ผู้เขียน หัวข้อ: จงทุ่มเทแรงกายแต่พักผ่อนจิตใจ (บทเรียนฮิกัม)  (อ่าน 3813 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

ท่านอิมาม อิบนุอะฏออิลและฮ์  กล่าวว่า

أَرِحْ نَفْسَكَ مِنَ الْتَدْبِيْرِ ، فَمَا قَامَ بِهِ غَيْرُكَ عَنْكَ لاَ تَقُمْ بِهِ لِنَفْسِكَ

“อะเรี๊ยะห์ นัฟซัก มินัดตัดบีร  ฟะมา  กอม่า บิฮี ฆ็อยรุ้ก้า อันก้า ลาตะกุม บิฮี ลินัฟซิก้า”

"ท่านจงพักผ่อนจิตใจของท่านจากการวางแผนเถิด  ดังนั้นสิ่งที่ผู้อื่นจากท่าน(คืออัลเลาะฮ์)ได้ดำเนินการแทนท่านแล้วนั้น  ท่านก็อย่าดำเนินการให้กับจิตใจของท่านเองเลย"

อิสลามได้ส่งเสริมให้มุสลิมกระทำมูลเหตุหรือภาระกิจต่าง ๆ (เช่นการทุ่มเททำงานเพื่อให้ได้กำไรหรือการเล่าเรียนศึกษาเพื่อได้ความรู้หรือทำการเพาะปลูกได้ให้ได้มาซึ่งปัจจัยอาหาร) ที่มนุษย์ได้เผชิญในการดำเนินชีวิต  และมูลเหตุเหล่านี้ต้องมีการปฏิบัติในรูปแบบที่ถูกต้องตามหลักของศาสนา  แต่ในฮิกัมนี้ได้เตือนและเรียกร้องให้จิตใจมีปล่อยวางหรือพักผ่อนจิตใจจากความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องเผชิญในการกระทำมูลเหตุต่าง ๆ หรือภาระกิจเหล่านั้น  อีกทั้งได้กำชับมิให้จิตใจต้องเหน็ดเหนื่อยด้วยการทุ่มเทความมุ่งหวังที่จะได้รับทั้งที่อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ให้เขาพักผ่อนจิตใจให้สบาย

ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้น  มีปัจจัยสำคัญอยู่ 2 ประการ  คือ  การกระทำมูลเหตุต่าง ๆ  และการวางแผนในจิตใจของเขาที่มีต่อการกระทำมูลเหตุต่าง ๆ เหล่านั้น  กล่าวคือ

หนึ่ง : มีการลงมือกระทำมูลเหตุต่าง ๆ  หมายถึง  การทำงานหรือทำภารกิจด้วยการทุ่มเทแรงกาย   เช่น  การไปตลาดเพื่อทำการค้าขาย , เขาไปมหาวิทยาลัยเพื่อทำการศึกษาเล่าเรียน , ไปหาแพทย์เพื่อทำการรักษาโรค ,  หรือการหลีกห่างจากมูลเหตุต่าง ๆ อันจะทำให้เกิดโทษที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงย้ำเตือนให้ระวังไว้

สอง : มีการวางแผน  หมายถึง  การกระทำในเชิงความคิดหรือการตัดสินใจของสติปัญญา  กล่าวคือ  มนุษย์คนหนึ่งจะพูดกับจิตใจของเขาว่า  การกระทำภาระกิจต่าง ๆ เหล่านี้ได้วางแผนแก่ตนเองว่าจะต้องได้กำไรเท่านั้นเท่านี้  ได้รับความสำเร็จเช่นนั้นเช่นนี้  และผลลัพท์ต่าง ๆ  ที่จะได้รับนั้นเขาได้ประกันและมุ่งหวังจากตัวเขาเอง  ดังนั้น  ในความคิดของเขาถือว่ามูลเหตุต่าง ๆ (เช่นลงมือทำงาน , การลงมือเพาะปลูก , การไปหาแพทย์ , การไปมหาวิทยาลัยเพื่อเล่าเรียน  เป็นต้น) เป็นผู้รับใช้ภายใต้อำนาจหรือเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนให้กับการวางแผนและความมุ่งหวังของเขา

