بسم الله الرحمن الرحيم
ท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์ กล่าวว่า
إِذَا فَتَحَ لَكَ وِجْهَةً مِنَ التَّعَرُّفِ فَلَا تُبَالِ مَعَهَا أنْ قَلَّ عَمَلُكَ فَإِنَّهُ مَا فَتَحَهَا لَكَ إِلاَّ وَهُوَ يُرِيْدُ أَنْ يَتَعَرَّفَ إِلَيْكَ أَلَمْ تَعْلَمْ أَنَّ التَّعَرُّفَ هُوَ مُوْرِدُهُ عَلَيْكَ وَالأَعْمَالَ أَنْتَ مُهْدِيْهَا إِلَيْهِ وَأَيْنَ مَا تُهْدِيْهِ إِلَيْهِ مِمَّا هُوَمُوْرِدُهُ عَلَيْكَ
"เมื่ออัลเลาะฮ์ทรงเปิดประเภทหนึ่งจากการทำให้รู้จัก(มะริฟะฮ์ต่อพระองค์)ให้แก่ท่าน (คือเปิดม่านให้ท่านได้รู้จักใกล้ชิดต่อพระองค์ ซึ่งดังกล่าวนั้นด้วยปัจจัยหนึ่งจากปัจจัยต่าง ๆ แห่งการดึงไปหาพระองค์ - อัลญัซฺบ์ - โดยสามารถย่อระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที พระองค์ก็สามารถทำให้ท่านใกล้ชิดต่อพระองค์โดยไม่ต้องใช้เวลาในร่ำเรียนเป็นเดือนเป็นปี) ดังนั้น การที่อะมัลของท่านยังน้อยอยู่ ท่านก็อย่าฉงนใจกับการมีมะริฟะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์เลย (คือท่านอาจจะแปลกใจที่จิตใจถูกยกอยู่ในระดับที่สูงในการมุ่งหาอัลเลาะฮ์ตะอาลา โดยท่านมิต้องนำอิบาดะฮ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟัรดู สุนัต การซิกรุลลอฮ์ต่าง ๆ มาเป็นตัวช่วยตามปกติวิสัยที่เกิดขึ้นกับคนทั่วไป) เพราะแท้จริงพระองค์จะไม่ทรงเปิดการมะริฟะฮ์ให้แก่ท่าน นอกจากพระองค์จะทรงประสงค์ที่จะยังความใกล้ชิดมายังท่าน (หมายถึงอัลเลาะฮ์ประสงค์ที่จะให้ท่านรู้จักมะรีฟะฮ์ต่อพระองค์ ซึ่งความประสงค์ของพระองค์เช่นนี้ถือว่าเป็นเกียรติที่พระองค์ทรงประสงค์จะให้แก่ท่านโดยให้จิตใจของท่านมีความรักและเกรงขามต่ออัลเลาะฮ์อยู่เต็มหัวใจ แม้กระทั่งว่าก่อนจากนั้นอะมัลของท่านจะน้อยก็ตาม ) , ซึ่งท่านไม่เคยรู้ดอกหรือว่า แท้จริงการทำให้มะริฟะฮ์(หรือการทำให้มีความใกล้ชิดต่อพระองค์)นั้น คือพระองค์ผู้ทรงนำมันมาให้แก่ท่าน และแท้จริงบรรดาอะมัลต่าง ๆ นั้น ท่านได้ทำการมอบมันไปยังพระองค์ และอันใหนเล่าสิ่งที่ท่านได้มอบมันไปยังพระองค์นั้นจะ(มาเทียบเทียม)สิ่งที่พระองค์ทรงนำมันมาให้แก่ท่าน (ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พลังการดึงของอัลเลาะฮ์ให้เขามาใกล้ชิดต่อพระองค์ย่อมมีเกียรติยิ่งกว่าพลังการตออัตของท่านที่ไต่ขึ้นไปยังพระองค์”
