ผู้เขียน หัวข้อ: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..  (อ่าน 37069 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: มี.ค. 20, 2007, 01:05 AM »
0
"อุมัรุได้ฉายาว่า"อัล ฟารูค"



        การเข้ารับอิสลามของอุมัรุได้ทำให้อิสลามแข็มแข็งขึ้นก่อนหน้านี้  มุสลิมมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวบรรดาผู้ต่อต้านอิสลามมาตลอด และส่วนใหญ่จะปิดบังความศรัทธาของตัวเองไว้ แต่ตอนนี้ มุสลิมสามารถที่จะทำนมาซได้อย่างเปิดเผยแล้ว  เมื่ออุมัรุเข้ารับอิสลาม เขาได้ประกาศความศรัทธาของเขาอย่างเปิดเผยต่อพวกหัวหน้าชาวกุเรช  ถึงแม้คนพวกนี้จะไม่พอใจอุมัรุ  แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรอุมัรได้ หลังจากนั้น อุมัรุก็ขอให้ท่านนบีฯนมาซในก๊ะบะฮุ เมื่อได้รับการยินยอมจากท่านนบีฯ อุมัรุก็ได้นำมุสลิมไปยังที่แห่งนั้น พวกเขาก็ได้นมาซร่วมกัน  นี้เป็นครั้งแรกที่ท่านนบีมูฮัมมัดได้ให้ฉายาท่านว่า "อัล ฟารูค"  ซึ่งมีความหมายว่า ผู้แบ่งแยกระหว่างความถูกต้องและความผิด



"อพยพไปยังนครมะดีนะฮุ"



        เมื่อมุสลิมได้รับคำสั่งให้อพยพไปยังนครมะดีนะฮุ  มุสลิมส่วนใหญ่จะค่อยๆ ออกจากมักก๊ะฮุไปอย่างเงียบๆ และลับๆ แต่สำหรับอุมัรุแล้ว เขาได้ประกาศก้องออกไปว่า  "ฉันจะอพยพไปมะดีนะฮุ  ถ้าใครจะขวางฉันก็ออกมาเลย แม่ของเขาได้ร้องไห้อย่างแน่นอน"  เมื่อไม่มีใครกล้ารับคำท้า  อุมัรุจึงได้อพยพไปมะดีนะฮุอย่างกล้าหาญ



"การรับใช้อิสลามของอุมัรุก่อนขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮุ"



        อุมัรุมีความรักอะนยิ่งใหญ่ในอัลลอฮุและนบีฯของพระองค์  อุมัรุได้ร่วมสงครามครั้งใหญ่เกือบทุกครั้ง  เช่น  สงครามบะดัรุ  สงครามอุฮุด  สงครามอะห์ซาบ  สงครามค็อยบัรุ  สงครามหุนัยน์  เป็นต้น  ในการเดินทัพไปยังตะบู๊ก  เขาได้เสียสละทรัพย์สินของเขาครึ่งหนึ่งไปเพื่อการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮุ เขาเป็นรองไปจากอบูบักรุในเรื่องการเสียสละทรัพย์สินของตนในหนทางของอัลลอฮุ

        ท่านนบีมุฮัมมัด(ซล)รักอุมัรุเป็นอย่างมากจนถึงกับครั้งหนึ่งท่านได้กล่าวว่า "หากเป็นได้ที่จะมีนบีคนหนึ่งมาหลังจากฉันแล้ว  เขาผู้นั้นก็น่าจะเป็นอุมัรุ"  นอกจากนั้นแล้ว  ยังมีรายงานว่า  ครั้งหนึ่งท่านนบีฯได้กล่าวว่า "ในหมู่บนีอิสรออีลนั้น มีหลายคนที่มิได้เป็นนบี  แต่ว่าได้พูดกับอัลลอฮุ ถ้าหากว่าในหมู่คณะของฉันจะมีคนเช่นนั้นบ้าง คนผู้นั้นก็น่าจะเป็นอุมัรุ"

        เมื่อตอนที่ท่านนบีมูฮัมมัด(ซล)เสียชีวิตนั้น  อุมัรุได้รับความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก เขาไม่เชื่อจนกระทั่งอบูบักรุได้นำกรุอานตอนหนึ่งมาเตือนท่านถึงเรื่องนี้ หลังจากนั้น เขากับอบูบักรุได้ไปยังสภาที่ปรึกษาซึ่งประชาชนนครมะดีนะฮุใช้เป็นที่ประชุมเลือกตั้งเคาะลีฟะฮุคนแรก  อุมัรุเป็นคนแรกที่ให้สัตย์ปฏิญาณ (บัยอ๊ะฮุ) ว่าจะจงรักภักดีต่ออบูบักรุ  และหลังจากนั้นก็ได้ช่วยอบูบักรุมาตลอดระยะเวลาแห่งการเป็นเคาะลีฟะฮุของท่าน
.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: มี.ค. 20, 2007, 02:47 AM »
0
                                                                                  การขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮุ





"อุมัรุในฐานะเคาะลีฟะฮุคนที่สองของอิสลาม"



        ในระหว่างที่ล้มป่วย  อบูบักรุ  เคาะลีฟะฮุคนแรกได้ปรึกษาที่ประชุมเกี่ยวกับเคาะลีฟะฮุคนต่อไป  ท่านเห็นว่าอุมัรุเป็นผู้ที่เหมาะสม เมื่อเคาะลีฟะฮุอบูบักรุ ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 22 เดือนญุมาดา อัซซานีย์ ฮ.ศ. 13 (23 สิงหาคม ค.ศ. 643)   อุมัรุก็ได้ปฎิบัติตามแนวทางและนโยบายของท่านบีมุฮัมมัด(ซล)อย่างเคร่งครัดนี้เองที่ช่วยให้เขาเอาชนะอาณาจักรยิ่งใหญ่แห่งเปอร์เซียและไบแซนตินลงได้  ยุคสมัยเคาะลีฟะฮุอุมัรุจึงเป็นยุคทองของอิสลาม

        ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญๆ  ที่เกิดขึ้นขณะที่อุมัรุเป็นเคาะลีฟะฮุปกครองอาณาจักรอิสลาม



"การล่มสลายของอาณาจักรเปอร์เซีย"



        ในช่วงสมัยของเคาะลีฟะฮุอบูบักรุนั้น  คอลิด บินวะลีด ได้ยึดส่วนหนึ่งของอาณาจักรเปอร์เซียที่เรียกกันว่าอาณาจักรแห่งฮิรอไว้ได้แล้ว หลังจากนั้น เขาก็ได้รับคำสั่งอบูบักรุให้มาร่วมสมทบกับกองทัพที่เดินทางไปยังซีเรีย