แต่ท่านไม่เห็นดอกหรือว่า  ท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์  ได้กล่าวว่า  “ท่านจงพักผ่อนจิตใจของท่าน”  ไม่กล่าวว่า  “ท่านจงพักผ่อนร่างกายของท่าน”  ดังนั้น  การทุ่มเทลงมือกระทำภาระกิจต่าง ๆ นั้น  ที่มาก็คือ  ร่างกายและส่วนอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย  ซึ่งเป็นสิ่งที่ศาสนาสั่งใช้และส่งเสริม  ส่วนการวางแผนนั้น  ที่มาก็คือ  จิตใจและความคิด  ซึ่งเป็นสิ่งที่ศาสนารังเกียจและไม่ส่งเสริมให้ทุ่มเทจนเกินจำเป็น  เพราะฉะนั้น  ทั้งสองแง่มุมนี้  จึงเป็นผลทั้งในแง่บวก(ส่งเสริม)และในแง่ลบ(ไม่ส่งเสริม)ซึ่งอิสลามได้หล่อหลอมทั้งสองให้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของมุสลิม (คือทุ่มเทแรงกายอย่าทุ่มเทแรงใจเกินไปว่าจะต้องได้เท่านั้นเท่านี้)

กล่าวคือ  มุสลิมคนหนึ่งได้ออกไปตลาด  แล้วลงมือทำงานเหมือนกับผู้คนทั่วไป  และเขาก็ตั้งใจทำงานตามวิถีทางของเขาเท่าที่มีความสามารถจะกระทำได้  พร้อมทั้งกระทำโดยสอดคล้องกับหลักบทบัญญัติของศาสนา  ดังนั้นเมื่อมีคนหนึ่งได้ถามเขาว่า  “ท่านได้มุ่งหวังอะไรหลังจากที่ท่านได้ทุ่มเททำงานอันนี้”  เขาก็จะตอบว่า  “มันเป็นภาระหน้าที่ที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงบัญญัติบนฉัน  และฉันก็ได้ลงมือทำงานตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติใช้แล้ว  ส่วนผลลัพธ์อะไรก็ตาม(หรือกำไรเท่าไหร่ก็ตาม)ที่อัลเลาะฮ์จะทรงบันดาลมันขึ้นมาหลังจากนี้  มันย่อมกลับไปยังการวางแผนและการกำหนดของอัลเลาะฮ์แล้ว   ส่วนฉันขอยอมจำนนท์และพอใจต่อการกำหนดของพระองค์”

ดังกล่าวนี้ก็คือครรลองของอิสลามที่ท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์ได้ย้ำเตือนให้มีการลงมือกระทำภาระหน้าที่ต่าง ๆ  ให้สอดคล้องกับหลักศาสนาพร้อมยอมจำนนท์ต่อการกำหนดและการวางแผนของอัลเลาะฮ์ตะอาลา

และแนวทางนี้ก็สามารถประจักษ์ชักยิ่งขึ้นสำหรับท่านท่านด้วยการใคร่ควรญถึงการดำเนินชีวิตของผู้เป็นแบบฉบับของเรา  ก็คือท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ท่านโปรดพิจารณาเรื่องราวการอพยพของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไปยังนครมะดีนะฮ์  โดยมีอบูบักร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ผู้เป็นมิตรสหาย  ได้ติดตามไปด้วย   ท่านนบีได้ลงมือกระทำมูลเหตุที่เกี่ยวกับการอพยพ (คือต้องทำการเดินทางในหนทางที่ปลอดภัยและอำพรางตนเพื่อระมัดระวังจากการค้นหาของพวกกุฟฟาร) จนกระทั่งทำให้ท่านมั่นใจว่ามูลเหตุต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเงื่อนไขความสำเร็จที่จำเป็นสำหรับการอพยพ  ดังนั้นท่านจึงออกเดินแบบอำพรางตนโดยปล่อยให้ท่านอะลี ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  นอนบนที่นอนของท่านจนกระทั่งพวกมุชริกีน(พวกตั้งภาคี) คิดว่าเขาคือท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  พวกเขาจึงไม่ทำการติดตามและค้นหา  และขณะเดียวกันท่านก็ได้ปล่อยให้คนเลี้ยงแพะของท่านอบูบักรนำฝูงแพะเดินติดตามหลังมาเพื่อลบรอยเท้าของร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และมิตรสหาย 