จากฮิกัมนี้ เราทราบได้ว่า หนทางที่จะไปถึงการมะริฟัตต่ออัลเลาะฮ์นั้น มีอยู่ 2 หนทางเท่านั้น กล่าวคือ
1. บ่าวได้มุ่งไปหาพระองค์ ซึ่งเป็นหนทางที่ยาวไกลและยากลำบาก ต้องเริ่มด้วยการปลูกฝังอีหม่าน ทำให้หัวใจมีความรักต่ออัลเลาะฮ์ และกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งใช้และหลีกห่างจากสิ่งที่ต้องห้าม ทำซิกิรและอ่านอัลกุรอานให้มาก ๆ จนกระทั่งดุนยาเป็นสิ่งที่ไร้ค่าทีละนิดละน้อยและอาคิเราะฮ์มีความสำคัญสำหรับเขาเพิ่งทวีคูณยิ่งขึ้น จนกระทั่งเขาได้มุ่งไปยังอัลเลาะฮ์ตะตาอามากกว่าดุนยา และนี้ก็คือหนทางที่หนึ่ง ซึ่งเรียกว่า หนทางฮะดายะฮ์หรืออินาบะฮ์ الإنابة (หวนกลับไปยังพระองค์)
2. หนทางที่อัลเลาะฮ์ทรงมุ่งหาไปยังบ่าว กล่าวคือ หนทางแรกนั้น เริ่มต้นจากท่านไปยังอัลเลาะฮ์ ส่วนแนวทางที่สองนี้เริ่มจากพระองค์ไปหาท่าน ซึ่งเรียกว่า หนทางอิจญ์ติบาอฺ (หนทางที่ถูกคัดเลือก الإجتباء ) หรือหนของทางการที่ถูกดึงเข้ามายังพระองค์ (อัลญัซฺบ์ الجذب ) กล่าวคือ บ่าวบางคนนั้น เขาอาจจะจมปลักอยู่ในการฝ่าฝืนและห่างไกลจากอัเลาะฮ์ โดยหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์และความปรารถนาในดุนยา ทันใดนั้นในช่วงเวลาหนึ่ง เราะห์มัตหรือความเมตตาจากอัลเลาะฮ์ได้มาประสบแก่เขา อันเนื่องจากสาเหตุหนึ่งซึ่งไม่มีผู้ใดรู้ได้นอกจากอัลเลาะฮ์ตะอาลา และพระองค์ทรงสำแดงความเอ็นดูเมตตาแก่เขา แล้วพระองค์ก็ดึงเขาไปสู่ทางนำซึ่งสิ่งดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงระยะเวลาที่สั้น
และอัลเลาะฮ์ตะอาลาได้เผยแก่เราว่า สองหนทางนี้ ทำให้ออกจากความลุ่มหลงไปสู่ทางนำ ซึ่งพระองค์ทรงตรัสความว่า
اللَّهُ يَجْتَبِي إِلَيْهِ مَن يَشَاءُ وَيَهْدِي إِلَيْهِ مَن يُنِيبُ
“อัลเลาะฮ์ทรงคัดเลือกบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงชี้นำแก่ผู้ที่มีจิตนอบน้อมกลับคืนสู่พระองค์ให้ยอมรับในสิ่งนั้น” อัชชูรอ 13
ดังนั้น หนทางที่พระองค์ทรงคัดเลือกบ่าวที่พระองค์ทรงประสงค์นั้น เรียกว่า (หนทางที่ถูกคัดเลือก الإجتباء ) หรือหนของทางการที่ถูกดึงเข้ามายังพระองค์ (อัลญัซฺบ์ الجذب ) และบ่าวที่ถูกดึงไปยังพระองค์นั้น เขาเรียกว่า المجذوب (อัลมุจญ์ษูบ) “ผู้ที่ถูกดึงเข้าไปสู่ความเมตตาและความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์” โดยที่บ่าวไม่มีบทบาทใดที่จะเลือกบนหนทางนี้ด้วยตนเอง นอกจากพระองค์ทรงประสงค์ที่จะเลือกให้แก่เขาเท่านั้น ส่วนแนวทางที่สองคือ หนทางฮะดายะฮ์ الهداية หรืออินาบะฮ์ الإنابة (หวนกลับไปยังพระองค์) ด้วยสื่อการทำอิบาดะฮ์และซิกรุลลอฮ์ให้มาก ๆ เพื่อเดินทางไปสู่ความเมตตาและความพึงพอพระทัยของอัลเลาะฮ์
