ผู้เขียน หัวข้อ: พี่น้องซุนนะฮ์สทิวเด็นท์คิดอย่างไรกับฮาดิษนี้ครับ?  (อ่าน 6642 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ salahudin

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 46
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อ้าว    รีบต่อกันเร็ว เดียวไม่ติด

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
ท่านรสูลุลลอฮฺได้กล่าวไว้ว่า " كل بدعة ضلالة " ความว่า "ทุกๆ บิดอะฮฺถือว่าหลงผิด (เฎาะลาละฮฺ)" (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 3991, ติรฺมิซีย์ หะดีษที่ 2600 และอัดดาริมีย์ หะดีษที่ 95)

อ่านแล้วก็ยิ่งงง ยิ่งสับสน บิดอะฮ์ฮาซานะฮ์มีจริงเหรอ?

เด็กน้อยๆ บนโลกใบใหญ่ต้องการผู้รู้อธิบายให้หายแคลงใจ...

มีบรรดาหะดิษที่กล่าวถึงเรื่องบิดอะฮ์ ซึ่งบางหะดิษกล่าวถึงเรื่องบิดอะฮ์โดยให้ความหมายที่ครอบคลุม( อุมูม ) แต่บางหะดิษกล่าวถึงเรื่องบิดอะฮ์โดยมีความหมายที่เจาะจงถ้อยความ( ตัคซีซ )

ดังนั้น ส่วนหนึ่งจากหะดิษที่ให้ความหมายในเรื่องบิดอะฮ์โดยความหมายที่ครอบคลุม คือ หะดิษของท่าน ญาบิร บิน อับดุลเลาะฮ์ เขากล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

أما بعد: فإن خير الحديث كتاب الله وخير الهدى هدى محمد وشر الأمور محدثاتها وكل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة

ความว่า" จากนั้น แท้จริงถ้อยความที่ดีที่สุด คือกิตาบุลเลาะฮ์ แต่ทางนำที่ดีที่สุด คือทางนำของมุหัมมัด แต่บรรดาการงานที่ชั่วที่สุด คือบรรดาสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ และทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์ และทุกๆ บิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง" ( รายงานโดยมุสลิม หะดิษที่ 867 อิมามอะหฺมัด รายงานไว้ในมุสนัด เล่ม 3 หน้า 310 ท่านอันนะซาอีย์ รายงานไว้ในสุนันของท่าน เล่ม 3 หน้า 188 และท่านอื่นๆ )

คำว่า"บิดอะฮ์" ในหะดิษนี้ ครอบคลุมถึง บิดอะฮ์เดียว หรือหลายๆ บิดอะฮ์ และครอบคลุมถึงบิดอะฮ์หะสะนะฮ์(ที่ดี) และบิดอะฮ์ซัยยิอะฮ์(น่ารังเกียจ)

มีหะดิษอีกส่วนหนึ่งที่รายงานด้วยถ้อยคำที่เจาะจงและทอนความหมายของคำ"บิดอะฮ์" คือคำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

من ابتدع بدعة ضلالة لا يرضاها الله ولا رسوله كان عليه مثل آثام من عمل بها لا ينقص ذلك من أوزارهم شيئا

ความว่า" ผู้ใดที่อุตริทำบิดอะฮ์อันลุ่มหลง ที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ไม่พอใจ แน่นอน เขาย่อมได้รับบาปเหมือนกับผู้ที่ได้ปฏิบัติมัน โดยที่บาปของพวกเขาดังกล่าวจะไม่ทำให้สิ่งใดลงน้อยลง จากบรรดาบาปของพวกเขา" อิมาม อัตติรมีซีย์ กล่าวว่า หะดิษนี้ หะซัน ( ดู อัล-อาริเฏาะฮ์ เล่ม 10 หน้า 148)

ในหะดิษนี้ ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้เจาะจงและทอนความหมายของคำว่า "บิดอะฮ์ที่หะรอม" นั้น คือบิดอะฮ์อันน่ารังเกียจที่ไม่สอดคล้องกับหลักชาริอะฮ์

ฉะนั้น ตามหลักอุซูล ( อัลกออิดะฮ์ อัลอุซูลียะฮ์) คือ เมื่อมีตัวบทที่รายงานมาจากหลักการของชาเราะอฺ โดยมีถ้อยคำที่ครอบคลุม ( อาม ) และถ้วยคำที่เจาะจง ( ค๊อซ ) ก็ให้นำเอาถ้อยคำที่เจาะจง ( ค๊อซ )มาอยู่ก่อนในการนำมาพิจารณา เนื่องจากในการนำถ้อยคำที่เจาะจง ( ค๊อซ ) มาอยู่ก่อนนั้น ทำให้สามารถปฏิบัติได้ทั้ง 2 ตัวบทไปพร้อมๆ กัน ซึ่งแตกต่างกับการที่ เอาถ้อยคำที่ครอบคลุม ( อาม ) มาอยู่ก่อน เนื่องจากจะทำให้ยกเลิกหรือละทิ้งกับตัวบทที่ให้ความหมายเจาะจงไป ( ดู ชัรหฺ อัลเกากับ อัลมุนีร เล่ม 3 หน้า 382)

ฉะนั้น จุงมุ่งหมายของคำกล่าวท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

( كل بدعة ضلالة )

"ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

หมายถึง บิดอะฮ์อันน่ารังเกียจ คือ สิ่งที่อุตริขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่มีหลักฐานจากชาเราะอฺ ไม่ว่าจะด้วยหนทางที่ครอบคลุมหรือเจาะจง

และหลักการนี้ ก็อยู่ในนัยยะเดียวกับคำกล่าวของท่านร่อซูลุเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

كل عين زانية

" ทุกๆสายตานั้น ทำซินา" ( นำเสนอรายงานโดย อิมามอะหฺมัด ในมุสนัด เล่ม 3 หน้า 394 - 413 อบูดาวูด ได้รายงานไว้ใน สุนันของท่าน หะดิษที่ 4173 อัตติรมิซีย์ หะดิษที่ 2786 ท่านอันนะซาอีย์ เล่ม 8 หน้า 135 และท่านอัตติรมิซีย์กล่าว หะดิษนี้ หะซันซอเฮี๊ยะหฺ

ดังนั้น ถ้อยคำของหะดิษนี้ไม่ใช่หมายถึงทุกๆสายตานั้นทำซินา แต่ทุกๆสายตาที่มองสตรีโดยมีอารมณ์ใคร่ต่างหาก คือสายตาที่อยู่ในความหมายของซินา (ดู หนังสือ อัตตัยซีร บิชัรหฺ อัลญาเมี๊ยะอฺ อัศซ่อฆีร ของท่าน อัลมะนาวีย์ เล่ม 2 หน้า 216)