        ก่อนที่จะเดินทัพออกมา  คอลิดได้แต่งตั้ง  มุซันนา บิน ฮาริษ  ให้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพอิสลาม พวกเปอร์เซียโกรธแค้นเป็นอย่างมากต่อการสูญเสียอาณาจักรฮิรอ ดังนั้น จักพรรดเปอร์เซียจึงได้ส่งกองทัพใหญ่ภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพผู้ที่มีชื่อว่า  รัสตัม  ซึ่งเป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงของเปอร์เซียไปยังอาณาจักรฮิรอ  เมื่อรู้ข่าวการยกทัพใหญ่ของฝ่ายเปอร์เซีย  มุซันนาก็๋ได้ขอให้เคาะลีฟะฮุอุมัรุส่งกำลังทหารมาเสริม ในเวลานั้น มีการชุมนุมใหญ่ในนครมะดีนะฮุเพื่อให้สัตย์ปฏิญาณยอมรับอุมัรุเป็นผู้นำ  อุมัรุได้นำเรื่องนี้มาชี้แจงต่อหน้ามุสลิมทั้งหมด  แต่กลับไม่ได้รับตอบสนองใดๆ ในตอนเริ่มต้น ดังนั้น อุมัรุจึงได้กล่าวสุนทรพจน์ตอกย้ำถึงความสำคัญของการญิฮาด  หลังจากกล่าวจบก็ปรากฎว่ามีมุสลิมจำนวนากที่อาสาจะไปช่วยมุซันนาต่อต้านพวกเปอร์เซีย  อบูอุบัยด์ อัสษะกอฟี  ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชากองทัพอิสลามซึ่งประกอบไปด้วยคนจำนวน 5,000 คน ในเวลานั้นพวกเปอร์เซียได้เข้าโจมตีสถานที่ที่มุสลิมยึดครองมาได้และฝ่ายมุสลิมต้องเสียดินแดนบางส่วนไปบ้างแล้วโดยที่รัสตัมเพียงแต่ส่งนายทหารใต้บังคับบัญชาไปเผชิญหน้ากับมุสลิมเท่านั้น



"สงคราม นะมาริก"



        เมื่ออบูอุบัยด์ได้มาถึงที่นั้น  สงครามได้เกิดขึ้นแล้วที่นะมาริกและมุสลิมเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ  นายทหารคนสำคัญและมีชื่อเสียงหลายคนของกองทัพเปอร์เซีย  รวมทั้งญาบานมือขวาของรัสตัมได้ถูกฆ่าในการรบ หลังจากนั้น ก็มีสงครามย่อยๆ เกิดขึ้นหลายครั้งที่คัสคาร์



"สงครามสะพาน"



        การพ่ายแพ้ของฝ่ายเปอร์เซียสร้างความไม่พอใจให้แก่รัสตัมเป็นอย่างมาก ดังนั้น เขาจึงได้ระดมกองทัพใหญ่เพื่อเผชิญหน้าฝ่ายมุสลิม  กองทัพของรัสตัมได้เผชิญหน้ากับฝ่ายมุสลิมบนอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติสภายไต้การบัญชาของบาฮ์มาน นักรบชาวเปอร์เซียผู้มีชื่อเสียง  บาฮ์มานได้ถามอบูอุบัยด์ว่าจะให้ฝ่ายเปอร์เซียข้ามแม่น้ำไปหรือฝ่ายมุสลิมจะข้ามมา  อบูอุบัยด์มีความมั่นใจเป็นอย่างมาก จึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายข้ามแม่น้ำไปเอง ถึงแม้ว่าแม่ทัพคนสำคัญอย่างมุซันนาไม่เห็นด้วยที่จะข้ามแม่น้ำไปและชอบที่จะให้พวกเปอร์เซียข้ามแม่น้ำมา ดังนั้น  กองทัพมุสลิมจึงข้ามแม่น้ำไปและประสบความพ่ายแพ้ อบูอุบัยด์ก็ต้องพลีชีพไปในสนามรบพร้อมกับมุสลิมคนแล้วคนเล่าที่ต้องล้มตายลง ด้วยเหตุนี้ มุซันนาจึงได้เข้ามาควบคุมการบัญชาการรบแทน และเขาได้สั่งการให้ทำสะพานข้ามไป แต่ก็ถูกทำลายลง ช้างของกองทัพเปอร์เซียได้สร้างความเสียหายให้แก่กองทัพมุสลิมเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม มุซันนาก็สามารถรักษาชีวิตทหารมุสลิมไว้ได้เพียง 3,000 คน จากทั้งหมด 9,000 คน



"สงคราม บุวัยบ์"



        การพ่ายแพ้ของฝ่ายมุสลิมสร้างความตกใจให้แก่อุมัรุพอสมควร ดังนั้น เขาจึงได้ส่งทูตพิเศษไปยังเผ่าต่างๆ เพื่อขอให้มุสลิมเตรียมพร้อมทำสงครามศาสนากับพวกเปอร์เซีย หลังจากนั้น กองกำลังทหารก็ได้ถูกส่งไปเสริมกองทัพมุซันนา ซึ่งในจำนวนนั้นก็ชาวอาหรับที่เป็นคริสเตรียนรวมอยู่ด้วย

        เมื่อรู้ข่าวว่าฝ่ายมุสลิมส่งกำลังทหารมาเสริม    พวกเปอร์เซียก็รวบร่วมกองทัพขึ้นมาด้วยเช่นกัน  ครั้งนี้  รัสตัม  ผู้บัญชาการกองทัพเปอร์เซียได้แต่งตั้งให้เมฮ์ราน  ฮัมดานี เป็นแม่ทัพ  เพราะเมฮ์รานเคยเดินทางอยู่ในอารเบียและรู้ดีถึงวิธีการรบของพวกอาหรับ  กองทัพมุสลิมภายใต้การบัญชาการของมุซันนาได้พบกับฝ่ายเปอร์เซียตรงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่า "บุวัยบ์" (ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมือง "กูฟะฮ์")  ฝ่ายมุสลิมได้ขอให้พวกเปอร์เซียข้ามแม่น้ำมา  และฝ่ายเปอร์เซียก็ยอมรับ จำนวนนักรบในกองทัพมุสลิมมีประมาณ 20,000 กว่าคน ในขณะที่ฝ่ายเปอร์เซียมีประมาณ 200,000 คน ทั้งสองฝ่ายทำสงครามต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ผลของสงครามจบลงตรงที่ฝ่ายเปอร์เซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ถึงแม้จะมีกำลังผลมากกว่า พวกเปอร์เซียไม่สามารถหาหนทางข้ามแม่น้ำยูเฟรติสได้ เพราะสะพานที่ตนสร้างขึ้นมาได้ถูกฝ่ายมุสลิมทำลายลง กองทัพเปอร์เซียจึงเกิดความระส่ำระสายขึ้น  เมฮ์รานแม่ทัพเปอร์เซียถูกฆ่าในสงครามครั้งนี้และทหารของเขาไม่น้อยกว่าครึ่งแสนคนได้สูญเสียชีวิตในสนามรบ ผลชัยชนะครั้งนี้ ทำให้ส่วนตะวันตกทั้งหมดของอาณาจักรเปอร์เซีย (ปัจจุบันคือประเทศอีรัก) ตกเป็นของมุสลิม







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 21, 2007, 12:45 AM โดย +Kamarutdin+ »
.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: มี.ค. 21, 2007, 12:41 AM »
0
?การเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองของเปอร์เซีย?



        การพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ที่บุวัยบ์สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่อาณาจักรเปอรฺเซียเป็นอย่างยิ่ง  มันไม่เพียงจะเป็นสาเหตุความปั่นป่วนครั้งใหญ่ต่อบรรดาผู้ปกครองเท่านั้น แต่มันยังมีต่อบุคคลทั่วไปด้วย  นี้เป็นครั้งแรกที่พวกเปอร์เซียตระหนักถึงความแข็งแรงของมุสลิม  ข่าวการสูญเสียทหารนับแสนของฝ่ายเปอร์เซียในขณะที่ฝ่ายมุสลิมเสียกำลังไปไม่กี่พันคนเป็นข่าวที่สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ได้ยินอย่างมาก  ในตอนนั้น  จักรพรรดิดของอาณาจักรเปอร์เซียเป็นผู้หญิงชื่อ  ปูราณ ดุคท์  แต่ต่อมาได้ถูกประชาชนเลือกเอา เยซดีเกิร์ด (ยัซญาร์ด) คนหนุ่มวัย 21 ปี  เข้ามาแทน  จักรพรรดิคนใหม่ได้จัดกองทัพใหม่และเสริมป้องกันชายแดนให้เข้มแข็งขึ้น  ส่วนในดินแดนที่มุสลิมยึดครองได้นั้นก็มีการกฎบเกิดขึ้นหลายครั้ง  ยังผลให้มุสลิมต้องสูญเสียดินแดนบางสวนที่ยึดครองได้ไป

        เมื่ออุมัรุได้ยินข่าวนี้  เขาจึงได้สั่งมุซันนาให้เรียกเผ่าต่างๆตสมชายแดนถอยลงมาอยู่ในเขตปลอดภัยจนกว่ากำลังเสริมจะไปถึง  อุมัรุได้ประกาศ ญิฮาด (สงครามศาสนา) ไปทั่วดินแดนและได้ส่งตัวแทนไปรวบรวมกองทัพเพื่อเตรียมพร้อมทำสงคราม  กองทัพที่รบรวมได้ในครั้งนั้นมีประมาณ 20,000 คน อุมัรต้องการที่จะนำต้องทัพเองแต่สภาที่ปรึกษาไม่เห็นด้วย   ซะด์  บิน  อบีวักกอส  นักรบคนสำคัญและเป็นลุงคนหนึ่งของท่านนบีฯได้ถูกเสนอชื่อให้เป็นผู้นำกองทัพ  ซึ่งอุมัรุก็เห็นด้วย  กองทัพครั้งนี้มีสาวกที่ร่วมทำสงครามบะดัรุอยู่ร่วมด้วยถึง 70 คน เมื่อกองทัพเดินทางออกจากมะดีนะฮุ อุมัรุได้สั่ง
ซะด์ บิน อบีวักกอส ไว้ตอนหนึ่งว่า

               ?อัลลอฮุมิได้ทรงขับไล่ความชั่วด้วยความชั่ว แต่พระองค์ทรงขับไล่ความชั่วด้วยความดี มนุษย์ทุกคนที่นั่งสูงและที่ต่ำล้วนเท่าเทียมกันต่อหน้าพระองค์  เราจะได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮุก็โดยการรับใช้พระองค์เท่านั้น  จงจำไว้ว่าแบบอย่างของท่านนบีฯเท่านั้นเป็นหนทางที่ถูกต้องในการกระทำสิ่งใดๆ ท่านกำลังได้รับภาระกิจอันหนักหน่วงซึ่งจะสำเร็จได้โดยการปฎิบัติตามสัจธรรม  จงปลูกฝังนิสัยที่ดีงานในตัวท่านและในบรรดาผู้ที่ร่วมไปกับท่าน?

        คำแนะนำนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า  เป้าของการญิฮาดของอิสลามคือการประกาศสารของ อัลลอฮุ นั้นคืออิสลาม มากกว่าการต่อสู้  ส่วนดาบนั้นจะใช้ขจัดอุปสรรคที่ขว้างทางอยู่

        ในตอนนั้น มุซันนา ได้เสียชีวิตลงและน้องชายของเขาได้มาเข้าร่วมกับซะด์ พร้อมกับทหาร 8,000 คน ซะด์ได้ติดต่อกับอุมัรุตลอดเวลาเพื่อรับคำสั่งในการเดินทัพจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในที่สุดอุมัรุก็ได้สั่งให้ตั้งค่ายพักอยู่ที่กอดีซียะฮุและส่งทูตนำสารแห่งอิสลามไปยัง เยซดีเกิร์ดจักรพรรดิเปอร์เซีย



?ทูตแห่งอิสลาม?



        เมื่อได้รับคำสั่งจากเคาะลีฟะฮุ  ซะด์ก็ได้ตั้งค่ายพักอยู่ที่กอดีซียะฮุฝ่ายมุสลิมต้องรอคอยกองทัพเปอร์เซียอยู่ที่นั้นเป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งในระหว่างนั้น ซะด์ได้ส่งทูตไปยังจักรพรรดิไปยังจักรพรรดิเยซดีเกิร์ดแล้ว

        เยซดีเกิร์ด ได้เปิดท้องพระโรงตอนรับทูตมุสลิม  ท้องพระโรงที่เป็นกระจกสะท้อนถึงความรุ่งเรื่องทางวัตถุของเปอร์เซียได้เป็นอย่างดี  นุมาน บิน มักรอม  ได้เชิญชวนพวกเปอร์เซียและจักรมาสู่อิสลามโดยกล่าวว่า

        ?ชาวเปอร์เซียที่รัก  เราขอเรียกร้องให้ท่านมายังหนทางแห่งความสันติ นั่นคืออิสลาม ถ้าหากท่านยอมรับ พวกท่านก็คือพี่น้องของเราและเราจะทิ้งคำภีร์ของอัลลอฮุ คัมภีร์อัลกรุอ่านไว้เพื่อเป็นทางนำที่จะปฎิบัติตามแนวทางพระบัญชาของพระองค์  ถ้าหากท่านปฏิเสธสาสน์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ก็จงจ่าย ?ญิซยะฮุ? (ภาษีคุ้มครอง) ให้แก่เรา ทางเลือกที่สามก็คือดาบ ในกรณีที่ท่านปฏิเสธข้อเสนอสองข้อแรก  ทั้งนี้  เพื่อที่เราจะได้ดำเนินการตามวิธีของเราในการเผยแพร่สาสน์นี้?

