ผู้เขียน หัวข้อ: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..  (อ่าน 38456 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #75 เมื่อ: ต.ค. 31, 2009, 12:30 AM »
0
 
สาเหตุของการแข็งข้อ
สาเหตุที่แท้จริงของการแข็งข้อและฆาตกรรมท่านอุษมานนั้นมีอยู่ดังนี้

 ประการ แรก ในอาณาจักรอิสลามมีคนจำนวยนมากเข้ารับอิสลามโดยมิได้มีความจริงใจ แต่ด้วยต้องการยศตำแหน่ง เมื่อเขาทำผิดและถูกถอดออกจากยศตำแหน่งพวกเขาก็พยายามหาโอกาสทำร้ายเคาะลีฟะ ฮ์ ในจำนวนนี้มีอับดุลลอฮ์ บินสะบา ชาวยิว ยะมัน ผู้มาเป็นมุสลิมเพื่อประโยชน์ของตนเอง ได้เป็นหัวหน้าในการยุยงให้พวกมุสลิมแข็งข้อต่อท่านอุษมาน เมื่อเขาถูกขับไล่ออกจากเมืองคูฟะฮ์ บัศเราะฮ์ และจากซีเรียตามลำดับเพราะการกระทำอันเป็นกบฏของเขา เขาก็ไปอยู่อียิปต์และเริ่มยุยงให้ผู้คนเกลียดชังท่านอุษมาน คนจำนวนมากหลงเชื่อคำพูดของเขาฉะนั้น ฝ่ายกบฏจึงมีกำลังเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังมีคนอีกหลายชาติที่เข้ารับอิสลามโดยยังมีความเกลียดชังมุสลิม อยู่ในใจ เมื่อมีคนแข็งข้อต่ออิสลามคนเหล่านั้นก็เข้าข้างฝ่ายแข็งข้อทันที

 ประการ ที่สอง คือความเป็นปรปักษ์และแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในระหว่างตระกูลกุร็อยช์เอง เช่นระหว่างพวกลูกหลานของฮาชิมกับลูกหลานของอุมัยยะ ได้ทำให้พลังของท่านอุษมานอ่อนแอลง เมื่ออำนาจของพวกอุมัยยะฮ์ชักจะเพิ่มขึ้นพวกฮาชิมก็ทนไม่ได้ ท่านเคาะลีฟะฮ์ได้ยกที่ดินที่อิรักแทนมักกะฮ์ให้แก่พวกกุร็อยช์ที่ออกจากมัก กะฮ์ไปอยู่ซีเรีย ฝ่ายปรปักษ์ก็ออกข่าวว่าท่านอุษมานเอาใจพวกกุร็อยช์จนพวกที่ไม่ชอบพวกกุ ร็อยช์โกรธเคือง พวกฮาชิมก็สนับสนุนฝ่ายปรปักษ์ของท่าน

 ประการ ที่สาม บุคลิกลักษณะอันอ่อนแอของท่านอุษมานก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่ทำให้ท่านต้อง ประสบเคราะห์ร้าย ท่านเป็นคนที่เรียบง่าย ใจบุญและมีเมตตา ในวิกฤตการณ์ที่ต้องการผู้บริหารที่แข็งแกร่งแต่ท่านอุษมานขาดคุณสมบัติข้อ นี้ ท่านเป็นคนดีเกินกว่าที่จะเชื่อว่าจะมีใครทำร้ายท่านได้ มีอยู่หลายครั้งที่ท่านยกโทษให้แก่ผู้ทำผิด ความเมตตาเช่นนี้ยิ่งทำให้คนผิดยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นพลังอำนาจที่ไม่อาจจะปราบลงได้ง่ายๆ

 คน กลุ่มต่างๆก็มีความเห็นต่างกันไป แต่ทุกฝ่ายมีความต้องการร่วมอยู่อย่างหนึ่งคือต้องการถอดถอนท่านอุษมานและ ทำลายอำนาจของพวกอุมัยยะฮ์ลง พวกเขารวมกันเดินขบวนมายังมะดีนะฮ์อย่างเป็นระเบียบและยื่นคำร้องต่อท่านอุ ษมานว่า ท่านอุษมานได้สัญญาว่าจะแก้ไขความทุกข์ของประชาชน แต่มัรวานที่ปรึกษาคนสำคัญของท่านได้ใช้อุบายสกปรกต่อพวกเขาโดยเขียนจดหมาย ไปถึงผู้ครองเมืองให้ฆ่าผู้แทนเหล่านั้นเสียในทันทีที่ไปถึง เมื่อพวกที่แข็งข้อได้ขอร้องให้ถอดถอนเจ้าเมืองอียิปต์ออกจากตำแหน่งและขอ ให้แต่งตั้งมุฮัมมัด บินอบูบักร์แทน ท่านเคาะลีฟะฮ์ก็ได้ส่งจดหมายแต่งตั้งให้แก่คนเหล่านั้นทันทีโดยไม่ได้ถาม อะไรทั้งสิ้น แต่คนเหล่นั้นยังไม่พอใจ พวกเขาเข้าล้อมมะดีนะฮ์ไว้แล้วร้องตะโกนว่า "แก้แค้น แก้แค้น" เมื่อท่านอะลีถามถึงเหตุผล พวกเขาก็ยื่นจดหมายของเคาะลีฟะฮ์ที่มีถึงผู้ครองนครอียิปต์ให้ดู ในจดหมายนั้นเขียนว่าในทันทีที่คนเหล่านี้ถึงอียิปต์ให้ฆ่าเสียให้หมดและคำ สั่งถอดถอนจากตำแหน่งนั้นเป็นโมฆะไป ท่านเคาะลีฟะฮ์สาบานว่าท่านไม่ทราบเรื่องจดหมายนั้นเลยแต่คนเหล่านั้นก็ไม่ ยอมเชื่อ พวกเขากล่าวว่าท่านสมควรจะลาออกจากตำแหน่งเสียและขู่ว่าจะฆ่าท่านให้ตาย ท่านเคาะลีฟะฮ์ได้ตอบว่า "อันความตายนั้นฉันไม่กลัวหรอก ฉันถือว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด แต่ฉันจะไม่สู้กับพวกท่านเพราะถ้าฉันสู้ก็จะมีผู้ต่อสู้เพื่อฉันเป็นพันๆคน แต่ฉันไม่อยากเห็นมุสลิมต้องหลั่งเลือด" พวกกบฏล้อมบ้านท่านไว้ และในขณะที่ท่านกำลังอ่านอัลกุรอานอยู่ท่ามกลางคนในครอบครัวของท่าน ชาวอียิปต์สองคนได้เข้ามาจับท่านและฆ่าท่านตายในวันที่ 17 มิถนายน คศ.656 นาอิละฮ์ ภริยาของท่านถูกตัดนิ้วขาดในขณะที่พยายามเข้าไปช่วยท่าน
การ ฆาตกรรมท่านอุษมานมีผลกระทบอย่างมากต่อประวัติศาสตร์อิสลาม ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาณาจักรอิสลามซึ่งได้ถูกรักษามาโดยท่านเคาะ ลีฟะฮ์สองท่านแรกก็แตกสลายลง เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงในหมู่มุสลิม

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 03, 2009, 03:33 PM โดย R@ÿÊⓢ »

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #76 เมื่อ: ต.ค. 31, 2009, 12:38 AM »
0
   
สมัยของท่านอุษมาน
 
คง ไม่มีใครปฏิเสธความจริงที่ว่า การขยายอาณาจักรอิสลามให้กว้างขวางขึ้นนั้น ส่วนมากแล้วเกิดขึ้นในสมัยของท่านอุษมาน ท่านได้ผนวกอัฟกานิสถาน เตอรกิสถานและคูราซาน เข้าในอาณาจักรอิสลามด้วย ชาวโรมันถูกขับไล่ออกไป อาร์เมเนีย อเซอร์ไบยาน และเอเซียไมเนอร์ก็ถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรอิสลาม
 
ใน สมัยของท่านอุษมานนี่เองที่ได้เริ่มมีกองทัพเรือของมุสลิม และกองทัพเรือนี้เองสามารถพิชิตเกาะไซปรัสได้ เมืองอเล็กซานเดรียก็ถูกยึดคืนมาได้จากพวกโรมัน และในที่สุดอำนาจของจักรพรรดิ์โรมันก็ถูกทำลายลง เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอิสลามรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยของท่านอุษมานนั่นเอง
 
การบริหารประเทศของท่านอุษมาน
 
ท่าน ได้เสียสละเงินทองของท่านอย่างมากมายเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ในระยะหลังๆชีวิตของท่าน ท่านได้สละเงินทองทรัพย์สินทั้งหมดของท่านเพื่อประโยชน์ของประะเทศจนเหลือ เพียงอูฐสองตัวเพื่อใช้เดินทางไปทำฮัจย์เท่านั้น ท่านไม่ได้เปลี่ยนแปลงระบบบริหารใหม่ ยังคงรักษาสภาที่ปรึกษาเอาไว้ และเรื่องราวต่างๆก็ได้นำเข้ารับคำปรึกษาหารือจากสภาที่ปรึกษานี้ แผนงานทุกแผนกของรัฐเป็นไปเหมือนในสมัยของท่านอุมัร แผนกรายได้ของรัฐกำลังเฟื่องฟู มีการสร้างอาคารหลายหลังรวมทั้งสะพาน ถนนหนทาง มัสญิด และบ้านพักแขกซึ่งถูกสร้างขึ้นในส่วนต่างๆของอาณาจักร ได้มีการสร้างเขื่อนใหญ่ขึ้นเพื่อป้องกันมะดีนะฮ์จากอุทกภัย มัสญิดของท่านศาสดาก็ได้รับการขยายออกไปและสร้างใหม่ด้วยหิน ในมะดีนะฮ์ได้มีการจัดการให้มีน้ำใช้
 
บุคคลิกลักษณะของท่านอุษมาน
 
ท่าน เป็นคนเที่ยงธรรมขยันขันแข็งและโอบอ้อมอารี เป็นคนบริสุทธิ์ใจและซื่อสัตย์ ความสงบเสงี่ยมเป็นคุณสมบัติสำคัญของท่าน ท่านศาสดาเองก็พอใจท่านอุษมานมาก ถึงกับปรารภว่าถ้าท่านมีลูกสาวเหลืออยู่ก็จะยกให้เป็นภรรยาของท่านอุษมาน ท่านมีทรัพย์สินมากมายแต่ยังพอใจแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างเรียบๆ และรับประทานอาหารง่ายๆ
 
ท่าน สนใจในการรวบรวมส่วนต่างๆของอัลกุรอานเข้าเป็นเล่มเดียวกัน ด้วยความรักในพี่น้องมุสลิมท่านจึงเสียสละชีวิตของท่านมากกว่าจะทำให้คนอื่น ต้องเลือดตกยางออก จึงนับได้ว่าท่านเป็นคนรักชาติอย่างแท้จริงและเป็นผู้ปกครองที่สุภาพอ่อนโยน
 http://www.muslimchonburi.com/index.php?page=show&id=155

 
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 03, 2009, 03:32 PM โดย R@ÿÊⓢ »

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #77 เมื่อ: ต.ค. 31, 2009, 12:49 AM »
0
 
 

ท่านอบูบักร์(Abu Bakr) ฮศ.11-13/คศ.632-634

ชีวิตในตอนต้น
 
ท่า นอบูบักร์เป็นคอลีฟะฮ์ระหว่างปี ฮ.ศ. 11-13 หรือ ค.ศ. 632-634 มีชื่อเต็มว่า อับดุลลอฮ์ บุตร อุสมาน ( อบูกุฮาฟะฮ์ ) บุตร อามิร บุตร อัมร์ บุตร กะอับ บุตร สะอัด บุตร ตัยม์ บุตร มุรเราะฮ์ มารดาของท่านมีชื่อว่า ซัลมา ท่านเป็นที่รู้จักในนาม อบูบักร์ อัศศิดดีก มีอายุอ่อนกว่าท่านนบี ( ศ็อลฯ ) สองปีเศษ อบูบักร เกิดที่มักกะฮ์ ปี ค . ศ .573 เป็นชาวอาหรับตระกูล บะนูตัยม์ เผ่ากุร็อยส์ ท่านเกิดในครอบครัวที่มีเกียรติเป็นที่นับหน้าถือตาในมักกะฮ์ ท่านเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธ์และจริงใจ ท่านศาสดามุฮัมมัดได้ให้สมญานามท่านว่า " อัซซิดดีก " ( ผู้ที่มีความเชื่อมั่นอย่างบริสุทธิ์ใจในการศรัทธา ) สาเหตุที่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อล) ได้ให้สมญานาม " อัซซิดดีก " เพราะอบูบักรเชื่อในคำพูดของท่านศาสดามุฮัมมัดโดยไม่มีความสงสัยใดๆ
ท่า นอบูบักร์ เป็นคนสุภาพ เป็นคนซื่อสัตย์ และมีสัจจะ อบูบักร์ มีบุคลิกภาพคล้ายกับท่านศาสดามุฮัมมัด เนื่องจากว่าท่านนั้นเป็นสหายคนสนิทของท่านศาสดาตั้งแต่เยาว์วัย อบูบักร์ เป็นคนใจบุญ ท่านชอบช่วยเหลือคนจน ครั้งหนึ่ง ท่านอบูบักร์ได้นำเอาทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่มากมายให้กับท่านศาสดาเพื่อ ใช้ในสงครามตะบูก ท่านศาสดาถามว่า " อบูบักร์ ท่านเหลือสิ่งใดไว้กับครอบครัวของท่านบ้าง " อบูบักร์ กล่าวว่า " ฉันเหลืออัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ไว้กับพวกเขา "
 
ท่า นอบูบักร์ เป็นชายคนแรกที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อท่านศาสดาเผยแพร่อิสลามแก่อบูบักร์ เขาตอบรับอิสลามทันที เมื่อท่านศรัทธาแล้วท่านก็เชิญชวนบุคคลเป็นจำนวนมากเข้ารับอิสลาม เช่น อุษมาน , สุเบ็ร , ฏ้อลฮะฮ์ , อับดุรเราะห์มาน , สะอัด , บิ ล้าล และผู้ศรัทธาอีกหลายคน ท่านอบูบักร์ มีความผูกพันกับท่านศาสดาอย่างใกล้ชิดท่านนั้นเป็นสหายคนสนิทของท่านศาสดา ตั้งแต่เยาว์วัยและยังเป็นสหายของท่านศาสดาในขณะที่อพยพจากมักกะฮ์ไปมะดีนะ ฮ์ ท่านศาสดากล่าวว่า " ในบรรดาสหายที่ดีของข้าพเจ้านั้น อบูบักร์ เป็นผู้ประเสริฐสุด " อีกทั้งท่านยังเป็นพ่อตาของท่านศาสดา เนื่องจากลูกสาวของท่าน คือ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เป็นภรรยาของศาสดา ท่านได้เข้าร่วมทำสงครามกับท่านศาสดาทุกครั้ง ท่านได้ซื้อทาสและปล่อยทาสให้เป็นอิสระเป็นจำนวนมาก ขณะที่ท่านศาสดาป่วย อบูบักร์ได้รับเกียรติให้เป็นผู้นำละหมาด ( อิหม่าม ) ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมในการเป็นผู้นำของท่าน อบูบักร์ เป็นผู้ใกล้ชิดต่อท่านศาสดา ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่กับท่านศาสดาตั้งแต่เด็กจนกระทั้งท่านศาสดาเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ อบูบักร์จึงเป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้ทางด้านซุนนะฮ์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล) อย่างแท้จริง ชีวิตทั้งชีวิต ของท่านได้อุทิศให้กับการเสียสละและการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์

ได้รับเลือกเป็นเคาะลีฟะฮ์
 
ท่าน ศาสดามิได้แต่งตั้งให้ผู้ใดสืบตำแหน่งแทนท่าน หลังจากท่านสิ้นชีวิตแล้วโลกมุสลิมจึงตกอยู่ในความวุ่นวาย มุสลิมแบ่งออกเป็นสองค่ายคือ ค่ายอันศอร กับค่ายมุฮาญีรีน แต่ละฝ่ายพยายามที่จะให้คนของตนได้ตำแหน่งนั้น ความสามัคคีระหว่างชาวมุสลิมจึงเสื่อมสลายลง พวกอันศอรแห่งมะดีนะฮ์ได้มาชุมนุมกันเพื่อเลือกคนของตนขึ้นเป็นผู้ปกครอง พวกเขาตกลงกันว่าจะเลือก สะอ์ด บิน อุบัยดะฮ์ (Sad bin Ubayda) ซึ่งเป็นหัวหน้าของเผ่าค็อซร็อญจ์ (Khazraj) ใน ขณะนั้นอบูบักร์ อุมัรและอุบัยดะฮ์ ก็มาถึงพอดี อบูบักร์กล่าวว่าผู้จะมาเป็นเคาะลีฟะฮ์ควรจะมาจากเผ่ากุร็อยช์ ท่านได้ขอให้เลือกอุมัรหรือมิฉะนั้นก็อบูอุบัยดะฮ์ แต่ทั้งสองคนปฏิเสธ เมื่อเห็นท่าไม่ดีอุมัรจึงจับมืออบูบักร์และให้สัตย์ปฏิญาณต่อท่านว่า จะจงรักภักดีต่อท่าน ดังนั้นทุกคนจึงยกให้อบูบักร์เป็นเคาะลีฟะฮ์ต่อจากท่านศาสดา
 