ท่านอัล-หาฟิซฺ อิมาม อันนะวะวีย์ (ร.ฏ.) กล่าวว่า " คำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า ( كل بدعة ضلالة ) " ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง" นั้น คืออยู่ในความหมายของ คำคลุมที่ถูกเจาะจง (คือถ้อยคำที่มีความหมายที่ครอบคลุมแต่ถูกเจาะจงหรือทอนความหมายด้วยหะดิษอื่น) จุดประสงค์ของท่านนบี(ซ.ล.) ก็คือ บิดอะฮ์ส่วนมากนั้นลุ่มหลง ในลักษณะจุดมุ่งหมายจากคำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.)ก็คือ ส่วนมากของบิดอะฮ์(นั้นลุ่มหลง)

บรรดาอุลามาอ์กล่าวว่า บิดอะฮ์ มี 5 ประเภท คือ บิดอะฮ์วายิบ สุนัต หะรอม มักโระฮ์ และมุบาห์ ดังนั้น ส่วนหนึ่งจากบิดอะฮ์ที่วายิบ อาธิเช่น การประพันธ์หนังสือเกี่ยวกับหลักฐานต่าง ๆ ของอุลามาอ์กะลาม เพื่อทำการโต้ตอบ พวกนอกศาสนา พวกบิดอะฮ์ และอื่น ๆ และสำหรับบิดอะฮ์สุนัต คือ การประพันธ์หนังสือในเชิงวิชาการ การสร้างสถานที่ศึกษา สร้างสถานที่พักพึง และอื่น ๆ จากที่กล่าวมา และส่วนหนึ่งจากบิดอะฮ์มุบาห์ คือ การมีความหลากหลายในประเภทต่าง ๆ ของการทำอาหาร และอื่น ๆ และบิดอะฮ์หะรอมและมักโระฮ์นั้น ทั้งสองย่อมมีความชัดเจนแล้ว และฉัน(คืออิมามอันนะวะวีย์)ได้อธิบายประเด็นนี้ ด้วยบรรดาหลักฐานที่ถูกแจกแจงไว้แล้วในหนังสือ ตะฮ์ซีบ อัลอัสมาอ์ วัลลุฆ๊อต ดังนั้น เมื่อสิ่งที่ฉันได้กล่าวไปแล้วนั้น เป็นที่ทราบดีแล้ว ก็จะสามารถรู้ได้ว่า แท้จริง หะดิษ(นี้) มาจากความหมายของคำคลุมที่ถูกเจาะจง และเช่นเดียวกันกับบรรดาหะดิษต่างๆที่มีหลักการเหมือนกับหะดิษนี้ และได้ทำการสนับสนุนกับสิ่งที่เราได้กล่าวมาแล้ว โดยคำกล่าวของท่านอุมัร(ร.ฏ.) เกี่ยวกับละหมาดตะรอวิหฺ ที่ว่า

نعمت البدعة هذه

"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"

และการที่หะดิษมีความหมายที่ครอบคลุมที่ต้องถูกเจาะจง (คือถ้อยคำที่มีความหมายที่ครอบคลุมแต่ถูกเจาะจงหรือทอนความหมาย)นั้น ก็จะไม่ไปห้ามกับคำกล่าวของร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า ( كل بدعة ) "ทุกบิดอะฮ์" โดยตอกย้ำด้วยคำว่า ( كل ) "ทุกๆ" แต่จะต้องทำการเจาะจงหรือทอนความหมายของคำว่า ( كل ) "ทุกๆ" นี้ด้วย กล่าวคือ ( ความหมายที่ครอบคลุมนี้คือ "ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลง" โดยทำการเจาะจงหรือทอนความหมายด้วยหะดิษอื่น จึงได้ความว่า มีบิดอะฮ์อื่นที่ไม่ได้อยู่ในความหมายของบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง ซึ่งเหมือนกับคำตรัสของอัลเลาะฮ์ ที่ว่า ( تدمر كل شيء ) " มันเป็นลมที่จะทำลายทุกๆสิ่ง" (นอกบ้านเรือนของพวกเขาเป็นต้น) (ดู ชัรหฺ ซ่อเฮี๊ยะหฺ มุสลิม ของอิมาม อันนะวะวีย์ เล่ม 3 หน้า 423)

ได้รายงานจาก ท่านหญิง อาอิชะฮ์ (ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)

من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد

หมายความว่า "ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่ ในการงาน(ศาสนา)ของเรานี้ กับสิ่งที่ไม่มีมาจากมัน(คือจากการงานของเรา)แล้ว สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ" (รายงานโดย บุคอรีย์ หะดิษที่ 2698 และมุสลิม หะดิษที่ 1718)

ในสายรายงานหนึ่งของ มุสลิม กล่าวว่า

من عمل عملا ليس عليه أمرنا فهو رد

ความว่า "ผู้ใดที่ปฏิบัติ งานหนึ่งงานใดขึ้นมา ที่การงาน(ศาสนา)ของเรา ไม่ได้ครอบคลุมถึงมัน สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ" (รายงานโดยมุสลิม หะดิษที่ 1718)

ดังนั้น ท่านนบี(ซ.ล.) ไม่ได้กล่าวว่า

من أحدث فى أمرنا هذا فهو رد

"ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่ ในการงาน(ศาสนา)ของเรานี้ มันย่อมถูกปฏิเสธ"

และท่านนบี(ซ.ล.)ก็ไม่ได้กล่าวว่า

من عمل عملا فهو رد

"ผู้ใดที่ปฏิบัติ การกระทำอันใดอันหนึ่งขึ้นมา มันย่อมถูกปฏิเสธ"

หะดิษดังกล่าวนี้ จะต้องนำเอาหะดิษที่มีข้อแม้หรือจำกัดความหมายมาทอนความหมายแบบกว้าง ๆ ของหะดิษนี้ ( มุฏลัก) เพราะ บรรดาอุลามาอ์ผู้เคร่งครัดในกลุ่มนักปราชญ์แห่งมูลฐานนิติบัญญัติอิสลามได้ กล่าวว่า "หากปรากฏว่ามีหะดิษที่อยู่ในความหมายแบบกว้าง ๆ ( มุฏลัก) และในตัวบทหะดิษเดียวกันนี้ ก็มีความหมายที่บ่งถึงการจัดกัดความ( ( มุก๊อยยัด ) ก็จำเป็นจะต้องตีความกับความหมายแบบกว้าง ๆ นี้ ให้อยู่บนความหมายแบบจำกัดความ ( حمل المطلق على المقيد ) โดยที่ไม่อนุญาติให้ปฏิบัติตามหะดิษที่มีความหมายแบบกว้าง ๆ นี้

เมื่อเป็นอย่างเช่นที่กล่าวมานี้ เราจึงเข้าใจจากหะดิษที่กล่าวมาว่า

من أحدث فى أمرنا هذا ما هو منه فهو مقبول

"ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่ ในการงานของเรานี้ สิ่งที่มีมาจากการงานของเรา สิ่งนั้นย่อมถูกตอบรับ"

