การขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮุ
"อุมัรุในฐานะเคาะลีฟะฮุคนที่สองของอิสลาม"
ในระหว่างที่ล้มป่วย อบูบักรุ เคาะลีฟะฮุคนแรกได้ปรึกษาที่ประชุมเกี่ยวกับเคาะลีฟะฮุคนต่อไป ท่านเห็นว่าอุมัรุเป็นผู้ที่เหมาะสม เมื่อเคาะลีฟะฮุอบูบักรุ ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 22 เดือนญุมาดา อัซซานีย์ ฮ.ศ. 13 (23 สิงหาคม ค.ศ. 643) อุมัรุก็ได้ปฎิบัติตามแนวทางและนโยบายของท่านบีมุฮัมมัด(ซล)อย่างเคร่งครัดนี้เองที่ช่วยให้เขาเอาชนะอาณาจักรยิ่งใหญ่แห่งเปอร์เซียและไบแซนตินลงได้ ยุคสมัยเคาะลีฟะฮุอุมัรุจึงเป็นยุคทองของอิสลาม
ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นขณะที่อุมัรุเป็นเคาะลีฟะฮุปกครองอาณาจักรอิสลาม
"การล่มสลายของอาณาจักรเปอร์เซีย"
ในช่วงสมัยของเคาะลีฟะฮุอบูบักรุนั้น คอลิด บินวะลีด ได้ยึดส่วนหนึ่งของอาณาจักรเปอร์เซียที่เรียกกันว่าอาณาจักรแห่งฮิรอไว้ได้แล้ว หลังจากนั้น เขาก็ได้รับคำสั่งอบูบักรุให้มาร่วมสมทบกับกองทัพที่เดินทางไปยังซีเรีย
ก่อนที่จะเดินทัพออกมา คอลิดได้แต่งตั้ง มุซันนา บิน ฮาริษ ให้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพอิสลาม พวกเปอร์เซียโกรธแค้นเป็นอย่างมากต่อการสูญเสียอาณาจักรฮิรอ ดังนั้น จักพรรดเปอร์เซียจึงได้ส่งกองทัพใหญ่ภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพผู้ที่มีชื่อว่า รัสตัม ซึ่งเป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงของเปอร์เซียไปยังอาณาจักรฮิรอ เมื่อรู้ข่าวการยกทัพใหญ่ของฝ่ายเปอร์เซีย มุซันนาก็๋ได้ขอให้เคาะลีฟะฮุอุมัรุส่งกำลังทหารมาเสริม ในเวลานั้น มีการชุมนุมใหญ่ในนครมะดีนะฮุเพื่อให้สัตย์ปฏิญาณยอมรับอุมัรุเป็นผู้นำ อุมัรุได้นำเรื่องนี้มาชี้แจงต่อหน้ามุสลิมทั้งหมด แต่กลับไม่ได้รับตอบสนองใดๆ ในตอนเริ่มต้น ดังนั้น อุมัรุจึงได้กล่าวสุนทรพจน์ตอกย้ำถึงความสำคัญของการญิฮาด หลังจากกล่าวจบก็ปรากฎว่ามีมุสลิมจำนวนากที่อาสาจะไปช่วยมุซันนาต่อต้านพวกเปอร์เซีย อบูอุบัยด์ อัสษะกอฟี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชากองทัพอิสลามซึ่งประกอบไปด้วยคนจำนวน 5,000 คน ในเวลานั้นพวกเปอร์เซียได้เข้าโจมตีสถานที่ที่มุสลิมยึดครองมาได้และฝ่ายมุสลิมต้องเสียดินแดนบางส่วนไปบ้างแล้วโดยที่รัสตัมเพียงแต่ส่งนายทหารใต้บังคับบัญชาไปเผชิญหน้ากับมุสลิมเท่านั้น
"สงคราม นะมาริก"
เมื่ออบูอุบัยด์ได้มาถึงที่นั้น สงครามได้เกิดขึ้นแล้วที่นะมาริกและมุสลิมเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ นายทหารคนสำคัญและมีชื่อเสียงหลายคนของกองทัพเปอร์เซีย รวมทั้งญาบานมือขวาของรัสตัมได้ถูกฆ่าในการรบ หลังจากนั้น ก็มีสงครามย่อยๆ เกิดขึ้นหลายครั้งที่คัสคาร์
"สงครามสะพาน"
