ผู้เขียน หัวข้อ: มาแก้ศิยามตามสุนนะฮฺกันเถอะ  (อ่าน 1744 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ GeT

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 453
  • اللهم اعط منفقا خلفا
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาแก้ศิยามตามสุนนะฮฺกันเถอะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ย. 02, 2008, 09:57 PM »
0
1. ความหมายที่เกี่ยวข้อง
“อิฟฏอร” แปลว่าทานอาหารเช้า หรือแก้ศิยาม
“ฟิฏร่น” มีความหมายตรงข้ามกับศิยาม (อยู่ในสภาพที่ไม่ได้ถือศิยาม) และคนที่อยู่ในสภาพที่ไม่ได้ถือศิยามเรียกว่า “มุฟฏิร”
สิ่งที่ทำให้ศิยามเป็นโมฆะและใช้ไม่ได้ เรียกว่า “มุฟัตฏิรอต”
“ฟะฏูร” แปลสิ่งที่ใช้ทานเป็นอาหารเช้า หรือสิ่งที่ใช้ทานเพื่อแก้ศิยาม ส่วน “ฟุฏูร” แปลว่าพฤติกรรมการทานอาหารเช้าหรือแก้ศิยาม
“ตัฟฏีร” แปลว่าให้ทานอาหารเช้า หรือให้ทานแก้ศิยาม (ลิสาน อัลอะร็อบ, เล่ม 10 หน้า 288, อัสศิหาหฺ, เล่ม 2 หน้า 781)

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาแก้ศิยามตามสุนนะฮฺกันเถอะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.ย. 02, 2008, 09:58 PM »
0
2. จะแก้ศิยามเมื่อใดถึงจะถูกสุนนะฮฺ?
อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
((ثُمَّ أَتِمُّواْ ٱلصّيَامَ إِلَى ٱللَّيْلِ))
“เสร็จแล้วพวกเจ้าก็จงถือศิยามให้ครบสมบูรณ์จนถึงเวลาพลบค่ำ”  (อัลบะเกาะเราะฮฺ, 187)

อัตเฏาะบะรีย์กล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงขอบเขตของเวลาศิยามว่าจะไปสิ้นสุดยามที่กลางคืนมาถึง...ดังนั้นจึงแสดงว่าไม่มีการศิยามในเวลากลางคืน”  (ญามิอุลบะยานฟีตะวีลอายิลกุรอาน, เล่ม 3 หน้า 532)

อัลกุรฏุบีย์กล่าวว่า “เป็นคำสั่งที่มีความหมายว่าวาญิบโดยปราศจากความขัดแย้ง และ(เป็นคำสั่งให้ถือศิยาม) จนถึงจุดสิ้นสุด... ดังนั้นพระองค์จึงทรงตั้งเงื่อนไขให้ถือศิยามจนครบสมบูรณ์จนแน่ชัดว่าเวลากลางคืนได้มาถึงแล้ว (จึงอนุญาตให้แก้ได้)”  (อัลญามิอฺลิอะหฺกามอัลกุรอาน, เล่ม 2 หน้า 327)

อิบนุกะษีรกล่าวว่า “จำเป็นต้องแก้ศิยามเมื่อตะวันลับขอบฟ้าทั้งด้านหุกมและด้านชะริอะฮฺ” (ตัฟสีรอัลกุรอานอัลอะซีม, เล่ม 1 หน้า 322)

อุมัร บิน อัลค็อตฏอบ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
((إِذَا أَقْبَلَ اللَّيْلُ مِنْ هَاهُنَا، وَأَدْبَرَ النَّهَارُ مِنْ هَاهُنَا، وَغَرُبَتِ الشَّمْسُ، فَقَدْ أَفْطَرَ الصَّائِمُ))
“เมื่อกลางคืน (เวลาพลบค่ำ) ได้ย่างกรายเข้ามาจากที่นี่ (ทิศตะวันออก) และเวลากลางวันก็ได้คล้อยหลังไปจากที่นี่ (ทิศตะวันตก) และดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ดังนั้นแท้จริง (เท่ากับว่า) ผู้ถือสิยามได้แก้ศิยามแล้ว”  (หมายความว่า เวลาสำหรับการศิยามได้สิ้นสุดลงแล้ว) (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เลขที่ 1954, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1100)

อัลค็อตฏอบีย์กล่าวว่า “คำว่า (ผู้ถือสิยามได้แก้ศิยามแล้ว) หมายถึง ผู้ศิยามกลายเป็นคนที่อยู่ในสภาพ (หุกม) ของผู้ที่แก้ศิยามแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ทานสิ่งใดเพื่อแก้ศิยามก็ตาม” และบางคนตีความว่า “หมายถึงเวลาสำหรับแก้ศิยามได้มาถึงแล้ว และได้เวลาที่เขาจะต้องแก้ศิยามแล้ว”  (มะอาลิม อัสสุนัน, เล่ม 3 หน้า 234)