من عمل عملا عليه أمرنا فهو مقبول

"ผู้ที่ปฏิบัติ กับการปฏิบัติหนึ่ง โดยที่การงานของเรา(มีรากฐาน)อยู่บนมัน การปฏิบัตินั้นย่อมถูกตอบรับ"


เมื่อเป็นเช่นอย่างเช่นดังกล่าว หะดิษนี้จึงมีความเข้าใจได้ดังต่อไปนี้

1. อนุญาติให้กระทำบิดอะฮ์ที่ดีและได้รับการสรรเสริญ เมื่อมันดำรงอยู่บนรากฐานของหลักศาสนา(ชาเราะอฺ)ที่ชัดเจน หรือแบบสรุป หรือในแบบของการวินิจฉัย ดังนั้น บิดอะฮ์ในลักษณะนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องศาสนา

2. หะดิษนี้ มีความหมายครอบคลุมเกี่ยวกับเรื่องศาสนาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอิบาดะฮ์ หรือการมุอามะลาต(เช่นธุระกิจการค้าขายเป็นต้น)

3. หะดิษนี้ ชี้ถึงอนุญาติให้กระขึ้นมาใหม่จากเรื่องต่างๆของศาสนาที่ไม่มีอยู่ในสมัยของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ดังนั้น จึงไม่ถูกวางเงื่อนไขว่า บรรดาการกระทำตามหลักศาสนานั้น คือต้องเป็นสิ่งที่ท่านนบี(ซ.ล.)เคยทำมาแล้ว เช่นเดียวกัน กับการที่ท่านนบีได้ทิ้งการปฏิบัติบางส่วนนั้น ก็ย่อมไม่ชี้ถึงการ ห้ามกระทำมัน หลังจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) เสียชีวิตไปแล้ว

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
ท่านอิบนุหะญัร อัล-อัศเกาะลานีย์ ได้อธิบายหะดิษดังกล่าวว่า

هذا الحديث معدود من أصول الإسلام وقاعدة من قواعده فإن معناه : من إخترع فى الدين ما لا يشهده أصل من أصوله فلا يلتفت إليه . إنتهى

" หะดิษนี้ นับว่าเป็น รากฐานของอิสลามและเป็นหลักการหนึ่งจากบรรดาหลักการต่างๆของอิสลาม เพราะแท้จริงความหมายของมันก็คือ ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาในศาสนา กับสิ่งที่ไม่มีรากฐานใดรากฐานหนึ่งจากบรรดารากฐานของศาสนามาสนับสนุน ดังนั้น อย่าไปเหลียวแลกับมัน" ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 5 หน้า 302 - 303

คำกล่าวของท่าน อิบนุหะญัร (ร.ฮ.) ที่ว่า "สิ่งที่ไม่มีรากฐานใดรากฐานหนึ่งจากบรรดารากฐานของศาสนามาสนับสนุน" ย่อมชี้ชัดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ในศาสนานั้น ก็มีสิ่งที่มีหลักการและรากฐานของศาสนามาสนับสนุนรับรอง และนั่นก็คือสิ่งที่หะดิษได้บ่งชี้หลักการดังกล่าวไว้นั่นเอง

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء

" ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน เขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งบกพร่องลงเลย จากผลบุญของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่เลว แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน หลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" (รายงานโดย ท่านอิมาม มุสลิม ไว้ในซอเฮี๊ยะหฺของท่าน หะดิษที่1017)

ท่านอัสซินดีย์ ได้กล่าวอธิบาย หะดิษดังกล่าวที่รายงานโดยท่าน อิบนุมาญะฮ์ ในหะดิษที่304 ว่า

قوله : ( سنة حسنة) أى طريقة مرضية يقتدى بها ، والتمييز بين الحسنة والسيئة بموافقة أصول الشرع وعدمها

" คำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ว่า( سنة حسنة) (ซุนนะฮ์หะสะนะฮ์) หมายถึง หนทางอันพึงพอใจ ที่ถูกเจริญตาม และการแยกแยะระว่าง หนทางที่หะสะนะฮ์(ดี) และหนทางที่ซัยยิอะฮ์(เลว) นั้น ด้วยการที่มันสอดคล้องกับรากฐานต่าง ๆ ของศาสนาหรือไม่สอดคล้อง"

หรือเราจะเข้าใจอีกนัยหนึ่งว่า

คำว่าمن سن سنة حسنة หมายถึง"ผู้ใด ที่ประดิษฐ์หรือริเริ่มกระทำ แนวทางหนึ่งที่ดีขึ้นมา หรือการงานที่ดีหนึ่งขึ้นมา ในศาสนา โดยสอดคล้องกับหลักการศาสนา"
และคำว่าومن سن سنة سيئة หมายถึง"ผู้ใด ที่ประดิษฐ์ หรือกระทำ แนวทางหนึ่งที่ชั่วหรือเลว หรือการงานที่เลวหนึ่งขึ้นมา ในศาสนา โดยขัดกับหลักการศาสนา"

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้แหละ ท่านนบี(ซ.ล.) จึงได้กล่าวถึง สิ่งที่บรรดาซอฮะบะฮ์ได้กระทำขึ้นมาใหม่ นั้น ว่าเป็น"ซุนนะฮ์" ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า

فعليكم بسنثى وسنة الخلفاء الراشدين

" พวกท่านจงดำรงไว้ ด้วยซุนนะฮ์ของฉัน และแนวทางของบรรดาค่อลิฟะฮ์ผู้ทรงธรรม"

ดังนั้น สิ่งที่บรรดาซอฮาบะฮ์กระทำขึ้นมาใหม่ ก็คือการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ในศาสนานั่นเอง แต่ สิ่งที่กระทำขึ้นมาใหม่นั้น หากมันสอดคล้องกับหลักการของอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และหลักการของศาสนา ก็ย่อมถึอว่าเป็นสิ่งที่ดี และท่านนบี(ซ.ล.) ก็เรียกมันว่า"ซุนนะฮ์" และคำว่าซุนนะฮ์ของบรรดาซอฮาบะฮ์นี้ บางครั้งก็เรียกว่า"บิดอะฮ์ที่ดี" ดังที่ท่านอุมัรกล่าวไว้ว่า

نعمت البدعة هذه

"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ)นี้"

ดังนั้น ซุนนะฮ์ของบรรดาซอฮาบะฮ์นั้น ก็คือ ซุนนะฮ์ในเชิงเปรียบเทียบ( سنة قياسية ) คือเปรียบเทียบกับ ซุนนะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.) คือเมื่อบรรดาซอฮาบะฮ์ ได้วางแนวทางเอาไว้ โดยสอดคล้องกับซุนนะฮ์หรือหลักการศาสนา ก็ถือว่า เป็นซุนนะฮ์ที่เปรียบเทียบเหมือนกับซุนนะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.) นั่นเอง และบรรดาอุลามาอ์หลังจากบรรดาซอฮาบะฮ์ ก็ได้เดินตามแนวทางดังกล่าวเช่นเดียวกับซอฮาบะฮ์ โดยยึดคำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.)ที่ว่า

من سن فى الإسلام سنة حسنة ...

