ผู้เขียน หัวข้อ: ความหมายลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺจากตำราของอะฮฺลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮฺอัลอะชาอิเราะฮ์  (อ่าน 9090 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มุคลิศ

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 159
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด

สลามุลลอฮิอะลัยกุ้ม

อยากได้ความหมายถ้อยคำว่า  لا إله إلا الله  จากตำราของอะฮฺลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ครับ  โดยอ้างอิงการอธิบายความหมายไปยังตำราของอุลามาอฺอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลอะชาอิเราะฮฺด้วยครับ  ขอบคุณท่านผู้รู้ทั้งหลายเป็นอย่างมาก

วัสลาม

ออฟไลน์ IamCrying

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 376
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
salam

Good idea myGreat:,I would like this too.Please ,all brothers and sister help us to get this .
thanks to God.
watsalam
Closer than veins : Invite to the Way of thy Lord with wisdom... Qur.16:125

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
 salam

ท่านอิมามอันนะวาวีย์  ได้กล่าวว่า

وأفضل الأذكار بعد القرآن لا إله إلا الله  ومعناها: لا معبود بحق في الوجود إلا الله

"บรรดาซิกิรที่ประเสริฐสุดหลังจากอัลกุอาน  คือ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์  ความหมายของมันก็คือ  ไม่มีพระเจ้าใดที่ถูกนมัสการน้อบยอมตนอย่างแท้จริงในการมีอยู่นอกจากอัลเลาะฮ์" หนังสือ อัลมะกอซิด ของอิมามอันนะวาวีย์ หน้า 9

ท่านอิมามอัลบะญูรีย์  ได้กล่าวว่า

ومعنى الإله: المعبود بحق ، ... وإذا كان معنى الإله ما ذكر كان معنى لا إله إلا الله لا معبود بحق إلا الله

"ความหมาย อิลาฮ์(พระเจ้า) คือผู้ที่ถูกนมัสการน้อมยอมตนอย่างแท้จริง...และเมื่อความหมายอิลาฮ์คือสิ่งที่ถูกกล่าวมา  ความหมาย ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์  คือ  ไม่มีพระเจ้าที่ถูกนมัสการน้อมยอมตนอย่างแท้จริงนอกจากอัลเลาะฮ์" หนังสือกิฟายะตุลเอาวาม หน้า 46

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
 salam

อัลฮัมดุลิลลาฮ์  พอดีว่า  ไม่กี่วันมานี้  ผมได้ทำการมุซากะเราะฮ์หนังสือ  เตาฮีด  อัชชัรกอวีย์  โดยทำการอ่านและถกประเด็นกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งซึ่งจบจากอิรักรุ่น อัลมัรฮูม อ.ยูซุฟ โมฮัมมัดอะลี   จนจบเล่ม  อัลฮัมดุลิลลาฮ์  ผมจึงตระหนักยิ่งขึ้นว่า  การเรียนซิฟัต 20 และเรียนคุณลักษณะของบรรดร่อซูลนั้น  มิใช่อื่นใดเลย  นอกจากเพื่อให้เราเข้าใจคำว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์" อย่างลึกซึ้งและถูกต้องนั่นเอง  ต่อไปนี้จะเป็นตัวบทมะตั่นของท่าน อิมาม อัศศะนูซีย์ อัลฮะซะนีย์  (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ) ซึ่งท่านได้ให้ความหมายคำว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลอฮ์" แบบรายละเอียดความว่า

وَيَجْمَعُ مَعَانِيَ هذِهِ العَقَائِدِ كُلهَا قَوْلُ:

لاَ إِلهَ إِلاَّ اللهُ مُحَمَّدٌ رَسُولُ اللهِ

إِذ مَعْنَى اْلأُلُوهِيَّةِ: اسْتِغْنَاءُ اْلإِلهِ عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ، وَافْتِقَارُ كُلِّ مَا عَدَاهُ إِلَيْهِ.

فَمَعْنى لاَ إِلهَ إِلاَّ اللهُ: لاَ مُسْتَغْنَي عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ، وَمُفْتَقِرًا إِلَيْهِ كُلُّ مَا عَدَاهُ إِلاَّ اللهُ تَعَالَى.
 
أَمَّا اسْتِغْنَاؤُهُ جَلَّ وَعَزَّ عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ، فَهُوَ يُوجِبُ لَهُ تَعَالَى: الْوُجُودَ، وَالْقِدَمَ، وَالْبَقَاءَ، وَالمُخَالَفَةَ لِلْحَوَادِثِ، وَالْقِيَامَ بِالنَّفْسِ، وَالتَّنَزُّهَ عَن النَّقَائِصِ.

وَيَدْخُلُ فِي ذلِكَ وُجُوبُ السَّمْعِ لَهُ تَعَالَى وَالْبَصَرِ وَالْكَلاَمِ، إِذْ لَوْ لَمْ تَجِبْ لَهُ هذِهِ الصِّفَاتُ لكَانَ مُحُتَاجًا إِلَى المُحْدِثِ، أَوِ المَحَلِّ، أَوْ مَنْ يَدْفَعُ عَنْهُ النَّقَائِصَ.

وَيُؤُخذُ مِنْهُ: تَنَزُّهُهُ تَعَالَى عَنِ اْلأَغْرَاضِ فِي أَفْعَالِهِ وَأَحْكامِهِ، وَإِلاَّ لَزِمَ افْتِقَارُهُ إِلَى مَا يُحَصِّلُ غَرَضَهُ، كَيْفَ! وَهُوَ جَلَّ وَعَزَّ الْغَنِيُّ عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ.

