอิงสรุปจาก  สถาบันฟัตวาแห่งประเทศอียิปต์

ส่วนการอ้างอิงคำกล่าวของท่าน อัลฮาฟิซฺ  อิบนุ  ฮะญัร  อัลอัสก่อลานี  ปราชญ์ฮะดิษ  มัซฮับชาฟิอีย์  ที่ท่าน  มุฮำมัด  อิบนุ  มุฮำมัด  อิบนิ  มุฮำมัด  อัลฆ่อรอบีลีย์  ได้ถ่ายทอดฟัตวา  จากลายมือของท่านอัลฮาฟิซฺ  อิบนุฮะญัร  เกี่ยวกับการไม่กล่าวคำว่า ซัยยิดินา  ในละหมาดและนอกละหมาด  และไม่มีซอฮาบะฮ์และตาบิอีนคนใดได้กล่าวซัยยิดกับท่านนบีในการซอลาวาตนั้น  ถือว่าเป็นการถ่ายทอดฟัตวาที่ไม่มีน้ำหนัก  โดยมีข้อสังเกตดังนี้

1.  ท่านมุฮัมมัด  อัลฆ่อรอบีลีย์  ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านอัลฮาฟิซฺ  อิบนุฮะญัร  นั้น   เสียชีวิตในปี ฮ.ศ  835  ส่วนท่านอัลฮาฟิซฺ  อิบนุ  ฮะญัร  ได้เสียชีวิตในปี ฮ.ศ.  852  ดังกล่าว  ปรากฏว่า  ท่านอัลฆ่อรอบีลีย์เสียชีวิตก่อน  ท่านอัลฮาฟิซฺ  อิบนุ ฮะญัร  ถึง  17 ปี  ซึ่งสภาพการเช่นนี้  สมควรที่  ท่านมุฮัมมัด  ฆ่อรอบีลีย์  สมควรที่จะรายงานคำพูดจากท่านอิบนุฮะญัร  มิใช่ถ่ายทอดฟัตวาจากลายมือการบันทึกของท่านอิบนุฮะญัร  เพราะว่าการที่ลูกศิษย์ได้รู้ฟัตวาของอาจารย์  ก็จะอยู่ในการรับในรูปแบบของริวายะฮ์  มิใช่ลายมือการเขียนฟัตวาของอาจารย์ 

2.  หากเราศึกษาจากตำราต่าง ๆ ของท่านอัลฮาฟิซฺ  อิบนุ  ฮะญัร  ปรากฏว่าตำราต่าง ๆ ของท่าน  การมีการกล่าวซัยยิดินาหลายแห่งด้วยกัน  ซึ่งถือว่าเป็นการขัดแย้งกับการถ่ายทอดฟัตวาที่อ้างถึงท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ  ฮะญัร  ดังนั้น  ฟัตวาที่ท่านมุฮัมมัด อัลฆ่อรอบีลีย์  อ้างถึงท่านอัลฮาฟิซฺ  อิบนุ  ฮะญัร  นั้น  จึงเป็นการถ่ายทอดที่ชาซฺ(แหวกแนวทางอีกทั้งขัดแย้งกับสิ่งที่ถูกต้องยิ่งกว่า) ซึ่งไม่สามารถนำมาอ้างเป็นหลักฐานได้เลยแม้แต่น้อย

ตัวอย่างเช่น   

ท่านอัลฮาฟิซฺ  อิบนุ  ฮะญัร  ได้กล่าวไว้ในหนังสือฟัตฮุลบารีย์  ของท่านความว่า

وأشهد أن سيدنا محمداً عبده ورسوله ما أكرمه عبداً وسيداً

“อัชฮะดุ  อันน่า   ซัยยิด่านา  มุฮัมมะดัน  อับดุฮู  วะร่อซูลูฮ์  มาอักร่อมะฮุ้  อับดัน  วะ  ซัยยิดา”  ฟัตฮุลบารีย์ 1/5

ท่านอัลฮาฟิซฺ  ได้กล่าวเช่นกันว่า

والحاصل أنهم ألزموا ابن تيمية بتحريم شد الرحل ألي زيارة قبر سيدنا رسول الله صلي الله عليه وسلم  وأنكرنا صورة ذلك