ทั้งสองได้อาศัยอยู่ในถ้ำษูร ( ثور  ) เพื่อรอคอยชายมุชริกีนคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของท่านนบีผู้ไว้เนื้อเชื่อใจได้  ซึ่งได้สัญญากันว่าจะมาพบตามเวลานัดหมายที่ถ้ำษูร  ชายคนนั้นคือ  อับดุลเลาะฮ์ บุตร อุร็อยกิต  ผู้คอยชี้นำเส้นทางลัดทางด้านหลังของนครมะดีนะฮ์   ซึ่งดังกล่าวนี้ก็คือการกระทำมูลเหตุต่าง ๆ (ภารกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอพยพ) อย่างสมบูรณ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

ในขณะที่ทั้งสองได้หลบซ่อนอยู่ในถ้ำ  มุชริกีนกลุ่มหนึ่งได้มายังถ้ำเพื่อค้นห้าทั้งสอง  และทางเข้าของถ้ำเป็นเป้าสายตาของพวกเขา  ท่านอบูบักรจึงเกิดความกระวนกระวายใจและกระซิบท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ว่า  หากคนใดจากพวกเขาได้ก้มลงมามอง  เขาก็จะเห็นเรา  ดังนั้นท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า  “อะไรที่ทำให้ท่านคิดว่าเรามีการสองคน  ทั้งที่อัลเลาะฮ์คือบุคคลที่สามผู้อยู่ร่วมกับเรา?”  ขณะที่ทั้งสองได้ออกจากถ้ำและมุ่งหน้าเดินทางไปยังนครมะดีนะฮ์  นายซุรอเกาะฮ์ได้ขี่ม้าติดตามทั้งสองเพื่อมุ่งทำร้ายตามที่สายรายงานที่ถูกต้อง(ซอฮิห์)ได้บันทึกไว้  ท่านอบูบักรจึงหันมองเขาและเกิดความหวั่นเกรงว่าอันตรายจะเกิดขึ้นกับท่านร่อซูลุลอฮ์  แต่ทว่าท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กลับมุ่งหน้าเดินทางโดยไม่หันซ้ายหันขวา  ยึดมั่นต่อการคุ้มครองและแผนการที่อัลเลาะฮ์ได้วางไว้ให้แล้ว  และนี้ก็คือการทำให้แผนการ(ความมุ่งหวังว่าอะไรจะเกิดขึ้นนั้น) ตกไปโดยกลับไปยึดแผนการของอัลเลาะฮ์ตะอาลาให้มันเป็นไปตามการกำหนดของพระองค์

จากสิ่งดังกล่าวเราจะพบกว่า  ท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ลงมือกระทำมูลเหตุต่าง ๆ พร้อมกับยอมจำนนท์ผลที่เกิดขึ้นให้เป็นการงานของอัลเลาะฮ์โดยให้สอดคล้องกับระเบียบแห่งการสรรสร้างของมัคโลคที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงจัดวางเอาไว้ (คือเมื่ออพยพก็ต้องเดินทางและระวังศัตรู)  หลังจากนั้น  ท่านก็ลืมมูลเหตุเหล่านั้น (คือไม่คำนึงว่าจะมีใครติดตามมาหมายทำร้ายและทำการมุ่งหน้าเดินทางอพยพ)  โดยผูกผลลัพธ์ต่าง ๆ ให้เกี่ยวพันอยู่กับความยาเกนทางด้านการเชื่อมั่น(เอี๊ยะอฺติก๊อต) ต่อการกำหนดและความเมตตาจากอัลเลาะฮ์พร้อมกับไว้วางใจต่อพระองค์อย่างสมบูรณ์

