การประนีประนอมความขัดแย้งระหว่างมุสลิม
และพวกเจ้าจงยืดสายเชือก (ศาสนา) ของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกัน และจงอย่าได้แตกแยกกัน
ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน : 103}

รายงานจากท่านอบูดัรดาอฺ (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I ได้กล่าวว่า : เอาไหมฉันจะบอกท่าน? ถึงสิ่งที่อยู่ในระดับขั้นที่ประเสริฐกว่าการถือศีลอด การละหมาดและการบริจาคทาน บรรดาซอฮาบะฮฺ (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮุม) ได้กล่าวว่า เอาสิครับ ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I ได้กล่าวว่า : ความสามัคคีระหว่างกันเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เพราะแท้จริงการแตกแยกกันนั้นมันเป็นมีดโกน ( หมายความว่า เสมือนกับมีดโกนที่ทำให้เส้นผมบนศีรษะหมดเกลี้ยงไปภายในพริบตาฉันใด การทะเลาะเบาะแว้งการแตกแยกกันก็ทำให้ศาสนาหมดไปฉันนั้น)
{ติรมีซี}
ท่านฮุมัยดฺ บินอับดุลเราะฮฺมาน จากมารดาของท่าน(ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮา) ว่า แท้จริงท่านนบี I ได้กล่าวว่า : บุคคลใดที่ได้สมมุติคำพูดขึ้นมาและได้นำคำพูดนั้นไปพูดกับทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้คืนดีกัน ถือว่าบุคคลนั้นไม่ได้พูดโกหก(หมายถึงเขาจะไม่ได้รับบาปของการพูดโกหก )
{อบูดาวูด}
รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินอุมัร (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮู่มา) ว่า แท้จริงท่านนบี I ได้กล่าวว่า : ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นสาเหตุทำให้มุสลิมสองคนที่เคยมีความรักซึ่งกันและกันต้องแตกแยกกัน เว้นไว้แต่ด้วยบาปซึ่งคนหนึ่งคนใดจากทั้งสองได้กระทำมัน
{มุสนัตอะฮฺหมัด, มัจมะอุซซ่าวาอิ๊ด}
รายงานจากท่านอบูอัยยูบ อัลอันซอรี (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) ว่า แท้จริงท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I ได้กล่าวว่า : ไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับมุสลิม การที่เขาจะเมินเฉย กับพี่น้องมุสลิมของเขาเกินกว่าสามคืนโดยที่คนทั้งสองคนพบกัน แล้วต่างฝ่ายต่างเมินหน้าหนีกัน และคนที่ดีที่สุดจากทั้งสอง คือคนที่เริ่มให้สลามก่อน (เพื่อสร้างความรักความสามัคคีกัน)
{มุสลิม}
รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I ได้กล่าวว่า : ไม่อนุมัติสำหรับมุสลิมการที่เขาจะเมินเฉยกับพี่น้องมุสลิมของเขาเกินกว่าสามวัน ดังนั้นบุคคลใดก็ตามที่เมินเฉยเกินกว่าสามวัน ต่อมาเขาได้เสียชีวิตไปเขาจะต้องเข้านรก
{อบูดาวูด}
รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร่อดียัลลอฮู่ อันฮฺ) ว่า แท้จริงท่านนบี I ได้กล่าวว่า : ไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับมุอฺมินการที่เขาจะเมินเฉย กับพี่น้องมุอฺมินเกินกว่าสามวัน และหากสามวันผ่านไปก็ให้เขาไปพบกับพี่น้องของเขาและจงให้สลามแก่เขา หากว่าเขาตอบรับสลามก็ถือว่าเขาทั้งสองคนจะได้รับผลบุญร่วมกัน และถ้าหากว่าเขาไม่ตอบรับสลาม เขาก็จะกลับไปพร้อมกับบาป ส่วนคนที่ให้สลามถือว่าเขาได้หลุดพ้นจาก (บาปของ) การเมินเฉย