การ เลือกอบูบักรเป็นเคาะลีฟะฮ์นี้ ได้ก่อให้เกิดปัญหาสำคัญในเรื่องการขึ้นเป็นหัวหน้าชาวมุสลิมในหมู่ชาว อาหรับ หัวหน้าเผ่ามิได้สืบเชื้อสายต่อๆกันมา แต่เป็นได้ด้วยการถูกเลือกตั้ง และการเลือกตั้งนั้นใช้หลักอาวุโสและความสามารถ หลังจากนั้นอบูบักร์ก็ได้ยืนขึ้นกล่าวว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน ข้าพเจ้าจึงต้องการคำแนะนำและความช่วยเหลือจากพวกท่าน การบอกความจริงแก่ผู้ที่รับภาระปกครองนั้นคือความจงรักภักดี ส่วนการปิดบังความจริงก็คือการกบฏ สำหรับสายตาของข้าพเจ้านั้น ผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่อ่อนแอย่อมเหมือนกัน และข้าพเจ้าต้องการที่จะให้ความยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ในเมื่อข้าพเจ้าเชื่อฟังอัลลอฮ์และศาสดาของพระองค์ พวกท่านก็จงเชื่อฟังข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าละทิ้งกฏหมายแห่งอัลลอฮ์และท่านศาสดา ข้าพเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับการเชื่อฟังจากพวกท่าน"
 
คำ กล่าวปราศรัยของท่านอบูบักร์นี้ บรรจุหลักการแห่งประชาธิปไตยไว้ คือชี้ให้เห็นว่าเคาะลีฟะฮ์ย่อมจะไม่เป็นผู้ที่เอาแต่ใจตนเอง เขาจะต้องปกครองประเทศไปตามกฏหมายชะรีอะฮ์(กฏหมายที่ได้รับจากพระผู้เป็น เจ้า)และต้องรับผิดชอบต่อผลที่จะพึงมีแก่ประชาชนจากการกระทำของเขา
สมัยของท่านอบูบักร์
 
เมื่อ ได้เป็นเคาะลีฟะฮ์แล้วท่านอบูบักร์ก็ต้องผจญกับปัญหาหลายอย่าง เช่นการเกิดขึ้นของศาสดาเถื่อนทั่วภาคพื้นอารเบีย การถอนตัวออกจากอิสลามของชนเผ่าต่างๆในอารเบีย และการที่คนส่วนมากปฏิเสธอย่างแข็งขันไม่ยอมจ่ายซะกาต แต่งานชิ้นแรกของท่านอบูบักร์ก็คือการทำความประสงค์ของท่านศาสดาที่มีอยู่ ก่อนที่ท่านจะสิ้นชีวิตให้สำเร็จผล ท่านจึงได้ส่งอุซามะฮ์(Usamah)ให้เป็นแม่ทัพนำทัพไปตีซีเรีย ภายในเวลาสองสัปดาห์เท่านั้นอุซามะฮ์ก็กลับมาพร้อมด้วยชัยชนะ
 
ความ สำเร็จในภารกิจของท่านศาสดาทำให้คนหลายคนเกิดความทะเยอทะยานขึ้น จึงได้เกิดศาสดาปลอมขึ้นในส่วนต่างๆของประเทศ ข่าวการสิ้นชีวิตของท่านศาสดาก็ทำให้ศาสดาเถื่อนเหล่านั้นลุกฮือขึ้น คนแรกที่แข็งข้อขึ้นที่แคว้นยะมันก็คือ อัสวัดอันซี(Aswad Ansi) หัวหน้าเผ่าอันซี เขารวบรวมผู้คนจำนวนมากโดยร่วมมือกับหัวหน้าเผ่าข้างเคียงยืนหยัดแข็งข้อต่อ อิสลามอย่างเปิดเผย
 
มุซัยลิมะฮ์ (Musaylima) ฏุลัยฮะฮ์ (Tulayha)หัวหน้าผู้ร่ำรวยและนักรบผู้สามารถแห่งเผ่าบนูอะซัด ก็ยืนหยัดแข็งข้อต่ออิสลามขึ้นที่อารเบียเหนือ ซะญะฮ์(Sajah) หญิง ชาวคริสเตียนก็ประกาศตัวเองเป็นศาสดาหญิงเหมือนกัน นางมาจากเผ่าบนูยัรบูอ์ ในเอเซียกลาง ฉะนั้นงานในตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของท่านอบูบักร์จึงเกี่ยวข้องกับการปราบศาสดา ปลอมเหล่านี้เสียเป็นส่วนมาก สาเหตุที่เกิดแข็งข้อขึ้นอย่างมากมายนี้ก็คือ การที่มะดีนะฮ์มีอำนาจขึ้นมานั้นไม่เป็นที่พอใจของชาวเมืองมักกะฮ์ ซึ่งไม่ต้องการให้เมืองพี่เมืองน้องของตนมีอำนาจมากกว่า เมื่อท่านศาสดายังมีชีวิตอยู่คนเหล่านี้ก็ไม่กล้าต่อต้านท่าน แต่เมื่อศาสดาสิ้นชีวิตไปแล้วพวกเขาก็เห็นโอกาสที่จะโค่นล้มอิทธิพลของมะดี นะฮ์เสีย เหตุผลประการที่สองก็คือ ชนเผ่าต่างๆของอารเบีย มักจะเชื่อฟังคำสั่งของหัวหน้าของตนอย่างเข้มงวด เมื่อหัวหน้าเผ่าเข้ารับอิสลามพวกเขาก็เข้ารับอิสลามตามบ้าง แต่มาเมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกในด้านประชาธิปไตยของพวกเขาก็สูงมากขึ้น ทุกคนในเผ่าต่างก็ปฏิเสธไม่ยอมทำตามหัวหน้าของตนอย่างหลงไหลเหมือนแต่ก่อน เหตุผลประการที่สามก็คือ ท่านศาสดาได้นำเอาความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายมาสู่สังคม การเมืองและศาสนาของอารเบีย ชนเผ่าต่างๆของอารเบียไม่คุ้นกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น พวกเขาจึงประท้วงต่อการเปลี่ยนแปลงด้วยการลุกขึ้นแข็งข้ออย่างเปิดเผย
 
ประการ ที่สี่ ชาวอาหรับจำนวนมากคิดว่าการเป็นศาสดาเป็นการได้ประโยชน์สุขส่วนตัวเป็นอย่าง มาก จึงคิดว่าตนเองก็น่าจะได้บ้าง พวกหัวหน้าเหล่านี้จึงได้ให้สัญญาหลอกๆแก่ประชาชนและคนเหล่านั้นให้ลุกขึ้น ต่อต้านมุสลิม
 
ประการ ที่ห้า เมื่อตอนที่ท่านศาสดาสิ้นชีวิตไปนั้น ประชาชนเพิ่งจะเข้ารับอิสลามใหม่ๆ คนที่ไม่มีเวลาและโอกาสที่จะศึกษาให้เข้าถึงแก่นของอิสลามได้มากนัก ก็ไม่รู้คุณค่าที่แท้จริงของอิสลาม ดังนั้นจึงกลับไปหาความเชื่อเดิมของตนได้ง่ายและหันมาทำลายล้างอิสลาม ประการสุดกท้ายก็คือกฏเกณฑ์ที่เข็มงวดของอิสลามทำให้คนไม่พอใจ รวมทั้งความไม่เต็มใจที่จะเสียภาษีซะกาตของชาวอาหรับ ทำให้คนบางคนลุกขึ้นมาต่อต้านอิสลาม
 
อบูบักร์ ได้รวบรวมกำลังทัพของมะดีนะฮ์เข้าด้วยกัน และแบ่งออกเป็นกองทัพย่อยสิบเอ็ดกอง มอบให้แม่ทัพผู้มีความสามารถควบคุมทัพละคน และส่งไปยังส่วนต่างๆสิบเอ็ดส่วนของอารเบีย โดยแนะนำให้แม่ทัพเหล่านั้นเชิญเผ่าที่แข็งข้อต่อต้านมุสลิมมาเจรจาโดยดี ก่อน ถ้าพวกเขาไม่มีไมตรีด้วยจึงให้ใช้กำลังเข้าโจมตี ซึ่งบางเผ่าก็ยอมจำนนต่ออิสลามแต่โดยดี แต่บางเผ่าก็ยังดื้อดึงจึงต้องทำสงครามกับพวกเขา
 
ครั้ง แรก คอลิดบินวะลิดเป็นแม่ทัพนำไปตีแคว้นของฏุลัยฮะฮ์ก่อน ได้ชัยชนะในการต่อสู้ที่บุซากา หลังจากนั้นเผ่าที่แข็งข้อหลายเผ่าก็ได้ยอมจำนนต่ออิสลาม และในที่สุดฏุลัยฮะฮ์และนางสะญะฮ์ก็ได้เข้ารับอิสลาม
 
มุ ซัยลิมะฮ์เป็นกบฏที่เข้มแข็งที่สุดในบรรดาศาสดาปลอม ท่านอบูบักร์ได้ส่งอิคริมะฮ์ กับซุเราะห์บิล ไปตีก่อนแต่เอาชนะไม่ได้ ท่านจึงส่งคอลิด บินวะลิดไปอีก จึงเอาชนะได้ในการสู้รบที่ใกล้เมือง ยามามะฮ์ ในปีฮศ. 633 มุซัยลิมะฮ์สิ้นชีวิตใน "สวนมรณะ" ที่เขาพร้อมด้วยทหารเผ่าบนูหะนะฟะฮ์หลายพันคนหนีเข้าไปหลบซ่อนอยู่เพราะสวน นั้นพังทลายลงมาทับ
 
เมื่อ ปราบศาสดาเถื่อนได้หมดแล้ว อิสลามก็ผนึกกำลังเข้าได้อีกและก้าวหน้าต่อไป ชัยชนะของมุสลิมในการต่อสู้เหล่านี้ทำให้พวกเขามีความหวังและมีกำลังใจที่จะ ต่อสู้กับพวกไบแซนไตน์และซัสซาเนีย วิธีการทำสงครามและกำลังทหารที่ใช้ในการปราบปรามผู้ต่อต้านเหล่านี้ ได้ถูกนำไปใช้ในการต่อสู้กับพวกไบแซนไตน์และซัสซาเนียอีกครั้งหนึ่ง
 
เมื่อ ท่านศาสดาสิ้นชีวิตลง ประชาชนก็ปฏิเสธไม่ยอมจ่ายภาษีซะกาต เมื่อตอนเอาระบบภาษีนี้มาใช้ใหม่นั้น บางคนก็เจ็บใจเพราะรู้สึกว่าถูกล่วงละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคลของเขา เมื่อมีการระส่ำระสายขึ้นทั่วอารเบีย คนเหล่านี้ก็ได้โอกาสไม่เสียภาษีอีก ท่านอบูบักร์เข้มงวดในเรื่องนี้มาก และพยายามที่จะปราบพวกที่แข็งข้อในเรื่องนี้ให้ได้ อะลี ซุบัยร์ และฏอลฮะฮ์ ถูกส่งไปปราบพวกนี้ คนเหล่านั้นสู้ไม่ได้ก็หนีไป ต่อจากนั้นจึงได้รับภาษีซะกาตทั้งจากในแคว้นและแคว้นอื่นๆดังเดิม
เมื่อ ปราบกบฏกลุ่มต่างๆเรียบร้อยแล้ว คอลิด บินวะลิดก็พร้อมที่จะทำสงครามนอกประเทศ หลังจากท่านศาสดาสิ้นชีวิตได้ไม่นาน มุนซิร ผู้ปกครองแคว้นบาฮ์เรนก็สิ้นชีวิตลง และได้เกิดความระส่ำระสายขึ้นในแคว้นนั้น มีการทะเลาะวิวาทกันระหว่างเผ่าบนูอะบุลกัยส์ กับเผ่าบนูบักร์ ฝ่ายแรกมาขอความช่วยเหลือจากมุสลิม และฝ่ายหลังหันไปขอความช่วยเหลือจากเปอร์เชีย ฝ่ายมุสลิมจึงต่อสู้กับเปอร์เชียและเปอร์เชียได้พ่ายแพ้ไป จึงเป็นอันปราบกบฏได้ราบคาบในที่สุด
 
นอก จากนั้ยังมีกบฏที่อัมมาน มะฮ์รอ และหะเฏาะเราะเมาต์ แต่ในไม่ช้าฝ่ายกบฏก็พ่ายแพ้แก่มุสลิม เมื่อเหตุการณ์ในประเทศเรียบร้อยแล้ว อบูบักร์ก็หันความสนใจไปยังเปอร์เชียและซีเรีย เมื่อครั้งที่บาห์เรนก่อการกบฏ พวกเปอร์เชียได้เข้ามาช่วยฝ่ายกบฏ ฉะนั้นจึงไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายมุสลิม การปฏิบัติอันเป็นการมุ่งร้ายของเปอร์เชียดังกล่าวนี้ ทำให้อบูบักร์ส่ง คอลิด บินวะลิดนำทหารจำนวน 10,000 คน ไปยังเขตแดนของเปอร์เชียในปี คศ.633 เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว คอลิดได้ส่งสาส์นถึงฮุรมูซ แม่ทัพเปอร์เชียให้ยอมรับอิสลามหรือมิฉะนั้นก็ยอมเสียบรรณาการแก่อารเบีย หรือมิฉะนั้นก็เตรียมตัวทำสงครามกัน ฮุรมูซรับข้อเสนอข้อที่สาม การสู้รบระหว่างฝ่ายเปอร์เชียกับฝ่ายมุสลิมเกิดขึ้นที่สถานที่ที่เรียกว่า ฮาฟิร การสู้รบครั้งนี้รู้จักกันในนามว่า "สงครามโซ่" เพราะทหารฝ่ายเปอร์เชียเอาโซ่ล่ามตัวเข้าด้วยกัน เปอร์เชียเป็นฝ่ายปราชัย หลังจากนี้ก็มีการรบกันอีกอย่างประปราย ในที่สุดกำลังทหารฝ่ายเปอร์เชียได้ถูกขับไล่ถอยร่นไปถึงเมโสโปเตเมีย
 
เมือง ฮิรออ์ถูกล้อมและรัฐบาลคริสเตียนที่นั่นได้ยอมแพ้และยอมทำสนธิสัญญา กับมุสลิม โดยยินยอมที่จะส่งบรรณาการให้แก่อารเบีย บรรณาการที่เรียกจากชาวคริสเตียนแห่งฮิรออ์นี้เรียกว่า ญิซยะฮ์ (Jizya) หลังจากพิชิตฮิรออ์ได้แล้ว คอลิดก็เดินทัพต่อไปทางเหนือจนถึงอันบัร(Anbar) อันเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส ฝ่ายมุสลิมพิชิตอันบัร และอัยน์ อัตตามัร ซึ่งอยู่ใกล้เคียงอันบัรได้
 
ใน ระหว่างสมัยของท่านศาสดา จักรพรรดิ์โรมันที่ชื่อ ฮีราคลิอุสได้ต้อนรับทูตมุสลิมอย่างให้เกียรติยิ่ง แต่ต่อมาภายหลังพระองค์ได้กลายเป็นศัตรูของอิสลาม เมื่อท่านอบูบักร์ได้ทราบว่าจักรพรรดิ์โรมันเริ่มคบคิดกับพวกเบดูอินทางชาย เขตแดนซีเรียเพื่อต่อต้านท่าน และนอกจากนี้หัวหน้าเผ่าคริสเตียนคนหนึ่งซึ่งชื่อ ชุเราะห์บิล ก็ได้ฆ่าผู้สื่อสาส์นของท่านศาสดาตายที่มูดาฮ์ อันเป็นการละเมิดกฏสันติภาพนานาชาติอีกด้วย เพื่อแก้แค้นที่ทูตอิสลามถูกฆ่า ท่านอบูบักร์จึงคิดจะบุกซีเรีย
 
ท่า นอบูบักร์ได้ส่งคอลิด บินวะลิดให้นำทหารจำนวน 40,000 คน ไปยังชายแดนซีเรียโดยสั่งคอลิดไม่ให้โจมตีก่อนแต่ให้คอยต้านทานเมื่อฝ่าย ซีเรียบุกเข้ามา กองทัพทั้งสองฝ่ายพบกันที่ อัจนาดาน และมุสลิมเป็นฝ่ายมีชัย ฮีราคลิอุสหลบหนีไปยังเมือง อันติออช แม่ทัพฝ่ายมุสลิมก็เดินทัพต่อไปยังดามัสกัสและล้อมเมืองนั้นไว้
 
ข่าว ชัยชนะที่อัจนาดานมาถึงมะดีนะฮ์ในขณะที่ท่านอบูบักร์กำลังนอนป่วย อยู่ ท่านได้หารือมุสลิมคนสำคัญๆในเรื่องเคาะลีฟะฮ์ท่านต่อไป ทุกคนต่างก็สนับสนุน อุมัร ท่านอบูบักร์สิ้นชีวิตลงเมื่อวันอังคารที่ 23 สิงหาคม คศ.634

ผลงานของอบูบักร์

 
อบูบักร์ ขึ้นทำหน้าที่เคาะลีฟะฮ์ในขณะที่ประวัติศาสตร์อิสลามกำลังอยู่ใน ระยะหน้าสิ่วหน้าขวาน มีการแตกแยกระหว่างชาวมุสลิม การเกิดขึ้นของศาสดาปลอมและการกบฏที่เกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่ง แต่ท่านก็ได้นำความสามัคคีมาสู่ชาวมุสลิมได้ดังเดิม บดขยี้อำนาจของศาสดาปลอม ปราบกบฏในประเทศและขับไล่ผู้รุกรานจากต่างประเทศไปได้ ท่านจึงเป็นผู้สร้างรากฐานอันมั่นคงให้แก่อิสลาม จนอาจเรียกได้ว่าเป็นผู้ช่วยให้อิสลามมีชีวิตรอดอยู่ได้ด้วยวิจารณญานอันสงบ สุขุมของท่าน และความเฉลียวฉลาดรวมทั้งจิตใจอันอ่อนโยนมีเมตตาของท่านเป็นประโยชน์ต่อการ รับใช้ศาสนาอิสลามเป็นอย่างยิ่ง
 