وَيُؤُخَذُ مِنْهُ أَيْضًا: أَنَّهُ لاَ يَجِبُ عَلَيْهِ تَعَالَى فعْلُ شَيْءٍ مَنْ المُمْكنَاتِ عقلا وَلاَ تَرْكُهُ، إِذْ لَوْ وَجَبَ عَلَيْهِ تَعَالَى شَيْءٌ مِنْهَا عَقْلاً كالثَّوَابِ مَثَلاً، لَكانَ جَلَّ وَعَزَّ مُفْتِقَرًا إِلَى ذلِكَ الشَّيْءِ لِيَتَكَمَّلَ بِهِ غَرَضُهُ، إِذْ لاَ يَجِبُ فِي حَقِّهَ تَعَالَى إلاَّ مَا هُوَ كَمَالٌ لَهُ، كَيْفَ وَهُوَ جَلَّ وَعَزَّ الْغَنِيُّ كُلَّ مَا سِوَاهُ.
 
وَأَمَّا افْتِقَارُ كُلِّ مَا عَدَاءُ إِلَيْهِ جَلَّ وَعَزَّ فَهُوَ يُوجِبُ لَهُ تَعَالَى الحَيَاةَ، وَعُمُومَ الْقُدْرَةِ وَاْلإِرَادَةِ وَالْعِلْمِ، إِذْ لَو انِتَفى شَيْءٌ مِنْهَا لَمَا أَمْكَنَ أَنْ يُوجَدَ شَيْءٌ مِنَ الحَوَادِثِ فَلاَ يَفْتَقِرُ إِلَيْهِ شَيْءٌ، كَيْفَ! وَهُوَ الذَّي يَفتْقِرُ إِلَيْهِ كُلُّ مَا سِوَاهُ.

وَيُوجِبُ لَهُ تَعَالَى أَيْضًا: الْوَحْدَانِيةَ، إِذْ لَوْ كانَ مَعَهُ ثَانٍ فِي اْلأُلُوهِيَّةِ لما افْتقَرَ إِلَيْهِ شَيْءٌ لِلُزُومِ عَجْزِهِمَا حِينَئِذٍ، كًيْفَ! وَهُوَ الذَّي يَفْتَقِرُ إِلَيْهِ كَلُّ مَا سِوَاهُ.

وَيُؤْخّذُ منْهُ أَيْضًا: حُدُوثُ الْعَالَمِ بِأَسْرهِ، إِذْ كانَ شَيْءٌ مِنْهُ قَديمًا لَكَانَ ذلِكَ الشَّيْءُ مُسْتَغْنِيًا عَنْهُ تَعَالَى، كَيْفَ! وَهُوَ الذَّيِ يَجِبُ أَنْ يَفتْقِرُ إِلِيْهِ كُلِّ مَا سِوَاهُ.

وَيُؤُخَذُ مِنْهُ أَيْضًا: أَنَّهُ لاَ تَأْثِيرَ لِشَيْءِ مِنَ الْكَائِنَاتِ فِي أَثَر مَّا، وَإلّا لَزِمَ أَنْ يَسْتَغْنَي ذلِكَ اْلأَثَرُ عَنْ مَوْلاَنَا جَلَّ وَعَزَّ، كَيْفَ! وَهُوَ الذَّي يَفْتَقِرُ إِلَيْهِ كُلُّ مَا سِوَاهُ عُمُومًا.

وَعَلَى كُلِّ حَالٍ، هذَا إِنْ قَدَّرْتَ أَنَّ شَيْئًا مِنَ الْكائِنَاتِ يُؤَثّرُ بِطَبْعِهِ، وَأَمَّا إِنْ قَدَّرْتَهُ مُؤَثِّرًا بِقَوَّةٍ جَعَلَهَا اللهُ فِيهِ كم يَزْعُمُهُ كَثِيرٌ مِنَ الْجَهَلَةِ فَذلِكَ محَالٌ أَيْضًا، لأَنَّهُ يَصِيرُ حيِنَئِذٍ مَوْلاَنَا جَلَّ وَعَزَّ مُفْتَقِرًا فِي إِيجَادِ بَعْضِ اْلأَفْعَالِ إِلَى وَاسِطَةٍ، وَذلِكَ بَاطِلٌ لِمَا عَرَفْتَ مِنْ وُجُوبِ اسْتِغْنَائِهِ جَلَّ وَعَزَّ عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ.

فَقَدْ بَانَ لَكَ تَضَمُّنُ قَوْلِ: لاَ إِلهَ إِلاَّ اللهُ لِلأَقْسَامِ الثَّلاَثَةِ التَّيِ يَجِبُ عَلَى المُكَلَّفِ مَعْرِفَتُهَا فِي حَقِّ مَوْلاَنَا جَلَّ وَعَزَّ، وَهِيَ:
مَا يًجِبُ فِي حَقِّهِ تَعَالَى، وَمَا يَسْتَحِيلُ، وَمَا يَجُوزُ

วัลลอฮุอะลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 20, 2008, 04:49 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
 salam

وَيَجْمَعُ مَعَانِيَ هذِهِ العَقَائِدِ كُلهَا قَوْلُ:

ได้ประมวลความหมายต่าง ๆ ของอะกีดะฮ์เหล่านี้ทั้งหมด (คือซีฟัต 20 และซีฟัตของบรรดร่อซูล) โดยความหมายจากคำกล่าวที่ว่า

لاَ إِلهَ إِلاَّ اللهُ مُحَمَّدٌ رَسُولُ اللهِ

"ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ มุฮัมมะดุรร่อซูลุลลอฮ์"

إِذ مَعْنَى اْلأُلُوهِيَّةِ: اسْتِغْنَاءُ اْلإِلهِ عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ، وَافْتِقَارُ كُلِّ مَا عَدَاهُ إِلَيْهِ.

เนื่องจากความหมายของความเป็นพระเจ้า (อัลอุลูฮียะฮ์) ก็คือ  พระเจ้าที่เพียงพอ(ไม่ต้องการไม่พึ่งพา) จากทุก ๆ  ที่อื่นจากพระองค์  และทุก ๆ สิ่งที่อื่นจากพระองค์นั้น  มีความต้องการไปยังพระองค์

فَمَعْنى لاَ إِلهَ إِلاَّ اللهُ: لاَ مُسْتَغْنَي عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ، وَمُفْتَقِرًا إِلَيْهِ كُلُّ مَا عَدَاهُ إِلاَّ اللهُ تَعَالَى.