แน่แท้ว่าสิ่งดังกล่าวนี้คือฉากหนึ่งจากคำสอนของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่ได้อธิบายคำกล่าวของท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์  ที่ว่า  "ท่านจงพักผ่อนจิตใจของท่านจากการวางแผนเถิด  ดังนั้นสิ่งที่ผู้อื่นจากท่าน(คืออัลเลาะฮ์)ได้ดำเนินการแทนท่านแล้วนั้น  ท่านก็อย่าดำเนินการให้กับจิตใจของท่านเองเลย"

ได้มีรายงานว่า  ท่านอะลี (ซัยนุลอาบิดีน) บุตร ท่านอิมามอัลฮุซัยน์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา  ท่านมีร้านค้าหนึ่งอยู่ในตลาด  ท่านเป็นพ่อค้าที่มีสินค้ากว้างขวาง  เมื่อถึงเวลาละหมาด  ท่านก็จะละทิ้งร้านค้านั้น  แล้วมุ่งไปละหมาดที่มัสยิด  วันหนึ่งขณะท่านทำละหมาดอยู่ในมัสยิดนั้น  ปรากฏว่ามีคนเข้ามาบอกท่านว่าไฟกำลังไหม้ตลาด  และกำลังจะลุกไหม้ลามไปที่ร้านของท่านอะลี   แต่ทว่าท่านมิได้ให้ความสนใจต่อข่าวนั้นเลย  ท่านยังคงตั้งใจทำละหมาดฟัรดู  สุนัต  ซิกรุลลอฮ์  และตัสบีห์  ตามปกติวิสัยที่ท่านเคยทำเป็นนิจศีล  หลังจากนั้นท่านก็กลับไปยังตลาดอย่างจิตใจสงบนิ่ง

ท่านผู้อ่านลงพิจารณาการลงมือกระทำพร้อมกับมูลเหตุหรือภาระกิจต่าง ๆ ของท่านอะลี  บุตร ท่านอิมามอัลฮุซัยน์ซิครับ  ว่าท่านได้ทำการค้าขายในร้านค้าหรือในตลาด  ซึ่งมันเป็นภาระหน้าที่ที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงใช้ให้ปวงบ่าวกระทำ  หลังจากนั้นท่านผู้อ่านลงพิจารณาว่า  อย่างไรที่ท่านอะลี บุตร ท่านอิมามอัลฮุซัยน์  ได้ละตนเองจากผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น  กล่าวคือท่านได้มอบหมายการงานดังกล่าวอย่างสมบูรณ์ไปยังการวางแผนและการกำหนดของอัลเลาะฮ์ตะอาลาในช่วงเวลาที่ท่านกำลังปฏิบัติภาระหน้าที่ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้(คือการทำงานค้าขาย)  หลังจากนั้นท่านได้ตั้งใจทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าซึ่งเป็นภารกิจที่อัลเลาะฮ์ทรงสร้างมนุษย์มาเพื่อมัน  นั่นก็คือการทำละหมาดและอิบาดะฮ์

บางครั้งอาจจะมีบุคคลหนึ่งค้านว่า :  เมื่อทราบข่าวว่าไฟกำลังจะลุกลามไหม้ร้านค้า  ท่านอะลีก็สมควรละหมาดให้เร็วและทำละหมาดฟัรดูเพียงอย่างเท่านั้นก็ได้มิใช่หรือ?โดยไม่ต้องละหมาดสุนัตและอื่น ๆ  เพื่อเขาจะได้มีความสามารถยับยั้งไฟที่จะลุกลามร้านค้าได้?