พลัง อำนาจของท่านได้มาจากความศรัทธาในตัวท่านศาสดานั่นเอง ท่านกล่าวว่า "อย่าเรียกข้าพเจ้าว่าเคาะลีฟะฮ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าเลย แต่จงเรียกว่าเคาะลีฟะฮ์แห่งท่านศาสดาเถิด" ท่านเป็นคนแรกที่พยายามรวบรวมโองการต่างๆของอัลกุรอานเข้าด้วยกัน ท่านเป็นผู้เสียสละเงินทองเพื่อประโยชน์ของชาติ ท่านมีเมตตาปราณีอย่างยิ่งต่อคนยากจนขัดสน ท่านต้องเดินท่อมๆไปในเวลากลางคืนเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ท่านอุทิศแรงงานเพื่อบริหารรัฐที่เกิดใหม่นี้ และเพื่อประโยชน์ของประชาชน ความไว้วางใจของท่านในหลักการของอิสลามและชีวิตอันเรียบง่ายของท่านเป็น ลักษณะของท่าน ท่านเป็นคนขยันขันแข็ง ฉลาดสุขุม มีไหวพริบและยุติธรรม
http://www.muslimchonburi.com/index.php?page=show&id=153
 
  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 01, 2009, 01:23 PM โดย ❦r@yëⓢ☉ミ »

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #78 เมื่อ: ต.ค. 31, 2009, 04:22 PM »
0
ดีเลยครับ
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #79 เมื่อ: พ.ย. 01, 2009, 05:40 AM »
0




 
   


ซะอฺดฺ อิบนฺอะบีวั๊กก๊อศ ผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยว


ซะอฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ เป็นสาวกอาวุโสและคนสำคัญของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ผู้หนึ่ง ซึ่งที่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ บอกข่าวดีไว้ว่าเป็นผู้หนึ่งในจำนวน 10 ท่าน ที่จะได้เข้าสวรรค์ มีนามเต็มว่า ซะอฺดฺ อิบนฺมาลิก อิบนฺ วุไฮบ อัลกุเรชีย์ สืบเชื้อสายมาจากอาหรับตระกูลกุเรช มีเชื้อสายเกี่ยวพันกับท่านร่อซูลุลลอฮฺ ทางด้านมารดา โดยที่วุไฮบซึ่งเป็นปู่ของซะอฺดฺ นั้น เป็นลุงของนางอามีนะฮฺมารดาของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ท่านซะอฺดฺจึงมีศักดิ์เป็นน้าของท่านนะบี

ท่านร่อซูลุลลอฮฺจึงเคารพให้เกียรติ และเรียกท่านว่า "น้า" อยู่ตลอดมา แม้ว่าซะอฺดฺจะมีวัยอ่อนกว่าก็ตาม ซะอฺดฺเป็นสาวกชั้นอาวุโส และเป็นแม่ทัพคนสำคัญคนหนึ่งของอิสลาม ซะอฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ มีเรือนร่างค่อนข้างเตี้ย ร่างกายกำยำ ล่ำสัน เป็นนักยิงธนูที่แม่นยำ มีสติปัญญาเฉียบแหลม กล้าหาญและเด็ดขาด เป็นคนสมถะมักน้อย เป็นผู้ที่ได้รับการไว้วางใจในการรายงานฮะดีสของท่านร่อซูลุลลอฮฺ เขาเป็นผู้ที่สงวนความลับและปกปิดความอายของญาติพี่น้องและมิตรสหาย มีนิสัยชอบปลีกตนให้ห่างไกลจากความวุ่นวายของบ้านเมืองและฟิตนะฮฺต่างๆ เขาเป็นคนรักคนโปรดของท่านนะบี ถึงกับท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้ขอพรต่ออัลลอฮฺ ตะอาลาไว้ว่า "ข้าแต่อัลลอฮฺ! ขอพระองค์ทรงตอบรับให้แก่ซะอฺดฺ เมื่อเขาขอดุอาอฺต่อพระองค์ด้วยเถิด"

 

ความ เป็นมาในการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ซะอฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ ได้เล่าไว้ว่า "ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม 3 คืน ข้าพเจ้าฝันไปว่า ข้าพเจ้าได้ไปปรากฏอยู่ที่ที่มืดมองไม่เห็นอะไรเลย แต่แล้วก็มีดวงจันทร์โผล่ขึ้นฉายแสงให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เดินตามดวงจันทร์ดวงนั้นไป ขณะนั้นคล้ายๆ กับข้าพเจ้ามองเห็นผู้ที่เดินมุ่งหน้าไปสู่ดวงจันทร์อยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็ได้พบ อะบูบักรฺ อัศศิดดีก อะลี อิบนฺอะบีตอลิบ และ เซด อิบนฺฮารีซะฮฺ ข้าพเจ้าได้ถามเขาเหล่านั้นว่า "พวกท่านมาถึงที่นี่กันแต่เมื่อใด?" เขาเหล่านั้นก็พากันตอบว่า "เมื่อสักครู่นี้เอง" แล้วข้าพเจ้าก็ตื่นขึ้น

ครั้นต่อมาภายหลัง ข้าพเจ้าได้รับทราบจากอะบูบักรฺ อัศศิดดีก ว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ เรียกร้องให้ไปสู่ศาสนาอิสลามอย่างลับๆ ข้าพเจ้าจึงได้พบท่านร่อซูล แล้วเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามในครานั้นเอง ฉะนั้นจึงไม่มีผู้ใดเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามก่อนข้าพเจ้านอกจากท่านเหล่า นั้น ขณะนั้นข้าพเจ้าอายุได้ 17 ปี

 

ดัง ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า ซะอฺดฺเป็นคนที่กล้าหาญและเด็ดขาด ดังนั้น เมื่อเขาหันเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามจิตใจก็ยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่ง ความฝักใฝ่ในศาสนาใหม่ที่เขารับไว้เป็นสรณะก็เพิ่มทวีคูณ และฝังแนบแน่น เขาคอยปฏิบัติให้ความอารักขาแก่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ อย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุนี้เองพวกมุชริกีนจึงจับตาและคอยหาโอกาสทำร้ายซะอฺดฺ อยู่ตลอดมา

ครั้ง หนึ่ง พวกมุชริกีนเห็นซะอฺดฺกำลังฏ่อว๊าฟอยู่ที่อัลกะอฺบะฮฺตามลำพัง ก็เข้ากลุ้มรุมทำร้าย ฝ่ายซะอฺดฺก็ต่อสู้ป้องกันตัวเองเป็นสามารถ เผอิญเหลือบไปเห็นกระดูกขากรรไกรอูฐตกอยู่ชิ้นหนึ่ง จึงฉวยขว้างไปถูกพวกมุชริกเข้าคนหนึ่งถึงกับศรีษะเจาะเลือดไหลอาบหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นครั้งแรกในประวัติของอิสลามที่ถึงกับเกิดการหลั่ง เลือดขึ้น

 

เหตุการณ์อีกครั้งหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นถึงความมีอีมานศรัทธาที่แน่วแน่และความยึดมั่นในหลักการณ์ ท่านซะอฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ ผู้นี้ก็คือเหตุการณ์ระหว่างซะอฺดฺ ขณะเข้ารับนับถืดศาสนาอิสลามใหม่ๆ กับมารดาของที่ยังนับถือศาสนาเดิมอยู่แล้ว คือ "ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่กตัญญูกตเวทีต่อมารดาของข้าพเจ้า และทั้งเคารพรักท่านอย่างมากมาย เมื่อมารดาของข้าพเจ้าทราบว่า ข้าพเจ้ามาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ก็มีความโกรธแค้นมาก ท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า "โอ้ ! ซะอฺดฺ ! ศาสนาอะไรนี่ ที่เจ้าประดิษฐ์คิดขึ้นมา? เจ้าจงสลัดทิ้งเสียนะ หาไม่แล้ว แม่ก็จะไม่กินและไม่ดื่มจนกระทั่งตายเลย" และท่านยังตำหนิข้าพเจ้าอีกมากมาย ข้าพเจ้าก็ตอบแก่ท่านว่า "อย่ากระทำเช่นนั้นเลยครับ คุณแม่ ผมจะไม่ยอมทิ้งศาสนาของผมเป็นอันขาด" แล้วท่านก็เริ่มอดอาหารและน้ำ ซึ่งในการนี้ พี่ชายของข้าพเจ้าคอยเฝ้าปรนนิบัติ ปลอบโยน ขอให้ท่านกินอาหารและดื่มน้ำ แต่ท่านไม่ยอมแตะต้องเลย กาลเวลาล่วงเลยไปได้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งท่านผ่ายผอม และหมดกำลังวังชาลง ข้าพเจ้าจึงได้เรียนให้ท่านทราบว่า "คุณแม่ครับ ! ลูกขอสาบานด้วยอัลลอฮฺว่า แม้ว่าคุณแม่จะมี ชีวิตถึง 1,000 ชีวิต ลูกก็จะไม่ยอมสลัดทิ้งศาสนาของลูกเป็นอันขาด เมื่อท่านแน่ใจว่าข้าพเจ้าจะไม่ยอมผ่อนปรนในการประท้วงการอดอาหารของท่านให้ แก่ท่านโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ แล้วท่านก็เริ่มกลับมารับประทานอาหารเช่นเดิม"

 

เหตุการณ์ครั้งนี้อัลลอฮฺตะอาลา ได้ประทานอายะฮฺอัลกุรอานลงมา ในซูเราะฮฺลุกมาน อายะฮฺที่ 15 มีความว่า "และ ถ้าเขาทั้งสองบังคับเจ้าให้ตั้งภาคีต่อข้า โดยที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น เจ้าอย่าได้เชื่อฟังปฏิบัติตามเขาทั้งสอง และจงอดทนอยู่กับเขาทั้งสองในโลกนี้ด้วยการทำความดี และจงปฏิบัติตามทางของผู้ที่กลับไปหาข้า"

นี่ คือสภาพของคนที่มีอีมานอย่างแน่นแฟ้น ซะอฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ ต้องได้รับความบีบคั้นทางจิตใจอย่างแสนสาหัส ท่านต้องทนดูมารดาสุดที่รัก อดน้ำ อดอาหาร จนร่างกายทรุดโทรมผ่ายผอมลงทุกวัน ท่านตกอยู่ในฐานะที่จำใจทนดูสภาพเช่นนี้อย่างตำหูตำตาตลอดเช้ายันค่ำ นี่ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งนั่นเล่าณ ที่โน่น ก็มีท่านร่อซูลุลลอฮฺ และสัจจะที่ท่านศรัทธาแล้วอย่างแนบแน่น ท่านต้องต่อสู้อยู่ระหว่างสัจจะกับความรัก ซึ่งมีอยู่ต่อมารดา ซึ่งในที่สุดสัจจะก็เป็นฝ่ายชนะในที่สุด

 

ท่าน ซะอฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ มีอาชีพเป็นช่างทำธนูและค้าขายเกี่ยวกับศาสตราวุธประเภทนี้ อาชีพและการค้าทางด้านนี้ได้นำผลกำไรให้แก่ท่านอย่างมากหลาย จนจัดอยู่ในขั้นคหบดีผู้มั่งคั่งคนหนึ่งของนครอัลมะดีนะฮฺ ทรัพย์สมบัติมหาศาลที่ท่านได้มาจากหยาดเหงื่อต่างน้ำ มิได้ทำให้ท่านลุ่มหลงพิสมัยในดุนยาเลย
ท่านคิดคำนึงอยู่แต่การที่จะบริจาคมันไป เสียสละมันไปให้เป็นประโยชน์ต่อศาสนา และสาธารณกุศลในด้านต่างๆ

 

ตาม รายงานที่มีปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ กล่าวว่า "บางครั้ง เขาขอร้องท่านร่อซูลุลลอฮฺ ให้รับบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหมดของท่านไว้ (นักปราชญ์ได้ให้ความเห็นไว้ว่า คงจะเป็นขณะที่ท่านยังไม่มีทายาท (คืออาอีชะฮฺ บุตรีคนเดียวของเขา) ซึ่งในครั้งกระนั้น ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ตอบปฏิเสธไม่ยอมรับไว้ บางรายงานก็กล่าวว่า "เขาขอร้องให้ท่านร่อซูล รับบริจาคทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของท่านไว้ (ครั้งนี้นักปราชญ์มีความเห็นว่า คงจะเป็นขณะที่เขาได้บุตรีเป็นทายาทแล้ว) ซึ่งท่านร่อซูลุลลอฮฺ ก็ตอบปฏิเสธอีกเช่นกัน ในที่สุดท่านร่อซูลุลลอฮฺ ก็รับไว้ เพียง 1 ใน 3 ของทรัพย์สมบัติทั้งหลายของเขา

 

พฤติการณ์ของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ที่มีต่อซะอฺดฺในการไม่ยอมรับบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดครั้งนี้ ก็เพราะท่านร่อซูลุลลอฮฺ ตระหนักดีว่า ทรัพย์สมบัติที่อัลลอฮฺตะอาลา ทรงประทานให้แก่มนุษย์ให้เป็นผู้ครอบครองไว้ชั่วชีวิตของแต่ละบุคคลนั้น หาใช่เป็นสิทธิ์ของผู้ได้รับแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะก็หาไม่หากยังมีสิทธิของครอบครัว ของวงศาคณาญาติ และของทายาท ที่จะได้รับปกครองสืบต่อไปเมื่อเขาสิ้นชีพไปแล้ว ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ประสงค์ที่จะตราไว้เป็นบัญญัติ ให้มุสลิมได้คำนึงถึงในเรื่องนี้ให้จงหนัก เพราะมันเกี่ยวกับสวัสดิภาพของสังคมโดยตรง บัญญัติซึ่งมี ซะอฺดฺ เป็นต้นเรื่องนี้ ซะอฺดฺได้รายงานไว้ว่า:- "ในปีการทำฮัจย์ครั้งสุดท้าย (ฮัจยะตุลวะดาอฺ) ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้มาเยี่ยมข้าพเจ้าซึ่งกำลังป่วยหนัก ข้าพเจ้าได้ขอร้องท่านร่อซูลุลลอฮฺว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ข้าพเจ้าล้มป่วยลงดังที่ท่านเห็นอยู่นี ้ ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่มีทรัพย์สมบัติ และไม่มีผู้ใดจะเป็นทายาทรับมรดก นอกจากบุตรีคนเดียว ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะบริจาคทรัพย์สินสัก 2 ใน 3 ของทรัพย์ สมบัติทั้งหมด ของข้าพเจ้าจะได้ไหม ?"

 

ท่าน ร่อซูลุลลอฮฺ ก็ตอบว่า "ไม่ได้หรอก" ข้าพเจ้าก็ถามท่านอีกว่า "สักครึ่งหนึ่งเล่าครับ" ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ก็ตอบขึ้นว่า "สัก 1 ใน 7 ก็แล้วกัน 1 ใน 3 ก็มากแล้ว แท้จริงการที่ท่านจะทิ้งทายาทที่ร่ำรวยไว้เบื้องหลังนั้น ดีกว่าที่ท่านจะทิ้งเขาไว้อย่างยากจน เที่ยวได้แบมือขอเพื่อนมนุษย์ และแท้จริง ท่านมิได้บริจาคสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปโดยมุ่งหวัง เพื่อพระพักตร์ของอัลลอฮฺในการบริจาคนั้นๆ นอกจากท่านจะได้รับผลบุญตอบแทนในการบริจาคนั้น แม้กระทั่งสิ่งที่ท่านหยิบยื่นเข้าปากภรรยาของท่าน"

 

ตัวอย่าง อีกเรื่องหนึ่งที่แสดงความใจบุญสุนทาน ความมีจิตใจจดจ่อในเรื่องเมตตาจิต และความพอใจในการบริจาคทรัพย์ในแนวทางของอัลลอฮตะอาลา ของท่าน ซะอดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ ก็คือความเคร่งคัดของเขาในการออกซะกาต ซึ่งเรื่องนี้ อาอีชะฮฺ บุตรีของ ซะอดฺ เป็นผู้รายงานไว้ว่า "ท่านได้ส่งซะกาตจากทองคำ ที่ท่านมีอยู่ไปให้เจ้านครอัลมะดีนะฮฺเอง โดยส่งไปก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกองการซะกาตจะมารวบรวมเก็บไปเสียอีก ท่านออกซะกาตด้วยความยินยอมสมัครใจ มีความซื่อสัตย์ในการคิดคำนวณทรัพย์สินของท่านที่มีอยู่ โดยปราศจากผู้คอยควบคุม ทองซะกาตในครั้งนั้นมีจำนวนถึงห้าพันดิรฮัม"

 

ด้วย ตัวอย่างการเสียสละทรัพย์สินในทางของอัลลอฮฺ เยี่ยงซะอฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ นี่แหละ และด้วยวิญญาณแห่งความเสียสละของบรรดาศ่อฮาบะฮฺที่มีอันจะกินนี่เอง อาณาจักรอิสลามที่เพิ่งมีการก่อร่างสร้างตัวมาใหม่ๆ จึงได้เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วและมั่นคง จนสามารถนำศาสนาของอัลลอฮฺให้แผ่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง และอย่างกว้างขวางถ้าหากมุสลิมทุกคนยึดถือปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ บัญญัติข้อนี้ และตระหนักในความสำคัญของบัญญัตินี้แล้ว กิจการงานของสังคมมุสลิม ทั้งส่วนใหญ่ และส่วนย่อย ก็จะไม่เป็นดังสภาพที่เราท่านกำลังประสพอยู่เช่นปัจจุบัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 01, 2009, 05:57 AM โดย راجيس »

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #80 เมื่อ: พ.ย. 01, 2009, 05:44 AM »
0

ท่าน ซะอฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ เป็นผู้เฉลียวฉลาดรอบคอบ มีวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาต่างๆจึงมักประสบผลสำเร็จด้วยดีเสมอ คุณลักษณะพิเศษของเขาก็คือ :-