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาแก้ศิยามตามสุนนะฮฺกันเถอะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.ย. 02, 2008, 09:59 PM »
0
อิบนุลมุลักกินกล่าวว่า “สิ่งที่ได้ประโยชน์จากหะดีษนี้คือ การชี้แจงเกี่ยวกับเวลาสำหรับถือศิยามและการกำหนดขอบเขตของมัน และเป็นการตอบโต้ชาวคัมภีร์และกลุ่มชีอะฮฺที่กล่าวว่า “ไม่อนุญาตให้แก้ศิยามจนกว่าดวงดาวจะปรากฏบนฟากฟ้า และแท้จริงคำสั่งของชะริอะฮฺนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำลึกกว่าความรู้สึก หรือประสาทสัมผัสทั้งห้า และแท้จริงสติปัญญาไม่สามารถมีบทบาทเหนือชะรีอะฮฺ แต่ทว่าชะริอะฮฺต่างหากที่ต้องมีบทบาทเหนือสติปัญญา โดยที่ชะริอะฮฺถือว่าการเข้าเวลากลางคืนเป็นเวลาแก้ศิยาม” (อัลอิอฺลามบิฟะวาอิดอุมดะตุลอะหฺกาม, เล่ม 3 หน้า 316)

อับดุลลอฮฺ บิน อบีเอาฟา เล่าว่า “พวกเราเคยเดินทางกับท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมในการเดินครั้งนึ่งซึ่งท่านอยู่ในสภาพที่ศิยาม พอตะวันลับขอบฟ้าลง ท่านก็กล่าวแก่บางคนในกลุ่มว่า “โอ้ท่านจงลุกขึ้นแล้วจงนำแป้งไปผสมกับน้ำหรือนมและคนให้เข้ากัน” ชายคนนั้นตอบว่า “กลางวันยังมีอยู่” ท่านตอบว่า “จงลงไปแล้วนำแป้งไปผสมกับน้ำหรือนมและคนให้เข้ากัน” ชายคนนั้นกล่าวอีกว่า “โอ้ท่านรสุลุลลอฮฺถ้าท่านรอให้สายอีกสักหน่อย” ท่าน (ยังคง) ตอบว่า “จงลงไปแล้วนำแป้งไปผสมกับน้ำหรือนมและคนให้เข้ากัน” ชายคนนั้นตอบว่า “กลางวันยังมีอยู่” ท่านตอบว่า “จงลงไปแล้วนำแป้งไปผสมกับน้ำหรือนมและคนให้เข้ากัน” ดังนั้นชายคนนั้นจึงลงจากหลังม้าและทำการผสมแป้งกับน้ำหรือนมและคนให้เข้ากันสำหรับ (เป็นอาหารแก้ศิยามของ) พวกเขา ดังนั้นนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมจึงดื่มมัน และกล่าวว่า
((إِذَا رَأَيْتُمُ اللَّيْلَ قَدْ أَقْبَلَ مِنْ هَاهُنَا فَقَدْ أَفْطَرَ الصَّائِمُ))
“เมื่อพวกเจ้าเห็นกลางคืน (เวลาพลบค่ำ) ได้ย่างกรายเข้ามาจากที่นี่ (ทิศตะวันออก) แท้จริง (เท่ากับว่า) ผู้ถือสิยามได้แก้ศิยามแล้ว” (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เลขที่ 1955, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1101)

อันนะวะวีย์กล่าวว่า “ความหมายของหะดีษคือท่านรสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมและบรรดาเศาะหาบะฮฺกำลังอยู่ในระหว่างการศิยามและเป็นการศิยามในเดือนรอมฎอน ดังนั้นพอดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าลง ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมจึงได้สั่งให้เขานำแป้งไปผสมกับน้ำหรือนมและคนให้เข้ากันเพื่อแก้ศิยาม แต่ผู้ถูกสั่งเห็นว่าร่องรอยแห่งแสงสว่างและแสงสีเหลืองหลังดวงอาทิตย์ยังมีอยู่ จึงคิดว่ายังไม่อนุญาตให้แก้ศิยามจนกว่าแสงสว่างเหล่านั้นจะจางหายไปเสียก่อน... และการทวนคำพูดของเขาเพื่อให้ท่านนบีทบทวนคำสั่ง เนื่องเพราะเขาเชื่อว่ามันยังเป็นเวลากลางวันที่ยังไม่อนุญาตให้กิน พร้อมกับมีความเป็นไปได้ว่าท่านนบียังไม่ได้สังเกตถึงแสงสว่างดังกล่าวอย่างรอบคอบ ดังนั้นเขาจึงอยากจะประกาศให้ทราบว่าแสงสว่างของกลางวันยังมีอยู่”  (ชัรหฺเศาะหีหฺมุสิลม, เล่ม 8 หน้า 218)