        เยซดีเกีร์ดผู้ทะนงในอำนาจและกองทัพของตัวเองถึงกับอารมณ์เสียเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวและแสดงอาการดูถูกทูตออกมาให้เห็นโดยการเอาตะกร้าใส่ดินวางไว้บนศรีษะของอาซิมผู้นำคณะทูต เมื่ออาซืมนำเอาดินไปให้ซะด์ เขาก็ถือว่านี้เป็นสัญญาณแห่งชัยชนะและการปฏิบัติอันเลวทรามดังกล่าวของจักรพรรดิเปอร์เซียได้เร่งให้สงครามเกิดเร็วขึ้น

        จักรพรรดิได้จัดกองทัพจำนวน 1 แสนคนขึ้นมา  โดยครั้งนี้ รัสตัม ได้เป็นผู้นำกองทัพด้วยตัวเอง  แม่ทัพคนสำคัญที่มีชื่อเสียงก็มี  ญาลีนัส  มาห์ราน  บินบาฮุรอม  รอซี  และ  ฮัรมูซาน  รัสตัมนั้นเกรงกลัวมุสลิมและไม่คิดที่จะเผชิญหน้า  เขาใช้เวลา 6 เดือนในการเดินทางไปยังกอดีซียะฮุจากมะดาอินซึ่งเป็นเมืองหลวง  ในตอนแรก  เขาต้องการเจรจากับฝ่ายมุสลิม ดังนั้น  เขาจึงขอให้ฝ่ายมุสลิมส่งทูตไป  ตัวแทนของมุสลิมได้ส่งตัวแทนไปยังค่ายพักของรัสตัมภายใต้การนำของ รอบีอุ บิน อะมัรุ  ทั้งสองฝ่ายต่างเจรจากัน แต่หาข้อสรุปไม่ได้ รอบีอุได้นำสาสน์ของอิสลามให้รัวตัมอย่างกล้าหาญและเสนอเงื่อนไงเดิมสามประการและได้บอกว่า  หากเขาไม่รับข้อเสนอดังกล่าวภายในสามวัน  ก็จะใช้ทางเลือกที่สาม  นั้นก็คือการใช้ดาบ

        ในวันที่สาม  รัสตัมก็ยังขอให้มุสลิมส่งตัวแทนไปอีก และครั้งนี้ มุฆีเราะฮุ บิน ชุบ๊ะฮุ  ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะตัวแทน รัสตัมได้พยายามเจรจาในรูปของเงินโดยกล่าวว่า  ?ถ้าหากพวกท่านจนและหิวเราจะให้ความมั่งคั่งจนพอเพียงสำหรับตลอดชีวิตของท่าน?

        เมื่อได้ยินเช่นนั้น  มุฆีเราะฮุ  จึงได้ตอบไปด้วยความโกรธว่า ?แน่นอน  เราหิวและเราจน  แต่อัลลอฮุได้ส่งศาสนทูตมายังเรา  และสาเหตุนี้ที่ทำให้ชะตากรรมชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงและอัลลอฮุได้ทรงเลี้ยงดูเรา  ท่านได้สั่งให้เราเชื่อฟังพระเจ้าองค์เดียวและเผยแผ่สาสน์ของพระองค์ ถ้าหากท่านปฏิบัติตามสาสน์ของอิสลาม ท่านก็เป็นพี่น้องของเรา เราจะไม่ต่อสู้พวกท่าน ถ้าหากว่าท่านไม่ยอมรับ ก็ขอให้เราเผยแผ่วจนะของพระองค์และพวกท่านจ่ายญิซยะฮุ  มิเช่นนั้นแล้ว  ดาบก็จะเป็นตัวตัดสินครั้งสุดท้าย?

        เมื่อได้ยินเช่นนั้น  รัสตัมก็โกรธจัดและสัญญาว่าจะฆ่ามุสลิมทั้งหมดทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้นในวันถัดไป  มุฆีเราะฮุได้กลับมายังค่ายมุสลิมและกล่าวว่า ?ลาเฮาละ  วะลากูวะตะอินลาบิลลาฮิลอะซีม?  (แปลว่า ไม่มีพลังแห่งอำนาจใดๆ เคียงคู่กับอัลลอฮุผู้ทรงสูงส่ง)



?สงคราม กอดีซียะฮุ?



        ทันที่ที่มุฆีเราะฮุออกมาจากค่ายของพวกเปอร์เซีย  รัสตัมได้สั่งทหารของเขาให้เตรียมพร้อมโจมตีในวันรุ่งขึ้น  ระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่ายนั้นมีคลองสายหนึ่งกั้นอยู่  รัสตัมได้สั่งทหารของเขาสร้างสะพานข้ามคลองนั้น  วันรุ่งขึ้นในตอนเช้า  เขาก็ข้ามมาโจมตีมุสลิม  เมื่อทั้งสองฝ่ายพร้อมรบ ซะด์ บิน อบีวักกอส ได้บอกรัสตัมผ่านจดหมายว่า ?รัสตัม  เรามีคนที่สนใจความตายในหนทางของอัลลอฮุ มากว่าคนที่ชอบเหล้าองุ่นในกองทัพของท่านเสียอีก?

        ในที่สุด สงครามกอดีซียะฮุก็เริ่มขึ้นในเดือนมุฮัดรุรอม ฮ.ศ. 14 ( มิถุนายน ค.ศ. 637 )  ขณะนั้น ซะฮุได้ล้มป่วยลง  แต่เขาก็ยังบังคับบัญชาการบนเตียง  สงครามครั้งนี้รบกันอย่างดุเดือดติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน มุสลิมมีกำลังประมาณ 28,000 คน ในขณะที่กองทัพของเปอร์เซีย มีประมาณ 120,000 คน รัสตัมได้แสดงความสามารถอันยิ่งใหญ่ในการควบคุมกองทหารของเขา  ในวันแรก  สงครามเริ่มต้นท่ามกลางเสียงตะโกนว่า ?อัลลอฮุยิ่งใหญ่? ถึงแม้มุสลิมจะแสดงความสามารถและความกล้าหาญอย่างไรใดก็ตาม แต่ช้างของพวกเปอร์เซียก็สร้างความโกลาหลอลหม่านให้แก่พวกทหารม้าของมุสลิมเป็นอย่างมาก  เพราะม้าของพวกอาหรับมิได้ถูกฝึกมาให้ต่อสู้ในสงครามที่มีช้างมาก่อน อย่างไรก็ตาม  พลธนูและพลหอกมุสลิมก็ได้สาดธนูและพุ่งหอกใส่คนบังคับช้างตกลงมาเป็นจำนวนมาก  สงครามในวันแรกจบลงโดยไม่มีใครได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด  วันที่สองก็เช่นกัน

       วันที่สามของการรบ  มุสลิมได้เอาผ้าห่อตัวอูฐเพื่อสร้างความตกใจให้แก่ช้าง และแผนการดังกล่าวก็ได้ผล นอกจากนี้แล้ว พลธนูของฝ่ายมุสลิมยังได้ยิงธนูเข้าใส่ตาช้างจนช้างวิ่งเตลิดเข้าใส่กองทัพของฝ่ายเปอร์เซียแตกกระจาย

        วันที่สี่  นักรบฝ่ายมุสลิมได้เข้าโจมตีกองทหารองครักษ์ของรัสตัมจนแตกพ่ายและรัสตัมเองก็พยายามที่จะหนี  แต่ถูกฝ่ายมุสลิมสะกัดจับได้และถูกสังหาร  พอรู้ข่าวว่ารัวตัมถูกฆ่า  ทหารเปอร์เซียก็ต่างพากันหนีเอาตัวรอด  ทหารเปอร์เซียประมาณ 3 หมื่นคนถูกฆ่าในสนามรบ ส่วนฝ่ายมุสลิมตายและบาดเจ็บประมาณ 6,000 คน