คำตอบคือ : หากท่านอะลี บุตร ท่านอัลฮุซัยน์  ได้กำลังค้าขายในขณะที่ไฟกำลังไหม้อยู่นั้น  แน่นนอนว่าจำเป็นบนเขาต้องทุ่มเทความพยายามในการกระทำมูลเหตุต่าง ๆ (เช่นเอาน้ำมาดับไฟ เป็นต้น) เพื่อรักษาร้านค้าเอาไว้  เพราะว่าในขณะนั้นเขากำลังอยู่ในโลกแห่งมูลเหตุ( โลกแห่งการทำงานอยู่ในตลาด)  ซึ่งท่านก็จะต้องทุ่มเทสำหรับมัน  แต่เราทราบมาแล้วว่าในขณะที่ไฟกำลังไหม้  ท่านอะลีกำลังมุ่งปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า  นั่นก็คือการทำละหมาดและอิบาดะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์  ดังนั้นเมื่อเขาได้เสร็จสิ้นจากการทำงานตรงนั้นแล้ว  เขาก็มุ่งมั่นทำอิบาดะฮ์ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญญัติใช้และติดตามมาด้วยการทำอิบาดะฮ์ที่เป็นสุนัต  นั่นก็เพราะว่าเขาตระหนักและเชื่อมั่นเป็นอย่างดีแล้วว่า  การวางแผนหรือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากไฟไหม้นั้นมิใช่หวนกลับไปหาตัวเขาเองและมิใช่หวนกลับไปยังการทุ่มเทต่าง ๆ ของเขา  แต่ทว่าการวางแผนหรือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น(ว่าไฟจะไหม้ร้านค้าหรือไม่)นั้น  ได้หวนกลับไปยังอัลเลาะฮ์ตะอาลาแต่เพียงผู้เดียว

แต่กระนั้นก็ตาม  มันไม่ใช่เป็นใช่เรื่องง่ายเลยที่บุคคลหนึ่งคนใดจากเราสามารถนอบน้อมยอมจำนนท์ต่อความรู้สึกและดำเนินตามคำสอนของฮิกัมอันนี้  และถือว่าเป็นเรื่องง่ายหรือไม่ที่ความรู้สึกนึกคิดของเราจะสามารถยอมรับได้หลังจากที่เข้าใจถึงฮิกัมอันนี้ที่ว่า "ท่านจงพักผ่อนจิตใจของท่านจากการวางแผนเถิด  ดังนั้นสิ่งที่ผู้อื่นจากท่าน(คืออัลเลาะฮ์)ได้ดำเนินการแทนท่านแล้วนั้น  ท่านก็อย่าดำเนินการให้กับจิตใจของท่านเองเลย” ?!

บางครั้งในแง่ของทฤษฏีหลักความเชื่อนั้นสติปัญญาของเราจะน้อมรับคำตักเตือนของฮิกัมนี้อยู่แล้ว  แต่ทว่าการน้อมรับที่มาจากความรู้สึกภายในจิตใจนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ยากเอามาก ๆ  เนื่องจากมนุษย์มักจะเอาตนเองมาเป็นบริบทในการวางแผนและกำหนดผลลัพธ์หรือเป้าหมายที่ตนต้องการ  ดังนั้นเมื่อผลออกมาอย่างไม่เป็นไปตามที่ตนเองคาดหวังไว้   ความวิตกกังวลก็จะเกิดขึ้นแก่ตัวเขา  ความรู้สึกและความกลัดกลุ้มใจได้วนเวียนอยู่ในสมอง  ดังนั้นสภาวะดังกล่าวนี้จะไม่ทำให้อิบาดะฮ์ของเขาบริสุทธิ์ผุดผ่อง(เพราะหัวใจกลัดกลุ้มนึกแต่เรื่องดุนยาโดยลืมอัลเลาะฮ์)และเขาก็จะมิได้ลิ้มรสหวานชื่นของการซิกริลลุฮ์  การฏออัต  การอ่านอัลกุรอาน  และการทำอิบาดะฮ์ต่อพระองค์

ดังนั้นอะไรคือยาที่จะมารักษาให้ความรู้สึกอันอยากลำบากนี้มีความง่ายดาย?  และอะไรคือยาที่จะทำให้มีความรู้สึกดื่มด่ำในฮิกัมนี้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงให้เหมือนกับที่สติปัญญาได้เชื่อมั่นและให้การยอมรับ?