อิบนุหะญัรกล่าวว่า “ในหะดีษนี้ส่วงเสริมให้รีบแก้ศิยาม และเมื่อใดที่แน่ใจว่าดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าลงแล้วก็อนุญาตให้แก้ศิยามทันที”  (ฟัตหุลบารีย์, เล่ม 4 หน้า 197)

อิบนุอับดิลบัรรกล่าวว่า “ส่วนหนึ่งของสุนนะฮฺคือรีบเร่งแก้ศิยามและทานสะหูรให้ล่าช้า และการรีบเร่งแก้ศิยามจะทำได้ก็ต่อเมื่อแน่ใจว่าดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าลงแล้ว และไม่อนุญาตให้ผู้ใดแก็ศิยามในขณะที่ตัวเองไม่แน่ใจว่าดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าลงหรือยัง”  (อัตตัมฮีด, เล่ม 21 หน้า 98)

อิบุหะญัรกล่าวว่า “ส่วนหนึ่งของอุตริกรรมที่น่ารังเกียจคือสิ่งที่ได้สร้างขึ้นในสมัยนี้ด้วยการอาซานครั้งที่สองในเดือนรอมฎอนก่อนเข้าเวลาฟะญัรประมาณ 20 นาที โดยผู้ที่กระทำการดังกล่าวอ้างว่าเป็นการเพื่อเป็นการระมัดระวังในการอิบาดะฮฺ...และจนกลายเป็นว่าจะไม่ทำการอาซานนอกจากหลังจากที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าลงแล้วในระดับที่พวกเขาอ้างว่าเพื่อความแน่นอนของเวลา พวกเขาได้ล่าช้าในการแก้ศิยามและรีบเร่งในการทานสะหูร และพวกเขาได้ปฏิบัติที่ค้านกับสุนนะฮฺ...” (ฟัตหุลบารีย์, เล่ม 4 หน้า 199)

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาแก้ศิยามตามสุนนะฮฺกันเถอะ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.ย. 02, 2008, 09:59 PM »
0
3. ทำไมจึงส่งเสริมให้รีบแก้ศิยามทันทีที่พลบค่ำ
ก. การรีบเร่งแก้ศิยามทำให้เกิดความดี
สะฮฺล บินสะอีด เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
((لاَ يَزَالُ النَّاسُ بِخَيْرٍ مَا عَجَّلُوْا الْفِطْرَ))
“มนุษย์จะยังคงอยู่ในความดี (มีสุขภาพดี) ตราบใดที่พวกเขารีบเร่งในการแก้ศียาม” (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เลขที่ 1957, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 2513)

อัลมะฮฺลับกล่าวว่า “เหตุที่ท่านนบีศ็อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะสัลลัมกระตุ้นให้รีบเร่งแก้ศิยามนั้น เพื่อไม่ให้มีการเพิ่มเติมส่วนหนึ่งของเวลากลางคืนเข้าไปในเวลากลางวัน เพราะจะกลายเป็นการเพิ่มเติมในส่วนที่อัลลอฮฺได้ทรงบังคับไว้ และเนื่องเพราะการรีบเร่งแก้ศิยามนั้นเป็นการกรุณาอย่างยิ่งต่อผู้ศิยามและทำให้เขามีแรงสำหรับศิยามต่อไป” (ชัรหฺอิบนุบัตฏอลอะลาเศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 4 หน้า 104)

ข. การรีบเร่งแก้ศิยามเป็นสุนนะฮฺของท่านรสูล
สะฮฺล บินสะอีด เล่ว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
((لاَ تَزَالُ أُمَّتِي عَلَى سُنَّتِي مَا لَمْ تَنْتَظِرْ بِفِطْرِهَا النُّجُوْمَ))
“ประชาชาติของฉันจะยังดำรงอยู่บนสุนนะฮฺของฉัน ตราบใดที่พวกเขาไม่รอคอยการปรากฏของดวงดาวเพื่อการแก้ศิยามของพวกเขา” (เศาะหีหฺอิบนุคุซัยมะฮฺ, เลขที่ 2061, เศาะหีหฺอิบนุหิบบาน, เลขที่ 3510)

กอฎีอิยาฎกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้ให้สัญญาณว่าความเสื่อมเสียของสิ่งต่างๆจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสุนนะฮฺเช่นนี้นั่นคือรีบเร่งแก้ศิยาม และความล่าช้าในการแก้ศิยามและการปฏิบัติที่ค้านกับสุนนะฮฺในการดังกล่าวเสมือนกับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเสื่อมเสียของสิ่งต่างๆ” (อิกมาลอัลมุอฺลิม, เล่ม 4 หน้า 33)