ในประวัติศาสตร์อิสลามนั้น มีบุคคลมากมายที่อัลเลาะฮ์ทรงดึงพวกเขาเพียงช่วงเวลาเดียวให้พ้นจากความลุ่มหลงสู่ทางนำ จากการฝ่าฝืนสู่ความเคร่งครัด และจากความรักสิ่งอื่นสู่ความรักต่อพระองค์
ในเหล่าซอฮาบะฮ์ของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็มีมากมายจากผู้ที่ถูกดึง (มัจญ์ซูบ)สู่พระองค์ เช่นชายชนบทผู้มีอุปนิสัยหยาบกระด้าง เป็นชาวบ้านนอกเดินทางสู่สังคมเมือง สองตาของเขาเกือบจะไม่ได้เห็นท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และสองหูของเขาเกือบจะไม่ได้ยินคำตักเตือนและฮะดิษของท่าน จนกระทั่งเขาได้เปลี่ยนไปจากสภาพหนึ่งสู่อีกสภาพหนึ่งเพียงแค่เขาได้เข้ามานั่งรับฟังคำสอน อุปนิสัยที่หยาบคายและจิตใจหยาบกระด้างของเขาก็ลบเลือนหายไป แล้วคำสอนที่ได้แซรกซึมเข้ามาจิตใจของเขาก็ได้เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อย หลังจากนั้นเขาก็ได้ออกจากสถานที่ทีท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แสดงธรรม ทันใดนั้นจิตใจของเขาก็ไม่สนใจและไม่ให้ความสำคัญกับดุนยา หัวใจของเขาก็มีความรู้และเกรงขามในอัลเลาะฮ์ และยังมีบุคคลมากมายจากซอฮาบะฮ์ที่ถูกดึงไปสู่ทางนำและมีความเคร่งครัดด้วยหนทางของอัลอิจญ์ติบาอฺ الإجتباء หรืออัลมัจญ์ซูบ المجذوب ในระยะเวลาอันใกล้ มิใช่ด้วยหนทางในการอบรมขัดเกลาที่ต้องใช้ระยะเวลา
บรรดากลุ่มชนยุคหลังจากซอฮาบะฮ์ ก็มีบุคคลที่อัลเลาะฮ์ทรงดึงพวกเขาไปยังพระองค์ด้วยหนทางของอัลอิจญ์ติบาอฺ الإجتباء หรืออัลมัจญ์ซูบ المجذوب พวกเขาจึงเลื่อนระดับจากการเบี่ยงเบนที่ร้ายแรงไปสู่ความเคร่งครัดอันสมบูรณ์ในช่วงเวลาไม่นานและไม่คาดคิดมาก่อน ส่วนหนึ่งจากพวกเขาเหล่านั้น ก็คือ ท่านอัลฟุฏัยล์ บุตร อิยาฎ ซึ่งในยามค่ำคืนอันมืดมิดเขาได้เปลี่ยนแปลงตนเองเพียงไม่กี่นาทีจากผู้ก่อการร้ายปล้นสะดมระหว่างทางไปสู่ความเป็นผู้ผูกพันกับอัลเลาะฮ์ มุ่งมั่นทำอิบาดะฮ์ และหัวใจของเขาว่างเปล่าจากทุกสิ่งนอกจากมีแต่ความรักและเกรงกลัวต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา และอีกบุคคลหนึ่ง คือ ท่านอับดุลเลาะฮ์ อิบนุ มุบาร็อก