{อบูดาวูด}
รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮา) ว่า แท้จริงท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I ได้กล่าวว่า : ไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับมุสลิมคนใดการที่เขาจะเมินเฉยกับพี่น้องมุสลิมเกินกว่าสามวันดังนั้นเมื่อเขาได้พบกับพี่น้องมุสลิมแล้วเขาก็ให้สลามสามครั้ง ซึ่งทุกๆ ครั้งเขา (ผู้ถูกให้สลาม) ไม่ตอบรับสลามเลย ดังนั้นเขา(ผู้ไม่ตอบรับสลาม)ก็กลับไปพร้อมกับบาปของเขา
{อบูดาวูด}

รายงานจากท่านฮิชาม บินอามิร (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I กล่าวว่า : ไม่อนุมัติสำหรับมุสลิมคนใด การที่เขาจะเมินเฉยกับพี่น้องมุสลิมเกินกว่าสามวัน และแท้จริงเขาทั้งสองเป็นผู้ที่เบี่ยงเบนออกห่างจากสัจธรรมตราบเท่าที่เขาทั้งสองยังเป็นผู้เมินเฉยต่อกัน และแท้จริงคนแรกจากทั้งสองที่กลับมา(คืนดี) การกลับมา(คืนดี) ของเขาก่อนจะถือว่าเป็นการกัฟฟาเราะฮฺ (การลบล้าง) บาปแห่งการเมินเฉยของเขา หลังจากนั้นหากว่าคนแรกได้ให้สลาม ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ยอมตอบรับสลาม ดังนั้นมลาอิกะฮฺจะตอบรับสลามของคนที่ให้สลาม ส่วนอีกคนชัยตอนจะตอบรับสลาม และถ้าหากว่าทั้งสองคนได้เสียชีวิตไปในสภาพของการเมินเฉยต่อกัน (ในตอนแรก) ดังนั้นเขาทั้งสองจะไม่ได้เข้าสวรรค์และไม่ได้อยู่ร่วมกันในสวรรค์
{อิบนุฮิบบาน}
รายงานจากท่านฟ่าฎอละฮฺ บินอุเบ๊ด (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) ว่า แท้จริงท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I ได้กล่าวว่า : บุคคลใดที่เมินเฉยกับพี่น้องมุสลิมของเขาเกินกว่าสามวัน (หากเขาเสียชีวิตในสภาพนั้น) เขาจะต้องไปอยู่ในนรก นอกเสียจากอัลลอฮฺตะอาลาจะให้การช่วยเหลือเขาด้วยกับความเมตตาของพระองค์ (เขาจึงจะพ้นจากนรก)
{ฏ๊อบรอนี, มัจมะอุซซ่าวาอิ๊ด}
รายงานจากท่านอบูคิรอช ซุลามี่ (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) ว่า แท้จริงฉันได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I กล่าวว่า : บุคคลใดที่เมินเฉยพี่น้องมุสลิมของเขาเป็นระยะเวลาถึงหนึ่งปี (เนื่องจากสาเหตุของการโกรธเคืองกัน) ก็ประดุจดังบุคคลนั้นได้ฆ่าพี่น้องของเขาเสียแล้ว (หมายความว่า บาปของการเมินเฉยต่อกันหนึ่งปีนั้นใกล้เคียงกับบาปของการฆ่าผู้อื่นโดยไม่เป็นธรรม)
{อบูดาวูด}
รายงานจากท่านญาบิร (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านนบี I กล่าวว่า : ชัยตอนมารร้ายได้สิ้นหวังจากการที่จะทำให้บรรดาผู้ที่ละหมาด(มุสลิม)ในคาบสมุทรอาหรับทำการเคารพภักดีต่อมัน หมายถึงการกุฟุร (ปฏิเสธ) และการชิริก (ตั้งภาคี) แต่ว่ามันยังไม่สิ้นหวังในการที่จะทำให้ความเสียหาย ความปั่นป่วนแพร่ขยายไปในหมู่มุสลิม และทำให้เกิดความแตกแยกกันระหว่างพวกเขา
{มุสลิม}
รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I ได้กล่าวว่า : อาม้าลต่างๆ ของบ่าวจะถูกนำเสนอต่อหน้าอัลลอฮฺตะอาลา ในทุกๆ วันพฤหัสบดี และวันจันทร์ ในวันนั้นอัลลอฮฺตะอาลาจะทรงอภัยโทษให้กับทุก ๆ คนที่ไม่ได้นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์ นอกจากคนที่การเป็นศัตรูยังมีอยู่ระหว่างเขากับพี่น้อง(มุสลิม)ของเขา จะมีคำบัญชา (จากอัลลอฮฺตะอาลา แก่บรรดามลาอิกะฮฺ) ว่า : จงปล่อยคนทั้งสองนี้ไว้ก่อนจนกว่าเขาทั้งสองจะคืนดีกัน จงปล่อยคนทั้งสองนี้ไว้ก่อนจนกว่าเขาทั้งสองจะคืนดีกัน