"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..."

ดังนั้น คำว่า"من" นี้ ให้ความหมายที่ (อุมูม) ครอบคลุม โดยไม่จำกัด"การกระทำขึ้นในอิสลาม กับหนทางที่ดี" อยู่กับอุลามาอ์ยุคสะลัฟเพียงอย่างเดียว ซึ่งดังกล่าวย่อมเป็นการแช่แข็งตัวบทอย่างชัดเจน โดยที่ตัวบทหะดิษที่ชัดเจนนี้นั้น ก็มีความหมายปฏิเสธสิ่งดังกล่าว และมันเป็นการวางจำกัดข้อแม้กับตัวบทโดยปราศจากหลักฐาน เนื่องจากการกระทำแนวทางที่ดีนั้น หากมันอยู่ในหลักการหรือภายใต้หลักศาสนาแล้ว ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย แต่ต้องอยู่ในกรอบของหลักการศาสนา และอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ศาสนาได้วางเอาไว้ ไม่ใช่จะทำกันง่าย ๆ ตามใจชอบ ดังนั้น บิดอะฮ์หะสะนะฮ์จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาโดยไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย

ดังนั้น คำว่า ซุนนะฮ์ ในหะดิษนี้ ไม่ใช่ความหมายในเชิงศาสนา ที่หมายถึง คำกล่าว การกระทำ การยอมรับ ที่ออกมาจากท่านนบี(ซ.ล.) แต่ คำว่า ซุนนะฮ์นี้ มันอยู่ในความหมายในเชิงภาษา หมายถึง"การริเริ่มทำหนทางที่ดี"

ในหะดิษนี้ อยู่ในความดีเรื่องของ"บริจาคทาน" ซึ่งการบริจาคทาน เป็นสิ่งที่มีรากฐานจากหลักการของศาสนา ดังนั้นการริเริ่มกระทำการ บริจาคทาน ก็คือการ ริเริ่มในการกระทำสิ่งที่มีรากฐานจากหลักการของศาสนา แต่เราจะเจาะจงหรือแช่แข็งหะดิษโดยจำกัดเพียงแค่เรื่องการริเริ่มกระทำความดีด้วยการบริจาคทานอย่างเดียวนั้นไม่ได้ เนื่องจากมีหลักการที่ตรงกันว่า

العبرة بعموم اللفظ لا بخصوص السبب

"การพิจารณานั้น ต้องพิจารณาที่ถ้อยคำที่ความหมายครอบคลุม ไม่ใช่เฉพาะที่สาเหตุ"

ดังนั้น การริเริ่มกระทำสิ่งใดก็ตาม ที่เป็นความดี และมีรากฐานจากหลักการของศาสนาและไม่ขัดกับหลักการของศาสนา แน่นอนว่า สิ่งนั้น ย่อมเป็นแนวทางที่ดี

เพราะฉนั้น คำว่าسَنَّ (ริเริ่มทำขึ้นมา) ไม่ได้มีความหมายว่า"ฟื้นฟู" เลยแม้แต่น้อย และไม่มีอุลามาอ์ท่านใด ตีความหมายว่า"เป็นการฟื้นฟู" นอกจากกลุ่มผู้คัดค้านการแบ่งประเภทบิดอะฮ์ในยุคปัจจุบัน (ที่กล่าวว่าผู้คัดค้านปัจจุบันนั้นก็เพราะว่าอุลามาอ์ที่คัดค้านเรื่องการแบ่งบิดอะฮ์ในอดีตไม่เคยอธิบายว่า"เป็นการฟื้นฟู) ที่พยายามตีความหมายเป็นอย่างอื่นเพื่อให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ

ท่านอิมาม อันนะวาวีย์ ได้ให้ความหมายคำว่าسَنَّ นั้น คือการริ่เริ่มทำขึ้นมาไหม่الإبتداء และการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่الإختراع อิมามอันนะวาวีย์กล่าวอธิบายว่า

من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء

فيه : الحث على الابتداء بالخيرات وسن السنن الحسنات ، والتحذير من إختراع الأباطيل والمستقبحات...

ในหะดิษนี้ ได้ส่งเสริมให้ทำการริเริ่มการกระทำบรรดาความดีงาม และกระทำแนวทางที่ดีขึ้นมา และเตือนให้ระวัง การประดิษฐ์บรรดาสิ่งที่เป็นโมฆะและสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งหลาย และสาเหตุที่นบี(ซ.ล.)กล่าวในหะดิษนี้ คือในช่วงแรกผู้รายงานกล่าวว่า" ได้มีชายคนหนึ่ง(ที่ยากจนได้มา แล้วบรรดาซอฮาบะฮ์ก็ช่วยกันบริจาค) ได้นำถุงกระสอบหนึ่งที่มือของเขายกเกือบไม่ไหว แล้วบรรดาผู้คนก็ติดตาม(บริจาคให้อีก)" ดังนั้น ความประเสริฐอันยิ่งใหญ่ สำหรับผู้ที่ริเริ่ม ด้วยการทำความดีนี้ และสำหรับผู้ที่เปิดประตูของการกระทำความดีงามนี้ และในหะดิษนี้ ได้มา(ตักซีซ) ทอนความหมายของหะดิษที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้ที่กล่าวว่า

كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة

"ทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์ และทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

โดยที่จุดมุ่งหมายของหะดิษนี้ หมายถึง บรรดาสิ่งที่อุตริทำขึ้นมาใหม่ที่เป็นโมฆะและบรรดาบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิเท่านั้น(สำหรับบิดะฮ์ที่ดีนั้นไม่ถูกตำหนิ)..." (ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม ของท่านอิมาม อันนะวาวีย์ เล่ม4 หน้า113 ตีพิมพ์ ดารุลหะดิษ ตีพิมพ์ครั้งแรก ปี ฮ.ศ. 1415- ค.ศ. 1994)

เป้าหมายของหะดิษนั้น คือเป้าหมายตามทัศนะของเรา ที่เอามาจากการอธิบายของ อุลามาอ์ของโลกอิสลาม ดังนั้น อุลามาอ์หะดิษแห่งโลกอิสลามให้ความหมายคำว่าسَنَّ นั้น หมายถึงأبتدأ (ริเริ่มกระทำขึ้นมา) ไม่ใช่ให้ความหมายบิดเบือน ว่าأحيا (ฟื้นฟู) ตามที่ผู้คัดค้านในปัจจุบันนี้ได้ให้ความหมายกัน เพื่อหลีกหนี การตีฟซีร หะดิษ"ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลง" และไม่มีอุลามาอ์ท่านใด ตั้งแต่1400 กว่า ปี ที่ให้ความหมายคำว่าسَنَّ นั้น หมายถึงأحيا (ฟื้นฟู)