อิบนุดะกีกุลอัยด์กล่าวว่า “ในหะดีษนี้เป็นหลักฐานสำหรับโต้พวกชีอะฮฺซึ่งพวกเขาจะชักช้าในการแก้ศิยามจนกว่าดวงดาวจะปรากฏบนฟากฟ้า และบางทีนี่คือสาเหตุทำให้มนุษย์ยังคงอยู่ในความดีตราบใดที่พวกเขารีบเร่งแก้ศิยาม เพราะถ้าพวกเขาชักช้า พวกเขาก็จะรวมอยู่ในบรรดาผู้ที่ปฏิบัติค้านกับสุนนะฮฺ และพวกเขาจะดำรงอยู่ในความดีตราบใดที่พวกเขายังปฏิบัติและยึดมั่นตามสุนนะฮฺ” (อิหฺกามอัลอะหฺกาม, เล่ม 2 หน้า 232)

ค. การรีบเร่งแก้ศีลอดเป็นการปฏิบัติที่ค้านกับชาวคัมภีร์
มีรายงานจากอะบีฮุรอยเราะฮฺแจ้งว่า ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
((لاَ يَزَالُ الدِّيْنُ ظَاهِراً مَا عَجَّلَ النَّاسُ الْفِطْرَ؛ لأَنَّ الْيَهُوْدَ وَالنَّصَارَى يُؤَخِّرُوْنَ))
“ศาสนายังคงยืนหยัดอย่างโดดเด่น ตราบใดที่มนุษย์ยังคงรีบเร่งแก้ศิยาม เพราะชาวยิวและคริสต์จะทำให้การแก้ศิยามล่าช้าลง” (มุสนัดอะหมัด, เล่ม 2 หน้า 450, สุนันอบูดาวูด, เลขที่ 2353, เศาะหีหฺอิบนุคุซัยมะฮฺ, เลขที่ 2060, เศาะหีหฺอิบนุหิบบาน, เลขที่ 353)

อัตฏีบีย์กล่าวว่า “ในการแจ้งเหตุผลข้างต้นเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าความเสถียรภาพของศาสนาจะขึ้นอยู่กับการปฏิบัติที่ขัดแย้งกับศัตรูชาวคัมภีร์ และการการปฏิบัติที่สอดคล้องกับพวกเขาเป็นการสร้างความแตกร้าวในศาสนา” (ชัรหฺอัตฏีบีย์อะลาอัลมิชกาต, เล่ม 4 หน้า 156)

อิบนุอัลมุลักกินกล่าวว่า “การที่ศาสนายังคงยืนหยัดอย่างโดดเด่นด้วยการรีลบเร่งแก้ศิยามตามรายงานที่เราได้กล่าวมา เนื่องเพราะการรีบเร่งแก้ศิยามเป็นการเปิดเผยสุนนะฮฺ เพราะแท้จริงความดีทั้งหลายจะขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามสุนนะฮิและความเสียหายทั้งหลายจะขึ้นอยู่กับการปฏิบัติที่ค้านกับสุนนะฮฺ... ดังนั้นกิจการของประชาชาตินี้จะยังคงเป็นระบบและพวกเขาจะยังคงดำรงอยู่ในความดีตราบใดที่พวกเขายังคงดำรงอยู่บนสุนนะฮฺการรีบเร่งแก้ศิยาม และเมื่อใดที่พวกเขาทำให้มันล่าช้าลง นั่นคือสัญญาณแห่งความเสียหายที่พวกเขาจะได้รับจากการกระทำดังกล่าว” (อัลอิอฺลามบิฟะวาอิดอุมดะตุลอะหฺกาม, เล่ม 5 หน้า 310)

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาแก้ศิยามตามสุนนะฮฺกันเถอะ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ก.ย. 02, 2008, 10:00 PM »
0
4. แก้ศิยามก่อนละหมาดมัฆริบ
อนัส เล่าว่า
كَانَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُفْطْرُ عَلَى رُطَبَاتٍ قَبْلَ أَنْ يُصَلِّي
“ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมจะแก้ศิยามด้วยลูกอินผลัมไม่กี่เม็ดก่อนจะทำการละหมาดมัฆริบ” (มุสนัดอะหมัด, เล่ม 3 หน้า 164, สุนันอบูดาวูด, เลขที่ 2339, มุสตักร็อกอัลหากิม, เล่ม 1 หน้า 432 (ดู อิรวาอฺอัลเฆาะลีล, เลขที่ 922))


كَانَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا كَانَ صَائِماً لَمْ يُصَلِّ حَتَّى نَأْتِيَهُ بِرُطَبٍ وَمَاءٍ
“ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมื่อท่านถือศิยามท่านจะไม่ละหมาดมัฆริบ จนกว่าเราจะนำผลรุฏ็อบ (อินผลัมสด) และน้ำ (มาให้ท่านแก้ศิยามเสียก่อน)”  (เศาะหีหฺอิบนุคุซัยมะฮฺ, เลขที่ 2065, มุสนัดอบูยะอฺลา, เลขที่ 3792, เศาะหีหฺอิบนุหิบบาน, เลขที่ 3504)

มะหฺมูดค็อตฏอบ อัสสุบกีย์กล่าวว่า “ในหะดีษนี้ส่งเสริมให้รีบเร่งแก้ศิยามก่อนที่จะไปละหมาดมัฆริบ” (อัลมันฮัลอัลอัซบุอัลเมารูด, เล่ม 10 หน้า 79)

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาแก้ศิยามตามสุนนะฮฺกันเถอะ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ก.ย. 02, 2008, 10:01 PM »
0
5. อาหารสำหรับแก้ศิยาม
อนัส เล่าว่า
((كَانَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُفْطْرُ قَبْلَ أَنْ يُصَلِّيَ عَلَى رُطَبَاتٍ، فَإِنْ لَمْ تَكُنْ رُطَبَاتٍ فَتَمَرَاتٍ، فَإِنْ لَمْ تَكُنْ تَمَرَاتٌ حَسَا حَسَوَاتٍ مِنْ مَاءٍ))
“ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมจะแก้ศิยามด้วยลูกอินผลัมไม่กี่เม็ดก่อนจะทำการละหมาดมัฆริบ หากไม่มีลูกอินปลัมสดท่านก็จะแก้ศิยามด้วยลูกอนทผลัมแห้ง (ตะมัร) และหากไม่มีลูกอินทผลัมแห้งท่านก็จะแก้ศิยามด้วยการดื่มน้ำช้าๆเพียงไม่กี่อึก” (มุสนัดอะหมัด, เล่ม 3 หน้า 164, สุนันอบูดาวูด, เลขที่ 2339, มุสตักร็อกอัลหากิม, เล่ม 1 หน้า 432 (ดู อิรวาอฺอัลเฆาะลีล, เลขที่ 922))

อัชเชากานีย์กล่าวถึงเหตุผลที่ส่งเสริมให้แก้ศิยามด้วยอินทผลัมว่า “เหตุผลที่มีบัญญัติให้แก้ศิยามด้วยผลอินทผลัมแห้งเพราะมันหวาน และทุกๆสิ่งที่มีความหวานจะสามารถสร้างความแข็งแรง (และความกระชุ่มกระชวย) ให้แก่สายตาซึ่งได้อ่อนเพลียลงเพราะการถือศิยาม นี่คือเหตุผลที่ดีที่สุดมีกล่าวเกี่ยวกับสิ่งนี้ และในเมื่อเหตุผลที่ส่งเสริมให้แก้ศิยามด้วยผลอิทผลัมเพราะความหวานของมัน และความหวานดังกล่าวมีผล (ในการเสริมสร้างความสึกหรอของ) ร่างกาย ดังนั้นจึงมีความหมายรวมถึงของหวานประเภทอื่นๆด้วย ยิ่งหวานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความประเสริฐมากเท่านั้น...”  (นัยลุลเอาฏอร, เล่ม 4 หน้า 262)

ดร. ก็อบบานีย์กล่าวสาธยายถึงประโยชน์ของการแก้ศิยามด้วยผลอินทผลัมว่า “โดยปกติแล้วพลังงานส่วนใหญ่ที่อยู่ในร่างกายของผู้ถือศิยามจะถูกเผาผลาญให้หมดไปในช่วงกลางวันของเขา หมายความว่า น้ำตาลที่ถูกสะสมไว้ในเส้นเลือดตามร่างกายจะถูกเผาผลาญ และความลดต่ำลงของน้ำตาลในเส้นเลือดจากระดับปกติเป็นเหตุให้ผู้ถือสิยามรู้สึกอ่อนเพลีย ขี้เกียจ สายตาเมื่อยหล้า ไม่สามารถใช้ความคิดและเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องซ่อมเสริมร่างกายของเราด้วยจำนวนของน้ำตาลที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายขณะแก้ศิยาม ดังนั้นเราจึงเห็นว่าผู้ถือศิยามที่มีความอ่อนเพลียและขี้เกียจในช่วงท้ายของการถือศิยาม พลังของเขาจะกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและร่างกายจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและกระฉับกระเฉงภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ถ้าเขาเลือกแก้ศิยามด้วยอาหารประเภทน้ำตาลเพียงอย่างเดียว ด้วยการทานผลอินทผลัมเพียงไม่กี่เม็ดตามด้วยน้ำหรือนมอีกหนึ่งแก้ว และหลังจากนั้นสักระยะหนึ่ง (ละหมาดฟัรฎูมัฆริบและสุนนะฮฺบะอฺดิยะฮฺให้เรียบร้อยเสียก่อน) จึงค่อยทานอาหารตามปกติ การแก้ศิยามตามกระบวนการที่ว่านี้จะมีผลดีคือ กระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานหนักหลังจากที่ได้หยุดพักและนอนหลับตลอดระยะเวลา 12 ชั่วโมงโดยประมาณ แต่จะเริ่มทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการย่อยผลอินทผลัมที่ดูดซึมได้ง่ายและรวดเร็ว หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่งโมงจึงค่อยจัดการกับอาหารตามปกติ...”  (อัลเฆาะซาอฺ ลา อัดดะวาอฺ, หน้า 126)