การพ่ายแพ้ของฝ่ายเปอร์เซียสร้างความไม่พอใจให้แก่รัสตัมเป็นอย่างมาก ดังนั้น เขาจึงได้ระดมกองทัพใหญ่เพื่อเผชิญหน้าฝ่ายมุสลิม กองทัพของรัสตัมได้เผชิญหน้ากับฝ่ายมุสลิมบนอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติสภายไต้การบัญชาของบาฮ์มาน นักรบชาวเปอร์เซียผู้มีชื่อเสียง บาฮ์มานได้ถามอบูอุบัยด์ว่าจะให้ฝ่ายเปอร์เซียข้ามแม่น้ำไปหรือฝ่ายมุสลิมจะข้ามมา อบูอุบัยด์มีความมั่นใจเป็นอย่างมาก จึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายข้ามแม่น้ำไปเอง ถึงแม้ว่าแม่ทัพคนสำคัญอย่างมุซันนาไม่เห็นด้วยที่จะข้ามแม่น้ำไปและชอบที่จะให้พวกเปอร์เซียข้ามแม่น้ำมา ดังนั้น กองทัพมุสลิมจึงข้ามแม่น้ำไปและประสบความพ่ายแพ้ อบูอุบัยด์ก็ต้องพลีชีพไปในสนามรบพร้อมกับมุสลิมคนแล้วคนเล่าที่ต้องล้มตายลง ด้วยเหตุนี้ มุซันนาจึงได้เข้ามาควบคุมการบัญชาการรบแทน และเขาได้สั่งการให้ทำสะพานข้ามไป แต่ก็ถูกทำลายลง ช้างของกองทัพเปอร์เซียได้สร้างความเสียหายให้แก่กองทัพมุสลิมเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม มุซันนาก็สามารถรักษาชีวิตทหารมุสลิมไว้ได้เพียง 3,000 คน จากทั้งหมด 9,000 คน
"สงคราม บุวัยบ์"
การพ่ายแพ้ของฝ่ายมุสลิมสร้างความตกใจให้แก่อุมัรุพอสมควร ดังนั้น เขาจึงได้ส่งทูตพิเศษไปยังเผ่าต่างๆ เพื่อขอให้มุสลิมเตรียมพร้อมทำสงครามศาสนากับพวกเปอร์เซีย หลังจากนั้น กองกำลังทหารก็ได้ถูกส่งไปเสริมกองทัพมุซันนา ซึ่งในจำนวนนั้นก็ชาวอาหรับที่เป็นคริสเตรียนรวมอยู่ด้วย
เมื่อรู้ข่าวว่าฝ่ายมุสลิมส่งกำลังทหารมาเสริม พวกเปอร์เซียก็รวบร่วมกองทัพขึ้นมาด้วยเช่นกัน ครั้งนี้ รัสตัม ผู้บัญชาการกองทัพเปอร์เซียได้แต่งตั้งให้เมฮ์ราน ฮัมดานี เป็นแม่ทัพ เพราะเมฮ์รานเคยเดินทางอยู่ในอารเบียและรู้ดีถึงวิธีการรบของพวกอาหรับ กองทัพมุสลิมภายใต้การบัญชาการของมุซันนาได้พบกับฝ่ายเปอร์เซียตรงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่า "บุวัยบ์" (ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมือง "กูฟะฮ์") ฝ่ายมุสลิมได้ขอให้พวกเปอร์เซียข้ามแม่น้ำมา และฝ่ายเปอร์เซียก็ยอมรับ จำนวนนักรบในกองทัพมุสลิมมีประมาณ 20,000 กว่าคน ในขณะที่ฝ่ายเปอร์เซียมีประมาณ 200,000 คน ทั้งสองฝ่ายทำสงครามต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ผลของสงครามจบลงตรงที่ฝ่ายเปอร์เซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ถึงแม้จะมีกำลังผลมากกว่า พวกเปอร์เซียไม่สามารถหาหนทางข้ามแม่น้ำยูเฟรติสได้ เพราะสะพานที่ตนสร้างขึ้นมาได้ถูกฝ่ายมุสลิมทำลายลง กองทัพเปอร์เซียจึงเกิดความระส่ำระสายขึ้น เมฮ์รานแม่ทัพเปอร์เซียถูกฆ่าในสงครามครั้งนี้และทหารของเขาไม่น้อยกว่าครึ่งแสนคนได้สูญเสียชีวิตในสนามรบ ผลชัยชนะครั้งนี้ ทำให้ส่วนตะวันตกทั้งหมดของอาณาจักรเปอร์เซีย (ปัจจุบันคือประเทศอีรัก) ตกเป็นของมุสลิม