ดังนั้น การอธิบายคำว่าسَنَّ นั้น หมายถึงأبتدأ (ริเริ่มกระทำขึ้นมา) นั้น

1. เพราะมันเป็นเจตนารมณ์ของท่านนบี(ซ.ล.) ที่อุลามาอ์หะดิษแห่งโลกอิสลามตั้งแต่1400 กว่าปี ได้เข้าใจกัน

2. การให้ความหมายว่า"ริเริ่มกระทำขึ้นมา" นั้น เป็นการอธิบายที่ตรงกับหลักภาษาอาหรับ ของคำว่าسَنَّ

3. การให้ความหมายคำว่าسَنَّ หมายถึง"การริเริ่มกระทำขึ้นมา" นั้น ย่อมเป็นการอธิบายتفسير หะดิษตามอุลามาอ์หะดิษผู้ปกป้องซุนนะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.) แต่ไม่มีอุลามาอ์หะดิษแห่งโลกอิสลาม อธิบายتفسير คำว่าسَنَّ ให้อยู่ในความหมายأحيا (ฟื้นฟู)

4. การให้ความหมายคำว่าسَنَّ หมายถึง"การริเริ่มกระทำขึ้นมา" นั้น ไม่ใช่เป็นการตีความتأويل เนื่องจากการตีความนั้น หมายถึง การผันความหมายคำเดิมให้อยู่ในความหมายอื่นที่สอดคล้องกับที่เจ้าของภาษาอาหรับเขาใช้กัน แต่การกล่าวว่าسَنَّ หมายถึงأحيا (ฟื้นฟู) นั้น ไม่ใช่เป็นการตีความ เนื่องจากเจ้าของภาษาอาหรับ เขาไม่เคยใช้คำว่าسَنَّ หมายถึงأحيا (ฟื้นฟู)

5. เมื่อคำว่าسَنَّ ไม่ได้ถูกอธิบายให้อยู๋ในความหมายว่าأحيا (ฟื้นฟู) ตามทัศนะของอุลามาอ์หะดิษแห่งโลกอิสลาม และไม่ใช่เป็นการตีความแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า การให้ความหมายคำว่าسَنَّ หมายถึงأحيا (ฟื้นฟู) นั้น คือการتحربف บิดเบือน ความหมายของหะดิษ บิดเบือนหลักภาษาอาหรับ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนตั้งแต่1400 ร้อยกว่าปี

จริงอยู่ว่า หะดิษนี้ ได้กล่าวถึงเรื่อง การศอดะเกาะฮ์ แต่การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าวหะดิษนี้นั้น ไม่ใช่เพราะเรื่องศอดะเกาะฮ์เป็นการเจาะจง แต่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าว เนื่องจากมีชายคนหนึ่งได้ทำการริเริ่มในการทำความดีขึ้นมา(ด้วยการศอดะเกาะฮ์) ดังที่มีหะดิษสายรายงานอื่น รายงานยืนยันไว้ว่า

وعن حذيفة قال سأل رجل على عهد رسول الله عليه وسلم فأمسك القوم ثم أن رجلا أعطاه فأعطاه القوم فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم من سن خيرا فأستن به كان له أجره ومن أجور من تبعه غير منتقص من أجورهم شيئا ومن سن شرا فاستن به كان عليه وزره ومن أوزارمن تبعه غير منتقص من أوزارهم شيئا . رواه أحمد والبزار والطبرانى فى الأوسط ورجاله رجال الصحيح إلا أبا عبيدة بن حذيفة وقد وثقه إبن حبان

"รายงานจาก หุซัยฟะฮ์ เขากล่าวว่า มีชายคนหนึ่งในสมัยท่านนบีได้ขอ(ซอดะเกาะฮ์) และกลุ่มผู้คนเหล่านั้น ไม่ยอมทำการบริจาค หลังจากนั้น มีชายผู้หนึ่ง ได้ทำการให้(บริจาค)กับเขา(ชายผู้มาขอซะดาเกาะฮ์) ดังนั้น บรรดากลุ่มผู้คนเหล่านั้น จึงทำการ(บริจาคทาน)ให้แก่เขา แล้วท่านร่อซูล(ซ.ล.) ก็กล่าวว่า"ผู้ใดที่ริเริ่มขึ้นมากับการทำความดี แล้วก็ถูกเจริญตามด้วยกับความดีนั้น ผลตอบแทนก็จะมีให้แก่เขา และจากบรรดาผลตอบแทนของผู้ที่ได้เจริญรอยตามเขา โดยการตอบแทนของพวกเขานั้น ไม่ได้ลดย่อนลงไปเลยสักสิ่งเดียว และผู้ใดที่ริเริ่มกระทำขึ้นมา กับความชั่ว แล้วความชั่วนั้นได้ถูกกระทำตาม ผลบาปก็จะตกอยู่บนเขา และจากบรรดาบาปของผู้ที่กระทำตามเขา โดยไม่บาปของพวกเขา ไม่ได้ลดย่อนลงเลยสักสิ่งเดียว" รายงานโดย อิมามอะหฺมัด ท่านอัลบัซฺซฺาร และท่านอัฏฏ๊อบรอนีย์ ได้รายงานไว้ใน มั๊วะญัม อัลเอาสัฏ และบรรดานักรายงานของท่านอัฏฏอบรอนีย์นั้น เป็นนักรายงานที่ซอเฮี๊ยะหฺ นอกจาก อบู อุบัยดะฮ์ บิน หุซัยฟะฮ์ ซึ่งท่านอิบนุหิบบาลนั้น ถือว่า เขาเชื่อถือได้(ดู มัจญฺมะอฺ อัลซะวาอิด ของท่าน อัลฮัยษะมีย์ เล่ม1 หน้า167 )

ดังนั้น คำว่าسَنَّ นั้น จึงอยู่ในความหมายที่ว่า"ริเริ่มกระทำขึ้นมา" ซึ่งหากอยู่บนแนวทางที่ดี ก็ย่อมอยู่บนทางนำ และหากอยู่บนแนวทางที่เลว ก็ย่อมลุ่มหลง

หากเราไปดูในหนังสือ ปทานุกรมอาหรับ เราจะไม่พบว่า คำว่าسَنَّ นั้น มีความหมายว่า"ฟื้นฟู" เลยแม้แต่น้อย แต่ในทางตรงกันข้าม มันกลับมีความหมายว่า เริ่มการกระทำ เช่นใน มั๊วะญัม อัลวะซีฏ ให้ความหมายว่า

من سن سنة حسنة : وكل من ابتداء أمرا عمل بها قوم من بعده فهو الذى سنه

"ผู้ใดที่ได้سن (วางหรือกำหนด)แนวทางที่ดี: หมายความว่า และทุก ๆ คนที่ได้ ริเริ่มขึ้นมา กับกิจการงานหนึ่ง ที่กลุ่มชนนั้น ได้ถือปฏิบัติตาม(ด้วยกับแนวทางที่ดี) หลักจากเขาเสียชีวิตแล้ว เขาก็คือผู้ที่ริเริ่มทำการงานนั้นขึ้นมา" (ดู มั๊วะญัม อัลวะซีฏ หมวดسن )