“วัลฮาซิลู้  อันน่าฮุ้ม  อัลซะมู  อิบน่าตัยมียะฮ์  บิตะห์รีมมิ ชัดดัรร่อลิ  อิลา  ซิยาร่อติ  ก็อบริ  ซัยยิดินา ร่อซูลิลลาฮ์  ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  วะอันกัรนา  ซูร่อตะซาลิก้า”  ฟัตฮุลบารีย์ 3/66

ดังนั้น  คำฟัตวาของท่านอิบนุฮะญัรที่ได้มาจากท่านมุฮัมมัด อัลฆ่อรอบีลีย์  นั้น  ถือว่าเป็นฟัตวาที่ไม่สามารถนำมายึดเป็นหลักฐานในเชิงวิชาการได้

3.  ได้มีรายงานจากท่านอิบนุมัสอูด  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ซึ่งท่านได้กล่าวการศ่อลาวาตในละหมาดของท่านอีกถ้อยคำหนึ่งว่า

اللهم اجعل صلاتك ورحمتك وبركاتك علي سيد المرسلين

“อัลลอฮุ้มมัจญ์อัล  ศ่อลาตะก้า  วะเราะห์มะตะก้า  วะบะรอกาตะก้า  อะลา  ซัยยิดิล มุรซะลีน”  หนังสือ  ฟัฏลุสศ่อลาติ อะลันน่าบี (ซ.ล.)  ของท่าน  อิมามอิสมาอีล  อัลกอฎี  หน้า 58  สายรายงานนี้  ซอฮิห์

มีสายรายงานสนับสนุน  จากท่านอัลฮาฟิซฺ  อับดุรร็อซซาก  ถึงท่านอิบนุมัสอู ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ท่านได้กล่าวว่า

اللهم اجعل صلاتك ورحمتك وبركاتك علي سيد المرسلين وإمام المتقين

“อัลลอฮุ้มมัจญ์อัล  ศ่อลาตะก้า  วะเราะห์มะตะก้า  วะบะรอกาตะก้า  อะลา  ซัยยิดิล มุรซะลีน  วะอิมามิลมุตตะกีน” ดู  หนังสือมุซซันนัฟ  ของท่านอัลฮาฟิซฺ  อับดุรร็อรซาก 2/213

ท่านอิมาม อิสมาอีล  อัลกอฎี  ได้รายงานจาก  ถึงท่านอิบนุอุมัร  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา  จากยูนุส  เมาลาบนี  ฮาชิม  เขากล่าวแก่ท่านอิบนุอุมัร  ว่า  การศ่อลาวาตต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมนั้น เป็นอย่างไร?  ท่านอิบนุอุมัร กล่าวว่า   

اللهم اجعل صلاتك ورحمتك وبركاتك علي سيد المسلمين وإمام المتقين

“อัลลอฮุ้มมัจญ์อัล  ศ่อลาตะก้า  วะเราะห์มะตะก้า  วะบะรอกาตะก้า  อะลา  ซัยยิดิล  มุสลิมีน  วะอีมามิลมุตตะกีน” หนังสือ  ฟัฏลุสศ่อลาติ อะลันน่าบี (ซ.ล.) หน้า 58

จากสิ่งที่ได้กล่าวมา  ปรากฏว่า  ซอฮาบะฮ์บางส่วนก็ทำการศ่อลาวาตต่อท่านนบี  ศ็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ด้วยการมีคำว่า  ซัยยิด

ส่วนกรณีการอ้างอิงคำกล่าวของท่าน  อิมาม อันนะวาวีย์  จากหนังสืออัลมัจญ์มั๊วะ  ที่ระบุว่า  :  ท่านอิหม่ามอัชชาฟิอีย์  และ  อัลอัศฮาบ  (บรรดานักวิชาการสังกัดมัซฮับอัชชาฟิอีย์)  กล่าวว่า  :  ที่ประเสริฐที่สุด  (อัลอัฟฎ้อล)  ในลักษณะของการซอละหวาตนั้นคือการกล่าวว่า  :  “อัลลอฮุมม่า  ซ็อลลิ  อะลา  มุฮำมัด  ว่า  อะลา  อาลิ  มุฮำมัด”