การเยียวยาสิ่งดังกล่าว ก็คือการซิกรุลลอฮ์ให้มาก ๆ รำลึกและมีจิตใจที่จดจ่อต่ออัลเลาะฮ์ (อัลมุรอเกาะบะฮ์) อย่างสม่ำเสมอ และหนทางที่ดียิ่งสำหรับสิ่งดังกล่าวก็คือ การเกี่ยวโยงหรือผูกเนี๊ยะอ์มัตและสิ่งอำนวยสุขต่าง ๆ ไปยังอัลเลาะฮ์ตะอาลา  ทำการอ่านวิริด(ซิกิรประจำวัน)อย่างสม่ำเสมอด้วยการอ่านอัลกุรอานอย่างพิจารณาและใคร่ครวญ  เป็นต้น  ซึ่งการเยียวเช่นนี้จะทำให้ความรักต่ออัลเลาะฮ์เกิดขึ้นในหัวใจ  ทำให้มนุษย์มีความไว้วางใจต่อฮิกมะฮ์  ความโปรดปราน และความเมตตาของพระองค์  ดังนั้นเมื่อมุสลิมคนหนึ่งได้ทำการเยียวยาเช่นนี้อย่างเป็นประจำและสม่ำเสมอ ห่างไกลจากความชั่วต่าง ๆ อย่างสุดความสามารถแล้ว   แน่นอนว่าความรู้สึกภายในของเขานั้นก็จะดื่มด่ำจากความหมายของฮิกัมอิบนุอะฏออิลและฮ์นี้

เพราะฉะนั้น  เมื่อท่านได้รับการเยียวยาดังข้างต้นอย่างสม่ำเสมอ  ท่านก็จะได้ลิ้มรสความหวานชื่นของฮิกัมนี้ และท่านจะสามารถปฏิบัติภาระกิจต่าง ๆ ไปพร้อมกับฮิกัมอย่างมีความสุขและสบายใจ  และหากมีคำถามขึ้นว่า ฮิกัมนี้มิได้ส่งเสริมให้มุสลิมมีการวางแผนในการดำเนินชีวิตหรืออย่างไร? ทั้งที่การวางแผนนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาสิ่งเสริม เราขอตอบว่า การวางแผนที่อยู่พร้อมกับการยอมจำนนท์มอบหมายต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลาผู้ทรงรอบรู้และทรงตระหนักยิ่งในการงานของเรานั้น  ถือว่าไม่เป็นไร เพราะมีฮะดิษสายรายงานฏออีฟได้กล่าวว่า

اَلتَّدْبِيْرُ نِصْفُ الْمَعِيْشَةِ

“อัตตัดบีร นิสฟุล มะอีชะฮ์”
 
"การวางแผนนั้นครึ่งหนึ่งของการดำเนินชีวิต”  รายงานโดยอัดดัยละมีย์

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ M. Rodee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 108
  • Oh ! My Lord...........
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam


             คับบัง โดยสติปัญญาน้อมรับอย่างง่ายดาย  แต่ด้วยจิตใจนั่นซิอยากเสียนี่กระไร และโดยเฉพาะการที่จะทำให้มันสม่ำเสมอมันยากสุดๆ
           
             หลังจากอ่านแล้วได้ความรู้เยอะเลย โดยเรื่องการละหมาดที่เราปฎิบัติเป็นประจำ ส่วนมากจิตใจไม่ค่อยสงบวางแผนอยู่ตลอด