{มุสลิม}
รายงานจากท่านมุอ๊าซ บินญะบั้ล (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) จากท่านนบี I ได้กล่าวว่า : ในคืนที่สิบห้าเดือนชะอฺบาน อัลลอฮฺตะอาลาจะทรงเพ่งมองมายังมัคลู๊คทั้งหมดของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงอภัยโทษให้กับมัคลู๊คทั้งหมดนอกจากผู้ที่ตั้งภาคี หรือผู้ที่ยังเป็นศัตรูกัน
{ฏ๊อบรอนี, มัจมะอุซซ่าวาอิ๊ด}
รายงานจากท่านญาบิร (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) ว่า แท้จริงท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I ได้กล่าวว่า : อาม้าลต่าง ๆ ของบ่าวจะถูกนำเสนอ (ต่ออัลลอฮฺตะอาลา) ในวันจันทร์และวันพฤหัสบดี ดังนั้นผู้ที่แสวงหาการอภัยโทษ เขาก็จะได้รับการอภัยโทษและผู้ที่ทำการเตาบะฮฺ (สารภาพผิด) การสารภาพผิดของเขาจะถูกตอบรับ (แต่ว่า) บรรดาผู้ที่ยังมีความเกลียดชังต่อผู้อื่นนั้นจะถูกปฏิเสธ เนื่องจากความเกลียดชังของพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะสารภาพผิด หมายถึงการขออภัยโทษของพวกเขาจะยังไม่ถูกตอบรับตราบใดที่พวกเขายังไม่ได้เตาบะฮฺตัวจากการเกลียดชัง ความพยาบาทที่มีต่อผู้อื่นเสียก่อน
{ฏ๊อบรอนี, อัตตัรฆีบ}
รายงานจากท่านอบูมูซา (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) จากท่านนบี I ได้กล่าวว่า : ความสัมพันธ์ของมุอฺมินกับมุอฺมิน ประดุจดังอาคารเดียวกัน ซึ่งส่วนหนึ่งจะยึดอีกส่วนหนึ่งไว้อย่างมั่นคง หลังจากนั้นท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I ได้ประสานนิ้วมือของท่าน (และจากการปฏิบัตินี้ท่านต้องการบอกให้เข้าใจว่าบรรดามุสลิมนั้นควรที่จะต้องสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และควรที่จะเป็นสื่อทำให้เกิดความเข้มแข็งมั่นคงซึ่งกันและกัน {บุคอรี}
รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I ได้กล่าวว่า : ผู้ใดทำให้หญิงคนหนึ่งเสื่อมความเคารพต่อสามีของนาง หรือทำให้ทาสคนหนึ่งเสื่อมความเคารพต่อนายของเขา ผู้นั้นไม่ใช่ส่วนหนึ่งจากพวกของเรา
{อบูดาวูด}
รายงานจากท่านซุเบร บินเอาวาม (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) จากท่านนบี I ได้กล่าวว่า :โรคของอุมมะฮฺ (ประชาชาติ) ยุคก่อนพวกท่านได้คืบคลานมายังพวกท่านแล้ว มันคือความอิจฉาและความเกลียดชัง ซึ่งมันคือมีดโกน ฉันไม่ได้กล่าวว่ามันโกนเส้นผม (แต่ว่า) มันโกนศาสนาให้หมดไป (คือ เนื่องจากสาเหตุของโรคนี้ ก่อให้เกิดความวิบัติความเสียหายแก่จรรยามารยาทของมนุษยชาติ)
{ติรมีซี}
รายงานจากท่านอะตออฺ บินอับดุลลอฮฺ คุรอซานียฺ (ร่อฮีมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ I ได้กล่าวว่า : พวกท่านจงจับมือกัน (จากการนี้) ความแค้นความพยาบาทจะหมดไป จงให้ของฮาดียะฮฺ (ของขวัญ) กันเถิด ความรักใคร่ซึ่งกันและกันจะเกิดขึ้นและการเป็นศัตรูกันก็จะห่างออกไป
{มุวัตเตาะฮฺ อิหม่ามมาลิก}