        สงครามกอดีซียะฮุเป็นสงครามที่ทำลายความเข้มแข็งของอาณาจักรเปอร์เซียลง  และสร้างความดีใจให้แก่เคาะลีฟะฮุอุมัรุเป็นอย่างมาก หลังเสร็จสินสงคราม ทรัพย์สินต่างๆ ของกองทัพฝ่ายเปอร์เซียที่มุสลิมเก็บได้มาเป็นจำนวนมากได้ถูกนำมาแจกจ่ายให้แก่ทหารมุสลิมตามหลักการอิสลาม  โดยหนึ่งในห้าในทรัพย์ดังกล่าวได้ถูกส่งไปยังกองคลังสาธารณะในเมืองหลวง

        หลังจากสงครามกอดีซียะฮุแล้ว  มุสลิมก็ได้ผลักดันพวกเปอร์เซียออกไปจากเมืองต่างๆ ทีละเมืองจนกระทั่งถึงเมืองมะดาอิน  หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เซซิฟอง เมืองหลวงของอาณาจักรเปอร์เซีย



?การยึดครองเมืองมะดาอิน (เซซิฟอง)?



        เมืองมะดาอินตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไทกริส  ซะด์ได้ขออนุญาติเคาะลีฟะฮุอุมัรุเดินทัพเข้าไปเมืองมะดาอิน  เมื่อซะด์เดินทัพมุ่งหน้าไปนั้น  พวกเปอร์เซียได้ทำลายสะพานข้ามแม่น้ำไปแล้ว และถึงแม้แม่น้ำจะลึกและกระแสน้ำไหลเชี่ยว  แต่ทหารฝ่ายมุสลิมก็มิได้ย่อท้อ  หนังสือประวัติศาสตร์บางเล่มกล่าวว่า  เมื่อซะด์เห็นสะพานที่ถูกทำลายโดยฝ่ายเปอร์เซีย เขาได้กล่าวว่า : ?อัลลอฮุได้สร้างทางในทะเลแดงให้แกมูซาและสาวกของท่าน แน่นอน พระองค์จะต้องทรงช่วยเราผู้ผู้ปฏิบัติตามนบีมูฮัมมัด(ซล)?  หลังจากที่ได้ปรึกษากันบรรดานายทหารคนสำคัญแล้ว ซะด์ก็ได้สั่งทหารข้ามแม่น้ำ โดยการให้ทหารม้า 60 คนขี่ม้าลงไปในแม่น้ำและข้ามไป  เมื่อทหารทั้ง 60 คนข้ามไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้แล้วทหารที่เหลือก็ข้ามตาม ในระหว่างนั้นเอง พวกทหารฝ่ายเปอร์เซียได้ยิงธนูเข้าใส่ทหารฝ่ายมุสลิมที่กำลังอยู่กลางแม่น้ำ  ซะด์จึงได้สั่งพลธนู 600 คนเข้าโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงจนกระทั่งพวกเปอร์เซียวิ่งหนีพร้อมกับร้องว่า ?เดฟ อัมดานด์ เดฟ อัมดานด์? (ยักษ์มาแล้ว ยักษ์มาแล้ว) เมื่อกองทัพฝ่ายมุสลิมข้ามแม่น้ำไปได้หมดแล้ว ดังนั้น เมืองมะดาอินจึงตกเป็นของมุสลิมโดยไม่มีการต่อต้าน ชัยชนะครั้งนี้ได้ทำให้ฝั่งแม่นำยูเฟรติสและไทกริสตกเป็นของมุสลิม  ตามคำพูดของนบีมุฮัมมัด(ซล)ได้เคยกล่าวไว้ล่วงหน้าว่า  ?มุสลิมกลุ่มหนึ่งจะยึดอาณาจักรสีขาวของเปอร์เซีย?

                ทั้งเคาะลีฟะฮุอุมัรุและซะด์ต่างแสดงความขอบคุณต่ออัลลอฮุสำหรับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เมื่อทรัพย์สินจากวังสีขาวของเยซดีเกิร์ดถูกนำไปมะดีนะฮุ เคาะลีฟะฮุอุมัรุถึงกับร่ำไห้และกล่าวออกมาว่า ?ฉันร้องไห้เพราะว่า  ความมั่งคั่งมักเป็นสาเหตุแห่งความเป็นศัตรูกัน คนที่มีความชั่วเช่นนั้น ในที่สุดก็สูญเสียความน่าเคารพไปจนหมดสิ้น?



?สงคราม ญะลูลา?



        จักรพรรดิเปอร์เซียที่หลบหนีไปนั้น  ได้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่เมืองฮุจวาน และได้เตรียมกำลังสะสมไว้โจมตีมุสลิม ในการจัดเตรียมกองทัพครั้งนี้ คาร์ซาดน้องชายของรัสตัมได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ  เมื่อซะด์รู้เรืองนี้  จึงได้ปรึกษาเคาะลีฟะฮุอุมัรุ และเมื่อได้รับอนุญาต เข้าจึงได้จัดตั้งกองทัพภายใต้การนำของฮาชิมและกอกอสไปเผชิญหน้าฝ่ายเปอร์เซียที่ญะลูลา กองทัพทั้งสองฝ่ายได้สู้รบอย่างดุเดือดที่นั้น  และผลการรบก็ลงเอยที่พวกเปอร์เซียต้องได้รับความพ่ายแพ้หนีขึ้นไปทางเหนือ กองทหารมุสลิมได้ไล่ติดตามพวกทหารเปอร์เซียและสามารถยึดเมืองต่างๆ ได้อีกหลายเมือง  เยซดีเกิร์ดเองได้หนีไปยังคูรอซาน  และตั้งรกรากอยู่ที่เมืองเมอรี

        สงครามใหญ่ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 19 เดือน มุฮัรุรอม ฮ.ศ. 19 ( ค.ศ. 642 ) ที่นิฮาเวนด์ ซึ่งพวกเปอร์เซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ก็มีสงครามย่อยๆ เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง และฝ่ายมุสลิมสามารถยึดเมืองฮัมดาน อาเซอร์ไบญาน และอาร์มิเนียไว้ได้ภายในฮิจญ์เราะฮุศักราชที่ 21



?การปกครองอาณาจักรเปอร์เซียของมุสลิม?