ซึ่งท่านเป็นผู้ที่ร่ำรวยชอบสุขสำราญร้องรำทำเพลง ห่างไกลจากคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮ์ แต่ทว่าในช่วงค่ำคืนหนึ่ง เขากลับกลายเป็นคนอื่น เป็นบุคคลตัวอย่างอันน่าทึ่งและหาได้ยากสำหรับการเป็นปราชญ์ผู้ผูกพันอยู่กับอัลเลาะฮ์ที่ทำให้ดุนยาทั้งหมด ( เช่นทรัพย์สินเงินทอง) เสียสละเพื่อสร้างความพึงพอใจต่ออัลเลาะฮ์และเป็นสื่อในการสร้างความใกล้ชิดต่อพระองค์ และอีกท่านหนึ่ง คือ ท่านมาลิก บุตร ดีนาร ซึ่งเขาได้เปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาไม่กี่นาทีจากการเป็นเจ้าหน้าที่ที่ชอบความเพลิดเพลินและสุราเมรัยไปสู่การเป็นปราชญ์ผู้ผูกพันอยู่กับอัลเลาะฮ์(อัรร็อบบานี)ผู้อาวุโสซึ่งมีลูกศิษย์เป็นพัน ๆ ที่เข้าฟังการสอนของท่าน และอัลเลาะฮ์ก็ทรงชี้นำบรรดาบุคคลลุ่มหลงและเบี่ยงเบนด้วยน้ำมือของเขา
และที่สำคัญคือ เราควรทราบว่า หนทางของอัลอิจญ์ติบาอฺ الإجتباء หรืออัลมัจญ์ซูบ المجذوب นี้มิใช่หยุดเพียงแต่ชนกลุ่มหนึ่งหรือยุคสมัยหนึ่ง แต่ทว่ามันเป็นหนทางที่ยังคงถูกเปิดอยู่ในทุกยุคสมัยจนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ์ หมายถึง เป็นสิทธิ์ของอัลเลาะฮ์ ที่พระองค์จักทรงดึงบรรดาบ่าวของพระองค์ทั้งหญิงและชายจากความลุ่มหลงไปสู่ทางนำในทุกยุคสมัยและบางครั้งก็จะมีอยู่ในทุกสถานที่
แต่ท่านจงระวังคำพูดของคนหนึ่งที่หลงทางและห่างไกลจากหนทางของอัลเลาะฮ์ ที่ว่า : ฉันชอบและยึดถือหนทางในการบรรลุถึงอัลเลาะฮ์และดำรงอยู่บนทางนำด้วยกับหนทางนี้ คือ หนทางของอัลอิจญ์ติบาอฺ الإجتباء หรืออัลมัจญ์ซูบ المجذوب เพราะเป็นหนทางที่ง่ายและเร็วกว่า แต่ความเป็นจริงแล้ว หนทางของอัลอิจญ์ติบาอฺ الإجتباء หรืออัลมัจญ์ซูบ المجذوب นี้เป็นสิทธิ์ที่ต้องกลับไปยังอัลเลาะฮ์ที่พระองค์จะทรงประทานให้ มิใช่เป็นสิทธิ์ที่กลับไปยังตัวของท่านในการอวดอ้างว่าตนเองได้รับหนทางของอัลอิจญ์ติบาอฺ الإجتباء หรืออัลมัจญ์ซูบ المجذوب ดังนั้น ท่านไม่พิจารณาใคร่ครวญคำตรัสของอัลเลาะฮ์ตะอาลา ดอกหรือที่ว่า
اللَّهُ يَجْتَبِي إِلَيْهِ مَن يَشَاءُ
“อัลเลาะฮ์ทรงคัดเลือกบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์” อัชชูรอ 13
หมายถึง อัลเลาะฮ์ได้คัดเลือกบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ แล้วอะไรที่ทำให้ท่านรู้ว่าอัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงประสงค์ที่จะคัดเลือกท่าน?