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาแก้ศิยามตามสุนนะฮฺกันเถอะ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ก.ย. 02, 2008, 10:01 PM »
0
6. เมื่อไม่มีผลอินทผลัมจะเริ่มแก้ศิยามกับของหวานหรือว่ากับน้ำก่อน
ดังที่ได้ยกทัศนะของอัชเชากานีย์มาแล้วว่า “เหตุผลที่มีบัญญัติให้แก้ศิยามด้วยผลอินทผลัมแห้งเพราะมันหวาน และทุกๆสิ่งที่มีความหวานจะสามารถสร้างความแข็งแรง (และความกระชุ่มกระชวย) ให้แก่สายตาซึ่งได้อ่อนเพลียลงเพราะการถือศิยาม” ดังนั้นในกรณีที่ไม่มีผลอินทผลัมสำหรับแก้ศิยาม เราควรแก้ศิยามกับอาหารหวานก่อนเพื่อให้ร่างกายได้ซึมซับน้ำตาลไปเลี้ยงร่างกาย หรือว่าควรดื่มน้ำก่อนตามลำดับของสุนนะฮฺนบีที่รุบะว่า “ถ้าไม่มีผลอินทผลัมก็ให้ดื่มน้ำแทน”?
”เชคอิบนุอุษัยมีนได้ตั้งคำถามไว้ว่า “เมื่อใครคนหนึ่งมีเพียงน้ำผึ้งกับน้ำบริสุทธิ์อยู่ เขาจะเริ่มแก้ศิยามกับอะไรก่อนดี?” แล้วท่านก็ตอบว่า “ควรเริ่มแก้ศิยามกับน้ำก่อน เพราะรสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า “เมื่อไมมีผลอิทผลัมแห้งก็จงแก้ศิยามด้วยน้ำ เพราะแท้จริงน้ำเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์” แต่ว่า ถ้าเขาจะดื่มน้ำก่อนหน่อยหนึ่งแล้วตามด้วยน้ำผึ้งก็ไม่เป็นไร จะอย่างไรก็ตามการแก้ศิยามกับน้ำต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด”  (อัลชัรหฺอัลมุมติอฺ, เล่ม 6 หน้า 442) วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาแก้ศิยามตามสุนนะฮฺกันเถอะ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ก.ย. 02, 2008, 10:02 PM »
0
7. ดุอาอฺขณะแก้ศิยาม
อนัส บินมาลิกเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
((ثَلاَثُ دَعْوَاتٍ لاَ تُرَدُّ : دَعْوَةُ الْوَاْلِدِ، وَدَعْوَةُ الصَّائِمِ، وَدَعْوَةُ الْمُسَافِرِ))
“ดุอาอฺสามประเภทที่จะไม่ถูกผลักไส คือดุอาอฺของบุพการี(บิดามารดา) ดุอาอฺของผู้ถือศิยาม และดุอาอฺของผู้เดินทาง”  (สุนันอัลบัยฮะกีย์, เลขที่ 6185, เล่ม 3 หน้า 345 (ดู อัลสัลสะละฮฺอัสเศาะหีหะหฺ, เลขที่ 1797))

อิบนุอุมัรเล่าว่า ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมเมื่อท่านจะแก้ศิยามท่านจะกล่าวว่า
«ذَهَبَ الظَّمَأُ، وَابْتَلَّتِ الْعُرُوقُ، وَثَبَتَ الأَجْرُ، إِنْ شَاءَ اللَّهُ»
“ความกระหายได้สูญสิ้นไปแล้ว เส้นโลหิตได้ชุ่มชื่น และได้รับการตอบแทนอย่างแน่นอน อินชาอัลลอฮฺ”  (สุนันอบูดาวูด, เลขที่ 2340, สุนันอันนะสาอีย์อัลกุบรอว์, เลขที่ 3329, สุนันอัดดาเราะกุฎนีย์, เล่ม 2 หน้า 185, มุสตักร็อกอัลหากิม, เล่ม 1 หน้า 422, สุนันอัลบัยฮะกีย์, เล่ม 4 หน้า 239 (ดู เศาะหีหฺสุนันอบีดาวูด, เลขที่ 2066))