        จักรพรรดิเปอร์เซียได้หนีไปที่อิสฟาน  หลังจากนั้นก็ได้หนีไปยังเดอร์มานและบัลด์ในที่สุด  ไม่ว่าจักรพรรดิจะหนีไปที่ไหน  มุสลิมก็ตามไปทุกหนแห่ง จนในที่สดุ อาณาจักรเปอร์เซียทั้งหมดก็ตกเป็นของอิสลาม ภายใน ฮ.ศ. 23 หลังจากนั้นมุสลิมก็ยาตราทัพมุ่งหน้าไปทางตะวันออกยังซินด์ ( เขตแดนของอินเดียปัจจุบันเป็นปากีสถาน ) และได้ยึดเมืองมัครานและบาลูซไว้  เมื่อทราบข่าวว่ากองทัพมุสลิมยังคงคืบหน้าไปเรื่อย ภายใต้การนำทัพของหะกาม เคาะลีฟะฮุอุมัรุจึงได้ออกคำสั่งให้มุสลิมหยุดเดินทัพเพราะเขาไม่ต้องการขยายดินแดนออกไปโดยต้องเสียเลือดมุสลิม ดังนั้น มัครานจึงเป็นแห่งสุดท้ายในในทางตะวันออกที่อยู่ภายใต้การปกครองของอุมัรุ หลังจากยึดอาณาจักรเปอร์เซียได้แล้ว ต่อไปนี้พวกเปอร์เซียก็ไม่สามารถทำอันตรายมุสลิมได้อีก  ?โอ้มุสลิมทั้งหลาย ถ้าหากพวกท่านไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่เที่ยงตรง อัลลอฮุก็จะเอาอำนาจจากพวกท่านไปให้ใครอื่นที่พระองค์ทรงประสงค์?

        ขอทำความเข้าใจให้ท่านผู้อ่านได้ทราบเป็นที่กระจ่างเสียก่อนว่าไม่มีที่ไหนที่มุสลิมได้บีบบังคับคนที่ไม่ใช่มุสลิมให้ยอมรับอิสลาม แต่อิสลามแผ่ขยายออกไปเพราะคำสอนของตัวเองเพราะการดำเนินชีวิตของมุสลิม R.A Nicholson
ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง  A Literary History of Arabs ว่า ?อย่าทึกทักเอาว่าผู้นับถือศาสนาโซโรแอสเตอร์และศาสนาคริสต์ในประเทศเหล่านี้ถูกบังคับให้เข้ารับอิสลาม  ชาวเมืองนับหมื่นคนเข้ารับอิสลามด้วยความสมัครใจ?   

                การยึดครองอาณาจักรเปอร์เซียได้ทำให้มุสลิมมีความมั่งคั่งเป็นอย่างมากจนทำให้มุสลิมหลายคนที่เคยมีชีวิตอย่างเรียบง่ายกลายเป็นคนที่หรูหราฟุ่มเฟื่อย  และต่อมาได้เริ่มทำความชั่วต่างๆ ที่อุมัรุเคยหวาดกลัวมาก่อน



?บัสเราะฮุ  และกูฟะฮุ?



        มุสลิมได้สร้างป้อมทหารขึ้นที่เมืองบัสเราะฮุ และกูฟะฮุอีกแห่งหนึ่งใน ค.ศ. 638 ต่อมาป้อมทหารทั้งสองแห่งนี้ก็ได้กลายเป็เมืองใหญ่ขึ้นมา  บัสเราะฮุถูกสร้างขึ้นที่ชัตตุลอาหรับและมีความสำคัญเพราะเมืองนี้เป็นด่านป้องกันช่องทางจากปากอ่าวเปอร์เซียมายังเมโสโปเตเมีย ส่วนกูฟะฮุนั้นฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส  ซึ่งต่อมาสองเมืองนี้กลายเป็นเมืองสำคัญของวัฒนธรรมและอารยธรรมอิสลาม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 05, 2007, 12:52 AM โดย +Kamarutdin+ »
.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: มี.ค. 21, 2007, 06:35 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

พอกระทู้นี้ถูกตั้งขึ้นมา  เลยแว๋ปนึกถึงหนังสือประวัติซอฮาบะฮ์เล่มหนึ่งฉบับภาษาอาหรับ  ซึ่งมีประวัติที่เป็นช๊อตเด็ดแบบอย่างและอุทาหรณ์ที่น่าประทับใจ  แต่งบฝืด  ;D  ซึ่งว่าง ๆ จะจัดให้อินชาอัลเลาะฮ์  แต่ตอนนี้อ่านการนำเสนอของคุณ +Kamarutdin+ ไปก่อนน่ะครับ เพราะว่าน่าสนใจมาก ๆ เหมือนกัน   :) 
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: มี.ค. 23, 2007, 09:32 AM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

พอกระทู้นี้ถูกตั้งขึ้นมา  เลยแว๋ปนึกถึงหนังสือประวัติซอฮาบะฮ์เล่มหนึ่งฉบับภาษาอาหรับ  ซึ่งมีประวัติที่เป็นช๊อตเด็ดแบบอย่างและอุทาหรณ์ที่น่าประทับใจ  แต่งบฝืด  ;D  ซึ่งว่าง ๆ จะจัดให้อินชาอัลเลาะฮ์  แต่ตอนนี้อ่านการนำเสนอของคุณ +Kamarutdin+ ไปก่อนน่ะครับ เพราะว่าน่าสนใจมาก ๆ เหมือนกัน   :) 


อินชาอัลลอฮุครับ คุณal-azhary และ พี่น้องสมาชิกsunnahstudents.com  ผมจะพยายามนำเสนอต่อไปเรื่อยๆครับ แต่ผมต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าเรื่องของ ท่าน อุมัรุ อัล-ฟารุค เนี้ย ประวัติการทำงานของท่านเยอะมากๆ จนไม่สามารถตัดบางส่วนไปได้ เพราะถ้าเราพิจารณาถึงสิ่งที่ทำได้ทำไว้ให้กับอิสลามแล้ว คงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เราควรจะเรียนรู้และรับทราบถึงความเหน็ดเหนื่อย ความอุสาหะ และ ความรักที่จะเห็นอิสลามเกรียงไกลของท่าน  ท่านได้ทำเท่าที่อัลลอฮุจะทรงอนุมัติ และ เท่าที่ท่านสามารถจะทำได้ ซึ่งเราจะเห็นได้จากการทำงานของ ท่านอุมัรุ อัล-ฟารุค ครับ
.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: มี.ค. 23, 2007, 10:23 AM »
0


แหะ ๆ ถ้ามี ประวัติฐอฮาบะฮฺท่านอื่นนี่ เล่าแทรกได้ไหมคะ
 ;D
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: มี.ค. 23, 2007, 06:00 PM »
0


แหะ ๆ ถ้ามี ประวัติฐอฮาบะฮฺท่านอื่นนี่ เล่าแทรกได้ไหมคะ
 ;D

ได้ครับ  และสามารถนำเสนอเล่าแบบวาไรตี้เลยครับ  ส่วนคุณ +Kamarutdin+ ก็นำเสนอของเขาไป  ส่วนคนของน้องชาอารูซาห์ ก็นำเสนอของตนไป  และต่อไป  บังก็จะนำเสนอของตนเองไปด้วย  แต่ต้องหาเวลาแว๋ปในซื้อหนังสือเล่มนั้นก่อน  ;D
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: มี.ค. 23, 2007, 09:19 PM »
0
ของชาไม่ต้องค้นมากง่ะ
ก๊อบเฉย ๆ
ที่มา : อบูฟิกรฺ




การเดินทางค้นหาสัจธรรมของท่าน ซัลมาน อัลฟาริซีย์


-ท่านซัลมาน เกิดที่เมืองอัซฟาฮาน (อยู่ในประเทศอิหร่านในปัจจุบัน) [/li][/list]

- แถบนั้นมีศาสนายูดาย (ยิว), คริสต์(นะศอรอ), โซโรแอสเตอร์(มะยูซีย์-บูชาไฟ)

- บิดาของท่านซัลมานเป็นระดับผู้ใหญ่บ้านที่เคร่งครัดในศาสนามะยูซีย์

- หน้าที่ของท่านซัลมานคือต้องจุดไฟในโบสถ์ให้สว่างตลอดเวลา

- จนวันหนึ่งพ่อของท่านไม่มีเวลาไปทำงาน จึงให้ท่านซัลมานออกไปทำแทน

- ระหว่างทางท่านซัลมานได้พบกับโบสถ์ของชาวคริสต์ ซึ่งขณะนั้นกำลังประกอบศาสนกิจกันอยู่

- ท่านซัลมานรู้สึกยินดีกับการทำอิบาดะฮฺของชาวคริสต์

- และรู้สึกว่าสิ่งที่ชาวคริสต์ทำ ดีกว่าการบูชาไฟ

- ท่านซัลมานถามพวกเขาว่าแหล่งกำเนิดของศาสนาคริสต์อยู่ที่ใด

- ที่ชาม พวกเขาตอบ

- ท่านซัลมานจึงตัดสินใจไปชาม

- แต่พ่อของท่านทราบเรื่องก่อนจึงจับขังไว้ในโบสถ์

- ท่านซัลมานได้กำชับชาวคริสต์กลุ่มนั้นว่า หากมีคาราวานไปชามผ่านมา ให้บอกด้วย

- และท่านซัลมานก็ได้หนีไปเมืองชาม

- ที่เมืองชาม ท่านซัลมานได้พบกับชาวคริสต์ดั่งเดิม (ที่ไม่ได้บูชาเจว็ด)

- ท่านได้ไปศึกษาและพำนักอยู่กับบาทหลวงชาวคริสต์ที่โบสถ์แห่งหนึ่ง

- แต่บาทหลวงคนนี้ไม่ซื่อสัตย์ โกงเงินชาวบ้าน

- ท่านซัลมานรับใช้บาทหลวงคนนี้ จนบาทหลวงตาย

- ท่านซัลมานจึงแจ้งข่าวการคดโกงของบาทหลวงให้ชาวบ้านรู้

- ชาวบ้านจึงประณามบาทหลวงคนนี้

- ท่านซัลมานได้รับใช้บาทหลวงคนใหม่ คนนี้เป็นคนดี

- จนบาทหลวงเสียชีวิตไปอีกคน

- ก่อนบาทหลวงสิ้นใจ ท่านซัลมานถามว่า ตนจะไปศึกษาศาสนาต่อได้ที่ไหน

- บาทหลวงแนะนำให้ไปหาบาทหลวงที่เมือง เมาซิล (โมซุล ในอิรัก)

- ท่านซัลมานอยู่กับบาทหลวงคนนี้จนบาทหลวงสิ้นชีวิต

- ก่อนบาทหลวงสิ้นใจ ท่านซัลมานถามว่า ตนจะไปศึกษาศาสนาต่อได้ที่ไหน

- บาทหลวงแนะนำให้ไปหาบาทหลวงที่เมือง นะซิบีน (ในตุรกี)

- ท่านซัลมานอยู่กับบาทหลวงคนนี้จนบาทหลวงสิ้นชีวิต

- ก่อนบาทหลวงสิ้นใจ ท่านซัลมานถามว่า ตนจะไปศึกษาศาสนาต่อได้ที่ไหน

- บาทหลวงแนะนำให้ไปหาบาทหลวงที่เมือง อัมมูรียะฮฺ

- ท่านซัลมานอยู่กับบาทหลวงคนนี้จนบาทหลวงสิ้นชีวิต

- ก่อนบาทหลวงสิ้นใจ ท่านซัลมานถามว่า ตนจะไปศึกษาศาสนาต่อได้ที่ไหน

- บาทหลวงคนนี้ตอบว่า เห็นจะไม่มีใครที่เจ้าจะไปเรียนศาสนาอันบริสุทธิ์ได้แล้ว

- เจ้าจงไปยังดินแดนอาหรับ ไปยังนบีท่านใหม่ที่จะลงมาเป็นท่านสุดท้าย

- ยังดินแดนระหว่างหินสีดำ 2 แห่ง เป็นดินแดนแห่งอินทผลัม

- เจ้าจงไปที่นั่นและศรัทธาต่อเขา

- ท่านซัลมานเดินทางไปอาหรับ กับกองคาราวานกองหนึ่ง

- แต่ท่านซัลมานถูกโกง ถูกจับตัวไปขายเป็นทาส

- ถูกเปลี่ยนมือหลายต่อหลายครั้งจนเป็นทาสของชาวยิวที่ตำบลวะดิลกุรอ (ตอนเหนือของมะดีนะฮฺ)

- จนวันหนึ่งญาติของชาวยิว นายของท่านซัลมาน จากบนีกุรอยเซาะฮฺ ซื้อท่านไป

- เมื่อถึงมะดีนะฮฺ ท่านซัลมานมองเห็นว่าดินแดนแห่งนี้ขนาบด้วยหินสีดำ 2 ด้าน และมีอินทผลัมมากมาย

- ท่านซัลมานดีใจ เพราะตรงตามที่บาทหลวงบอกไว้

- วันหนึ่งท่านซัลมานปีนต้นอินทผลัม ได้ยินข่าวการมาของท่านนบี จากชาวยิวที่มาคุยกับนายของท่าน

- ท่านดีใจรีบปีนลงมาแล้วสอบถาม จึงโดนนายของท่านต่อยไปหนึ่งหมัด

- ท่านซัลมานจำได้ว่าบาทหลวงเคยบอกว่าสัญลักษณ์ของการเป็นนบี มี 3 ข้อ

- 1. ไม่รับศอดาเกาะฮฺ 2. รับฮะดียะฮฺ 3. ไม่เนื้องอกที่หลังมีขน (ตราแห่งการเป็นนบี)

- ท่านซัลมานจึงเอาอินทผลัมไปให้ท่านนบี บอกว่าให้เป็นศอดาเกาะฮฺ แก่ท่านเพราะท่านเป็นผู้เดินทาง