และบุคคลหนึ่งต้องไม่กล่าวเช่นกันว่า : อะไรคือที่มาของความโชคดีที่ผู้คนบางส่วนได้รับแต่อีกบางส่วนไม่ได้รับ? ความจริงแล้ว ที่มาหรือบ่อเกิดของมัน ก็คือความโปรดปรานของอัลเลาะฮ์ ซึ่งพระองค์จะมอบให้กับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ผู้ใดที่พระองค์ทรงรักเขา แน่นอนว่าพระองค์ก็จะทรงคัดเลือกเขา และการที่พระองค์ทรงรักเขานั้นก็เพราะสิ่งหนึ่งหรือสาเหตุหนึ่งที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงสอนแก่เขาโดยที่ท่านไม่รู้
แต่ทว่าท่านโปรดระมัดระวังความเข้าใจคำกล่าวของท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์ ที่ว่า
فَلَا تُبَالِ مَعَهَا أنْ قَلَّ عَمَلُكَ
“ดังนั้น การที่อะมัลของท่านยังน้อยอยู่ ท่านก็อย่าฉงนใจกับการมีมะริฟะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์เลย (คือท่านอาจจะแปลกใจที่จิตใจถูกยกอยู่ในระดับที่สูงในการมุ่งหาอัลเลาะฮ์ตะอาลา โดยท่านมิต้องนำอิบาดะฮ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟัรดู สุนัต การซิกรุลลอฮ์ต่าง ๆ มาเป็นตัวช่วยตามปกติวิสัยที่เกิดขึ้นกับคนทั่วไป)”
กล่าวคือ ความหมายที่ท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์ต้องการและตามที่อัลกุรอานได้ยืนยันไว้นั้น คือ บรรดาบุคคลตัวอย่างที่พระองค์ทรงคัดเลือกพวกเขาซึ่งเราได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น มิได้ถูกวางเงื่อนไขในการคัดเลือกของอัลเลาะฮ์ว่า พวกเขาต้องปฏิบัติบทนำต่าง ๆ จากบรรดาอิบาดะฮ์ วิริด หรือซิกรุลเลาะฮ์ ต่าง ๆ เหมือนกับบุคคลทั่วไปที่ต้องกระทำอิบาดะฮ์ต่าง ๆ เพื่อขัดเกลาตนเอง แต่ทว่าอัลเลาะฮ์ทรงกอบกู้พวกเขาจากอยู่ในการฝ่าฝืนอันโสมมในช่วงเวลาไม่นานและไม่ต้องมีบทนำใด ๆ ในการทำอิบาดะฮ์ ไปสู่ห้วงแห่งการมะริฟะฮ์ มีความเคร่งครัด และพระองค์ก็ทรงให้เขาได้รับทางนำเพียงแต่ไม่กี่นาที และบางครั้งช่วงเวลาไม่กี่นาทีนั้น ก็สามารถชำระและขัดเกลาจิตใจได้ด้วยความโปรดปรานของพระองค์
ดังนั้น เมื่อสภาวะจิตใจของพวกเขาได้อยู่บนหนทางของอัลอิจญ์ติบาอฺ الإجتباء หรืออัลมัจญ์ซูบ المجذوب อันนี้ พวกเขาก็จะมุ่งปฏิบัติคำสั่งใช้ต่าง ๆ อัลเลาะฮ์ และมีความเคร่งครัดต่อบทบัญญัติต่าง ๆ ของพระองค์ นอกเหนือจากที่พวกเขาได้ห่างไกลจากสิ่งที่ต้องห้ามทั้งหมดโดยสิ้นเชิงนั้น พวกเขาก็ยังคงมุ่งมั่นในการทำอิบาดะฮ์และสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์เพิ่มเป็นทวีคูณ