และการฟื้นฟูซุนนะฮ์นะนั้น ย่อมมีหลักฐานที่เป็นเอกเทศของมันอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องไปตีความหะดิษ"من سن في الإسلام سنة حسنة " แต่อย่างใด เช่น

ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ ได้รายงาน จาก ท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า

من دعا إلى هدى كان له من الأجر مثل أجور من تبعه لا ينقص ذلك من أجورهم شيئا ، ومن دعا إلى ضلالة كان عليه من الإثم مثل آثام من تبعه لا ينقص ذلك من آثامهم شيئا

"ผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ทางนำ แน่นอน ย่อมมีผลตอบแทนแก่เขา เหมือนบรรดาการตอบแทนของผู้ที่เจริญตาม โดยดังกล่าวนั้น จะไม่บั่นทอนผลบุญของพวกเขาแม้แต่เพียงเล็กน้อย และผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ความหลงผิด แน่นอน เขาย่อมได้รับบาป เหมือนกับบรรดาบาปของผู้กระทำตาม โดยที่บาปดังกล่าวนั้น จะไม่ถูกบั่นทอนลงแม้แต่เพียงน้อยนิด " รายงานโดยมุสลิม

รายงานจากอบีมัสอูด อัลอันซอรีย์ จากท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า

من دل على خير فله مثل أجر فاعله

"ผู้ใด ได้ชี้แนะถึงความดีหนึ่ง ดังนั้น เขาก็จะได้รับผลบุญตอบแทน เหมือนกับผู้กระทำตาม" รายงานโดยมุสลิม


รายงาน กะษีร บิน อับดิลลาฮ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ได้ยินท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

من أحيا سنة من سنتي قد أميتت بعدي فإن له من الأجر مثل من عمل بها من غير أن ينقص من أجورهم شيئا ، ومن ابتدع بدعة ضلالة لا ترضي الله ورسوله كان عليه من مثل آثام من عمل بها لا ينقص ذلك من أوزار الناس شيئا

"ผู้ใดที่ฟื้นฟูซุนนะฮ์หนึ่ง จากซุนนะฮ์ของฉันที่ได้ตายไป หลังจากฉัน แท้จริงแล้ว เขาย่อมได้รับผลตอบแทน เสมือนกับผู้ที่ได้ปฏิบัติตามมัน โดยที่ผลบุญของพวกเขาจะไม่ถูกบั่นทอนแม้แต่เพียงเล็กน้อย และผู้ใดที่อุตริบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง โดยที่ไม่ทำให้พึงพอพระทัยต่ออัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์นั้น เขาย่อมได้รับผลกรรม เหมือนกับบรรดาบาปของผู้ที่กระทำมันโดยบาปกรรมของผู้อื่นจะไม่ถูกบั่นทอนสิ่งดังกล่าวสักเพียงนัดเดียว" รายงานโดย ท่านติรมิซีย์ และอิบนุมาญะฮ์

อาจจะมีผู้คัดค้านกล่าวว่า หะดิษที่บอกว่า "ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." นี้ คือ"จำกัดและเจาะจงเฉพาะสิ่งที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์และบรรดาคอลิฟะฮ์ได้วางแนวทางไว้แล้วเท่านั้น" เราขอตอบว่า หะดิษดังกล่าว ย่อมมีความชัดเจนและครอบคลุมอยู่แล้ว ในการริเริ่มส่งเสริม กระทำบรรดาแนวทางที่ดีงามโดยที่ไม่ได้จำกัดว่า จะเป็นคนศตวรรษใหนเป็นการเฉพาะ ดังนั้นการวางเงื่อนไขเฉพาะเจาะจงกับการกระทำสิ่งหนึ่งขึ้นมาโดยจำกัดเพียงแต่สมัยซอฮาบะฮ์อย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการวางเงื่อนไขเจาะจงที่ปราศจากหลักฐาน

และอาจจะมีผู้คัดค้านอีกว่า หะดิษที่บอกว่า"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." นี้ หมายถึง"การที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์และกระทำสิ่งหนึ่ง ที่เป็นเรื่องของดุนยา หรือหนทางต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ และแนวทางที่เลว นั้น คือสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์กระทำขึ้นมา บนหนทางที่อันตรายและเลวร้าย" เราขอตอบว่า การที่พวกท่านจำกัดสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่ที่ยอมรับได้เพียงแค่รูปแบบของเรื่องของดุนยานั้น เป็นการเจาะจงหรือทอนความหมายของหะดิษ โดยไม่มีสิ่งที่มาทอนความหมายหรือเจาะจงกับมันเลย ซึ่งตามหลักวิชาการนั้น ถือว่าใช้ไม่ได้โดยเด็ดขาด และอีกอย่างหนึ่งก็คือ หะดิษนี้พูดถึงการริเริ่มกระทำความดีเกี่ยวกับเรื่องซอดาเกาะฮ์ และเราไม่เชื่อว่าการริเริ่มทำการซอดาเกาะฮ์นี้เป็นเรื่องของดุนยา

หะดิษดังกล่าว ยังได้ระบุอีกว่า"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." ดังนั้น คำว่า"ในอิสลาม" นี้ ย่อมไม่มีความหมายใด นอกจากเรื่องเกี่ยวกับในศาสนาอิสลาม ที่อัลเลาะฮ์ทรงพอพระทัยเท่านั้น

ดังนั้น ความหมายที่ชัดเจนของหะดิษดังกล่าวนั้น คือทุกๆสิ่งที่ได้มีการริเริ่มกระทำขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาสนา หรือดุนยา หะดิษดังกล่าว ย่อมครอบคลุ่มถึงทั้งหมด ซึ่งหากสิ่งใดที่กระทำขึ้น โดยสอดคล้องกับหลักศาสนา สิ่งนั้นย่อมเป็นแนวทางที่ดี และสิ่งใดที่กระทำขึ้นมาใหม่โดยที่ขัดกับหลักการของศาสนา สิ่งที่นั้นย่อมเป็นแนวทางที่เลว และบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้นจะทำขึ้นมาไม่ได้นอกจากต้องมีเงื่อนไขที่รัดกุม ซึ่งกระผมจะนำมากล่าวในช่วงท้ายต่อไป อินชาอัลเลาะฮ์

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
ก็ยังคิดอยู่ว่า เอ ? ทำไมพวกเราถึงไม่ตอบกัน หากผู้ตั้งกระทู้ไม่ยอมอ่านหรืออ่านแล้วไม่รู้เรื่อง  แต่ผมก็ก๊อบมาตอบแล้วล่ะครับ  หากคุณ เด็กน้อย ๆ ข้องใจ  ผมจะเป็นตัวหลักเสวนาชี้แจงกระทู้นี้เองครับพี่น้อง  อินชาอัลเลาะฮ์  ;D

ออฟไลน์ ahmedisa

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 102
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ผมต่อต้านบิดอะห์ที่นอกเหนือจากสิ่งที่มาจากแนวทางของอิหม่ามชาฟีอีย์นะครับ หมายความว่าผมโตมากับมัซฮับนี้และเห็นหลายอย่างที่ขัดกับกุรอานและซุนนะห์ จากนั้นเริ่มรู้ชัดขึ้นว่ามันคือสิ่งที่อุตริขึ้นหลังยุคของอิหม่ามอัชชาฟีอีย์ ดังนั้นย้ำอีกครังว่า ผมต่อต้านบิดอะห์ที่นอกเหนือจากสิ่งที่มาจากแนวทางของอิหม่ามนะครับ

ส่วน ที่ปู่อัลฯว่า บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ต้องได้รับการรับรองจากพื้นฐานเดิมของหลักฐานศาสนาแบบโดยรวม    นั่นมันแน่อยู่แล้วล่ะครับปู่ แต่หะสะนะห์ที่พี่น้องมักอ้างมาจากมัซฮับชาฟีอีย์ไม่เคยมีหลักฐานให้เห็นจนกระทั่งผมโตและจะเริ่มแก่แล้วเนี่ย ที่ผมไม่อยากอ้างโดยตรงว่ามันขัดกับกุรอานและซุนนะห์เนี่ย เดี๋ยวผมจะถูกคนที่ไม่หวังดีกล่าวหาผมอีกว่าเป็นวะฮาบงวะฮาบีย์ เพราะจึงขอวนแค่มัซฮับหล่ะกันครับ คนที่ไม่หวังดีมักจะจับผิดทีละเล็กละน้อยแล้วก็พยายามยัดเยียดคนที่ต่อต้านเขาว่าเป็นกลุ่มโน้นบ้างกลุ่มนี้บ้าง

ผมเองก็พยายามให้โฟกัสมันแคบลงเพื่อให้เห็นถาพง่ายขึ้นชัดขึ้นสำหรับคนที่ ตะอัศซุฟในมัซฮับ แต่ปู่ก็ยังทักท้วงจนได้ ตกลงปู่นี่เป็นประเภทเดียวกับพี่น้องที่ผมพยายามอธิบายให้ความกระจ่างกับเขาไหมเนี่ย

ย้ำครับ  ปัญหามันอยู่ที่ว่าถ้าผมอ้างให้กลับไปหากุรอานกับฮะดิษโดยตรง กลับถูกตราหน้าว่าเป็นพวก วะฮาบีย์ หรือคอวาริจ หรือกุรอานีย์ แต่พอผมชี้ให้พิจจารณาจากมัซฮับกลับถูกมองว่าไม่ยอมเอากุรอานกับซุนนะห์เป็นพื้นฐาน ตกลงใครสับสนครับ ตรวจสอบตัวพี่น้องหน่อยนะครับ

ดังนั้นบิดอะห์(ฮา)ซานะห์ที่จริงๆก็ต้องได้รับการรับรองจากท่านอิหม่ามนะครับ

มาวิจารณ์เรื่องบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ นึกว่า น้องชายจะรู้จริงเสียอีก  แต่ดันกลับมาตั้งหลักเกนฑ์ให้อีกฝ่ายหนึ่ง  แบบนี้มันจะเป็นผู้วางหลักการศาสนาขึ้นมาเองแล้วล่ะครับน้องชาย  บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ต้องได้รับการรับรองจากพื้นฐานเดิมของหลักฐานศาสนาแบบโดยรวม  ไม่ได้รับการรับรองจากอิมามชาฟิอีย์เอง  เนื่องจากว่าอิมามชาฟิอีย์ก็มีหลักฐานรับรองในทัศนะของท่าน 

ดังนั้น  หากบังจะพูดในเชิงวิชาการกับน้อง  แล้วจะยอมเข้าใจหรือเปล่า(แต่ไม่บังคับให้ยอมรับน่ะ)?   
munsheed filislam
www.myspace.com/ababeelrec โหลดฟรี

http://ahmedisa.multiply.com ท่วงทำนองของนักต่อสู้

ออฟไลน์ Hakeem

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 49
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
นายอะมัดดีสา กล่าวว่า...ผมต่อต้านบิดอะห์ที่นอกเหนือจากสิ่งที่มาจากแนวทางของอิหม่ามชาฟีอีย์นะครับ หมายความว่าผมโตมากับมัซฮับนี้และเห็นหลายอย่างที่ขัดกับกุรอานและซุนนะห์ จากนั้นเริ่มรู้ชัดขึ้นว่ามันคือสิ่งที่อุตริขึ้นหลังยุคของอิหม่ามอัชชาฟีอีย์ ดังนั้นย้ำอีกครังว่า ผมต่อต้านบิดอะห์ที่นอกเหนือจากสิ่งที่มาจากแนวทางของอิหม่ามนะครับ

ตอบ...ไอ้กระผมว่า อะมัดต้องไม่เอาอุลามะหลัวงยุคอีหม่ามชาฟีอีแล้วหรือครับ   ถึงปฏิเสธเขา  การตักลีดตามมัสหับบั้นไม่ใช่ว่าจะตามทุกอย่างในมัสหับนั้นๆๆแต่สิ่งใดก็ตาม ที่การอิตติญาตยังคงเปิดกว้าง  นั้นการวินิจฉัยยังคงทำได้เสมอครับ

งั้นผมขอถามว่า ท่านอิม่าม นาวะวีย์  อิม่ามอิบนุหะญัร  อิบนุญะรีร ท่าน อิม่ามอัสซิดดีย์และอีกมากมาย  หลายๆท่านเหล่านี้ ที่วินิจฉัย บางปัญหาทั่ท่านอิม่ามชาฟีอี(รด)ไม่ได้สั่งและไม่ได้กระทำ...พวกเขาก็ไม่เข้าใจในคำว่า บิดอะใช่ไหมครับ และคุณจะฮุกมว่าเขาเหล่านั้นเชื่อถือไม่ได้ใช่ไหมครับ ที่ คุณมาตัดตอนแค่อีม่ามชาฟีอีนั้นไอ้กระผมว่ามันแผลงๆนะครับ
แล้วมีหลักฐานตรงไหนที่ห้ามพวกเขาอิตญาดมุตะญิดเรื่องศาสนาละครับ  อะมัดดีสาอิๆๆ

พวก วะฮาบีย์ หรือคอวาริจ หรือกุรอานีย์ พวกนี้จะมีหลักการ  คล้ายๆกัน  แต่ถ้าคุณไม่ใช่ก็อย่าร้อนตัวครับ

อย่าลืมคำถามไอ้กระผมนะครับ

ออฟไลน์ ahmedisa

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 102
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ครับ คุณHakeem