 
1. เป็นนักบริหารที่สุขุมคัมภีรภาพ ไม่หุนหันพลันแล่น ท่านจะวิเคราะห์เหตุการณ์ทุกแง่ทุกมุม จะปรึกษาหารือแม่ทัพนายกอง ก่อนที่จะตกลงใจในกิจการใดๆ ดังเช่น เมื่อครั้งสงครามอัลกอดิซียะฮฺ เป็นตัวอย่างในครั้งนั้นเขาได้ศึกษาข้อเสนอแนะของ อัลมุซันนา อิบนฺ ฮารีซะฮฺ อัลชัยบานียฺ แม่ทัพประจำอิรักคนก่อน แล้วขอความเห็นจากบรรดาแม่ทัพ นายกอง แล้วแต่งสาส์นขอความเห็นชอบจากท่านค่อลีฟะฮฺอุมัร อิบนฺ อัลค๊อฏฏ๊อบ เสียก่อนจึงได้ยาตราทัพเข้าประจันบานกับศัตรู ในสงครามครั้งนี้ท่านได้รับชัยชนะอย่างงดงาม

2. นโยบายในการคัดเลือกคณะฑูต คณะฑูตหรือผู้แทนที่ส่งไปเจริญสันถวไมตรีหรือในการเจรจางานเมือง แต่ละคนเขาจะเลือกเฟ้นตัวบุคคลจากหัวหน้า หรือผู้มีหน้ามีตาจากเผ่าต่างๆอย่างพิถีพิถัน จะต้องเป็นผู้ที่มีจุดเด่น มีปฏิญาณไหวพริบดี เลือกเฟ้นคนที่เจรจาพาทีมีโวหาร เป็นผู้ที่มีความคิดเห็นอ่านเหตุการณ์ได้ตลอด และจะต้องเป็นผู้ที่มีเรือนร่างสง่างาม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลทางด้านโน้มน้าวและจูงใจ และยังเพื่อให้เป็นที่น่าเกรงขามต่อฝ่ายศัตรูอีกโสดหนึ่งด้วย ดังที่ได้เป็นผลดีมา แล้วเมื่อคราวที่เขาแต่งทูตไปเจรจากับรุสตุม แม่ทัพฝ่ายเปอร์เชียก่อนสงคราม อัลกอดิซียะฮฺ นโยบายอันนี้ยังคงเป็นนโยบายที่ใช้ได้ผลดีแมกระทั่งในยุคปัจจุบันนี้

 

3. แผนสงครามในการปะทะกับศัตรูในครั้งแรกเขาจะทุ่มกำลังเข้าจู่โจมข้าศึกอย่าง เต็มอัตราศึก ทั้งนี้หลังจากที่ได้เสริมสร้างแนวหลังไว้อย่างแข็งแกร่งด้วยพลรบและเสบียง อาวุธ ทั้งนี้ก็เพื่อตัดกำลังข้าศึก และทำลายขวัญศัตรูเสียแต่เริ่มแรก ในการรบติดพันครั้งต่อไปข้าศึกจะได้หวาดกลัว ซึ่งย่อมจะได้รับชัยชนะจากศัตรูอย่างง่ายดาย ดังที่เขาได้ใช้แผนนี้อย่างได้ผล และประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม ในสงครามอัลกอดิซียะฮฺและในครั้งอื่นๆอีก

 

4. นโยบายปกครองเมื่อครั้งเป็นเจ้าครองเมืองกูฟะฮฺ ซะอฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ เอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์อย่างทั่วถึง เขาปกครองทวยราษฎร์ด้วยความยุติธรรม สอดส่องความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างใกล้ชิด และกระทำการปราบปรามโจรผู้ร้ายและผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติศาสนาอย่างเฉียบขาด เมืองกูฟะฮฺในสมัยของเขาจึงร่มเย็นเป็นสุขทุกหย่อมหญ้า อัมรฺ อิบนิ มะอฺดีกะริบ จึงได้มารายงานกล่าวชมเชยซะอฺดฺต่อ ค่อลีฟะฮฺ อุมัร อิบนิลค็อฏฏ๊อบว่า "เขาเป็นคนถ่อมตนและรักสงบ ห้าวหาญดั่งสิงห์ร้าย เป็นผู้รักศักดิ์ศรีปานชีวิต ให้ความยุติธรรมในการตัดสินคดี เขาให้ความเสมอภาคในการปูนบำเน็จ เอ็นดูเมตตาแก่พวกเราดั่งมารดาที่เมตตาต่อบุตร และดูแลรักษาสิทธิให้แก่พวกเราแม้เพียงเท่าผงธุลี"

 

5. เขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะได้เห็นมุสลีมีนมีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียว ท่านที่เพียรพยายามผนึกกำลังของประชาชน พยายามหลีกเลี่ยงการกระทำทุกอย่างที่จะทำให้ฐานะของมุสลีมีนอ่อนแอ หรือจะทำให้แตกแยกกันซะอฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ เป็นผู้หนึ่งในจำนวนศ่อฮาบะฮฺ 6 ท่าน ที่อุมัร อิบนิลค็อฏฏ็อบ เสนอตัวให้เลือกเป็นค่อลีฟะฮฺแทนเขา ซึ่งญาติพี่น้องของเขาบางคนและสมัครพรรคพวกของเขาก็ได้สัตญาบันต่อเขา พร้อมทั้งชักชวนเรียกร้องให้มหาชนเลือกเขาเป็นค่อลีฟะฮฺ แต่ซะอฺดฺ อิบนิ อะบีวั๊กก๊อศ ตอบปฏิเสธ และขอถอนตัวออกจากรายชื่อที่อุมัรเสนอไว้ ทั้งนี้ก็เพราะเขาไม่มีความทะเยอทะยานในตำแหน่งนี้ และอีก ประการหนึ่งก็เพื่อจะหลีกเลี่ยงการขัดแย้งและการพิพาทกัน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้น

 

เมื่อครั้งเกิดฟิต นะฮฺระหว่าง อะลี อิบนิ อะบีฏอลิบ กับ มุอาวิยะฮฺ ในกรณีพิพาทขัดแย้งกันในตำแหน่งค่อลีฟะฮฺซึ่งถึงกับใช้กำลังประหัตประหารกัน ซะอฺดฺ อิบนิอะบีวั๊กก๊อศ ได้ปลีกตนอยู่เสียในบ้านของเขาที่อัลอะตี๊ก และมิได้เข้าร่วมกับฝ่ายหนึ่งจนถึงที่สุด

 

ซะ อฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ กับการสงครามเปิดเมืองอิรักอัล-มุซันนา อิบนิ ฮารีซะฮฺ แม่ทัพมุสลิมประจำอิรัก ได้ส่งสารถึงค่อลีฟะฮฺอุมัร ขอใหเขาส่งกำลังไปช่วย เพราะฝ่ายเปอร์เชียได้เพิ่มกำลัง และรบกวนฝ่ายมุสลิมหนักขึ้นทุกที ชาวชนบทตามหัวเมืองอิรักถูกฝ่ายเปอร์เชียเกลี้ยกล่อมให้เอาใจออกห่าง และละเมิดสัญญาที่ทำไว้กับฝ่ายมุสลิมไปแล้วมากมาย ค่อลีฟะฮฺอุมัร เมื่อได้ทราบความตามสาส์นที่ ซะอฺดฺ อิบนฺ อบีวั๊กก๊อศ ส่งมา จึงได้เรียกชุมนุมอาหรับเผ่าต่างๆ และประกาศระดมพลเพื่อสู้รบกับเปอร์เชีย เมื่อผู้คนมาชุมนุมใกล้นครอัลมะดีนะฮฺเรียบร้อยแล้ว

เขา ก็ประกาศเรียกตัวผู้ที่มีความชำนาญและช่ำชองในตำรา พิชัยสงครามมาร่วมปรึกษาหารือ พร้อมทั้งแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตัวท่านจะคุมกำลังทัพทั้งหมดนี้ไปรบเปอร์เชียด้วยตนเอง ศ่อฮาบะฮฺคนสำคัญๆ ก็ต่างค้านความคิดนี้ และเสนอให้ค่อลีฟะฮฺอุมัร เพียงแต่แต่งตั้งแม่ทัพที่มีความชำนาญในขบวนการยุทธคุมทัพไปก็พอ ส่วนตัวเขาขอให้อยู่รักษานครอัลมะดีนะฮฺ คอยจัดส่งกำลังพล และอาวุธไปสมทบจนกว่าชัยชนะจากอัลลอฮฺจะมาถึง ในที่สุดค่อลีฟะฮฺก็ยอมตกลงตามที่ศ่อฮาบะฮฺส่วนมากขอร้อง ระหว่างที่กำลังร่วมหารือพิจารณาหาตัวว่าใครจะเป็นแม่ทัพใหญ่คุมทัพไปอยู่ นั้น ก็พอดีมีสาส์นจากซะอฺดฺ อิบนฺ อะบีวั๊กก๊อศ (ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าที่ไปรวบรวมทรัพย์ซะกาตอยู่ที่เมืองฮะวาซิน) มาถึง ค่อลีฟะฮฺอุมัร ในสาส์นแจ้งว่า ได้รับมอบหมายและขอร้องจากอัศวินทหารม้าผู้กล้าหาญ และเข้มแข็งจำนวน 1,000 คน ขออาสาสมัครไปรบทัพกับเปอร์เชีย

 

บรรดา ศ่อฮาบะฮฺาที่ร่วมประชุมอยู่ ณ ที่นั้น ต่างก็กล่าวกันขึ้นว่า "โอ้ท่านได้ตัวแม่ทัพที่ควานหาอยู่แล้ว เขาผู้นั้นคือ ซะอฺดฺ อิบนิอะบีวั๊กกั๊อศ" อุมัร ก็ยิ้มรับ ที่ประชุมจึงมีมติเรียกตัวซะอฺดฺกลับ และแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพมุสลิมไปประจำอิรัก ก่อนที่ทัพของซะอฺดฺ อิบนิอะบีวั๊กก๊อศ จะเคลื่อนขบวน ค่อลีฟะฮฺอุมัร ได้กล่าวให้โอวาทซะอฺดฺฯ ไปว่า :-

 

"โอ้ ! ซะอฺดฺเอ๋ย ผู้เป็นศรีแห่งตระกูลวุไฮบ์! ท่านจงอย่าให้การที่ท่านได้ชื่อว่าเป็น "น้า" ของท่านร่อซูลุลลอฮฺนั้น ทำให้ท่านลุ่มหลงลืมอัลลอฮฺเป็นอันขาด เพราะอัลลอฮฺตะอาลา จะไม่ลบล้างความชั่วด้วยความชั่ว แต่พระองค์จะลบล้างความชั่วด้วยความดี และเพราะอัลลอฮฺนั้น ระหว่างบุคคลหนึ่งกับบุคคลหนึ่ง ศักดิ์ศรีแห่งตระกูลหามีความสำคัญในความภักดีต่อพระองค์อย่างใดไม่ มนุษย์ทั้งที่สูงศักดิ์และด้อยเกียรติที่พระองค์อัลลอฮฺมีฐานะเท่ากันหมด ดังนั้นท่านจงพิจารณาดูในการงานที่ท่านพบเห็นท่านอัล-นะบีปฏิบัติไว้ตั้งแต่ ครั้งเมื่อท่านได้รับการแต่งตั้งมาตราบ จนกระทั่งที่ท่านจากพวกเราไปแล้วจงยึดมันให้มั่นไว้ เพราะมันเป็นคำสั่ง"

 

และ นี่คือคำแนะนำของฉันแก่ท่าน ถ้าหากท่านทอดทิ้งไม่นำพามันแล้ว การงานของท่านก็จะสลายหมด และท่านจะต้องเป็นผู้ขาดทุนผู้หนึ่ง แล้วซะอฺดฺ อิบนีอะบีวั๊กก๊อศ ก็เคลื่อนขบวนทัพมุ่งตรงสู่อิรัก ระหว่างทาง อาหรับตระกูลต่างๆ ที่เขาผ่านไปก็เข้าร่วมสมทบกับทัพด้วย ทำให้ทั้งกำลังพลและกำลังอาวุธเพิ่มขึ้น เขายกทัพไปถึงอิรักในปีฮิจเราะฮฺที่ 14 มีกำลังพลทั้งหมดประมาณ 30,000 คน

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 01, 2009, 05:47 AM โดย راجيس »

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #81 เมื่อ: พ.ย. 01, 2009, 05:53 AM »
0

สมรภูมิสำคัญๆที่ซะอฺดฺปะทะกับเปอร์เชีย :-

 

1. สงครามอัลกอดีซียะฮฺ อัล-กอดิซียะฮฺ เป็นชื่อเมืองตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอัลฟุร็อตหรือยูเฟรเตสในอิรัก มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลทรายซีเรีย เมื่อซะอฺดฺยกทัพรอนแรมไปถึงที่นั่น เขาได้แบ่งทหารออกเป็นกองๆ อย่างมีระเบียบ แต่ละกองเขาจะแยกทหารจากตระกูลต่างๆ ไว้เป็นเหล่าแต่ละเหล่าตระกูล ซะอฺดฺได้แต่งตั้งให้หัวหน้านั้นๆ เป็นผู้ควบคุมดูแลและรับผิดชอบไป

บัด นี้ ทั้งสองฝ่ายมุสลิมและเปอร์เชียได้เผชิญหน้ากันแล้ว ฝ่ายเปอร์เชียมีกำลังรบประมาณ 100,000 คน มีทัพช้างที่หน้าสพรึงกลัวเป็นทัพหน้า โดยการนำของ "รุสตุ้ม" แม่ทัพผู้ชำนาญศึกและช่ำชองในขบวนการยุทธ ส่วนทางฝ่ายมุสลิมมีกำลังด้อยกว่าฝ่ายข้าศึกถึงครึ่งเท่า แต่ภายใต้การนำของซะอฺดฺ อบินิอะบีวั๊กก๊อศ ด้วยความอิคลาศบริสุทธิ์ใจในศาสนา ทำการสู้รบโดยหวังที่จะให้นามของอิสลามสูงเด่น จึงได้รบรุกบุกทลวงข้าศึกอย่างไม่เสียดายชีวิต ทัพช้างฝ่ายข้าศึกแตกร่นไม่เป็นขบวน เหยียบย่ำทหารฝ่ายตนเองจนระส่ำระสายไปทั้งกองทัพ ทหารมุสลิมได้ติดตามไล่ฟันข้าศึกล้มตายนับเป็นพันๆ แม่ทัพนายกองคนสำคัญของฝ่ายเปอร์เชียถูกฆ่าตายไปหลายคน ในจำนวนนี้มี "รุสตุ้ม" แม่ทัพผู้ชำนาญศึกถูกสังหารลงด้วย ฝ่ายมุสลิมจับเชลยศึกและริบทรัพย์สมบัติไว้มากมาย ด้วยชัยชนะครั้งนี้ อัลลอฮฺตะอาลา ได้เปิดขุมทรัพย์ของศัตรูให้แก่ฝ่ายมุสลิม ทหารมุสลิมต่างมีใจฮึกเหิมบัดนี้สัญญาของอัลลอฮฺ ก็ได้เห็นเป็นประจักษ์แล้ว ทางฝ่ายเปอร์เชียซึ่งประสบกับความพ่ายแพ้อย่างยับเยินก็สิ้นอำนาจและหมด อิทธิพลอย่างสิ้นเชิง ทหารเปอร์เชียต่างเสียขวัญและหวาดกลัว ถึงขนาดที่มุสลิมเพียงคนเดียวสามารถคุมเชลยศึกได้ถึง 80 คน ทหารข้าศึกยอมอ่อนน้อมโดยราบคาบ บางกองยอมสวามิภักดิ์ขอเข้าสังกัดอยู่ในกองทัพมุสลิม

 

2. สมรภูมิอัลมะดาอิน อัลมะดาอิน เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรเปอร์เชีย ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงแบกแดด ทุกวันนี้มีแม่น้ำดิจละฮฺ หรือไทกริส ไหลผ่านแบ่งอัลมะดาอินออกเป็นสองเขต คือ อัลมะดาอินตะวันตก กับ อัลมะดาอินตะวันออก มีปราสาทขาวหรือที่เรียกว่า "อีวาน" กิสรอตั้งอยู่ทางตะวันออก กิติศัพท์ความห้าวหาญของทหารมุสลิมในสมรภูมิ อัลกอดิซียะฮฺ ได้ยังความหวั่นเกรงให้แก่ทหารเปอร์เชียอย่างมากมาย เมื่อซะอฺดฺยาตราทัพเข้าตีเมืองอัลมะดาอินตะวันตกจึงไม่ได้รับการต่อสู้ต้าน ทานเท่าใดนัก ทหารเปอร์เชียได้ล่าถอยไปตั้งมั่นอยู่ทางฝ่ายตะวันออก เพื่อรักษาปราสาทขาวหรือ "อีวาน กิสรอ" ไว้ ซะอฺดฺ ต้องประสบกับปัญหาแม่น้ำที่ขวางกั้นอยู่ ซ้ำทางฝั่งตรงข้ามก็มีทหารเปอร์เชียชุมนุมทัพอยู่อย่างคับคั่ง เขาจึงได้เลือกสรรทหารหาญที่มีฝีมือดีได้กองหนึ่ง ซึ่งจะต้องเสี่ยงอันตรายทั้งชีวิตคนและชีวิตม้าในการข้ามแม่น้ำนี้ โดยแต่งตั้งให้ อาศิม อิบนิ อัมรฺ เป็นแม่ทัพ ทหารหน่วยนี้เปรียบเสมือน "หน่วยกล้าตาย" ในการรบแผนปัจจุบัน อาศิม อิบนิ อัมรฺ ได้นำทหารหาญของตนฝ่าดงธนูบุกทลวงไม่หวั่นต่อคมหอกคมดาบที่ฟาดฟันลงมาจาก ทหารข้าศึกบนฝั่ง

ทหารฝ่ายมุสลิมถูกธนู และคมดาบจากฝ่ายเปอร์เชียแทบหมดสิ้น แต่ในที่สุดก็สามารถเข้ายึดชายฝั่งได้สำเร็จ ทัพหลังจึงหนุนเนื่องบุกทลวงขับไล่ทหารเปอร์เชียแตกร่นหนีกระเจิง "กษัตริย์ยั๊สดะญิร" กับขุนนางและสมัครพรรคพวกอพยพหาสิ่งของมีค่าต่างๆ หนีไปยังเมือง "ฮุลวาน" แต่กองทัพมุสลิมได้รุกประชิดติดตามไป และริบทรัพย์เชลยได้มากมาย "ปราสาทขาว" หรือ "อีวานกิสรอ" ก็ตกอยู่ในกองทัพมุสลิมในที่สุด

ซะอฺดฺ อิบนิ อบีวั๊กก๊อศ ได้ยาตราทัพเข้าพระราชวัง "อีวานกิสรอ" พร้อมกับอ่านอายาตของอัลลอฮฺ อายะฮฺ์ที่ 25-27 ในซูเราะฮฺ "อัล-ดุคอน" ซึ่งมีความหมายว่า "กี่มากน้อยแล้ว ที่พวกเขาได้ละทิ้งไปจากอุทยานและน้ำตก และ(ละทิ้ง) พืชพันธ์ธัญญาหารและอาคารระโหฐานอันมีเกียรติ และ(ละทิ้ง) จากความสำราญที่พวกเขาสนุกสนานร่าเริงอยู่"

แล้ว เขาก็มีคำสั่งให้ใช้ "อีวานกิสรอ" นี้เป็นมัสยิดของมุสลีมีน โดยให้รักษารูปภาพและลวดลายแกะสลักไว้คงเดิม ซะอฺดฺ ให้บำเน็จรางวัลแก่อัศวินทหารม้าผู้กล้าหาญคนละ 12,00 ดิรฮัม และปูนบำเน็จแก่ทหารมุสลิมโดยทั่วหน้า ทรัพย์เชลยที่เหลือท่านได้จัดส่งไปยังค่อลีฟะฮฺอุมัร ที่นครอัลมะดีนะฮฺ ค่อลีฟะฮฺอุมัร เมื่อได้เห็นสมบัติส่วนตัวของกษัตริย์เปอร์เชีย อาทิเช่น ดาบ พรม เสื้อคลุมและเครื่องเพชรนิลจินดา และทรัพย์สิน เชลยอีกมากมายที่ ซะอฺดฺ อิบนิอะบีวั๊กก๊อศ ส่งมา ถึงกับอุทานออกมาด้วยความชื่นชมในความซื่อสัตย์ของ ซะอฺดฺ ว่า "แท้จริง ชนใดที่ประพฤติเยี่ยงนี้ย่อมเป็นผู้ที่มีอมานะฮฺ" อะลี อิบนฺอะบีฏอลิบ ซึ่งอยู่ ณ ที่นั้นก็กล่าวขึ้นว่า "แท้จริงเขาเป็นผู้ที่บริสุทธิ์สอาด ราษฎรจึงบริสุทธิ์สอาด"

3. สงครามญะลูลาอฺและฮุลวาน ทั้งสองเป็นชื่อเมือง ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครอัลมะดาอิน ที่เมืองญะลูลาอฺ กองทัพเปอร์เชียได้ขุดสนามเพลาะไว้รับมือ ทหารมุสลิมอย่างเข้มแข็ง และมั่นใจว่าฝ่ายตนจะไม่เพลี่ยงพล้ำอีกต่อไป
กองทัพ มุสลิมได้ยาตราทัพออกจากนครอัลมะดาอินติดตามทหารเปอร์เชียไป โดยมีฮาชิม หลานชายของซะอฺดฺ เป็นแม่ทัพคุมพลไปครั้งนี้จำนวน 12,000 คน และมีอัล-เก๊าะอฺก็ออฺ อิบนิ อัมรฺ คุมทหารเป็นทัพหน้า อัล-เกาะอฺก็ออฺ ผู้นี้ค่อลีฟะฮฺอุมัร เคยกล่าวไว้ว่า "กองทัพใดก็ตามถ้ามีแม่ทัพเยี่ยงเขาผู้นี้จะไม่มีปราชัยเป็นอันขาด"
เก๊าะ อฺก๊ออฺ คุมทหารเข้าโจมตีข้าศึกที่ฝังตัวสู้รบอยู่ในสนามเพลาะอย่างห้าวหาญ ทหารมุสลิมได้ฆ่าฟันศัตรูล้มตายอย่างมากมาย ณ เบื้องบนอัลลอฮฺตะอาลา ทรงให้ความช่วยเหลือ ได้ทรงบันดาลให้ลมพายุโหมกระหน่ำทหารเปอร์เชียจนสั่นสะเทือนหวั่นไหวไปทั่ว ทหารม้าเปอร์เชียล้มตายลงมากมาย ม้า ลา ฬ่อ ของข้าศึกล้มคว่ำระเนระนาด ทหารและพาหนะของเปอร์เชียหนีรอดตายไปได้เพียงหยิบมือเดียว เก๊าะอฺก๊ออฺจึงพาทหารออกติดตามมุ่งหน้าไปสู่เมืองฮุลวาน แต่ ณ ที่นั้นทหารมุสลิมไม่ได้รับการต่อสู้ขัดขวางแต่อย่างใด เพราะกษัตริย์ยัสดะญิร ได้ทิ้งเมืองหนีไปเสียก่อนแล้ว เก๊าะอฺก๊ออฺจึงได้ส่งข่าวชัยชนะอันงดงาม พร้อมทั้งทรัพย์เชลยอันมากมายไปให้ค่อลีฟะฮฺอุมัรโดยทันที
หลัง จากเปิดเมืองสำคัญๆของเปอร์เชียดังกล่าวได้เรียบร้อยแล้ว ซะอฺดฺก็ได้ส่งกำลังทัพไปเปิดเมืองอื่นๆ อีกต่อไป ทหารมุสลิมจู่โจมเข้าเปิดเมือง "ตั๊กรีต" ได้สำเร็จแล้วรุกคืบหน้าต่อไปยังเมือง "อัลเมาศิ้ล" แต่ที่เมืองนี้ชาวเมืองยอมอ่อนน้อมขอทำสัญญาสงบศึก โดยยอมมอบเมืองอัลอะหฺวาซ และ อัลซูซ ให้แก่อุตบะฮฺ ซึ่งเป็นโอรสองค์หนึ่งของกษัตริย์เปอร์เชียได้ยอมสวามิภักดิ์ กองทัพมุสลิม อิบนิฆอสวาน ต่อมาอัลฮุรมุซาน ซึ่งเป็นโอรสองค์หนึ่งของกษัตริย์เปอร์เชียได้ยอมสวามิภักดิ์ กองทัพมุสลิมยังคงรุกเปิดเมืองเปอร์เชียต่อไป จนกระทั่งอาณาบริเวณส่วนใหญ่ของราชอาณาจักรเปอร์เชียตกอยู่ภายใต้การปกครอง ของอิสลามเกือบหมดสิ้น
หลังจากได้รับชัยชนะจากเปอร์ เชียเปิดนครอัลมะดาอินได้สำเร็จแล้วนั้น ซะอฺดฺ อิบนิ อะบีวั๊กก๊อศ ก็ได้พำนักตั้งกองบัญชาการอยู่ที่นครนี้ แต่อากาศที่เมืองนี้ไม่เหมาะสมกับชาวอาหรับ ทหารมุสลิมจึงมีสีหน้าซีด เหลืองร่างกายผ่ายผอม ค่อลีฟะฮฺอุมัรสังเกตเห็นทูตที่ซะอฺดฺส่งมายังนครอัลมะดีนะฮฺ มีอาการเช่นนี้ จึงมีคำสั่งให้ซะอฺดฺหาที่ตั้งกองทหารที่เมืองอื่นเสียใหม่ ซะอฺดฺจึงส่งคนไปสำรวจหาที่ที่เหมาะสม ซึ่งในที่สุด ก็ได้ย้ายกองบัญชาการไปอยู่ที่เมืองอัลกูฟะฮฺ แล้วซะอฺดฺก็เริ่มวางแผนผังเมืองและบูรณะนครอัลกูฟะฮฺอยู่ประมาณ 4 ปี จึงย้ายกลับมานครอัลมะดีนะฮ ฺซะอฺดฺ อิบนิ อะบีวั๊กก๊อศ มีอายุประมาณ 80 ปี ท่านเสียชีวิต เมื่อปี ฮ.ศ.55 ณ บ้านของที่ ต. อัลยะกี๊ด ห่างจากนครอัลมะดีนะฮฺ ประมาณ 10 ไมล์ ศพของเขาฝังอยู่ที่อัลบะเกียะอฺ ซึ่งเป็นสุสานของ บรรดาศ่อฮาบะฮฺ
http://www.muslimthai.com/main/1428/content.php?page=content&category=49&id=184

   
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 01, 2009, 06:02 AM โดย راجيس »

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #82 เมื่อ: ก.พ. 17, 2010, 08:51 PM »
0
 salam

เนื่องในวาระขุดค่ะ  Oops:  loveit:

วัสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #83 เมื่อ: ก.พ. 20, 2010, 07:26 AM »
0
 salam

อะลียฺ อิบนิอะบีฏอลิบ เคาะลีฟะฮฺที่สี่แห่งอาณาจักรอิสลามยุคสุดท้าย

    อะลียฺ เป็นบุตรของอับดุมะนาฟ(รู้จักกันในนามอะบูฏอลิบ) เป็นบุตร อับดุลมุฎฎอลิบ

เป็นบุตรฮาชิม เป็นบุตรอับดิมะนาฟ โดยศักดิ์ท่านเป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านเราะสูล

ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แต่ในชีวิตจริงท่านได้รับการเลี้ยงดูจากท่านเราะสูล

ที่ช่วยแบ่งเบาภาระลุงของท่าน และยังเป็นลูกเขยของท่านเราะสูลโดยได้สมรสกับ

ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ

    ท่านเกิดในกะอฺบะฮฺ มารดาชื่อ ฟาฏิมะฮฺ บุตรีของอะสัด บุตรีของฮาชิม มีสมญาว่า

อะบุลหะสัน และอะบูฏุรอบ

ท่านอะลียฺเกิดภายในกะอฺบะฮฺ  มีอายุน้อยกว่าท่านนะบียฺ มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

 32 ปี เป็น 1 ใน 10 คนที่ได้รับการบอกข่าวดีด้วยสวรรค์ (1)


    ท่านอะบูฏอลิบ เป็นผู้มีอาวุโสสูงในหมู่ชาวกุเรช ทำให้ท่านได้รับตำแหน่งหัวหน้าเผ่า แต่

ท่านเป็นผู้ที่มีความยากจน มีความเป็นอยู่อย่างอัตคัดเนื่องจากท่านมีบุตรมาก ในจำนวนบุตรของ

ท่านอะบูฏอลิบได้แก่ ท่านญะอฺฟัรฺ และท่านอะกีล โดยเหตุนี้ ท่านนะบียฺ มุฮัมมัดจึงได้นำเอา

ท่านอะลียฺมาเลี้ยงดู เพื่อแบ่งเบาภาระของลุลของท่าน



การเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม

    ท่านอะลียฺ อิบนิ อะบีฏอลิบ ไม่เคยเคารพบูชาเจว็ดเลย ท่านอะลียฺกล่าวว่า

   “ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนะบียฺในวันจันทร์

ฉันได้เข้านับถือศาสนาอิสลามในวันอังคาร”


   ขณะนั้น ท่านอะลียฺ อายุได้ 10 ปี บางรายงานกล่าวว่า 9 ปี บางรายงานกล่าวว่า 8 ปี

   สาเหตุในการเข้านับถือศาสนาอิสลามของท่านอะลียฺมีอยู่ว่า วันหนึ่งท่านได้เข้าไปหา

ท่านนะบียฺและนางเคาะดีญะฮฺ ก็พบว่าทั้งสองกำลังละหมาด ท่านอะลียฺจึงถามว่า

   “ท่านทำอะไรกัน”

   ท่านนะบียฺมุฮัมมัด กล่าวว่า

   “นี่คือศาสนาของอัลลอฮฺซึ่งพระองค์ได้ทรงส่งมาโดยผ่านบรรดาศาสดา ฉันขอเชิญท่าน

ทำการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺองค์เดียวโดยไม่ตั้งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และทำการเคารพ

ภักดีต่อพระองค์”


   ท่านอะบูฏอลิบรู้ว่าท่านอะลียฺเข้านับถือศาสนาอิสลาม ท่านจึงกล่าวกับท่านอะลียฺว่า

   “เจ้านับถือศาสนาใดกัน” ท่านอะลียฺกล่าวว่า

   “ฉันศรัทธาในสิ่งที่มุฮัมมัดนำมา ฉันศรัทธาต่ออัลลอฮฺและศาสดาของพระองค์ ฉัน

ละหมาดกับมุฮัมมัด และฉันปฏิบัติตามเขา”


   อะบูฏอลิบก็มิได้ขัดขวางการเข้านับถือศาสนาอิสลาม ขณะที่ท่านอะบูฏอลิบเห็นท่าน

อะลียฺละหมาดอยู่ข้างขวาของท่านนะบียฺมุฮัมมัด ท่านญะอฺฟัรฺได้มาหา ท่านอะบูฏอลิบจึงกล่าวว่า

   “เจ้าจงยืนละหมาดอีกข้างหนึ่งของลูกอาเจ้า”

   ท่านญะอฺฟัรฺจึงยืนละหมาดข้างซ้ายของท่านนะบียฺมุฮัมมัด ต่อมาไม่นาน ท่านญะอฺฟัรฺ

ก็ได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม

   ท่านอะลียฺเป็นเด็กคนแรกที่เข้านับถือศาสนาอิสลาม ผู้ที่เข้านับถือศาสนาอิสลาม

หลังจากนี้คือ ท่านเซด อิบนุฮาริซะฮฺ คนใช้ของท่านนะบียฺ


ท่านอะลียฺ กับนะบียฺมุฮัมมัด ในเมืองมักกะฮฺ

   ท่านอะลียฺได้อยู่เคียงข้างท่านนะบียฺ ในขณะที่ท่านแนะนำบรรดาญาติใกล้ชิดของท่าน

 และอัลลอฮฺได้ทรงประทานอายะฮฺที่ 214 – 216 ของสูเราะฮฺอัชชุอะรออฺ มาว่า





 
   “และเจ้าจงตักเตือนวงศาคณาญาติของเจ้าที่ใกล้ชิด และจงลดปีกของเจ้า

(จงนอบน้อมอ่อนโยน) แก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ปฏิบัติตามเจ้า  หากพวกเขาฝ่าฝืน(คือไม่

ยอมเชื่อฟังและปฏิบัติตาม)ก็จงกล่าวเถิดแท้จริงฉันขอปลีกตัวให้พ้นจากสิ่งที่พวกท่าน

ปฏิบัติกันอยู่”
    อัชชุอะรออ์ 26: 214-216

   ท่านนะบียฺ มุฮัมมัด จึงได้เชื้อเชิญบรรดาเครือญาติของท่านมารับประทานอาหารที่บ้าน

ของท่าน และพยายามเรียกร้องให้พวกเขาเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ อะบูละฮับ ลุงของท่านนะบียฺ

ได้ให้ท่านนะบียฺยุติการพูดแล้วบังคับให้เครือญาติของท่านเดินทางกลับ

   ในตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง ท่านนะบียฺได้เชื้อเชิญให้พวกเขามารับประทานอาหาร เมื่อ

พวกเขารับประทานอาหารเสร็จแล้วท่านจึงได้กล่าวกับพวกเขาว่า

   “ฉันไม่รู้ว่ามีมนุษย์คนใดอีกจากชาวอาหรับ ที่จะนำมายังหมู่ชนของเขาในสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่

ฉันนำมานี้ ฉันนำเอาสิ่งที่เป็นความดีทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺมาให้แก่พวกท่าน และ

พระองค์ทรงใช้ให้ฉันเชิญชวนพวกท่านให้ยึดถือสิ่งดังกล่าว และมีผู้ใดสนับสนุนฉันในการนี้บ้างไหม?”


   ทุกคนต่างหันหลังให้ และลุกขึ้นเดินออกไป แต่ท่านอะลียฺ อิบนิอะบีฏอลิบ ได้ลุกขึ้นยืน

 ทั้งที่ขณะนั้นท่านยังเป็นเด็กแล้วพูดว่า

   “ฉันเองท่านเราะสูล ฉันจะช่วยเหลือท่าน ฉันจะทำสงครามกับผู้ที่ทำสงครามกับท่าน”

   ผู้ที่อยู่ในตระกูลฮาชิมต่างยิ้ม บางคนก็กระแอมไอพลางชายตาไปยังอะบูฏอลิบและอะลียฺบุตรของท่าน พร้อมกับเดินออกไปในท่าทางเยาะเย้ย


ณ ภูเขาเศาะฟา

   การเผยแพร่อิสลามในหมู่เครือญาติของนะบียฺมุฮัมมัด ได้ขยายออกไปยังชาวเมือง

มักกะฮฺทั้งหมด วันหนึ่งท่านได้ขึ้นไปบนภูเขาเศาะฟา แล้วร้องตะโกนว่า

   “ชาวกุเรชทั้งหลาย”    พวกกุเรชกล่าวว่า

   “มุฮัมมัดเรียกพวกเรา ณ ภูเขาเศาะฟา ท่านทั้งหลายจงไปหาเขาเถิด เพื่อถามเขาว่ามี

อะไรเกิดขึ้น”
    ท่านนะบียฺกล่าวว่า

   “ท่านมีความเห็นอย่างไร ถ้าหากฉันจะบอกว่า กองทัพม้าอยู่เบื้องหลังเขานี้ ท่าน

ทั้งหลายจะเชื่อหรือไม่”
    พวกเขากล่าวว่า

   “เชื่อสิ เพราะเราไม่เคยพบว่าท่านพูดโกหกเลย”    ท่านะบียฺกล่าวว่า
 
   “ฉันขอตักเตือนท่านทั้งหลาย ถึงการลงโทษที่แสนสาหัส โอ้ตระกูลอับดุลมุฏฏอลิบ

 ตระกูลอับดิมะนาฟ ตระกูลซุฮฺเราะฮฺ ตระกูลตัยมฺ ตระกูลมัคซูม ตระกูลอะสัด แท้จริงอัลลอฮฺได้

ทรงใช้ให้ฉันตักเตือนญาติใกล้ชิด ฉันนั้ไม่มีอำนาจที่จะให้ประโยชน์แก่พวกท่านในโลกดุนยานี้

 และไม่อาจช่วยเหลือใด ๆแก่พวกท่านได้ในโลกอาคิเราะฮฺ นอกจากท่านจะกล่าวว่า ลาอิลา

ฮะอิลลัลลอฮฺ – ไม่มีพระเจ้าใดนอกจากอัลลอฮฺ”
   อะบูละฮับจึงพูดด้วยความโกรธว่า

   “ความพินาศจงมีแก่เจ้า ด้วยเหตุนี้หรือที่เจ้าเรียกพวกเรามา”
   
    ด้วยคำพูดนี้ อัลลอฮฺจึงทรงประทานสูเราะฮฺ อัลมะสัดมาว่า






 

   “มือทั้งสองของอะบูละฮับจงพินาศ และเขาก็พินาศแล้ว ทรัพย์สมบัติของเขาและสิ่งที่

เขาขวนขวายไว้นั้นมิได้อำนวยประโยชน์แก่เขาเลย เขาจะเข้าไปเผาไหม้ในนรกที่ไฟลุกโชน

ทั้งภริยาของเขาด้วย นางเป็นผู้แบกฟืน ที่คอของนางมีเชือกที่ถักด้วยยอินทผลัม”


   หลังจากเหตุการณ์นี้ พวกกุเรชจึงตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับท่านนะบียฺมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะ

ลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาสาวกของท่านอย่างเปิดเผย สภาพการณ์ได้เลวร้ายลงจนกระทั่งท่าน

นะบียฺได้ให้บรรดามุสลิมอพยพไปยังเอธิโอเปีย 2 ครั้ง ครั้งสุดท้ายท่านนะบียฺได้ให้บรรดา

เศาะหาบะฮฺ อพยพจากเมืองมักกะฮฺไปยังเมืองมะดีนะฮฺ บรรดาเศาะหาบะฮฺก็ได้แอบออก

เดินทางอพยพไป นอกจากอุมัรฺ อิบนิอัลค็อฏฏอบ ท่านได้เดินทางออกจากเมืองมักกะฮฺไปยัง

เมืองมะดีนะฮฺโดยเปิดเผย จนไม่มีผู้ใดเหลืออยู่ในมักกะฮฺ นอกจากนะบียฺมุฮัมมัด ท่านอะบูบักร

ท่านอะลียฺ และบรรดาผู้ที่ไม่สามารถอพยพไปได้ ท่านอะบูบักรต้องการจะอพยพไปเช่นเดียวกัน

 ท่านจึงได้ไปขออนุญาตจากท่านนะบียฺ มุฮัมมัด   ท่านนะบียฺกล่าวว่า


   “ท่านอย่าได้รีบด่วน หวังว่าอัลลอฮฺจะทรงให้ท่านเป็นเพื่อนร่วมอพยพของฉันก็ได้”

   เมื่อพวกกุเรชเห็นว่าบรรดามุสลิมส่วนมากได้อพยพออกจากเมืองมักกะฮฺไปยังเมือง

มะดีนะฮฺ พวกเขาก็มั่นใจว่าท่านนะบียฺมุฮัมมัดจะต้องอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺในไม่ช้านี้แน่นอน

พวกเขาจึงร่วมประชุมกัน ณ ดารุลนัดวะฮฺ เพื่อหาทางกำจัดท่านนะบียฺ คนหนึ่งกล่าวว่า

   “ให้ขังเขาไว้ และเอาโซ่ล่าม ปล่อยให้เขาอดอาหารจนตายไป”   คนที่สองกล่าวว่า

   “ขับไล่เขาออกจากบ้านเมืองของเรา”

   ความเห็นทั้งสองนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบ จนกระทั่งพวกเขาได้ลงมติเป็นเอกฉันท์โดย

มอบดาบแก่เด็กหนุ่มจากทุกเผ่าเพื่อสังหารนะบียฺมุฮัมมัดพร้อมกัน

   และแล้วการคาดการณ์ของชาวกุเรชก็เป็นความจริง เพราะอัลลอฮฺได้ทรงใช้ให้นะบียฺ

มุฮัมมัด อพยพจากเมืองมักกะฮฺไปยังเมืองมะดีนะฮฺ กำหนดวันอพยพตรงกับวันที่พวกกุเรชตกลง

สังหารท่านพอดี แต่อัลลอฮฺก็ทรงป้องกันท่านไม่ให้ได้รับอันตราย โดยที่ท่านนะบียฺได้ใช้ให้

ท่านอะลียฺ นอนบนที่นอนของท่าน เพื่อตบตาเด็กหนุ่มชาวกุเรช พอรุ่งสางพวกเขาก็กรูเข้าไปยัง

ที่นอนของท่านนะบียฺ แล้วเลิกผ้าห่มออก ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะผู้ที่นอนอยู่บนที่นอน

แทนที่จะเป็นนะบียฺมุฮัมมัด กลับกลายเป็นท่านอะลียฺนอนอยู่บนที่นอน พวกเขาถามท่านอะลียฺถึง

ท่านนะบียฺมุฮัมมัด ท่านกล่าวว่า

   “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่านะบียฺมุฮัมมัดออกไปที่ใด”

   ท่านอะลียฺ ได้เล่าเหตุการณ์อพยพของนะบียฺมุฮัมมัดไว้ว่า

   “เมื่อท่านนะบียฺออกเดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ท่านได้ใช้ให้ฉันอยู่ในเมืองมักกะฮฺ เพื่อ

คืนของฝากที่ชาวเมืองได้นำมาฝากไว้กับท่านนะบียฺ"
โดยเหตุนี้ นะบียฺมุฮัมมัดจึงได้ชื่อว่า

“อัลอะมีน – ผู้ซื่อสัตย์” ฉันพักอยู่ในมักกะฮฺ 3 วัน ฉันก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ฉัน

เดินทางไปถึงที่อยู่ของตระกูลอัมรฺ อิบนิเอาฟฺ ท่านนะบียฺมุฮัมมัดก็พักอยู่ที่นี่ ฉันจึงพักอยู่ ณ บ้าน

ของกัลโซม อิบนุลหะรอม

   เมื่อท่านนะบียฺได้สร้างความเป็นพี่น้องระหว่างชาวมุฮาญิรีนกับชาวอันศอรฺ ท่านได้จับมือ

ของท่านอะลียฺและกล่าวว่า

   “นี่คือพี่น้องของฉัน”

   



(1) อะชะเราะตุน มุบัชชิเราะฮฺ – عشرة مبشرة   ประกอบด้วย อะบูบักร บุตร อะบูกุฮาฟะฮฺ, อุมัร บุตร อัลค็อฏฏอบ, อุสมาน บุตร อัฟฟาน, อะลียฺ บุตร อะบูฏอลิบ, ฏ็อลหะฮฺ บุตร อุบัยดิลลาฮฺ, อัซซุเบรฺ บุตร อัลเอาวาม, สะอฺดิ บุตร อะบูวักกอศ, สะอีด บุตร เซด อับดุรฺเราะหฺมาน บุตร เอาฟ์ และ อะบูอุบัยดะฮฺ บุตร อัลญัรฺรอหฺ


ยังมีต่อ.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 20, 2010, 01:39 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #84 เมื่อ: ก.พ. 22, 2010, 08:24 PM »
0
 salam

มาต่อให้ครับ

สงครามบัดรฺ

    ในเดือนรอมฎอน ฮ.ศ. 2 ท่านนบีมุฮัมมัดรู้ว่าอบูซุฟยานอิบนุฮัรบฺ ได้เดินทางมาจากประเทศชาม โดยคุมกองคาราวานสินค้า

และทรัพย์สินมากมายของพวกกุเรชมาด้วย ท่านจึงได้เรียกบรรดามุสลิมมาแล้วบอกว่า

   “นี่คือกองคาราวานของชาวกุเรช มีทรัพย์สินจำนวนมาก ท่านทั้งหลายวิ่งออกไปสกัดจับเถิด”

    บรรดามุสลิมจึงรีบออกไปขัดขวางกองคาราวาน เพื่อยึดทรัพย์สิน อันเป็นการตอบโต้ต่อการที่พวกกุเรชได้ยึดทรัพย์สิน

ของมุสลิมในเมืองมักกะฮฺ ส่วนอบูซุฟยานก็ได้ทราบข่าวว่า มุสลิมได้ออกมาเพื่อกักกองคาราวานของพวกเขา เขาจึงจ้าง ฎอมฎอม อิบนุอัมรฺ อัลฆิฟารี

 ให้รีบเดินทางไปบอกพวกกุเรชในเมืองมักกะฮฺว่า มุฮัมมัดและบรรดามุสลิมกำลังจะยึดทรัพย์สินของพวกเขา

   พวกกุเรชจึงเตรียมตัวยกทัพออกมาอย่างรวดเร็ว ส่วนท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ออกไปตั้งรับข้าศึก

ณ แอ่งน้ำของตำบลบัดรฺ การประลองกำลังกันได้เริ่มขึ้นโดยอัสวัด อิบนิอับดิลอะสัด ซึ่งเป็นทหารของพวกกุเรชได้ถลันออกมาพร้อมกับกล่าวว่า

   “ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า ฉันจะต้องดื่มน้ำจากแอ่งน้ำของมุสลิมให้ได้ หรือฉันจะต้องทำลายแอ่งน้ำนี้ หรือฉันจะต้องตายลง”

   เมื่อบรรดามุสลิมเห็นดังนั้น ท่านฮัมซะฮฺ อิบนิอับดิลมุฎเฎาะลิบจึงออกไปขัดขวาง และได้ประหารอัสวัด เมื่อพวกกุเรชเห็นดังนั้น

อุตบะฮฺ อิบนุเราะบีอะฮฺ ชัยบะฮฺ อิบนุเราะบีอะฮฺ และลูกของเขา คือวะลีด ได้ถลันออกมาเพื่อทำการต่อสู้ อุตบะฮฺกล่าวว่า

   “ผู้ใดที่จะต่อสู้กับเรา” เด็กหนุ่มชาวอันศอรฺ 3 คนจึงก้าวออกมา อุตบะฮฺถามว่า

   “พวกท่านเป็นใคร ?” พวกเขากล่าวว่า

   “เป็นชาวอันศอรฺ” อุตบะฮฺกล่าวว่า

   “เราไม่ต้องการจะต่อสู้กับพวกท่าน มุฮัมมัด เจ้าจงส่งผู้ที่จะต่อสู้กับเรา จากพวกเรา ออกมาเถิด”

   ท่านนะบียฺ จึงให้ท่านอุบัยดะฮฺ อิบนุลฮาริษ ท่านอะลียฺ อิบนิอะบีฏอลิบ และท่านฮัมซะฮฺ ออกไป ท่านอะบูอุบัยดะฮฺ

ซึ่งมีอายุมากกว่าคนอื่นได้ต่อสู้กับอุตบะฮฺ ท่านฮัมซะฮฺได้ต่อสู้กับชัยบะฮฺ และท่านอะลียฺได้ต่อสู้กับวะลีด ท่านฮัมซะฮฺและ

ท่านอะลียฺสามารถประหารคู่ต่อสู้ได้ ส่วนท่านอะบูอุบัยดะฮฺ กับ อุตบะฮฺได้ต่อสู้กันโดยได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่

ท่านฮัมซะฮฺและท่านอะลียฺจึงกันท่านอะบูอุบัยดะฮฺออกมา

   บรรดามุสลิมได้เข้าตะลุมบอนกับพวกกุเรช ท่านอะลียฺและบรรดามุสลิมได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญ จนได้รับชัยชนะอย่างงดงาม

แม้ว่าทหารมุสลิมจะมีเพียง 300 กว่าคนและทหารกุเรชมีเกือบ 1,000 คนก็ตาม
[/size]

สงครามคันคูและค็อยบัรฺ

   ในปี ฮ.ศ. 5 ชาวยิวกลุ่มหนึ่ง เช่น สลาม อิบนุลหุกอยกฺ, หุยัย อิบนุอัคฏ็อบ, กินานะฮฺ อินุรฺเราะเบียะอฺ, เฮาซะฮฺ อิบนุกอยสฺ

และ อะบูอัมมารฺ อัลวาอิลียฺ ได้ออกไปหาพวกกุเรชในเมืองมักกะฮฺ เพื่อขอให้ทำสงครามกับมุสลิม หลังจากที่พวกกุเรชตกลงที่จะทำสงครามแล้ว

พวกเขากเดินทางไปยังเผ่า ฆ็อตฟาน เพื่อขอให้ทำสงครามกับมุสลิม พวกเขาได้รวบรวมกำลังทหารได้มากกว่า 10,000 คน

เมื่อท่านนะบียฺได้ทราบเช่นนี้ จึงปรึกษากับบรรดาเศาะหาบะฮฺ เพื่อหาทางป้องกันเมืองมะดีนะฮฺ ท่านสัลมาน อัลฟาริวียฺเสนอให้ขุดคันคูขึ้น

ท่านนะบียฺก็เห็นชอบด้วย

   เหล่าทหารพวกกุเรช และพลพรรคได้ปิดล้อมเมืองมะดีนะฮฺ ทำให้มุสลิมมีความหวาดกลัวอย่างยิ่ง เพราะต้องเผชิญกับข้าศึกที่อยู่ข้างหน้า

และเผชิญกับชาวยิวซึ่งจ้องที่จะทำลายมุสลิมอยู่ข้างหลัง ขณะเดียวกันพวกมุนาฟิกก็กระจายอยู่ในหมู่มุสลิม พวกกาฟิรฺพยายามที่จะบุกข้ามคันคู

ท่านอะลียฺจึงออกไปเพื่อที่จะขัดขวางพวกเขา อัมรฺ อิบนุวุด นั่งอยู่บนหลังม้า กล่าวว่า

   “ผู้ใดที่ออกมาต่อสู้?” ท่านอะลียฺกล่าวว่า

   “ท่านจงลงมาเบื้องล่าง” อัมรฺกล่าวว่า

   “ฉันไม่ต้องการจะต่อสู้กับพวกท่าน” ท่านอะลียฺกล่าวว่า

   “ฉันต้องการจะฆ่าท่าน”

   อัมรฺโกรธมาก จึงได้ลงจากหลังม้า มาต่อสู้กับท่านอะลียฺ แล้วท่านอะลียฺก็ได้ประหารเขา นี่จึงเป็นฉากหนึ่งในความกล้าหาญของท่านอะลียฺ

สงครามค็อยบัรฺ

   เมืองค็อยบัรฺ เป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งซึ่งมีป้อม เรือกสวนไร่นา มากมาย อยู่ห่างจากเมืองมะดีนะฮฺ ประมาณ 96 ไมล์ เมืองค็อยบัรฺ

เป็นชุมชนชาวยิวที่ใหญ่ที่สุด อิมามบุคอรี ได้รายงานจากบุร็อยดะฮฺ อัลอัสละมียฺ ว่า
[/size]

   “เมื่อท่านนะบียฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้พัก ณ ป้อมของชาวเมืองค็อยบัรฺ ท่านได้มอบธงให้กับอุมัรฺ อิบนุลค็อฎฎอบ

แล้วบรรดามุสลิมก็ลุกออกไปพร้อมกับท่าน เมื่อมุสลิมได้พบกับชาวค็อยบัรฺ ท่านนะบียฺกล่าวว่า พรุ่งนี้ฉันจะมอบธงให้แก่ผู้ที่อัลลอฮฺ

ทรงพิชิตด้วยน้ำมือของเขา โดยที่เขารักอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ และอัลลอฮฺและเราะสูลก็รักเขาด้วย”


   พอถึงเช้าของวันรุ่งขึ้น ท่านนะบียฺก็เรียกท่านอะลียฺเข้าไปหา ขณะนั้น ท่านอะลียฺเป็นโรคตาแดง ท่านนะบียฺได้ขอดุอาอุ์ให้หายป่วย

แล้วมอบธงให้ ประชาชนทั้งหลายก็ได้ออกไปกับท่านอะลียฺ เพื่อทำสงครามกับชาวค็อยบัรฺ และได้รับชัยชนะในที่สุด

   มีรายงานอีกว่า เมื่อท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มอบธงให้กับท่านอะลียฺ ท่านกล่าวว่า

   “ท่านจงเดินไป และอย่ากลับมาจนกว่าอัลลอฮฺจะทรงพิชิตโดยมือของท่าน”

   ท่านอะลียฺได้เดินไปเล็กน้อยก็หยุดยืน และกล่าวว่า “ท่านเราะสูลลุลลอฮฺ ฉันจะทำสงครามไปเพื่ออะไร”

   ท่านเราะสูลกล่าวว่า “ท่านจงทำสงครามกับพวกเขา จนกว่าพวกเขาจะกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าใดนอกจากอัลลอฮฺ

มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลฮฺ ถ้าหากว่าพวกเขากล่าว ชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาก็เป็นที่ต้องห้ามมิให้ท่านละเมิด

นอกจากด้วยสิทธิ์(ในการลงทัณฑ์)และการชำระการสอบสวนของพวกเขาอยู่ ณ อัลลอฮฺ"


การแต่งงาน

   ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ เกิดในปีที่ชาวกุเรชซ่อมแซมบัยตุลลอฮฺ และก่อนที่นะบียฺมุฮัมมัดจะถูกแต่งตั้งให้เป็นศาสดาเป็นเวลา 5 ปี

   เมื่อท่านเติบโต ญาติของท่านอะลียฺบางคนและชาวอันศอรฺบางคนได้กล่าวแก่ท่านอะลียฺว่า

   “ท่านจงไปสู่ขอท่านหญิงฟาฏิมะฮฺจากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เถิด”

   ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

   “นางเป็นของเธอ โอ้อะลียฺ ฉันไม่ใช่คนพูดโกหก”

   ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยสัญญาว่าจะมอบนางให้เป็นภรรยาของท่านอะลียฺ ก่อนที่ท่านอะบูบักรฺและท่านอุมัรฺ

จะสู่ขอนางจากท่านเราะสูลเสียอีก เมื่อท่านอะลียฺมาสู่ขอท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านเราะสูลได้กล่าวกับนางว่า

   “อะลียฺได้พูดจาสู่ขอเธอ”
[/size]

   นางก็นิ่งเฉยไม่พูดโต้แย้งแต่อย่างใด ท่านนะบียฺจึงได้จัดการนิกาหฺนางกับท่านอะลียฺ โดยที่ท่านได้ตระเตรียมสิ่งของให้แก่นาง

ประกอบด้วยผ้าแพรผืนหนึ่ง หมอนหนังใบหนึ่งยัดด้วยเส้นใย โม่ 2 อัน ถุงหนังใส่น้ำ และคนโทน้ำ ทำจากดินเผา 2 อัน

   ท่านนะบียฺได้ไต่ถามท่านอะลียฺ ขณะที่มาสู่ขอท่านหญิงฟาฏิมะฮฺว่า

   “เธอจะให้อะไรเป็นมะฮัรฺกับนาง” ท่านอะลียฺกล่าวว่า

   “ฉันไม่มีอะไรที่จะให้เป็นมะฮัรฺกับนางเลย” ท่านนะบียฺกล่าวว่า

   “โล่ที่ฉันให้เธออยู่ที่ไหน?” ท่านอะลียฺกล่าวว่า

   “อยู่ที่ฉัน” ท่นนะบียฺกล่าวว่า

   “เธอจงนำมาเป็นมะฮัรฺให้แก่นาง”

   ท่านอะลียฺ จึงนำโล่มาเป็นมะฮัรฺ ซึ่งโล่นี้ มีราคาเพียง 4 ดิรฺฮัม เท่านั้น


   ท่านนะบียฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ใช้ให้ท่านหญิงอาอิชะฮฺ และท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺ จัดเตรียมงานแต่งงานให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ

ท่านทั้งสองกล่าวว่า “ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ใช้ให้เราเตรียมการให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ จนกระทั่งเราได้ส่งมอบนางให้แก่ท่านอะลียฺ

เราจึงกลับไปบ้าน และปัดกวาดฝุ่นออกไป ทำหมอนหนุน 2 ใบ ยัดด้วยเส้นใย เราได้ปั่นเส้นใยให้ฟูด้วยมือของเรา เราได้เลี้ยงอาหารด้วยอินทผลัมแห้ง

ลูกเกด ให้น้ำดื่มที่จืดสนิท เราเอากิ่งไม้มาเสียบไว้ที่ฝาบ้านเพื่อใช้แขวนเสื้อผ้าและแขวนถุงน้ำ เราไม่เคยเห็นการฉลองการจัดงานแต่งงานที่ดีกว่า

งานฉลองการแต่งงานของฟาฏิมะฮฺเลย”


   ท่านอะลียฺได้แต่งงานกับฟาฏิมะฮฺ ขณะนั้นท่านอะลียฺอายุประมาร 25 ปี และอัลลอฮฺได้ทรงประทานบุตรธิดาให้แก่ท่านทั้งสอง 4 คน

คือ ท่านหะสัน หุสัยนฺ ท่านหญิงซัยนับและท่านหญิงอุมมุกัลป์สูม ทุกท่านต่างเป็นที่รักของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม




ยังมีต่อ.............................

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #85 เมื่อ: ก.พ. 25, 2010, 09:19 PM »
0
 salam

นำเสนอประวัติของท่านอะลียฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ต่อครับ

เกียรติประวัติของท่านอะลียฺ

ท่านอะลียฺกับอัล-กุรฺอาน

   ท่านอะลียฺเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับท่านนะบียฺมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทุกครั้งที่อายะฮฺกุรฺอานได้ถูกประทานมา

ท่านอะลัยฺจะท่องจำทั้งหมด ท่านได้กล่าวว่า

   “ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ไม่มีอายะฮฺหนึ่งถูกประทานมาเว้นแต่ฉันจะรู้ว่า ด้วยสิ่งใดที่ถูกประทานมา ถูกประทานมาที่ไหน

ถูกประทานมาเกี่ยวกับผู้ใด แท้จริงพระเจ้าของฉันได้ทรงประทานให้ฉันมีหัวใจที่จดจำแม่นยำ และลิ้นที่พูดได้ฉะฉาน”
ท่านอะลียฺได้กล่าวเสริมอีกว่า

   “ท่านทั้งหลายจงถามฉันถึงคัมภีร์ของอัลลอฮฺเถิด ไม่มีอายะฮฺใดที่ถูกประทานลงมา นอกจากฉันจะรู้ว่ามันถูกประทานมา

ในตอนกลางคืนหรือตอนกลางวัน บนที่ราบหรือบนภูเขา”


การเสียสละที่ยิ่งใหญ่

   ท่านอะลียฺเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ทุกคน อัลกุรอานได้กล่าวถึงการเสียสละของท่านไว้ในสูเราะฮฺอัลอินสาน อายะฮฺที่ 7-9 ว่า





   
“พวกเขาปฏิบัติตามคำสัตย์สาบาน และกลัวต่อวันหนึ่งที่ความชั่วร้ายของมันจะกระจายไปทั่ว และพวกเขาให้อาหารเนื่อง

ด้วยความรักต่อพระองค์แก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก(พวกเขากล่าวว่า)แท้จริงเราได้ให้อาหารแก่พวกท่าน โดยหวัง

ความโปรดปรานของอัลลอฮฺ เรามิได้หวังการตอบแทนและการขอบคุณจากพวกท่านแต่ประการใด”

   นักวิชาการได้กล่าวถึงสาเหตุของการประทานอายะฮฺต่าง ๆ เหล่านี้ว่า ท่านหะสันและหุสัยนฺ บุตรทั้งสองของท่านอะลียฺ

และท่านหญิงฟาฏิมะฮฺได้เจ็บป่วยลง ทั้งสองซึ่งมีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งจึงได้บนบานต่ออัลลอฮฺว่าจะถือศีลอด 3 วัน ถ้าหากว่าทั้งสองหายป่วย

   เมื่อท่านหะสันและท่านหุสัยนฺหายป่วย ท่านอะลียฺและท่านหญิงฟาฏิมะฮฺจึงถือศีลอด พอถึงเวลาเย็นก่อนละศีลอดจึงได้นำอาหารออกมา

 มีคนขัดสน(มิสกีน)คนหนึ่งเดินเข้ามาขออาหาร ทั้งสองจึงมอบอาหารให้ไป โดยแก้ศีลอดด้วยน้ำ

   ในวันที่สองก็เช่นเดียวกัน เมื่อนำอาหารออกมาเพื่อจะแก้ศีลอด เด็กกำพร้าก็ได้เข้ามาขออาหาร ทั้งสองก็ได้มอบอาหารให้ แล้วแก้ศีลอดด้วยน้ำ

   วันที่สาม ขณะจะแก้ศีลอด เชลยศึกได้เข้ามาขออาหาร ท่านทั้งสองก็ได้มอบอาหารให้ไป และแก้ศีลอดด้วยน้ำ
 
   การให้อาหารของท่านทั้งสองเช่นนี้ เป็นการบริจาคทานโดยมีความรักในการทำความดีเพื่ออัลลอฮฺ และกลัวการลงโทษในวันกิยามะฮฺ

ด้วยการประกอบความดีโดยมีความบริสุทธิ์ใจ(อิคลาศ)เพื่ออัลลอฮฺนี้เอง พระองค์อัลลอฮฺจึงได้ทรงตรัสรับรองไว้ในอัลกุรฺอานว่า

พระองค์จะทรงป้องกันการลงโทษอย่างแสนสาหัส ไม่ให้มาแผ้วพานพวกเขา และพระองค์จะทรงให้พวกเขาได้รับแต่ความปลื้มปิติ

ยินดีในความผาสุกที่ได้รับ อันเป็นการตอบแทนต่อความอดทน และการมีจิตเมตตาในการทำความดีเพื่ออัลลอฮฺ

ความเชี่ยวชาญในทางศาสนบัญญัติ

   ครั้งหนึ่งในสมัยของเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ ท่านได้มีคำสั่งให้ลงทัณฑ์หญิงที่คลอดบุตรโดยที่เธอตั้งครรภ์เพียง 6 เดือน ท่านอะลียฺได้ไปหาท่านและพูดขึ้นว่า

   “ท่านไม่เคยได้ยินดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า การตั้งครรภ์มนุษย์และการให้นมของเขารวมเวลา 30 เดือน”(สูเราะฮฺอัลอะหฺกอฟ/15)

และอีกอายะฮฺหนึ่งว่า “และการให้นมเขาเป็นเวลา 2  ปี (สูเราะฮฺลุกมาน/14)

   จากอายะฮฺทั้งสองนี้สรุปได้ว่า การตั้งครรภ์อย่างน้อยจะต้องอยู่ในเวลา 6 เดือน และการให้นมจะอยู่ในเวลา 2 ปี

เมื่อท่านอุมัรได้ยินเช่นนั้นจึงพูดขึ้นว่า“ถ้าหากว่าไม่มีท่านอะลียฺแล้ว อุมัรฺจะต้องถึงซึ่งความหายนะอย่างแน่นอน”

   อีกครั้งหนึ่งได้มีการฟ้องรองต่อเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺถึงหญิงผู้หนึ่งได้ตั้งครรภ์ เนื่องจากการละเมิดทางเพศ(ซินา)

ท่านเคาะลีฟะฮฺจึงทำการสอบสวน หญิงผู้นั้นก็ยอมรับว่าเป็นความจริง ท่านอุมัรฺจึงมีคำสั่งให้ลงทัณฑ์นาง ท่านอะลียฺจึงไปหาท่านอุมัรฺ และกล่าวว่า

   “ท่านนั้นมีอำนาจที่จะลงทัณฑ์นาง แต่ท่านไม่มีอำนาจที่จะลงทัณฑ์ผู้ที่อยู่ในครรภ์ของนาง ท่านไม่ทราบหรือว่าท่านเราะสูล

ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ประวิงการลงโทษหญิงที่ทำซินา จนกว่านางจะคลอดบุตร และให้นมบุตรจนครบอายุเสียก่อน

ทั้ง ๆ ที่นางได้สารภาพความผิดกับท่านเราะสูล”


   นี่คือความสามารถของท่านอะลียฺในการตัดสินคดีความ จนกระทั่งท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

ได้กล่าวยอมรับไว้ว่า (أَقْضَى أُمَّتِيْ عَلِيٌّ) “ผู้ตัดสินคดีที่ดีที่สุด คือ ท่านอะลียฺ”


โปรดติดตามต่อไป.....อีกไม่นานหรอกครับ




ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #86 เมื่อ: ก.พ. 26, 2010, 06:45 AM »
0
 salam

ศึกษาชีวิตเศาะหาบะฮฺคนสำคัญต่อครับ

การดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺและการก่อความไม่สงบ

   เมื่อเคาะลีฟะฮฺอุษมานถูกสังหาร จึงมีความจำเป็นที่อาณาจักรอิสลามจะต้องมีผู้ปกครองที่มีความเข้มแข็ง เพื่อเสริมสร้างความมั่นคง

และความสงบให้แก่อาณาจักร บรรดาเศาะหาบะฮฺอาวุโสจึงได้ให้สัตยาบันแก่ท่านอะลียฺ อิบนุอะบีฏอลิบขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮฺในปี ฮ.ศ. 35

บรรดาผู้ที่อยู่ในเมืองมะดีนะฮฺต่างให้การสนับสนุนท่านอะลียฺ เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างบรรดามุสลิม

   หลังจากที่ท่านอะลียฺเข้ารับตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ ท่านก็ถอดผู้ปกครองหลายคนออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจาก

ชาวเมืองถึงการไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมของพวกเขา และได้แต่งตั้งผู้ปกครองคนใหม่เข้าทำหน้าที่แทน สำหรับผู้ปกครองคนใหม่

ในประเทศชามได้เดินทางไปรับตำแหน่ง ก็ได้ถูกพวกพ้องของท่านมุอาวิยะฮฺผู้ปกครองคนเก่าขัดขวางระหว่างทางและบังคับให้เดินทางกลับ

   เมื่อท่านอะลียฺเห็นว่าท่านมุอาวิยะฮฺไม่ยอมรับในการเป็นเคาะลีฟะฮฺของท่าน ท่านอะลียฺจึงจัดเตรียมกำลังทหารเพื่อไปปราบปราม

ขณะเดียวกัน ท่านฎ็อลหะฮฺ อิบนิอุบัยดิลลาฮฺ ท่านสุเบรฺ อิบนุลเอาวาม และท่านหญิงอาอิชะฮฺ ได้เดินทางไปยังเมืองบัศเราะฮฺ

และเข้ายึดครองเมืองนี้ในปี ฮ.ศ. 36 ท่านอะลียฺจึงเปลี่ยนจากการเดินทางไปยังประเทศชาม แต่เดินทางไปยังเมืองกูฟะฮฺ เพื่อขอความ

ช่วยเหลือจากชาวเมืองกูฟะฮฺ ต่อจากนั้นท่านก็ได้พากองทัพเดินทางไปยังเมืองบัศเราะฮฺ


สงครามอูฐ

   การให้สัตยาบันแก่ท่านอะลียฺให้เป็นเคาะลีฟะฮฺ เป็นสาเหตุแรกที่ทำให้ท่านฏ็อลหะฮฺ และท่านสุเบร ออกเดินทางจากเมืองมะดีนะฮฺ

ไปยังเมืองมักกะฮฺ ซึ่งท่านหญิงอาอิชะฮฺได้พักอยู่ที่นั่น ท่านฏ็อลหะฮฺเป็นหลานของท่านอะบูบักรฺ และท่านสุเบร เป็นพี่เขยของท่านหญิงอาอิชะฮฺ

ท่านอิบนุสะอฺด ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านว่า

   “ท่านฏ็อลหะฮฺ และท่านสุเบรฺได้ให้สัตยาบันแก่ท่านอะลียฺโดยจำใจ ทั้งนี้เพื่อปฏิบัติการตามการลงมติของบรรดาเศาะหาบะฮฺในการให้สัตยาบันต่อท่านอะลียฺ”

    เมื่อทั้งสองเดินทางไปถึงเมืองมักกะฮฺ จึงได้พาท่านหญิงอาอิชะฮฺเดินทางไปยังเมืองบัศเราะฮฺ เพื่อเรียกร้องให้ลงโทษผู้ที่สังหารท่านอุษมาน

ซึ่งท่านอะลียฺก็ได้รับดำเนินการอยู่แล้ว

   เมื่อท่านอะลียฺได้ทราบเช่นนั้น จึงได้ออกเดินทางไปยังอิรัคและพบกับท่านฏ็อลหะฮฺและท่านสุเบรฺ ณ เมืองบัศเราะฮฺ โดยมีท่านหญิงอาอิชะฮฺร่วมอยู่ด้วย

 ในที่สุดก็ได้เกิดสงครามระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยในเดือนญุมาดิลอาคิเราะฮฺ ฮ.ศ. 36 ในสงครามครั้งนี้ท่านหญิงอาอิชะฮฺนั่งอยู่บนหลังอูฐ

และสิ้นสุดลงโดยการที่ท่านฏ็อลหะฮฺและท่านสุเบรเสียชีวิตในสนามรบ ส่วนท่านหญิงอาอิชะฮฺได้รับการปฏิบัติอย่างสมเกียรติ และถูกนำกลับไปยังเมืองมะดีนะฮฺ

 โดยมีท่านมุหัมมัด อิบนิ อะบีบักรฺ ร่วมเดินทางไปด้วย และมีท่านหะสันและหุสัยนฺ เป็นผู้ดูแลความปลอดภัย

   หลังจากที่ได้ส่งตัวท่านหญิงอาอิชะฮฺกลับไปยังเมืองมะดีนะฮฺเรียบร้อยแล้ว ท่านอะลียฺก็ได้พักอยู่ในเมืองบัศเราะฮฺ 15 คืน จึงได้เดินทางกลับไปพักอยู่ในเมืองกูฟะฮฺ

   การที่ท่านหญิงอาอิชะฮฺขี่อูฐอยู่ในสนามรบ สงครามครั้งนี้จึงมีชื่อว่า “สงครามอูฐ”


การตัดสินปัญหา


    ในเดือนเศาะฟัรฺ ฮ.ศ. 37 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น โดยที่ท่านมุอาวิยะฮฺ ไม่ยอมรับการเป็นเคาะลีฟะฮฺของท่านอะลียฺ

ขณะนั้นท่านมุอาวิยะฮฺเป็นผู้ปกครองประเทศชาม ท่านอะลียฺจึงพากำลังทหารออกไปปราบปราม ทหารของท่านอะลียฺและท่านมุอาวิยะฮฺได้ปะทะกัน

 ณ ตำบลซิฟฟีน ซึ่งเป็นสถานที่ใกล้เมืองริกเกาะฮฺ บนฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส

   การสู้รบดำเนินไปหลายวัน ทหารของท่านมุอาวิยะฮฺจึงเอาอัลกุรฺอานชูขึ้นบนปลายหอก อันเป็นเครื่องหมายบอกว่า ให้นำเอาอัลกุรฺอาน

มาตัดสินกรณีพิพาท ขณะเดียวกันประชาชนทั้งหลายก็ไม่ต้องการทำสงคราม จึงเรียกร้องให้สงบศึก และให้ตั้งตุลาการของสองฝ่ายขึ้นมาตัดสิน

 โดยที่ฝ่ายของท่านอะลียฺได้แต่งตั้งให้ท่านอะบูมูสา อัลอัชอะรียฺ เป็นผู้ตัดสิน และฝ่ายของท่านมุอาวิยะฮฺ ได้แต่งตั้งให้ท่านอัมรฺ อิบนุล อาศ