แล้วสรุปว่า  การไม่กล่าวซัยยิดินานั้นดีกว่า  เพราะอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวการศ่อลาวาตโดยไม่ได้กล่าวซัยยิดินา   ผมขอกล่าวว่า  การอ้างอิงคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์มานั้น  ไม่ได้อยู่ในประเด็นของเรื่องการกล่าวซัยยิดินา  เพราะว่าท่านอิมามอันนะวาวีย์  ไม่ได้นำเสนอการศ่อลาวาตในกรณีของการกล่าวซัยยิดินาประเสริฐกว่าหรือไม่?  แต่ท่านได้นำเสนอการศ่อลาวาตในแง่ของการอ่านศ่อลาวาตแบบสั้นหรือแบบยาว  ซึ่งการอ่านศ่อลาวาตแบบยาวนั้นย่อมประเสริฐกว่า  โดยมิได้เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่ากล่าวซัยยิดินาประเสริฐกว่าแต่อย่างใด

ดังนั้น  อิมามอันนะวาวีย์  จึงไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นของการกล่าวซัยยิดินาประเสริฐกว่าหรือไม่ประเสริฐกว่า  เพราะท่านไม่ได้นำเสนอเกี่ยวกับประเด็นนี้  ดังที่ตามนิติศาสตร์อิสลามได้ระบุว่า

لا يُنْسَبُ لساكت قولٌ

“จะไม่ถูกพาดพิงคำพูดให้กับผู้ที่นิ่ง(จากการกล่าว)”       

ท่านอัลฮาฟิซฺ  อัศศ่าคอวีย์  ศิษย์คนสำคัญของท่าน อัลฮาฟิซฺ  อิบนุ  ฮะญัร  และได้อยู่ร่วมและร่ำเรียนกับท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร  นานยิ่งกว่าท่านมุฮัมมัด อัลฆ่อรอบีลีย์  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  “เกาลุลบะเดียอฺ  ฟีสศ่อลาติ  อะลัลฮะบีบ  อัชชะฟีอฺ”  หน้า 108  ความว่า  “ฉันได้อ่านการบันทึกด้วยมือของบรรดาปราชญ์บางส่วนที่มีความแน่นแฟ้นในความรู้  จากผู้ที่ฉันได้รับเอาความรู้มาจากเขา  มีสิ่งที่ได้ระบุไว้ว่า  “การแสดงออกซึ่งมารยาทกับผู้ที่ถูกเอ่ยนามขึ้น  ด้วยการกล่าว ว่า  ซัยยิด  ถูกใช้ให้กระทำตามหลักของศาสนา  ดังนั้นในฮะดิษที่รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม  ที่ว่า  “พวกท่านจงยืนให้แก่หัวหน้า(ซัยยิด)ของพวกท่านเถิด” หมายถึง  ท่านสะอัด บิน มุอาซฺ  และการเป็นหัวหน้าแกนนำของท่านสะอัด บิน มุอาซฺ นั้น  คือ  ในแง่ของความรู้และเคร่งครัดในศาสนา  และคำกล่าวของผู้ทำการละหมาด  ที่ว่า

“อัลลอฮุ้มม่า  ซ็อลลิ  อะลา  ซัยยิดินา  มุฮัมมัด”

ในคำกล่าวนี้  เป็นการนำมาซึ่งสิ่งที่เราได้ถูกบัญชาใช้  และเพิ่มการบ่งบอกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น (คือท่านนบีเป็นซัยยิดินาเป็นนายและหัวหน้าของเรา)  นั่นก็คือ  การแสดงออกซึ่งมารยาท  ซึ่งย่อมเป็นสิ่งที่ الأفضل ประเสริฐกว่าจากการละทิ้งการกล่าวซัยยิดินา  อันเนื่องจากความชัดเจนของฮะดิษดังกล่าว” 

ดังนั้น  การกล่าวซัยยิดินาในตะชะฮุด  จึงมิได้ขัดกับหลักการของศาสนา  และไม่ได้ขัดกับการแสดงถึงมารยาท (อัลอะดับ) และการ(อิตติบาอฺ) เจริญรอยตามท่านนบี  ศ็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  แต่ทว่ายิ่งกว่านั้นการกล่าวซัยยิดินากลับเป็นการเจริญรอยตามท่านนบี ศ็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ด้วยการศอลาวาตในตะชะฮุดตามที่ท่านนบี  ได้สอนวิธีการกล่าวเอาไว้โดยไม่มีการตัดทอน  และมีการเพิ่มซัยยิดินาเพื่อแสดงถึงมารยาทต่อเกียรติของท่านนบี  ศ็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ตามที่อัลกุรอานได้สอนแก่เรา  และซอฮาบะฮ์บางส่วนก็ได้กระทำเอาไว้     

وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَاليَ أعْلىَ وَأَعْلَمُ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 25, 2009, 07:44 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged