بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْمِ
اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ اَلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ
การพักช่วงระหว่างละหมาดตะรอวิห์นั้น พี่น้องมุสลิมผู้ทำการละหมาดจะไม่ปล่อยเวลาไว้ว่างเปล่าจากการซิกรุลลอฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนร่อมะฎอนที่ต้องพยายามฉวยโอกาสทุกช่วงเวลาสำหรับการทำอิบาดะฮ์ให้มาก ๆ ส่วนหนึ่งจากช่วงเวลาดังกล่าว คือช่วงเวลาที่พักเล็กน้อยระหว่างละหมาดตะรอวิห์ ที่อียิปต์นั้นบางมัสยิดพักด้วยการกล่าวนะซีฮัตเรื่องศาสนา บางมัสยิดพักด้วยการกล่าวซ่อลาวาต และบางมัสยิดพักด้วยการอ่านกุลฮุวัลลอฮ์ 3 จบ เพื่อให้เขาได้รับผลบุญเท่ากับอ่านอัลกุรอาน 1 จบในช่วงเวลาพักละหมาดตะรอวิห์ ดังนั้นการซ่อลาวาตก็ดี การอ่านกุลฮุวัลลอฮ์ก็ดี ที่เราอ่านนั้นเพราะตามนัยยะของหลักการกว้าง ๆ (อัลอุมูม) العموم ที่ศาสนาอนุญาตให้เราซอลาวาตและอ่านอัลกุรอานในช่วงเวลาใดก็ได้ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานเจาะจง (อัลค็อซ) الخاص มาระบุห้าม ฉะนั้นการที่เราอ่านกุลฮุวัลลอฮ์หรือซ่อลาวาตนบีเพราะเชื่อมั่นและยึดหลักฐานในเชิงอัลอุมูม(ที่บ่งชี้แบบกว้าง ๆ มูลรวมในทุกเวลา) ไม่ว่าจะระหว่างละหมาดตะรอวิห์หรือช่วงเวลาอื่น ๆ ที่ไม่ได้ละหมาดตะรอวิห์ก็ตาม แต่ถ้าเราเชื่อและแอบอ้างว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เจาะจงใช้ให้เราทำการซ่อลาวาตระหว่างละหมาดตะรอวิห์นั้น ถือว่าเป็นความตั้งใจเจตนาที่ผิดและบิดอะฮ์ เพราะไม่มีซุนนะฮ์ใด ๆ มาบ่งบอกเจาะจงไว้ว่าให้ซ่อลาวาตหรืออ่านกุลฮุวัลลอฮ์ช่วงพักละหมาดตะรอวิห์ แต่มีหลักฐานแบบโดยรวม (อัลอุมูม) ให้เราทำการซ่อลาตหรืออ่านกุลลอฮุวัลลอฮ์ได้ทุกเวลาเมื่อเราสะดวก ไม่ว่าจะในช่วงพักตะรอวิห์หรือนอกละหมาดตะรอวิห์ก็ตามซึ่งหลักฐานล้วนครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้นเมื่อหลักฐานแบบกว้าง ๆ ได้ยืนยันให้ทำการซ่อลาวาตหรืออ่านกุลฮุวัลลอฮ์โดยไม่มีหลักฐานใดมาจำกัดเจาะจงว่าห้ามซ่อลาวาตหรืออ่านกุลลอฮุวัลลอฮ์ในช่วงพักละหมาดตะรอวิห์ แน่นอนว่าหลักฐานแบบกว้าง ๆ โดยรวมนั้น นั้นยังคงมีผลนำมาใช้ปฏิบัติได้ เมื่อเราได้ดำเนินตามหลักการเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าหากผู้ใดที่ทำการฮุกุ่มตัดสินเจาะจง(อัลค็อซ)ว่าการซ่อลาวาตหรืออ่านกุลฮุวัลลอฮ์ในการพักระหว่างละหมาดตะรอวิห์โดยไม่มีหลักฐานเจาะจงมายืนยันนั้น เขาย่อมเป็นผู้ที่มาปิดกั้นในเรื่องที่ศาสนาได้เปิดกว้าง หรือเขาได้อุปโลกน์ฮุกุ่มขึ้นมาในศาสนาโดยไร้หลักฐานทั้งในแง่แบบโดยมูลรวม(อัลอุมูม) หรือโดยเจาะจง(อัลค็อซ) แล้วในที่สุดเขาก็จะกลายเป็นคนบิดอะฮ์อุตริกรรมในฮุกุ่มศาสนานั่นเอง วัลอิยาซิบิลลาฮ์
ท่านอิมามอิบนุฮะญัร อัลฮัยษะมีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลฟะตาวา อัลฟิกฮียะฮ์ อัลก็อบรอ ว่าด้วยเรื่องซ่อลาตุลนัฟลิ ซึ่งท่านได้ตอบเกี่ยวกับการซ่อลาวาตระหว่างการให้สลามของละหมาดตะรอวิห์ความว่า
الصَّلَاةُ فِي هَذَا الْمَحَلِّ بِخُصُوصِهِ . لَمْ نَرَ شَيْئًا فِي السُّنَّةِ وَلَا فِي كَلَامِ أَصْحَابِنَا فَهِيَ بِدْعَةٌ يُنْهَى عَنْهَا مَنْ يَأْتِي بِهَا بِقَصْدِ كَوْنِهَا سُنَّةً فِي هَذَا الْمَحَلِّ بِخُصُوصِهِ دُونَ مَنْ يَأْتِي بِهَا لَا بِهَذَا الْقَصْدِ كَأَنْ يَقْصِدَ أَنَّهَا فِي كُلِّ وَقْتٍ سُنَّةٌ مِنْ حَيْثُ الْعُمُومُ
"การซ่อลาวาตนบีในสถานที่นี้ (คือช่วงพักระหว่างละหมาดตะรอวิห์) ด้วยเฉพาะเจาะจงมัน (ว่ามีหลักฐานมาบ่งชี้เจาะจง) เราไม่เคยเห็นสิ่งใดระบุในซุนนะฮ์และในคำพูดของปราชญ์แห่งเราเลย มันเป็นบิดอะฮ์ที่มาห้ามผู้ทำการซ่อลาวาตให้มีเจตนาเจาะจงว่าการซ่อลาวาตเป็นซุนนะฮ์(นบี)ในสถานที่ (ช่วงพักระหว่างละหมาดตะรอวิห์) นี้ ยกเว้นผู้ที่นำมาซึ่งการกล่าวซ่อลาวาตโดยมิได้มีเจตนาเจาะจง(ว่ามีซุนนะฮ์มาระบุ)แบบนี้ เช่นเขามีเจตนาตั้งใจว่าการซ่อลาวาตนั้นซุนนะฮ์กระทำได้ทุกเวลา(ไม่ว่าจะระหว่างพักช่วงละหมาดตะรอวิห์หรือไม่ก็ตาม)อันเนื่องจากนัยยะของหลักฐาน(อัลอุมูม)แบบโดยรวม(ก็ถือให้กระทำได้)"
ดังนั้น เมื่อมีหลักฐานแบบโดยรวม(อัลอุมูม) มาระบุส่งเสริมให้ทำการซ่อลาวาตและอ่านกุลฮุวัลลอฮุ การปฏิบัติด้วยกับหลักฐานแบบโดยรวมนี้ยังคงอยู่ตลอดไป ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานมาระบุเจาะจงห้าม
ฉะนั้น หลักฐานอัลอุมูมแบบโดยรวมที่ใช้ให้ซ่อลาวาตนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทั้งในช่วงพักละหมาดตะรอวิห์หรือนอกละหมาดตะรอวิห์ มีดังต่อไปนี้
อัลเลาะฮ์ตะอาลาเจ้า ทรงตรัสความว่า
إِنَّ اللَّهَ وَمَلَائِكَتَهُ يُصَلُّونَ عَلَى النَّبِيِّ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا صَلُّوا عَلَيْهِ وَسَلِّمُوا تَسْلِيماً
"แท้จริง อัลเลาะฮ์และมะลาอิกะฮ์ของพระองค์ ทำการซอลาวาตแก่ท่านนบี โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงซอลาวาตแก่เขาและจงประสาทสันติแก่เขาอย่างแท้จริงเถิด" อัลอะห์ซาบ : 56
ท่านอิบนุกะษีร ได้อธิบายว่า "เป้าหมายจากอายะฮ์นี้ คืออัลเลาะฮ์ซุบหานะฮูวะตะอาลา ได้บอกแก่ปวงบ่างของพระองค์ ถึงฐานันดรของศาสนทูตของท่านในกลุ่มชนชั้นเบื้องบนด้วยการให้บรรดามะลา อิกะฮ์ทำการซอลาวาตแก่ท่านนบี และพระองค์ยังใช้ให้โลกชั้นล่างทำการซอลาวาตและกล่าวสลามแก่ท่านนบี เพื่อให้การสรรเสริฐต่อท่านนบีนั้นถูกรวบไว้ทั้งโลกเบื้องบนและเบื้องล่าง ทั้งหมด" ตัฟซีรอิบนุกะษีร อธิบายอายะฮ์ที่ 56 ซูเราะฮ์อัลอะห์ซาบ
การซอลาวาตต่อท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้น สามารถลบล้างบาปได้มากมาย ทำให้เรามีเกียรติ ด้วยการผูกสัมพันความรักต่อท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ด้วยการซอลาวาตต่อท่านอย่างสม่ำเสมอ การซอลาวาต คือ การขอต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา ให้ทรงประสาทพรแก่ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ของเรา ด้วยการเพิ่มพูนความจำเริญในแง่ของเกียรติตำแหน่งของท่านให้อยู่ในฐานันดรที่สูงส่ง
การซอลาวาตนั้นเป็นการสนองคำบัญชาใช้ของอัลเลาะฮ์ตะอาลา เป็นการเชื่อมความรักของเราที่มีต่อท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จนกระทั่งวันกิยามะฮ์เราจะได้เป็นผู้ที่ใกล้ชิดท่านด้วยเหตุการซอลาวาตมาก ๆ ยิ่งกว่านั้น อัลเลาะฮ์ตะอาลา ยังทรงทำให้การซอลาวาตเป็นการเพิ่มพูนความดี ลบล้างความชั่ว และยังยกฐานันดรของเราให้สูงอีกด้วย
รายงานจากท่านอับดุลลอฮ์ บุตร อัมร์ บิน อาซ ว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
مَنْ صَلَّى عَليَّ صَلاةً صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ بِهَا عَشْراً
" ผู้ใดทำการซอลาวาตต่อฉันหนึ่งครั้ง อัลเลาะฮ์ก็จะทรงซาลาต(ให้ความเมตตา)แก่ด้วยการซอลาวาตของเขานั้นถึงสิบ ครั้ง" รายงานโดยมุสลิม(384)
รายงานจากท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์ ว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
أوْلى النَّاسِ بي يَوْمَ القِيامَةَ أَكْثَرُهُمْ عَليَّ صَلاةً
"มนุษย์ที่เป็นที่รักยิ่งสำหรับฉันมากที่สุดในวันกิยามะฮ์ คือผู้ที่พวกเขาได้ซอลาวาตต่อฉันมากที่สุด" รายงานโดยมุสลิม(408)
รายงานจากเอาส์ บุตร เอาส์ ว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
إِنَّ مِنْ أفْضَلِ أيَّامِكُمْ يَوْمَ الجُمُعَةِ، فأكْثِروُا عَليَّ مِنَ الصَّلاةِ فِيهِ، فإنَّ صَلاتَكُمْ مَعْرُوضَةٌ عَليَّ" فقالوا: يا رسول اللّه! وكيف تُعرض صلاتنا عليك وقد أرَمْتَ؟ قال: "إنَّ اللّه حَرَّمَ على الأرض أجْسادَ الأنْبِياءِ
"แท้จริงส่วนหนึ่งจาก วันที่ประเสริฐยิ่งนั้น คือวันศุกร์ ดังนั้น พวกท่านจงซอลาวาตต่อฉันในวันศุกร์ให้มาก ๆ เพราะการซอลาวาตของพวกท่านนั้นจะถูกนำเสนอแก่ฉัน พวกเขาถามว่า โอ้ ร่อซูลุลลอฮ์ การซอลาวาตของเราจะถูกนำเสนอต่อท่านได้อย่างไร ในเมื่อกระดูกของท่านพุเปื่อย(ตอนอยู่ในกุบูร)? ท่านนบี ตอบว่า แท้จริงอัลเลาะฮ์ทรงห้ามแผ่นดิน(กัดกิน)บรรดาเรือนร่างของนบี" รายงานโดยอบูดาวูด (1047) และท่านอิบนุมาญะฮ์ (1085) ฮะดิษซอฮิห์
รายงานจากท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์ ว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
لا تَجْعَلُوا قَبْرِي عِيداً وَصَلُّوا عليَّ، فإنَّ صَلاتَكُمْ تَبْلُغُنِي حَيْثُ كُنْتُمْ
" พวกท่านอย่าทำให้กุบูรของฉันเป็นการรื่นเริง และพวกเจ้าจงทำการซอลาวาตต่อฉัน เพราะแท้จริงการซอลาวาตของพวกท่านนั้น จะถูกส่งให้ทราบถึงฉันไม่ว่าพวกท่านจะอยู่แห่งหนใจก็ตาม" รายงานโดยอบูดาวูด (2042) ฮะดิษซอฮิห์
ท่านอิบนุอัซซุนีย์ ได้รายงานด้วยสายสืบที่ดี จากท่านอะนัส ว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
مَنْ ذُكِرْتُ عِنْدَهُ فَلْيُصَلِّ عَليَّ، فإنَّهُ مَنْ صَلَّى عَليَّ مَرَّةً، صَلَّى اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ عَلَيْهِ عَشْراً
" ผู้ที่ฉันได้เอ่ยขึ้น ณ ที่เขา ดังนั้น เขาก็จงทำการซอลาวาตแก่ฉันเถิด เพราะผู้ใดที่ทำการซอลาวาตแก่ฉันหนึ่งครั้ง อัลเลาะฮ์จะทรงซอลาวาต(ให้ความเมตตา)แก่เขาถึงสิบครั้ง" ดู หนังสืออัลฟุตูฮาตร๊อบบานียะฮ์ อธิบายหนังสือ อัลอัซการ ของท่านอันนะวาวีย์ 3/321
รายงานจากท่าน อะนัส ว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
مَنْ صَلَّى عَليَّ وَاحِدَةً صَلَّى اللهَ عَلَيْهِ عَشَرَ صَلَوَاتِ، وَحَطَّ عَنْهُ عَشَرَ خَطِيْئَاتٍ، وَرَفَعَ لَهُ عَشَرَ دَرَجَاتٍ
"ผู้ ใดทำการซอลาวาตแก่ฉัน 1 ครั้ง อัลเลาะฮ์ก็จักทรงซอลาวาตให้แก่เขา 10 ครั้ง และพระองค์ทรงลบล้าง 10 บาปจากเขา และพระองค์ทรงยกเกียรติแก่เขาถึง 10 ฐานันดร" รายงานโดยอิมามอะห์มัด , ท่านอัลบุคอรีย์ในหนังสืออัลอะดับอัลมุร๊อด ,และท่านอันนะซาอีย์ ดู หนังสือญาเมี๊ยะอฺอัศศ่อฆีร ของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ ฮะดิษที่ (8810) ฮะดิษนี้ซอฮิห์
ท่านติรมีซีย์ รายงานจาก อัฏฏุฟัยล์ ว่า
قَالَ أُبَيٌّ قُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ إِنِّي أُكْثِرُ الصَّلَاةَ عَلَيْكَ فَكَمْ أَجْعَلُ لَكَ مِنْ صَلَاتِي فَقَالَ مَا شِئْتَ قَالَ قُلْتُ الرُّبُعَ قَالَ مَا شِئْتَ فَإِنْ زِدْتَ فَهُوَ خَيْرٌ لَكَ قُلْتُ النِّصْفَ قَالَ مَا شِئْتَ فَإِنْ زِدْتَ فَهُوَ خَيْرٌ لَكَ قَالَ قُلْتُ فَالثُّلُثَيْنِ قَالَ مَا شِئْتَ فَإِنْ زِدْتَ فَهُوَ خَيْرٌ لَكَ قُلْتُ أَجْعَلُ لَكَ صَلَاتِي كُلَّهَا قَالَ إِذًا تُكْفَى هَمَّكَ وَيُغْفَرُ لَكَ ذَنْبُكَ
"อุบัย (บุตร กะอับ) กล่าวว่า ฉันได้กล่าวว่า โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮ์ แท้จริงฉันได้ทำการซอลาวาตให้แก่ท่านเป็นอย่างมาก ดังนั้นจะให้ฉันดุอาของฉันเป็นการซอลาวาตแก่ท่านเท่าไหร่ดี? ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า จงทำตามที่ท่านต้องการเถิด อุบัยกล่าวว่า ฉันกล่าวว่า หนึ่งในสี่ของช่วงเวลาดุอาของฉันที่จะซอลาวาตให้แก่ท่านกระนั้นหรือ? ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า จงทำตามที่ท่านต้องการเถิด ดังนั้นถ้าหากท่านเพิ่มขึ้นอีก ย่อมเป็นสิ่งที่ดียิ่งสำหรับท่าน ฉันจึงกล่าวว่า งั้นครึ่งหนึ่งของช่วงเวลาที่ฉันขอดุอาอ์สำหรับการซอลาวาตแก่ท่าน ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า จงทำตามที่ท่านต้องการเถิด หากท่านกระทำเพิ่มขึ้นอีก ย่อมเป็นสิ่งที่ดียิ่งสำหรับท่าน อะบัยกล่าวว่า ฉันกล่าวว่า งั้นหนึ่งในสามของช่วงเวลาที่ฉันได้ขอดุอาสำหรับการซอลาวาตแก่ท่าน ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว ท่านจงทำตามที่ท่านต้องการเถิด หากท่านกระทำเพิ่มขึ้นอีก ย่อมเป็นสิ่งที่ดียิ่งสำหรับท่าน ฉันกล่าวว่า ฉันจะทำการดุอาอ์ของฉันในช่วงเวลาทั้งหมดสำหรับการซอลาวาตแก่ท่าน ท่านนบีกล่าวว่า แน่นอนว่า ปณิธาณความตั้งใจจะถูกสนองแก่ให้ท่านทั้งการงานของดุนยาและอาคิเราะฮ์และบาป ของท่านจะถูกอภัยโทษให้" รายงานโดยติรมีซีย์ (2381)
ดังนั้น ความประเสริฐของการซอลาวาตนั้น ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับรองแล้วว่า หากเราทำการซอลาวาตให้แก่ท่านในส่วนมากของช่วงเวลาของเราหรือทั้งหมดในช่วงเวลาของเรา แน่นอนว่า เราจะถูกประทานให้จากอัลเลาะฮ์ซึ่งสิ่งที่เราปรารถนาต้องการทั้งในกิจการงาน ของดุนยาและอาคิเราะฮ์
บทสรุปที่อยากจะเรียนท่านพี่น้องใน ณ ที่นี้ ก็คือ การซ่อลาวาตใน ณ ที่นี้ หากผู้ใดทำการซ่อวาตตามนัยยะข้างต้นเขาจะได้ผลบุญมากมาย แต่ผู้ใดไม่กระทำก็ไม่ได้บุญและไม่ได้บาปแต่ประการใด แต่ถ้าหากผู้ที่ไม่ทำแล้วยังฮุกุ่มกล่าวหาผู้ซอลาวาตนบีกระทำบิดอะฮ์ลุ่มหลงตกนรก แน่นอนว่าเขาผู้นั้นคือพวกบิดอะฮ์อย่างแท้จริงนั่นเอง เนื่องจากเครื่องหมายของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ คือพวกเขาจะซ่อลาวาตนบีมาก ๆ
وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَاليَ أعْلىَ وَأَعْلَمُ