ดังนั้น  ความหมาย  ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์  คือ  ไม่มีผู้ใดซึ่งเพียงพอ(คือไม่ต้องการ)จากทุก ๆ สิ่งที่อื่นจากพระองค์  และทุก ๆ สิ่งที่นอกเหนือจากพระองค์ล้วนต้องการไปยังพระองค์  นอกจากอัลเลาะฮ์ตะอาลาเท่านั้น
 
أَمَّا اسْتِغْنَاؤُهُ جَلَّ وَعَزَّ عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ، فَهُوَ يُوجِبُ لَهُ تَعَالَى: الْوُجُودَ، وَالْقِدَمَ، وَالْبَقَاءَ، وَالمُخَالَفَةَ لِلْحَوَادِثِ، وَالْقِيَامَ بِالنَّفْسِ، وَالتَّنَزُّهَ عَن النَّقَائِصِ.

สำหรับการที่พระองค์ทรงเพียงพอ(คือไม่ต้องการพึ่งพา)ทุก ๆ สิ่งที่อื่นจากพระองค์นั้น  ก็คือ  จำเป็น(ทางสติปัญญา)ที่พระองค์วายิบต้องมีคุณลักษณะแห่งการมี , คุณลักษณะทรงมีมาตั้งแต่เดิม(โดยไม่มีจุดเริ่มต้น) , คุณลักษณะทรงถาวร(ไม่สิ้นสุดสูญสลาย) , คุณลักษณะที่แตกต่างจากสิ่งที่บังเกิดใหม่ , คุณลักษณะทรงดำรงด้วยพระองค์เอง , และคุณลักษณะที่บริสุทธิ์จากบรรดาคุณลักษณะที่บกพร่องต่าง ๆ

وَيَدْخُلُ فِي ذلِكَ وُجُوبُ السَّمْعِ لَهُ تَعَالَى وَالْبَصَرِ وَالْكَلاَمِ، إِذْ لَوْ لَمْ تَجِبْ لَهُ هذِهِ الصِّفَاتُ لكَانَ مُحُتَاجًا إِلَى المُحْدِثِ، أَوِ المَحَلِّ، أَوْ مَنْ يَدْفَعُ عَنْهُ النَّقَائِصَ.

และเข้าไปอยู่ในคุณลักษณะที่บริสุทธิ์จากบรรดาคุณลักษณะที่บกพร่องนั้น  คือ วายิบต้องมีคุณลักษณะได้ยิน , ทรงเห็น , และทรงพูด , ให้กับอัลเลาะฮ์ตะอาลา  เนื่องจากว่า หากคุณลักษณะเหล่านี้ไม่จำเป็นอยู่ที่พระองค์  แน่นอน  พระองค์ก็มีความต้องการไปยังผู้สร้าง , หรือต้องการสถานที่ , หรือต้องการผู้ที่มาปกป้องบรรดาคุณลักษณะอันบกพร่องให้ออกไปจากพระองค์

وَيُؤُخذُ مِنْهُ: تَنَزُّهُهُ تَعَالَى عَنِ اْلأَغْرَاضِ فِي أَفْعَالِهِ وَأَحْكامِهِ، وَإِلاَّ لَزِمَ افْتِقَارُهُ إِلَى مَا يُحَصِّلُ غَرَضَهُ، كَيْفَ! وَهُوَ جَلَّ وَعَزَّ الْغَنِيُّ عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ.

และถูกเข้าใจจากการที่พระองค์ทรงเพียงพอ(คือไม่ต้องการพึ่งพา)ทุก ๆ สิ่งที่อื่นจากพระองค์นั้น  ก็คือ อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงบริสุทธิ์(หรือปราศจาก) เป้าหมายต่าง ๆ ในบรรดาการกระทำของพระองค์และในบรรดาฮุกุ่ม (ทั้ง 5) ของพระองค์  และหากไม่เป็นเช่นนั้น  ก็จำเป็นที่พระองค์มีความต้องการ(พึ่งพา)สิ่งที่ทำให้เกิดเป้าหมาย(เพื่อยังผลประโยชน์ให้กลับไปสู่)พระองค์  ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!  ทั้งที่พระองค์คือผู้ที่ไม่พึ่งพาทุก ๆ สิ่งที่อื่นจากพระองค์

وَيُؤُخَذُ مِنْهُ أَيْضًا: أَنَّهُ لاَ يَجِبُ عَلَيْهِ تَعَالَى فعْلُ شَيْءٍ مَنْ المُمْكنَاتِ عقلا وَلاَ تَرْكُهُ، إِذْ لَوْ وَجَبَ عَلَيْهِ تَعَالَى شَيْءٌ مِنْهَا عَقْلاً كالثَّوَابِ مَثَلاً، لَكانَ جَلَّ وَعَزَّ مُفْتِقَرًا إِلَى ذلِكَ الشَّيْءِ لِيَتَكَمَّلَ بِهِ غَرَضُهُ، إِذْ لاَ يَجِبُ فِي حَقِّهَ تَعَالَى إلاَّ مَا هُوَ كَمَالٌ لَهُ، كَيْفَ وَهُوَ جَلَّ وَعَزَّ الْغَنِيُّ كُلَّ مَا سِوَاهُ.

และถูกเข้าใจจากการที่พระองค์ทรงเพียงพอ(คือไม่ต้องการพึ่งพา)ทุก ๆ สิ่งที่อื่นจากพระองค์เช่นกัน  ก็คือ  ไม่วายิบบนอัลเลาะฮ์ตะอาลาในแง่ของฮุกุ่มสติปัญญา ต้องกระทำสิ่งหนึ่งหรือต้องละทิ้งสิ่งหนึ่งจากขอมุมกิน(สิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้ไม่เกิดขึ้นก็ได้)  เนื่องว่า  ตามหลักฮุกุ่มสติปัญญานั้น  หากวายิบต่อพระองค์  ต้องกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด  เช่น การให้ผลบุญ เป็นต้น  แน่นอนพระองค์ก็ต้องการไปยังสิ่งดังกล่าวเพื่อนำมันมาเสริมความสมบูรณ์ในเป้าหมายของพระองค์  เนื่องจากว่าไม่วายิบในสิทธิของพระองค์เลยนอกจากสิ่งที่สมบูรณ์พร้อมสำหรับพระองค์เท่านั้น (คือไม่ต้องการสิ่งอื่นมาเสริมความสมบูรณ์พร้อมให้กับพระองค์)  ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!  ทั้งที่พระองค์คือผู้ที่ไม่พึ่งพาทุก ๆ สิ่งที่อื่นจากพระองค์
 
وَأَمَّا افْتِقَارُ كُلِّ مَا عَدَاءُ إِلَيْهِ جَلَّ وَعَزَّ فَهُوَ يُوجِبُ لَهُ تَعَالَى الحَيَاةَ، وَعُمُومَ الْقُدْرَةِ وَاْلإِرَادَةِ وَالْعِلْمِ، إِذْ لَو انِتَفى شَيْءٌ مِنْهَا لَمَا أَمْكَنَ أَنْ يُوجَدَ شَيْءٌ مِنَ الحَوَادِثِ فَلاَ يَفْتَقِرُ إِلَيْهِ شَيْءٌ، كَيْفَ! وَهُوَ الذَّي يَفتْقِرُ إِلَيْهِ كُلُّ مَا سِوَاهُ.

สำหรับกรณีที่ทุก ๆ สิ่งอื่นจากพระองค์มีความต้องการไปยังอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่านั้น  หมายถึง  จำเป็นที่พระองค์ต้องมีคุณลักษณะทรงเป็น , และมีคุณลักษณะทรงอานุภาพ , ทรงเจตนา , และทรงรอบรู้อย่างครอบคลุม  เนื่องจากว่า  หากคุณลักษณะใดจากทั้งสี่นี้ไม่มี  แน่นอนว่า  สิ่งหนึ่งจากบรรดาสิ่งที่บังเกิดขึ้นมาก็ไม่สามารถมีขึ้นมาได้  ดังนั้นก็จะมีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีความต้องการไปยังพระองค์  ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!  ทั้งที่พระองค์คือผู้ที่ทุก ๆ สิ่งต้องพึงพาไปยังพระองค์

وَيُوجِبُ لَهُ تَعَالَى أَيْضًا: الْوَحْدَانِيةَ، إِذْ لَوْ كانَ مَعَهُ ثَانٍ فِي اْلأُلُوهِيَّةِ لما افْتقَرَ إِلَيْهِ شَيْءٌ لِلُزُومِ عَجْزِهِمَا حِينَئِذٍ، كًيْفَ! وَهُوَ الذَّي يَفْتَقِرُ إِلَيْهِ كَلُّ مَا سِوَاهُ.

และจำเป็นสำหรับพระองค์ต้องมีคุณลักษณะทรงเอกกะมีองค์เดียว เช่นกัน  เนื่องจากว่า  หากมีพระเจ้าองค์ที่สองอยู่พร้อมกับพระองค์  แน่นอน  ก็จะไม่มีสิ่งใดต้องการ(พึ่งพา)ไปยังพระองค์  เนื่องจากทั้งสองต้องมีคุณลักษณะอ่อนแอ(เกิดขึ้น)ในขณะนั้น (ขณะที่มีเจ้าสององค์)  ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!  ทั้งที่พระองค์คือผู้ที่ทุก ๆ สิ่งต้องพึงพาไปยังพระองค์

وَيُؤْخّذُ منْهُ أَيْضًا: حُدُوثُ الْعَالَمِ بِأَسْرهِ، إِذْ كانَ شَيْءٌ مِنْهُ قَديمًا لَكَانَ ذلِكَ الشَّيْءُ مُسْتَغْنِيًا عَنْهُ تَعَالَى، كَيْفَ! وَهُوَ الذَّيِ يَجِبُ أَنْ يَفتْقِرُ إِلِيْهِ كُلِّ مَا سِوَاهُ.

และได้รับความเข้าใจจากการที่ทุก ๆ สิ่งอื่นจากพระองค์มีความต้องการไปยังอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า เช่นกัน  ก็คือ  บรรดาสรรพสิ่งสากลโลกทั้งหมดหมดนั้นบังเกิดขึ้นมาใหม่(คือมีจุดเริ่มต้นขึ้นมามิได้มีมาตั้งแต่เดิม) เนื่องจากว่า  หากมีสิ่งหนึ่งกอดีม(มีมาตั้งแต่เดิมโดยไม่มีจุดเริ่มต้น)  แน่นอนว่า  สิ่งดังกล่าวนั้นไม่มีความต้องการไปยังอัลเลาะฮ์ตะอาลา (คือไม่ต้องการให้พระองค์ทรงสร้างมันขึ้นมา)  ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!  ทั้งที่พระองค์คือผู้ที่ทุก ๆ สิ่งต้องพึงพาไปยังพระองค์

وَيُؤُخَذُ مِنْهُ أَيْضًا: أَنَّهُ لاَ تَأْثِيرَ لِشَيْءِ مِنَ الْكَائِنَاتِ فِي أَثَر مَّا، وَإلّا لَزِمَ أَنْ يَسْتَغْنَي ذلِكَ اْلأَثَرُ عَنْ مَوْلاَنَا جَلَّ وَعَزَّ، كَيْفَ! وَهُوَ الذَّي يَفْتَقِرُ إِلَيْهِ كُلُّ مَا سِوَاهُ عُمُومًاوَعَلَى كُلِّ حَالٍ.

และได้รับความเข้าใจจากการที่ทุก ๆ สิ่งอื่นจากพระองค์มีความต้องการไปยังอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า เช่นกัน  ก็คือ สิ่งหนึ่งจากบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายไม่สามารถทำให้เกิดผลขึ้นมาในผลของสิ่งใด ๆ ได้เลย  และหากไม่เป็นเช่นนั้น (คือสิ่งหนึ่งสามารถทำให้เกิดผลแก่ตัวเองได้)  แน่นอน  ผลดังกล่าวก็ไม่ต้องการอัลเลาะฮ์ตะอาลา (คือไม่ต้องการให้อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงทำให้บังเกิดผลดังกล่าว) ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!  ทั้งที่พระองค์คือผู้ที่ทุก ๆ สิ่งต้องพึงพาไปยังพระองค์โดยอย่างครอลคลุมทั้งหมดและทุก ๆ สภาพาการณ์

 هذَا إِنْ قَدَّرْتَ أَنَّ شَيْئًا مِنَ الْكائِنَاتِ يُؤَثّرُ بِطَبْعِهِ، وَأَمَّا إِنْ قَدَّرْتَهُ مُؤَثِّرًا بِقَوَّةٍ جَعَلَهَا اللهُ فِيهِ كم يَزْعُمُهُ كَثِيرٌ مِنَ الْجَهَلَةِ فَذلِكَ محَالٌ أَيْضًا، لأَنَّهُ يَصِيرُ حيِنَئِذٍ مَوْلاَنَا جَلَّ وَعَزَّ مُفْتَقِرًا فِي إِيجَادِ بَعْضِ اْلأَفْعَالِ إِلَى وَاسِطَةٍ، وَذلِكَ بَاطِلٌ لِمَا عَرَفْتَ مِنْ وُجُوبِ اسْتِغْنَائِهِ جَلَّ وَعَزَّ عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ.

หลักการนี้(คือทุก ๆ สิ่งล้วนต้องการไปยังพระองค์) ซึ่งถือว่าชัดเจน  หากท่านสมมุติว่า มีสิ่งหนึ่งจากสรรพสิ่งต่าง ๆ ให้บังเกิดผลด้วยกับธรรมชาติของมันเอง (ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้)    และหากว่าท่านได้สมมุติว่าสิ่งหนึ่งให้บังเกิดผลด้วยพลังที่อัลเลาะฮ์ทรงสร้างขึ้นมาในมัน  ดังที่บรรดาผู้โง่เขลามากมายได้กล่าวอ้าง  แน่นอนว่าสิ่งดังกล่าวย่อมเป็นไปไม่ได้เช่นกัน  เพราะในขณะนั้น (ขณะคือสิ่งหนึ่งให้บังเกิดผลด้วยพลังที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นในมันนั้น)  ก็จะทำให้อัลเลาะฮ์กลายเป็นผู้ที่ต้องการไปยังการสื่อกลางอันหนึ่ง  ในการทำให้บังเกิดการกระทำบางส่วนของพระองค์  และดังกล่าวนั้นถือว่าไร้สาระ  เนื่องจากท่านรู้มาแล้วว่า  จำเป็นที่พระองค์ไม่ต้องการพึ่งพาทุก ๆ สิ่ง

فَقَدْ بَانَ لَكَ تَضَمُّنُ قَوْلِ: لاَ إِلهَ إِلاَّ اللهُ لِلأَقْسَامِ الثَّلاَثَةِ التَّيِ يَجِبُ عَلَى المُكَلَّفِ مَعْرِفَتُهَا فِي حَقِّ مَوْلاَنَا جَلَّ وَعَزَّ، وَهِيَ:
مَا يًجِبُ فِي حَقِّهِ تَعَالَى، وَمَا يَسْتَحِيلُ، وَمَا يَجُوزُ

แท้จริง  ก็ได้ปรากฏชัดแก่ท่านแล้ว  โดยการประมวลความหมายคำกล่าว "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์" นั้นให้กับทั้งสามประเภทที่จำเป็นต่อคนมุกัลลัฟ(บรรลุศาสนภาวะ)ต้องรู้จักมันเกี่ยวกับสิทธิ์ของอัลเลาะฮ์ อัซซ่าวะญัลล่า  ก็คือ คุณลักษณะที่วายิบ , คุณลักษณะที่มุสตะฮีล , และคุณลักษณะที่ยาอิซฺ ในสิทธิสำหรับพระองค์

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
 salam

ที่ผมได้นำเสนอคำอธิบาย ของท่าน อิมาม อัสสะนูซีย์ อัลฮะซะนีย์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  นั้น  เป็นเพียงแค่มะตั่นย่อ ๆ เท่านั้นเอง  อินชาอัลเลาะฮ์  ผมจะนำคำอธิบายจากอุลามาอ์มาเสริมประโยคแต่ประโยค  ซึ่งจะแตกประเด็นหลักอะกีดะฮ์ที่น่าสนใจอีกมากมายที่อยู่ในภายใต้ควาหมายของ "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์"


فَمَعْنى لاَ إِلهَ إِلاَّ اللهُ: لاَ مُسْتَغْنَي عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ، وَمُفْتَقِرًا إِلَيْهِ كُلُّ مَا عَدَاهُ إِلاَّ اللهُ تَعَالَى.

ดังนั้น  ความหมาย  ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์  คือ  ไม่มีผู้ใดซึ่งเพียงพอ(คือไม่ต้องการ)จากทุก ๆ สิ่งที่อื่นจากพระองค์  และทุก ๆ สิ่งที่นอกเหนือจากพระองค์ล้วนต้องการไปยังพระองค์  นอกจากอัลเลาะฮ์ตะอาลาเท่านั้น
 

จากความหมายตรงนี้  สรุปได้ว่า  ใครจะเป็นพระเจ้าได้นั้น  ต้องมีคุณลักษณะ 2 ประการ

1.  เขาไม่ต้องการพึ่งพาสิ่งใด

2.  ทุก ๆ สิ่งต้องพึ่งพาเขา

ดังนั้น  ผู้ใดมีคุณลักษณะเช่นนี้  ก็ให้เขาประกาศเป็นพระเจ้าที่แท้จริงได้เลย

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ผมเคยนั่งสนทนาศาสนา เรื่องตศ็อวฺวุฟ กับเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่มหาลัย เขาเป็นคนสนใจเรื่องนี้ และพยายามปฏิบัติในเรื่องนี้ อัลหัมดุลิลลาฮฺ ที่ได้รู้กับเขาครับ ได้ความรู้เรื่องตศ็อวฺวุฟ เยอะพอควร แต่ประเด็นที่ผมจะบอกนั่น ก็เกี่ยวกับความหมายของ "ลา อิลาฮะ อิ้ลลัลลอฮฺ" คือเพื่อนผมเขาบอกว่า ความหมายถามที่เขาเรียนมานั้น ตามแบบตศ็อวฺวุฟ เขาจะให้ความหมายว่า "ไม่มีสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่อัลลอฮฺ" ส่วนความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น ผมมิอาจจะนำมาอธิบายตรงนี้ได้ เพราะยังไม่แม่นพอ ถือว่ายังเข้าใจน้อยอยู่ ก็นำมาบอกนิดๆ หน่อยๆ อะครับ บางท่านก็อาจจะทราบแล้ว ผิดถูกเช่นไร ฝากชี้แจงเพิ่มเติมด้วยนะครับ เพื่อเป็นความรู้ทั้งผมและคนอื่นๆ - วัสสลามุ อลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ นูรุ้ลอิสลาม

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1356
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
ผมเคยนั่งสนทนาศาสนา เรื่องตศ็อวฺวุฟ กับเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่มหาลัย เขาเป็นคนสนใจเรื่องนี้ และพยายามปฏิบัติในเรื่องนี้ อัลหัมดุลิลลาฮฺ ที่ได้รู้กับเขาครับ ได้ความรู้เรื่องตศ็อวฺวุฟ เยอะพอควร แต่ประเด็นที่ผมจะบอกนั่น ก็เกี่ยวกับความหมายของ "ลา อิลาฮะ อิ้ลลัลลอฮฺ" คือเพื่อนผมเขาบอกว่า ความหมายถามที่เขาเรียนมานั้น ตามแบบตศ็อวฺวุฟ เขาจะให้ความหมายว่า "ไม่มีสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่อัลลอฮฺ" ส่วนความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น ผมมิอาจจะนำมาอธิบายตรงนี้ได้ เพราะยังไม่แม่นพอ

อัสลามุอะลัยกุ้มฯ

       เราต้องทราบก่อนว่า  หลักอะกีดะฮ์กับหลักตะเซาวุฟนั้นจะไม่ค้านกัน  แต่จะเกลื้อหนุนกัน  ดังนั้นหากหลักอะกีดะฮ์กับตะเซาวุฟค้านกันเองล่ะก็  ถือว่าตะเซาวุฟดังกล่าวดำเนินไปในทางแบบนอแลู่แล้ว  หรือเขาอาจจะแยกแยะระหว่างตะเซาวุฟและอะกีดะฮ์ไม่ได้  อันนี้ถือว่าอันตราย  เพราะคนที่เน้นตะเซาวุฟแบบไม่เข้าใจอะกีดะฮ์  ก็มีกันมาเยอะแยะแล้ว

       ดังนั้น  ตามหลักเตาฮีดหรือหลักอะกีดะฮ์ให้ความหมายของลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ แบบง่ายๆ ว่า  "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกสักการะอย่างแท้นอกจากอัลเลาะฮ์"  ซึ่งสติปัญญาเราต้องยอมรับและเชื่อเช่นนั้น  ส่วนความหมายที่ว่า "ไม่มีสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่อัลเลาะฮ์"  ถือว่าเป็นความหมายในเชิงตะเซาวุฟ  ที่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของจิตใจไม่ใช่สติปัญญา  คือจิตใจของเขารู้สึกว่าไม่สิ่งใด ๆ ที่มีอย่างเที่ยงแท้จีรังนอกจากอัลเลาะฮ์เท่านั้น

วัสลาม
لا إله إلا الله محمد رسول الله

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

وَيُؤُخَذُ مِنْهُ أَيْضًا: أَنَّهُ لاَ تَأْثِيرَ لِشَيْءِ مِنَ الْكَائِنَاتِ فِي أَثَر مَّا، وَإلّا لَزِمَ أَنْ يَسْتَغْنَي ذلِكَ اْلأَثَرُ عَنْ مَوْلاَنَا جَلَّ وَعَزَّ، كَيْفَ! وَهُوَ الذَّي يَفْتَقِرُ إِلَيْهِ كُلُّ مَا سِوَاهُ عُمُومًاوَعَلَى كُلِّ حَالٍ.

และได้รับความเข้าใจจากการที่ทุก ๆ สิ่งอื่นจากพระองค์มีความต้องการไปยังอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า เช่นกัน  ก็คือ สิ่งหนึ่งจากบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายไม่สามารถทำให้เกิดผลขึ้นมาในผลของสิ่งใด ๆ ได้เลย  และหากไม่เป็นเช่นนั้น (คือสิ่งหนึ่งสามารถทำให้เกิดผลแก่ตัวเองได้)  แน่นอน  ผลดังกล่าวก็ไม่ต้องการอัลเลาะฮ์ตะอาลา (คือไม่ต้องการให้อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงทำให้บังเกิดผลดังกล่าว) ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!  ทั้งที่พระองค์คือผู้ที่ทุก ๆ สิ่งต้องพึงพาไปยังพระองค์โดยอย่างครอลคลุมทั้งหมดและทุก ๆ สภาพาการณ์

 هذَا إِنْ قَدَّرْتَ أَنَّ شَيْئًا مِنَ الْكائِنَاتِ يُؤَثّرُ بِطَبْعِهِ، وَأَمَّا إِنْ قَدَّرْتَهُ مُؤَثِّرًا بِقَوَّةٍ جَعَلَهَا اللهُ فِيهِ كم يَزْعُمُهُ كَثِيرٌ مِنَ الْجَهَلَةِ فَذلِكَ محَالٌ أَيْضًا، لأَنَّهُ يَصِيرُ حيِنَئِذٍ مَوْلاَنَا جَلَّ وَعَزَّ مُفْتَقِرًا فِي إِيجَادِ بَعْضِ اْلأَفْعَالِ إِلَى وَاسِطَةٍ، وَذلِكَ بَاطِلٌ لِمَا عَرَفْتَ مِنْ وُجُوبِ اسْتِغْنَائِهِ جَلَّ وَعَزَّ عَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ.

หลักการนี้(คือทุก ๆ สิ่งล้วนต้องการไปยังพระองค์) ซึ่งถือว่าชัดเจน  หากท่านสมมุติว่า มีสิ่งหนึ่งจากสรรพสิ่งต่าง ๆ ให้บังเกิดผลด้วยกับธรรมชาติของมันเอง (ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้)    และหากว่าท่านได้สมมุติว่าสิ่งหนึ่งให้บังเกิดผลด้วยพลังที่อัลเลาะฮ์ทรงสร้างขึ้นมาในมัน  ดังที่บรรดาผู้โง่เขลามากมายได้กล่าวอ้าง  แน่นอนว่าสิ่งดังกล่าวย่อมเป็นไปไม่ได้เช่นกัน  เพราะในขณะนั้น (ขณะคือสิ่งหนึ่งให้บังเกิดผลด้วยพลังที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นในมันนั้น)  ก็จะทำให้อัลเลาะฮ์กลายเป็นผู้ที่ต้องการไปยังการสื่อกลางอันหนึ่ง  ในการทำให้บังเกิดการกระทำบางส่วนของพระองค์  และดังกล่าวนั้นถือว่าไร้สาระ  เนื่องจากท่านรู้มาแล้วว่า  จำเป็นที่พระองค์ไม่ต้องการพึ่งพาทุก ๆ สิ่ง

ส่วนตรงนี้น่าสนใจ  ขอให้อธิบายรายละเอียดด้วยครับ 

ออฟไลน์ AhlZran

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 20
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam  ฮัมดุลิลลาฮ์  ผมจึงตระหนักยิ่งขึ้นว่า  การเรียนซิฟัต 20 และเรียนคุณลักษณะของบรรดร่อซูลนั้น  มิใช่อื่นใดเลย  นอกจากเพื่อให้เราเข้าใจคำว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์" อย่างลึกซึ้งและถูกต้อง  จากทีท่านพี่น้องได้กล่าวมาถูกต้องแล้วครับ  หาเราพิเคราะห์พิจารณา บรรดาอัมบียะ นบี รอซูล คนก่อนๆ  ที่ทำการดาวะห์ ทำการเผยแพร่ ศาสนา นั้นมิใช่เพื่อสิ่งใด แต่เพื่อ  " ลาอิลา ฮะ อิ้ลลัลลอฮ์"  เพื่อให้ มนุษย์ มีอีหม่านต่อ อัลลออฮ ซ.บ  จะเห็นได้จาก ประวัติ ของบรรดา นบี  สิ่งที่พวกเขาพยายามนั้น เริ่มจากการ ดาวะห์ ในเรื่องอีหม่าน ใน กะลีมะ  ลาอีลาฮะ อิ้ลลัลลอฮ์  ท่าน รอซูล ซ.ล ก็เช่นกัน การพยายามที่มักกะฮฺ 13ปี นั้นเพียงแค่พยายามในเรื่อง อีหม่าน พยายามบนหัวใจของ ซอฮาบะ ให้มีอีหม่าน ต่อ อ.ล เพียงประการเดียว  ส่วน หลักการ อิบาดะ นั้นส่วนใหญ่ ลงมาหลังจากฮิจเราะห์ ครับ เพราะการ อีหม่าน(ยาเก็น) นั้นมิใช่เพียงแค่กล่าว กะลิมะ แต่ต้องมีความเชื่อจริง ไม่ชิริก นี่แหละเป็นสิ่งเดียว ที่ท่านนบีได้พยายามในมักกะฮฺ และเป็นสิ่งที่เราทุกคนก็ต้อง พยายามเช่นกัน ครับและใครก็ตามที่กล่าวกะลีมะฮ "ลาอีลาฮะอิลลั้ลลอฮฺ ก่อนวิญญาน จะออกจากร่าง อ.ล ได้รับรองสวนสวรรค์ให้กับเค้าเหล่านั้น  และเมื่อมี กะลีมะ อีหม่านแล้ว ต้องมี กะลีมะ อาม้าล ก็ คือ มุฮำมาดุรรอซูลุ้ลลอฮฺ  ให้เราเชื่อว่าไม่มีแบบอย่างหนึ่งแบบ อย่างใดที่ อ.ล ทรงรับรอง นอกจากแบบ อย่างของ ท่านนบี  บรรดาซอฮาบะ   อ.ล ได้ รับรองสวนสวรรค์ให้กับพวกเค้า ก็เพราะ การปฎิบัติ ตามแบบอย่างขอ ง รอซูล ซ.ล     อัสตักฟีรุ้ลลอฮฺ กระผมอยากจะอธิบายให้ยาวกว่านี้แต่มันเป็นเพียงความคิดเห็นและความรู้ อันต่ำต้อย และกลัวว่าสิ่งที่พิมนั้น จะมาจากนัฟซู  หากผิดพลาดประการใดก็ขอ มาอัฟด้วยนะ ครับ   ขอความศาสนติ ประสบแด่ท่านทั้งหลาย วัสลาม

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


อัลฮัมดุลิลลาฮ์  พอดีว่า  ไม่กี่วันมานี้  ผมได้ทำการมุซากะเราะฮ์หนังสือ  เตาฮีด  อัชชัรกอวีย์ 
 โดยทำการอ่านและถกประเด็นกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งซึ่งจบจากอิรักรุ่น อัลมัรฮูม
อ.ยูซุฟ โมฮัมมัดอะลี   จนจบเล่ม  อัลฮัมดุลิลลาฮ์ 
ผมจึงตระหนักยิ่งขึ้นว่า 
การเรียนซิฟัต 20 และเรียนคุณลักษณะของบรรดร่อซูลนั้น  มิใช่อื่นใดเลย 
นอกจากเพื่อให้เราเข้าใจคำว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์" อย่างลึกซึ้งและถูกต้องนั่นเอง
 



 salam

ญะซากัลลอฮุคอยรอน

ขอบคุณท่านที่นำเสนอค่ะ...

หากจะเอ่ยว่า...การซิกรุลลอฮฺ ด้วยคำว่า"ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์"นั้น
เพียงประโยคเดียวก็ลึกซึ้งและรวมทุกอย่างทุกคุณลักษณะของพระเจ้าเอาไว้ในประโยคนั้น
ไว้อย่างลึกซึ้งแล้วใช่หรือไม่คะ...

แล้ว..."มุฮัมมะดุรร่อซูลุลลอฮ์"ล่ะคะ...
มีความลึกซึ้งอะไรซ่อนอยู่ในประโยคนี้ด้วยใช่หรือไม่คะ...

อยากให้ผู้รู้ช่วยอธิบายให้ได้อ่านกันต่อน่ะค่ะ...

ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

วัสลามุอะลัยกุม


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)


ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ตามความคิดผมนะ
ประโยคหลังก็อยู่ภายใต้ประโยคแรกอยู่แล้ว เพราะถ้าเราเชื่อว่าอัลลอฮเป็นพระเจ้า เราก็ต้องทำต้องเชื่อทุกอย่างที่พระเจ้าสั่งมา อัลลอฮบอกว่ามูฮัมมัดเป็นรอซูลก็ต้องตามนั้นเช่นกัน
แต่ที่แยกประโยคออกมา อาจเป็นเพราะว่าสมัยนบีเผยแพร่อยู่ชาวอาหรับเขาไม่ยอมรับ พระเจ้าของเขาอาจจะชื่ออัลลอฮด้วยก็ได้ เพราะพ่อของนบีก็ชื่อว่าอับดุลลอฮ

wallahualam
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
^
^
ตามความคิดพี่นะ...
พี่คิดไม่ต่างจากอิลฮาม เพราะหากเราศรัทธาในพระเจ้า
เราก็ต้องศรัทธาในโองการของพระองค์...
เมื่อพระองค์ตรัสว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
เป็นศาสนทูตของพระองค์ เราก็ต้องเชื่อหมดใจ
หากเรารักพระองค์ก็เท่ากับเรารักนบีซึ่งเป็นศาสนทูตของพระองค์ไปด้วย...

แต่ที่พี่ถามไปข้างบนนั้น...เพราะพระเจ้าได้ประทานคัมภีร์มาก่อนหน้านี้
ให้แก่บรรดาชาวยิวและคริสต์ด้วย ซึ่งพวกเขาก็เชื่อในอำนาจของพระเจ้า
ศรัทธาว่าพระเจ้ามีจริง...แต่เขาปฏิเสธนบีมุฮัมหมัด
ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่าเป็นศาสนทูตของพระองค์...

พี่เคยนอนคุยกันรุ่นน้องที่เป็นคริสเตียนทั้งคืนเรื่องพระเจ้า
เขาเชื่อหมดใจในพระเจ้าเลยนะ...แต่ว่าเขาเช่ือว่าพระเยซูคือ
อีกภาคหนึ่งของพระเจ้า และบางทีเขาบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีตัวแทน
ของพระเจ้า เขาสามารถวอนขอจากพระเจ้าโดยตรงโดยไม่ผ่านพระเยซูได้
(มันซับซ้อนซ่อนเงื่อน พี่ฟังไปงงไปนิ)

และเขายังบอกว่า เขาเชื่อในบรรดานบี หมายถึงผู้เผยแผ่ศาส์น
จากพระเจ้าเหมือนที่เราเชื่อ แต่เขาหยุดไว้แค่นบีอีซา...
ไม่ยอมรับนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมค่ะ...

เราคุยกันโดยไม่ทะเลาะกันเลย...พี่ก็พูดในสิ่งที่พี่เรียน
เขาก็พูดในสิ่งที่เขาเรียน เป็นการแลกเปลี่ยนกัน
เขาเลยบอกพี่ว่า...เขาชอบมุสลิมนะ...เพราะมุสลิมนับถือพระเจ้า
อย่างที่เขานับถือ...

รุ่นน้องพี่คนนี้เขาเป็นคนธรรมะธัมโมเข้าโบถส์ทุกอาทิตย์...
พี่ก็ได้แต่ขอดุอาฮฺนะว่าให้เขายอมรับอิสลามด้วยเถิด
มันเหมือนห่่างกันแค่เส้นยาแดงผ่าแปดน่ะอิลฮาม เวลาพี่ฟังเขาพูด
เกี่ยวกับอำนาจของพระเจ้าที่เขาสัมผัสได้...

พี่ถึงเชื่อว่า หากไม่เชื่อว่านบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเป็นศาสนทูตของพระเจ้าด้วยนั้น
แสดงว่าเขายังไม่ได้เชื่อในคำสั่งของพระเจ้าหมดใจ...

หรือเป็นเพราะเขาปฏิเสธนบีของเรา เขาจึงไม่ยอมรับอิสลาม...
หรือว่ามันมีมากกว่านั้น...พี่เชื่อว่า ประโยคหลังนั้นย่อมสำคัญและลึกซึ้งยิ่งนัก...

วัลลอฮฺอะลัม

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 03, 2009, 02:17 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ binti

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 261
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
อัสตัฆฟิรุลลอฮัลอะซีม

 

GoogleTagged