             แล้วที่บังกล่าวว่า การเยียวยา คือ การซิกรุลลอฮให้มากๆ ผมเคยฟังกุรอานแปลไทย มีอายะฮนึง ผมจำไม่ได้ ที่ประมานว่า

             แท้จริง  การรำลึกถึงอัลลอฮเท่านั้น ที่ทำให้จิตใจสงบ  ไงก้อถ้าบังเจออายะฮก้อส่วนดูให้หน่อยนะคับ ผมจำไม่ได้แล้ว ขี้ลืมอะคับ  ;D   

            งัยก้อ ญาซากัลลอฮฮูค็อยรอน คับ บัง al azhary    พิมอะไรพลาดไปขอมาอัฟไว้นะที่นี้ด้วย
'การสรรเสริญนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และได้ทรงให้มีความมืดและแสงสว่าง แต่แล้วบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
ก็ยังให้มีสิ่งอื่นเท่าเทียมกับพระผู้อภิบาลของพวกเขา'
                                                                       (  อัล อันอาม  1 )

  !..... หัวใจที่รำลึก.....!
 1000 - (1) = 999

ออฟไลน์ คนเดินดิน

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1620
  • ขอให้ได้รับความโปรดปรานจากพระผู้ทรงเมตตาด้วยเถิด
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
 salam

hikam  comeback  again

ไม่ได้อ่านซะนานเชียว

อัลฮัมดูลิลลาฮ์ที่ได้มีโอกาสอ่านอีก

ญะซากุมุลลอฮูคอยร็อน

 myGreat:
เพราะรู้ดีว่าเป็นเพียงหนึ่งคนที่อ่อนแอ  จึงทำให้คำนึงถึงคุณค่าของหนึ่งชีวิต  โปรดชี้แนะแนวทางที่เที่ยงตรงด้วยเถิด  ยาร็อบบี  سَلَّمْنَا مُسْلِمِيْنَ وَمُسْلِمَاتٍ فِي الدُّنْيَا وَ الأخِرَةِ

ออฟไลน์ คนเดินดิน

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1620
  • ขอให้ได้รับความโปรดปรานจากพระผู้ทรงเมตตาด้วยเถิด
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
เข้าทางคำถามอีกแล้ว

สงสัยมานานแล้วว่าใยร่างกายกับจิตใจ

หลายต่อหลายครั้งทำงานไม่สัมพันธ์กัน

ตั้งใจทำอีกอย่างแต่ร่างกายทำอีกอย่าง

นั่นเป็นเพราะ

ALLAH  KUASA 

KITA  TAK  KUASA

ใช่รึเปล่า?

เพราะบ่อยครั้งที่อยากทำความเข้าใจ

และรู้จักตัวเองให้มากยิ่งขึ้น

แต่ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนคำถามมันเกิดกับตัวเองอย่างมากมาย

เหมือนกับยิ่งไม่รู้จักตัวเองเลย

 :-[ :-[ :-[
เพราะรู้ดีว่าเป็นเพียงหนึ่งคนที่อ่อนแอ  จึงทำให้คำนึงถึงคุณค่าของหนึ่งชีวิต  โปรดชี้แนะแนวทางที่เที่ยงตรงด้วยเถิด  ยาร็อบบี  سَلَّمْنَا مُسْلِمِيْنَ وَمُسْلِمَاتٍ فِي الدُّنْيَا وَ الأخِرَةِ

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
             แล้วที่บังกล่าวว่า การเยียวยา คือ การซิกรุลลอฮให้มากๆ ผมเคยฟังกุรอานแปลไทย มีอายะฮนึง ผมจำไม่ได้ ที่ประมานว่า

             แท้จริง  การรำลึกถึงอัลลอฮเท่านั้น ที่ทำให้จิตใจสงบ  ไงก้อถ้าบังเจออายะฮก้อส่วนดูให้หน่อยนะคับ ผมจำไม่ได้แล้ว ขี้ลืมอะคับ  ;D   

คงเป็นอายะฮ์นี้

اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

 

GoogleTagged