- นบีรับ และให้ศอฮาบะฮฺกิน แต่ท่านนบีไม่กิน

- ท่านซัลมานนับ 1

- วันต่อมาท่านซัลมานนำอินทผลัมไปให้อีก บอกว่าเป็นฮะดียะฮฺ

- นบีรับและแบ่งกินกับศอฮาบะฮฺ

- ท่านซัลมานนับ 2

- วันหนึ่งมีศอฮาบะฮฺท่านหนึ่งเสียชีวิต

- ระหว่างที่ท่านนบีกำลังฝังศอฮาบะฮฺท่านนั้น

- ท่านซัลมานเดินไป เดินมา ก้มๆ เงยๆ มองหลังท่านนบี

- ท่านนบีพอจะทราบว่าซัลมานหาอะไร

- ท่านจึงปลดผ้าคลุมออกให้เป็นสัญลักษณ์ที่ 3

- ท่านซัลมานก็โผเข้าไปกอดนบี แล้วร้องไห้     :'(

- กล่าวชะฮาดะฮฺเข้ารับอิสลาม

- แต่ท่านซัลมานยังคงเป็นทาสของชาวยิว จึงมารับใช้ท่านนบี มาช่วยเหลือท่านนบี ไม่ได้

- บะดัร, อุฮุด ท่านซัลมานก็ไม่ได้ร่วม

- ชาวยิวบอกว่าให้นำ 40 ทองคำ และอินทผลัม 300 ต้นมาไถ่

- ท่านซัลมานไปบอกนบี

- นบีได้ทรัพย์เชลยมาจึงให้ท่านซัลมานไปไถ่ตัว

- เป็นทองคำขนาดแค่ไข่ไก่ แต่ชั่งแล้วได้น้ำหนักเท่ากับที่ชาวยิวตั้งไว้พอดี

- นบีช่วยปลูกอินทผลัม 299 ต้น ท่านซัลมานปลูก 1 ต้น (ภายหลังทั้ง 299 ต้นไม่มีต้นใดเฉาตายเลย)

- ท่านซัลมานได้อิสระ

- เกิดสงครามคอนดักขึ้นพอดี

- ท่านซัลมานมีบทบาทช่วยเหลือท่านนบีอย่างมากในสงครามครั้งนี้

- ท่านซัลมานเสนอกลยุทธ์ให้ขุดหลุมล้อมเมืองมะดีนะฮฺ เรียกว่าสนามเพลาะ

- สงครามครั้งนั้นทุกคนช่วยกันขุดหลุม และมุสลิมได้รับชัยชนะ

- ท่านซัลมานถูกแย่งจากฝั่งมุฮาญีรีน เพราะท่านเป็นผู้อพยพมา

- แต่ทางฝั่งอันศอร บอกว่าท่านเป็นผู้ช่วยเหลือต่างหาก

- แต่ท่านนบีบอกว่า ?ซัลมานเป็นพวกฉัน?

- ท่านนบีบอกอีกว่า ?หากอีหม่านอยู่ที่ดวงดาวสุรอยยา คนอย่างซัลมานก็จะไปหา?

- ก่อนตายท่านซัลมานร้องไห้ เพราะนึกถึงคำพูดท่านนบี

- ว่าให้ใช้ชีวิตเหมือนคนเดินทาง

- แต่ท่านมองว่าท่านมีของเยอะแยะมากมาย

- ทั้งๆ ที่ตอนนั้นท่านมีเพียง ผ้าห่ม 1 ผืน พรม(ที่นอน) 1 ผืน, ที่รองนั่ง 1 อัน และเงิน 20 ดิรฮัม




 :'( :'( :'(
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: มี.ค. 25, 2007, 12:59 PM »
0
อัสลามุอะลัยกุ้ม

ไม่ว่าจะค้นคว้าเองหรือก๊อบมา  ก็มีประโยชน์ทั้งสิ้นเลยครับ 

ออฟไลน์ yaseen

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 36
  • ชีวิตนักเดินทาง
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: มี.ค. 26, 2007, 08:18 AM »
0
อัสลามุอะลัยกุ้ม

ไม่ว่าจะค้นคว้าเองหรือก๊อบมา  ก็มีประโยชน์ทั้งสิ้นเลยครับ 

ช่ายเลยๆ  ยังรอติดตามอ่านอยู่น๊า  ;)
+ในร่างกายนั้นมีก้อนเนื้อหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายทุกส่วนก็จะดี เมื่อมันเสีย ทุกส่วนของร่างกายก็จะเสีย จงจำไว้เถิด เนื้อก้อนนั้นคือหัวใจ+

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: มี.ค. 26, 2007, 05:00 PM »
0
การนำเสนอต้องใช้เวลาว่างพอสมควร  อย่างกรณีคุณ +Kamarutdin+ การนำเสนอต้องใช้เวลาพิมพ์พอสมควร  ยังไงก็เรื่อย ๆ นะครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ salamah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 761
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: มี.ค. 26, 2007, 09:33 PM »
0
ญะซากั้ลลอฮ์นะคะ..........สำหรับทุกท่านที่นำประวัติท่านซอฮาบะฮ์แต่ละท่านมานำเสนอน่ะค่ะ   
ขอพระองค์อัลลอฮ์ทรงตอบแทนสิ่งดีๆแก่ทุกๆท่านนะคะ.........
ถึงไม่รอบรู้ทุกด้าน    แต่ขอเป็นมุสลิมะห์ที่ดีก็พอ

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: มี.ค. 26, 2007, 11:39 PM »
0
การนำเสนอต้องใช้เวลาว่างพอสมควร  อย่างกรณีคุณ +Kamarutdin+ การนำเสนอต้องใช้เวลาพิมพ์พอสมควร  ยังไงก็เรื่อย ๆ นะครับ

ใช่เลยครับ al-azhary ประวัติท่านอุมัรุนั้นเยอะมากๆ แล้ว ก็ไม่อาจจะข้ามไปได้ เนื่องจากกิจการ การงาน ที่ท่านทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อมุสลิมทั้งสิน นี้ผมเลือกเล็มที่เล็กที่สุดแล้วนะเนี้ย อินชาอัลลอฮุ ครับ พี่ น้อง ผมจะพยายามเสนอให้จบตามที่ได้ตั้งใจไว้ครับ ยังไงขอมะอัฟท่านผู้อ่านด้วยนะครับที่ช้าไปหน่อย อินชาอัลลอฮุ  แล้วจะหาเวลาว่างมาเสนอให้จบนะคร๊าบ... ;)
.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: มี.ค. 27, 2007, 05:55 PM »
0
ยะซากัลลอฮ์ ครับ  คุณ +Kamarutdin+ بارك الله فيك
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ บุคคลธรรมดา

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 433
  • live&learn in Islam
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: มี.ค. 27, 2007, 08:14 PM »
0
กระทู้นี้ อิงชาอัลลอฮ์ จะรีบมาอ่านให้ครบถ้วน

ช่วงนี้ขอพักสายตา ก่อน

ญะซากั้ลลอฮฺ พี่น้องทุกท่าน ที่ร่วมกันนำเสนอความรู้ อย่างไม่เหน็ดหน่าย ;)(หน้าไร้เดียงสา)
ถ้าหากว่าเราจะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยแอ่งปลักโคลน
แน่นอนที่สุด เราจะถึงฝั่งนั้นในสภาพที่เปรอะเปื้อนด้วยโคลน...
โคลนที่อยู่ในแอ่งนั้น มันจะทิ้งร่องรอยที่เท้าของเรา
และในที่ที่ เราได้เหยียบย่างไป

                        "อัลชะฮีด ซัยยิด กุฏุบ"

 

GoogleTagged