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาแก้ศิยามตามสุนนะฮฺกันเถอะ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ก.ย. 02, 2008, 10:03 PM »
0
8. เตรียมอาหารแต่พอดีและไม่ฟุ่มเฟือย
อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
((وكُلُواْ وَاشْرَبُواْ وَلاَ تُسْرِفُواْ إِنَّهُ لاَ يُحِبُّ الْمُسْرِفِينَ))
“และพวกเจ้าจงกินและจงดื่ม และจงอย่าฟุ่มเฟือย แท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ฟุ่มเฟือย” (อัล-อะอฺรอฟ, 31)

อิบนุอับบาสกล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงอนุญาตในอายะฮฺนี้ให้กินดื่ม ตราบใดที่ไม่เป็นการฟุ่มเฟือย หรือหยิ่งยะโส” (อัลกุรฏุบีย์, อัลญามิอฺลิอะหฺกาม อัลกุรอาน, เล่ม 7 หน้า 191)

อิบนุล อะเราะบีย์กล่าวว่า “ความฟุ่มเฟือยคือการเลยเถิดออกจากขอบเขตที่เที่ยงตรง บางครั้งเกิดจากการล้วงล้ำขอบเขตของสิ่งที่หะลาลไปสู่สิ่งที่หะรอม... และบางครั้งเกิดความฟุ่มเฟือยในอาหารการกิน เมื่อมีการกินอิ่มจนเกินไปจนกลายเป็นโทษและอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งการกินเป็นสิ่งที่หะรอมเช่นกัน” (อะหฺกามอัลกุรอาน, เล่ม 4 หน้า 207)

อัลกุรฏุบีย์กล่าวว่า “คำตรัสที่ว่า “จงอย่าฟุ่มเฟือย” หมายถึง การทานอาหารที่มากมาย และเกิดขึ้นกับการดื่มที่มากมายเช่นกัน เพราะจะทำให้หนักกระเพาะอาหาร และจะเป็นอุปสรรค์ต่อการทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ และการทานแต่เพียงพอดีเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง และหากทานเกินกว่านั้นจนไม่สามารถลุกขึ้นปฏิบัติหน้าที่ที่จำเป็นต้องกระทำก็ถือว่าหะรอมสำหรับเขา และแท้จริงเขาได้กระทำการฟุ่มเฟือยในอาหารและเครื่องดื่มของเขาแล้ว” (อัลญามิอฺลิอะหฺกาม อัลกุรอาน, เล่ม 7 หน้า 194)

นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
((كُلُوْا وَاشْرَبُوْا وَتَصَدَّقُوْا وَالْبَسُوْا مَالَمْ يُخَالِطْهُ إِسْرَافٌ أَوْ مَخِيْلَةٌ))
“พวกเจ้าจงทาน จงดื่ม จงให้บริจาคทาน และจงแต่งกาย ตราบใดที่ไม่มีการปะปนกับความฟุ่มเฟือยและความหยิ่งยะโส” (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 5 หน้า 2181 (ตะอฺลีก), มุศ็อนนัฟอิบนุอบีชัยบะฮฺ, เล่ม 5 หน้า 125, มุสนัดอะหมัด, เล่ม 2 หน้า 181, สุนันอันนะสาอีย์, เลขที่ 2558, สุนันอิบนุมาญะฮฺ, เลขที่ 3595, มุสตัดร็อกอัลหากิม, เล่ม 4 หน้า 125 (ดู เศาะหีหฺอิบนุมาญะฮฺ, เลขที่ 2904, เล่ม 2 หน้า 284, มิชกาตอัลมะศอบีหฺ, เลขที่ 4381))

อัลมุนาวีย์กล่าวว่า “หะดีษนี้ครอบคลุมความประเสริฐในการดูแลตนเองของแต่ละคน และความฟุ่มเฟือยเกิดโทษต่อร่างกายและค่าใช้จ่าย ส่วนความหยิ่งยะโสก็เกิดโทษทั้งต่อจิตใจ ซึ่งทำให้รู้สึกสำคัญตัวเอง ต่อโลกซึ่งผู้คนต่างจะพากันประณาม และต่อวันอาคิเราะฮฺซึ่งจะได้รับผลตอบแทนที่เป็นบาป” (ฟัยฎุลเกาะดีร, เล่ม 5 หน้า 46)

นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
((مَا مَلأَ آدَمَيٌّ وِعَاءً شَرًّا مِنْ بَطْنٍ حَسَبُ الآدَمِيِّ لُقَيْمَاتٍ يَقُمْنَ صُلْبَهُ فَإِنْ غَلَبَتْ الآدَمِيَّ نَفْسُهُ فَثُلُثٌ لِلطَّعَامِ وَثُلُثٌ لِلشَّرَابِ وَثُلُثٌ لِلنَّفْسِ))
“ลูกหลานอาดัมไม่เติมเต็มภาชนะใดที่เลวร้ายไปกว่าท้อง (กระเพาะอาหาร) เพียงพอแล้วสำหรับลูกหลานอาดัมกับอาหารเพียงไม่กี่คำที่ทำให้ร่างกายสามารถยืนหยัด และหากแม้นว่าตัณหาได้ครอบงำเขา (ไม่สามารถยับยั้งได้) ก็จง (แบ่งกระเพาะเป็นสามส่วน) ส่วนหนึ่งสำหรับอาหาร ส่วนหนึ่งสำหรับเครื่องดื่ม และอีกส่วนหนึ่งสำหรับไว้หายใจ” (มุสนัดอะหมัด, เล่ม 4 หน้า 132, สุนันอัตติรมิซีย์, เลขที่ 2380, สุนันอิบนุมาญะฮฺ, เลขที่ 3349, เศาะหีหฺอิบนุหิบบาน, เลขที่ 674, มุสตัดร็อกอัลหากิม, เล่ม 4 หน้า 331 (ดู อิรวาอฺอัลเฆาะลีล, เลขที่ 1983))

อิบนุเราะญับกล่าวว่า “หะดีษนี้เป็นแหล่งที่มาหลักและครอบคลุมสำหรับแหล่งที่มาของการแพทย์ทั้งหลาย... ส่วนประโยชน์สำหรับจิตใจและสุขภาพของมันจากการลดอาหารให้น้อยลงคือ การทานอาหารน้อยจะทำให้จิตใจอ่อนโยน ทำให้เข้าใจง่าย ทำลายตัณหา อารมณ์และความโกรธอ่อนตัวลง ส่วนการทานอาหารมากจะทำให้เกิดสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่กล่าวมา” (ญามิอุลอุลูมวัลหิกัม, เล่ม 2 หน้า 468)

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มาแก้ศิยามตามสุนนะฮฺกันเถอะ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ก.ย. 02, 2008, 10:03 PM »
0
9. เลี้ยงอาหารแก่ผู้ถือศิยาม
ซัยดฺ บิน คอลิด อัล-ญุฮะนีย์ เล่าว่า ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
«مَنْ فَطَّرَ صَائِمًا كَانَ لَهُ مِثْلُ أَجْرِهِ غَيْرَ أَنَّهُ لاَ يَنْقُصُ مِنْ أَجْرِ الصَّائِمِ شَيْئًا»
“ผู้ใดเลี้ยงอาหารละศิยามแก่ผู้ถือศิยาม เขาจะได้ผลบุญ (จากการเลี้ยงอาหารดังกล่าว) เท่ากับผลบุญของผู้ถือศิยาม โดยที่ผลบุญ (จากการถือศิยาม) ของผู้ถือศิยามจะไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด” (มุสนัดอะหมัด, เล่ม 4 หน้า 114, สุนันอัตติรมิซีย์, เลขที่ 807, สุนันอิบนุมาญะฮฺ, เลขที่ 1746, เศาะหีหฺอิบนุหิบบาน, เลขที่ 3429)

อิบนุลอะเราะบีย์กล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮฺ – ด้วยความประเสริฐที่เปี่ยมล้นต่อบ่าวของพระองค์ –ได้ทรงตอบแทนหรือให้รางวัลแก่พวกเขาในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทดสอบไว้ ทั้งในสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งให้ปฏิบัติและทรงห้ามปฏิบัติ ไม่ใช่เพราะสิทธิที่พวกเขาพึงได้รับ แล้วพระองค์ก็ทรงเพิ่มพูนให้แก่พวกเขา-ด้วยความประเสริฐของพระองค์-เป็นเท่าทวีคูณ หลังจากนั้นพระองค์ทรงเพิ่มให้แก่พวกเขาอีก –ด้วยความประเสริฐของพระองค์- ด้วยการตอบแทนผลบุญแก่ผู้ที่ช่วยเหลือผู้อื่น (การเลี้ยงอาหารละศิยาม) เท่ากับผลบุญของผู้ที่ถูกเขาช่วยเหลือ (ผลบุญของผู้ถือสิยาม) โดยที่ผลบุญ (จากการถือศิยาม) ของผู้ถือศิยามจะไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด...”  (อาริเฎาะฮฺอัลอะหฺวะซีย์, เล่ม 4 หน้า 21)

อาลี อัลกอรี กล่าวว่า “ผลบุญที่เขาได้รับนั้น เพราะเป็นการช่วยเหลือบนการตักวาและชี้นำสู่ความดี” (มิรกอตอัลมะฟาติหฺ, เล่ม 4 หน้า 487)

 

GoogleTagged