ฉะนั้น คำกล่าวที่ว่า “ดังนั้น การที่อะมัลของท่านยังน้อยอยู่” หมายถึง อะมัลยังน้อยโดยพิจารณาถึงสภาพของบุคคลหนึ่งก่อนที่อัลเลาะฮ์จะทรงคัดเลือกเขา หากมีคำถามว่า การปฏิบัติอะมัลและการเตาบะฮ์จากความชั่วเป็นบทนำที่ต้องกระทำของผู้ที่ถูกคัดเลือกหรือผู้ที่ถูกอัลมัจญ์ซูบ المجذوبหรือไม่? ตอบ มันเป็นเพียงความจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางแนวทางของฮะดายะฮ์ الهداية หรืออินาบะฮ์ الإنابة (หวนกลับไปยังพระองค์) ด้วยสื่อการทำอิบาดะฮ์และซิกรุลลอฮ์ให้มาก ๆ จากพวกเขา ซึ่งดังกล่าวเป็นคุณลักษณะของคนส่วนมาก แต่ไม่ถือว่าจำเป็นสำหรับผู้ที่อัลเลาะฮ์ทรงคัดเลือกเขาหรือดึงเขาไปยังพระองค์หรือทรงมองพวกเขาด้วยสายตาแห่งความเมตตาปราณี ดังนั้น ท่านก็เห็นแล้วมิใช่หรือว่าอย่างไรที่ ท่านอัลฟุฎัยล์ บิน อิยาฎ , ท่านมาลิก บิน ดีนาร , และอื่นจากทั้งสอง ได้ออกจากห้วงเหวแห่งการห่างไกลจากอัลเลาะฮ์ ไปสู่ทางนำและความเคร่งครัดในศาสนาโดยไม่มีสื่อกลางใด ๆ จากการปฏิบัติอิบาดะฮ์ การขอดุอา การซิกรุลลอฮ์เลย
แต่ด้วยกับสิ่งดังกล่าวนี้ เป็นเพราะพวกเขาได้ลิ้มรสการมะริฟะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์ มีความสุขต่อการสร้างความใกล้ชิด และมีความรักต่อพระองค์ จนกระทั่งพวกเขามีความเอาจริงเอาจังและแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ในการทำอิบาดะฮ์ต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ท่านก็อย่าเข้าใจผิดจากคำกล่าวของท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์ ว่า ผู้ที่อัลเลาะฮ์ทรงคัดเลือกหรือผู้ที่ถูกอัลมัจญ์ซูบ المجذوب นั้น เขาไม่ต้องทำอิบาดะฮ์ให้มากมาย ซึ่งดังกล่าวนั้น เป็นการสร้างความเคลือบแครงของชัยฏอนที่ขัดแย้งกับสัจธรรมความจริง เพราะผู้ที่อัลเลาะฮ์ถูกคัดเลือกหรือถูกอัลมัจญ์ซูบ المجذوب นั้น เขาย่อมเป็นมนุษย์ที่ปฏิบัติและผูกพันกับเรื่องอิบาดะฮ์มากที่สุด และเป็นที่ผู้ที่ห่างไกลจากสิ่งที่ต้องห้ามมากที่สุด เพราะถ้าหากว่าผู้ที่มีความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์นั้นพระองค์ได้ทรงลดภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามคำสั่งใช้และละเว้นสิ่งที่ต้องห้ามแล้วไซร้ แน่นอนว่าท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ย่อมเหมาะที่จะได้รับสิทธิ์นั้นยิ่งกว่า แต่ทว่าท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นผู้ที่บากบั่นในการทำอิบาดะฮ์มากที่สุด และท่านมีความอดทนต่อการทำอิบาดะฮ์สุนัตต่าง ๆ และห่างไกลจากสิ่งที่คลุมเครือมากที่สุด และท่าน่ร่อซูลุลลอฮ์มิใช่หรือที่ทำการละหมาดในยามค่ำคืนจนเท้าบวม? และท่านมิใช่หรือที่มีความสมถะยิ่งต่อโลกดุนยา? ดังนั้นผู้ที่อัลเลาะฮ์ทรงคัดเลือกหรือผู้ที่ถูกอัลมัจญ์ซูบ المجذوبนั้น เป็นบุคคลที่สนองคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮ์มากที่สุดและเป็นบุคคลที่ทำซิกรุลลอฮ์และอิบาดะฮ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอที่สุดนั่นเอง
วัลลอฮุอะลัม