เป็นผู้ตัดสินข้อขัดแย้งกัน เพื่อประโยชน์สุขของประชาชาติอิสลาม และได้มีการเขียนบันทึกว่า จะมีการประกาศคำตัดสินในต้นปี ณ ตำบลอัซรุหฺ

ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองกูฟะฮฺและประเทศชาม

   เมื่อเสร็จเรียบร้อยประชาชนทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับที่พัก ท่านมุอาวิยะฮฺเดินทางกลับไปยังประเทศชาม และท่านอะลียฺก็เดินทางกลับ

ไปยังเมืองกูฟะฮฺ ด้วยการยุติการทำสงครามของท่านอะลียฺได้สร้างความไม่พอใจกับพวกพ้องของท่านอะลียฺกลุ่มหนึ่ง พวกเขากล่าวว่า

   “ไม่มีการตัดสินใด ๆ นอกจากเป็นการตัดสินเพื่ออัลลอฮฺ”

   และพวกเขาได้แยกตัวจากการสนับสนุนท่านอะลียฺและไปตั้งค่ายอยู่ ณ ตำบลหะรูรออฺ ขณะเดียวกันท่านอะลียฺก็ได้ส่งท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอับบาส

 ไปชี้แจงข้อเท็จจริงให้พวกเขาได้ทราบ ทำให้พวกเขาจำนวนมากมีความเข้าใจ และกลับมาให้การสนับสนุนท่านอะลียฺ แต่ก็มีอีกบางคนที่ยังคง

ยืนหยัดอยู่กับทัศนะเดิม การที่พวกเขาผละออกจากการสนับสนุนท่านอะลียฺ บุคคลกลุ่มนี้จึงมีชื่อว่า “เคาะวาริจญฺ” หรือ พวกนอกแถว

   ต่อจากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปตั้งกลุ่มกัน ณ ตำบล นะฮเราะวาน ซึ่งเป็นตำบลใหญ่ตั้งอยู่ระหว่างกรุงแบกแดดและเมืองวาวิฏ

พวกเขาได้ก่อความไม่สงบ และสร้างความเสียหายอย่างมากมาย ท่านอะลียฺพยายามทำความเข้าใจกับพวกเขา ตักเตือนพวกเขาให้รู้ถึงความถูกต้อง

 แต่พวกเขาปฏิเสธ ท่านอะลียฺจึงต้องใช้กำลังปราบปราม ทำให้พวกเคาะวาริจญฺถูกฆ่าจำนวนมาก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 38

   ในเดือนชะอฺบาน ฮ.ศ. 38 ประชาชนทั้งหลายได้ชุมนุมกัน ณ ตำบลอัซรุหฺ ท่านสะอฺด อิบนุอะบีวักกอศ ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัรฺ

และบรรดาเศาะหาบะฮฺท่านอื่น ๆ ก็มาด้วย เมื่อถึงเวลานัดหมาย ท่านอบูมูสา อัลอัชอะรียฺ และท่านอัมรฺ อิบนุลอาศ ได้ให้ท่านอะบูมูสา
 
ประกาศคำตัดสินก่อนตามที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านอบูมูสา ได้ประกาศว่า

   “ข้าพเจ้าขอปลดท่านอะลียฺ และท่านมุอาวิยะฮฺออกจากตำแหน่ง” ส่วนท่านอัมรฺ อิบนุลอาศ ได้ประกาศว่า

   “ข้าพเจ้าขอปลดท่านอะลียฺ ออกจากตำแหน่ง และคงให้ท่านมุอาวิยะฮฺ อยู่ในตำแหน่งต่อไป”

   เมื่อท่านอัมรฺ อิบนุลอาศประกาศเช่นนั้น ท่านอบูมูสาจึงได้ต่อว่าที่ท่านอัมรฺ ได้กลับคำพูดที่ได้มีการตกลงกันไว้ก่อน

 และท่านก็เดินทางกลับไปยังเมืองมะดีนะฮฺทันที

   ด้วยการประกาศคำตัดสินของท่านอัมรฺ อิบนุลอาศ ความแตกแยกก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ท่านอะลียฺจึงเดินทางกลับไปยังเมืองกูฟะฮฺ

พวกเคาะวาริจญฺ จึงวางแผนกำจัดบุคคลทั้งสามคน คือ ท่านอะลียฺ ท่านมุอาวิยะฮฺ และท่านอัมรฺ โดยกล่าวหาว่าทั้งสามคน เป็นสาเหตุให้มุสลิมแตกแยกกัน



ยังเหลืออีกเพียงสองตอนกับบทสรุปครับ


ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #87 เมื่อ: ก.พ. 26, 2010, 04:45 PM »
0
 salam

ตอนสุดท้าย

การลอบสังหารท่านอะลียฺ
 
    พวกเคาะวาริจญฺได้วางแผนการร้ายเพื่อลอบสังหารบุคคล 3 คน คือ ท่านอะลียฺ อิบนิ  อะบีฏอลิบ ท่านมุอาวิยะฮฺ อิบนิอะบีซุฟยาน และท่านอัมรฺ อิบนุลอาศ โดยที่

    อับดุรฺเราะหฺมาน อิบนุมุลญัม อัลมุรอดี ทำหน้าที่สังหารท่านอะลียฺ 

    บุร้อก อิบนุอับดิลลาฮฺ อัตตัยมียฺ หรือ  หรือ หัจญาจญฺ อิบนุอับดิลลาฮฺ ทำหน้าที่สังหารท่านมุอาวิยะฮฺ

    และอัมรฺ อิบนุบะกีรฺ อัตตะมีมียฺ ทำหน้าที่สังหาร อัมรฺ อิบนุลอาศ

    ทั้งหมดได้ร่วมประชุมกันที่เมืองมักกะฮฺ และตกลงกันว่า จะทำการสังหารคนทั้งสามในคืนเดียวกัน คือ คืนที่ 11 หรือ คืนที่ 17 เดือนเราะมะฎอน

 หลังจากนั้น อับดุรฺเราะหฺมานก็เดินทางไปยังเมืองกูฟะฮฺ บุร้อก เดินทางไปยังเมืองดามัสกัส และอัมรฺ อิบนุบะกีรฺ เดินทางไปยังอียิปต์

    เมื่ออับดุรฺเราะหมาน อิบนุมุลญัม เดินทางไปถึงเมืองกูฟะฮฺ ก็ได้พบกับพวกเคาะวาริจญฺ เขาจึงให้พวกเคาะวาริจญฺปกปิดแผนการร้ายของเขาไว้

    จนถึงคืนวันที่ 17 เดือนเราะมะฎอน ปีฮ.ศ. 40 ท่านอะลียฺได้ตื่นนอนตั้งแต่ย่ำรุ่ง เพื่อจะไปละหมาดศุบหิ ในตอนเช้าวันศุกร์ ณ มัสญิดในเมืองกูฟะฮฺ

 ท่านได้ออกจากบ้าน แล้วร้องตะโกนว่า “ประชาชนทั้งหลาย เสาะลาฮฺ เศาะลาอฮฺ (ละหมาด ละหมาด)”

    อับดุรฺเราะหฺมานจึงออกมาจากที่ซ่อน แล้วใช้ดาบฟันที่แสกหน้าของท่านอะลียฺ ทะลุกะโหลกศีรษะ ประชาชนทั้งหลายจึงวิ่งออกมาจับตัว

อับดุรฺเราะหฺมานไว้ ท่านอะลียฺได้รับบาดเจ็บสาหัส มีชีวิตอยู่ในวันศุกร์ วันเสาร์ และถึงแก่กรรมในคืนวันอาทิตย์

ท่านหะสันและหุสัยนฺ และท่านอับดุลลฮฺ อิบนิญะอฺฟัรฺ ได้อาบน้ำให้แก่ท่าน และนำท่านไปฝังในตอนกลางคืน ณ ทำเนียบผู้ปกครองเมืองกูฟะฮฺ

 ส่วนอับดุรฺเราะหฺมาน อิบนุมุลญัม ได้ถูกลงโทษโดยการประหารชีวิต ขณะนั้นท่านอายุได้ 63 ปี บางรายงานกล่าวว่า ท่านมีอายุมากกว่านี้

   ท่านอะลียฺเป็นตัวอย่างที่ดี ในการให้อภัยต่อผู้ที่ทำร้ายต่อท่าน แม้แต่ท่านจะอยู่ในภาวะที่แสนสาหัสที่สุด เนื่องจากถูกอับดุรฺเราะหมาน

 อิบนุมุลญัมลอบทำร้าย และได้มีการนำอับดุรฺเราะหฺมานเข้าไปหาท่าน ท่านกล่าวว่า

   “ชีวิตจะต้องตอบแทนด้วยชีวิต ถ้าหากว่าฉันตายลง ท่านทั้งหลายก็จงประหารชีวิตเขา ดังที่เขาฆ่าฉัน และถ้าหากว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะพิจารณาคดีนี้เอง”


   แต่ท่านก็มีชีวิตอยู่เพียง 2 วัน ก็ได้ถึงแก่กรรมลงในปี ฮ.ศ. 40

   ส่วนบุร้อก ได้เดินทางไปยังประเทศชาม และได้ลอบใช้ดาบฟันท่านมุอาวิยะฮฺ แต่ไม่ถูกส่วนที่สำคัญ จึงไม่สามารถฆ่าท่านมุอาวิยะฮฺได้

ขณะเดียวกัน บุร้อกก็ถูกฆ่าตาย บางรายงานกล่าวว่า ในคืนนั้นท่านมุอาวิยะฮฺไม่ได้ออกมาละหมาด จึงไม่ถูกฆ่า

   สำหรับอัมรฺ อิบนุบะกีร ก็ไม่สามารถฆ่า ท่านอัมรฺ อิบนุลอาศได้ เนื่องจากว่าในคืนนั้นท่านมิได้ออกมาละหมาดที่มัสญิด เนื่องจากป่วย

 และได้มอบหมายให้คอริญะฮฺ อิบนุ หุซาฟะฮฺ ตุลาการของอียิปต์นำละหมาดแทน เขาจึงฆ่าคอริญะฮฺ เมื่อรู้ว่า ผู้ถูกฆ่า ไม่ใช่ท่านอัมรฺ อิบนุลอาศ เขากล่าวว่า

   “ฉันต้องการฆ่าท่านอัมรฺ แต่อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้ฆ่าคอริญะฮฺ”

   แล้วท่านอัมรฺ อิบนุลอาศ ก็มีคำสั่งให้ประหารชีวิต อัมรฺ อิบนุบะกีร

เคาะลีฟะฮฺหลังจากท่านอะลียฺ

    ท่าทีของบรรดามุสลิมที่มีต่อท่านอะลียฺมีความแตกต่างกัน บางคนก็มีความรักในตัวท่าน และบางคนก็มีความเกลียดชังในตัวท่าน

ผู้ที่มีความเกลียดชังในตัวท่านคือ พวกเคาะวาริจญฺ พวกเขากล่าวหาว่า ท่านอะลียฺเป็นผู้ที่อ่อนข้อให้แก่ฝ่ายตรงข้าม โดยยอมรับการตัดสิน

ทั้ง ๆ ที่ท่านอะลียฺกำลังจะได้ชัยชนะในสงครามซิฟฟีน ผู้ที่มีความรักต่อท่านอะลียฺแบ่งออกเป็น 2  กลุ่ม คือผู้ที่มีความเคารพ

ยกย่องท่านอะลียฺว่าเป็นเศาะหาบะฮฺคนสำคัญ เป็นผู้ที่อยู่ในวงศ์ญาติของท่านนะบียฺมุหัมมัด ให้การสนับสนุนการเผยแผ่อิสลาม มีความเสียสละ

เสี่ยงภัยเพื่อปกป้องท่านนะบียฺและศาสนาอิสลาม ท่านเป็นเคาะลีฟะฮฺคนที่ 4 ต่อจากท่านอะบูบักรฺ ท่านอุมัรฺและท่านอุษมาน

บุคคลเหล่านี้คือ กลุ่มชนมุสลิมส่วนใหญ่

    อีกกลุ่มหนึ่ง คือผู้ที่มีความรักต่อท่านอะลียฺ และมีความรักในลูกหลานของท่านอะลียฺบางคน ถือว่าท่านอะลียฺเป็นผู้มีสิทธิในการดำรงตำแหน่ง

เคาะลีฟะฮฺต่อจากท่านนะบียฺมุหัมมัด เพราะว่าท่านเป็นญาติใกล้ชิด และเป็นบุตรเขยของท่านนะบียฺ ลูกหลานของท่าน คือผู้สืบทอดตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ

ต่อจากท่าน บุคคลกลุ่มนี้จึงได้ชื่อว่ากลุ่มชีอะฮฺ

   หลังจากที่ท่านอะลียฺถึงแก่กรรม บรรดามุสลิมได้เชิญท่านหะสัน บุตรคนโตของท่านอะลียฺดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ ส่วนท่านมุอาวิยะฮฺก็ได้ตั้งตัว

เป็นเคาะลีฟะฮฺอยู่ในเมืองดามัสกัส สภาพนี้จึงก่อให้เกิดการแตกแยกแก่บรรดามุสลิม ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด ท่านหะสันจึงดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ

เป็นเวลา 6 เดือน จึงได้สละตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ ในวันที่ 25  เราะบีอุษษานี ฮ.ศ. 41 ท่านมุอาวิยะฮฺได้เดินทางเข้าไปในเมืองกูฟะฮฺเพื่อรับสัตยาบันจากประชาชน

โดยมีท่านหะสันและท่านหุสัยนฺร่วมอยู่ด้วย ในการที่มุสลิมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งหนึ่งในปีนี้ จึงเรียกปีนี้ว่า “ปีรวมชน – อามุลญะมาอะฮฺ”

หลังจากนั้น ท่านหะสันก็เดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮฺ และใช้ชีวิตอยู่เฉพาะภายในบ้านของท่าน จนกระทั่งถึงแก่กรรม



ทั้งหมดในหัวข้อท่านอะลียฺนี้ ผมนำเสนอโดยใช้หนังสือ "คอลีฟะฮฺทั้งสี่" โดย อ.มูนีร(สมศักดิ์) มูหะหมัด เป็นหนังสือหลัก

และได้อ่าน "สี่เคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรม" อับดุลลอฮฺ อัลกอรี (เขียน) ดลมนรรจ์ บากา (แปลและเรียบเรียง)

รวมทั้ง "ประวัติศาสตร์อิสลาม เล่ม 1 อักบัร ชาห์ นะญีบอะบาดี (เขียน) บรรจง บินกาซัน(แปล)

เมื่อเนื้อหาตรงกัน แตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อย ก็จะใช้เล่มของอาจารย์มูนีร เป็นต้นแบบ

มีเพียงเรื่องเดียวที่บันทึกไว้แตกต่างค่อนข้างมาก คือ ที่ฝังศพของท่านอะลียฺ

หนังสือเล่มแรกระบุว่า ท่านอะลียฺเสียชีวิต และ ลูกหลานนำท่านไปฝังในตอนกลางคืน ณ ทำเนียบผู้ปกครองเมืองกูฟะฮฺ

หนังสือเล่มที่สองระบุว่า "เคาะลีฟะฮฺ อะลี บุตรอะบีฏอลิบ เสีบชีวิตขณะมีอายุได้ 65 ปี และมะกอม(สุสาน)ของท่านสถิตย์อยู่ที่นะญาฟอิรอก

หนังสือเล่มที่สามระบุว่า "หลุมฝังศพของอะลีไร้ร่องรอย"

ไม่รู้จะเชื่อเล่มไหนดี วัลลอฮุอะอฺลัม วัสสลาม


ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #88 เมื่อ: ก.พ. 26, 2010, 04:51 PM »
0


ต่อๆ

เอาเรื่องอื่นต่อ

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #89 เมื่อ: ก.พ. 27, 2010, 08:52 AM »
0
 salam

เรื่องราวของ "อะบูอุบัยดะฮฺ อิบนิ อัลญัรรอหฺ"


 
เล่าจากอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า แท้จริง ท่านนะบียฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า แท้จริงทุกประชาชาตินั้นมีผู้ที่ซื่อสัตย์

และแท้จริงผู้ที่ซื่อสัตย์ของเรา โอ้ประชาชาตินี้ คือ อะบูอุบัยดะฮฺ บุตร อัลญัรรอหฺ


เล่าจากหุซัยฟะฮฺ บุตร อัลยะมาน ว่า ชาวนัจญรอน(เป็นชื่อเมืองหนึ่งในประเทศยะมัน) ได้มาหาท่านนะบียฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม พวกเขาได้กล่าวว่า

โอ้ท่านเราะสูลลุลลอฮฺ ได้โปรดส่งชายที่ซื่อสัตย์ไปยังพวกเรา ท่านนะบียฺได้กล่าวว่า ฉันจะต้องส่งชายที่ซื่อสัตย์จริง ๆ ไปยังพวกท่าน

(หุซัยฟะฮฺ)กล่าวว่า ผู้คนต่างพากันทะเยอทะยานที่จะได้ตำแหน่งนี้ ต่อมาท่านนะบียฺ ได้ส่ง อะบูอุบัยดะฮฺ บุตร อัลญัรฺรอหฺไป

 
หะดีษทั้งสองนี้บันทึกไว้ โดย บุคอรี, มุสลิมและติรมิซียฺ


นำ 2 หะดีษนี้มาเกริ่น เพื่อจะเรียนให้พี่น้องทราบว่า เรื่องของเศาะหาบะฮฺ ที่จะนำมาเสนอต่อไป คือ เรื่องของท่านอะบูอุบัยดะฮฺ อิบนิ อัลญัรฺรอหฺ

เศาะหาบะฮฺที่ถูกทดสอบด้วยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง และเป็น 1 ใน 10 ที่ได้รับแจ้งข่าวดีด้วยสวรรค์

โปรดรอติดตาม

 

GoogleTagged