ผมถามกลับครับ คุณกล้ารับรองใช่ไหมว่าท่าน " ท่านอิม่าม นาวะวีย์  อิม่ามอิบนุหะญัร  อิบนุญะรีร ท่าน อิม่ามอัสซิดดีย์และอีกมากมาย  หลายๆท่านเหล่านี้" เขายอมรับว่าบิดอะห์ที่บ้านเราทำถือว่าใช้ได้ อาทิเช่น  ระบบการทำบุญที่ท่านเหล่านั้นรับรอง 3วัน 7วัน 40วัน  หรือ การอ่านบุรเดาะห์รักษาคนเจ็บ หรือบิดอะห์อีกหลายหลาก ถ้ามีจริงๆคุณเอาหลักฐานมาให้พี่น้องได้ดูด้วยนะครับ

ขอย้ำนะครับไม่เอาการกิยาศแต่เอาหลักฐานที่ท่านเหล่านั้นวางรูปแบบไว้ ว่ามันคือบิดอะห์ฮาซานะห์ ที่ท่านอิหม่ามอัชชาฟีอีย์ยอมรับ และถูกต้องตามซุนนะห์

หลังจากนั้นคุณจะรู้คำตอบน่ะของผมน่ะครับ
munsheed filislam
www.myspace.com/ababeelrec โหลดฟรี

http://ahmedisa.multiply.com ท่วงทำนองของนักต่อสู้

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
น้องอีซา พี่คุยหลังตอบ หรือตอบหลังคุย
ที่แสดงอยู่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงครับ

แรกสุดน้องเองกล่าวประมาณว่า ไม่เอากิยาสของใครยกเว้น มัซฮับ เท่านั้น
มันหมายถึง ทั้งอีหม่ามอิบนุยะหัร อีหม่ามนะวาวี อีหม่าม...... นั้นใช้ไม่ได้
และหากมันใช้ไม่ได้ ก็แสดงว่ามันผิด หรือขัดต่อหลักซุนนะ

น้องเรียนอะไรมาหรือ กล้ากล่าวหรือว่า อีหม่ามเหล่านั้นผิดและฟัตวาขัดต่อหลักซุนนะ ( วัลอิยาซุบิลละ )
แต่หลังจาก บังฮากีม ท้วงติง น้องก็เปลี่ยนไปกล่าวว่า อีหม่ามนะวาวี จะรับได้กับ การงานบิดอะ ของคนยุคนี้ในประเทศไทยหรือไม่ ...

ซึ่งตรงนี้ บังมองว่าน้อง กำลังสับสน เพราะปากบอกเองจะไม่ฮุก่มใคร
แต่ก็ได้ฮุก่มมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า การกิยาสของบุคคลอื่นที่เป็น ศานุศิษย์ของอีหม่ามมัซฮับทั้ง 4 ตามไม่ได้ ( วัลอิยาซุบิลละ )

ในสายมัซฮับนั้น กล่าวไว้อย่างชัดเจน และบรรดาปวงปราชญ์มัซฮับก็กล่าวไว้ซึ่งเหมือนกันหมดคือ
บรรดา ฮะดีส เดาะอีฟ ในการทำงานกิจการศาสนานั้น สามารถกระทำในส่วนเรื่องของ ฟะดออิลุ้ลอะมาล ได้

มันจะไม่มีปัญหาหรอกครับ หากน้องอีซา เรียนสายศาสนามาโดยตรง
รู้จักยกหลักฐาน อัลกรุอาน และฮะดีส มาตอบคำถามบ้าง
เพราะลำพังแค่ลมปากของน้องเอง นั้นก็เป็นแค่ การกิยาส เอาเองของน้องเหมือนกัน

ส่วนในเรื่อง ทำบุญคนตาย และการอุทิศส่วนกุศล ก็เปิดกระทู้ใหม่เลย
แล้วผมจะเข้าร่วมเสวนาแน่นอนครับ



ปล.
กลับไปดูกระทู้ บิดอะวะฮะบี คำตอบที่ผมนอกเรื่องได้ลบไปแล้ว
ซึ่งจริงๆ แม้ผมจะนอกเรื่องแต่ไม่มั่ว เพราะสุดท้ายผมก็ตอบประเด็นหลักอยู่ดี
ไม่เหมือนกับน้องที่มั่วของจริง และไม่มีอิงกระทู้เลยครับ

สุดท้าย น้องอย่าเล่นกับผมแบบนี้ กับการจับผิดคนอื่นกลับไปมา มันไม่ได้อะไร

ส่วนในเรื่องบิดอะนี้
ผมจะเข้ามาเสวนา และพร้อมแสดงหลักฐาน
อินชาอัลลอฮฺ
วัสลาม...

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

การเสวนาแต่ละกระทู้  จำเป็นต้องให้เป็นประเด็น ๆ ไป  อย่าเอาเรื่องอื่นเข้ามาทำให้เรื่องเปลี่ยนไปอื่น  ซึ่งกระทู้นี้พูดถึง ความเข้าใจหะดิษดังกล่าวตามที่คนตั้งกระทู้ถามมา  เราก็น่าที่จะเสวนาเรื่องหะดิษนี้ให้กระจ่างกันไปเลยว่าอย่างไร?  ดังนั้น หากจะเอาประเด็นอื่นเข้ามา  ก็สมควรไปตั้งกระทู้ใหม่

การเสวนามีกฏมีระเบียบตามที่เราแจ้งไปแล้ว    หากผู้เสวนาไม่มีความสามารถที่จะชี้แจงประเด็นในกระทู้นั้น ๆ ได้  ก็ให้นิ่งเสีย  หรือไปตั้งกระทู้ใหม่น่ะครับ  และผมก็จะดำเนินการตามระเบียบกฏที่เราได้ชี้แจงไป  อินชาอัลเลาะฮ์

والسلام

al-azhary
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ ahmedisa

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 102
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 :D ผมไม่ได้ฮู่ก่มใครครับพี่กอดดัร แต่ผมบอกว่าผมไม่เห็นด้วยกับบิดอะห์ที่นอกเหนือจากมัซฮับ ทีนี้พี่น้องอีกคนเอาสานุศิษย์มาอ้างว่าผมไม่ยอมรับหรือ ผมยอมรับเฉพาะที่มีหลักฐานส่วนที่มันค่อนข้างเกินเลยอย่างที่พี่น้องในไทยต่อต้านถือว่าน่ากลัว แต่ไม่มีหลักฐานว่าบรรดาอุลามาอ์สายอาชาอิเราะห์วางระบบบิดอะห์(ฮา) ซานะห์(ที่คนไทยทำๆกัน เช่น กินบุญคนเสีย ฯลฯ) เหล่านั้นอย่างไร และยอมรับโดยอาศัยหลักฐานจากพวกเขาอย่างไร ผมไม่ได้บอกเลยว่าพวกเขาฟัตวาผิด แต่ขอหลักฐานครับ    มีไหมหลักฐานที่ไม่เอาแบบกิยาศ ขยายเพิ่มๆ แบบที่ทำๆกัน ถือว่ามันคือความเลยเถิด ถือว่าฎอลาละห์แน่อนนพี่

อนึ่งพี่กอดดัรอย่าเพิ่งด่วนว่าผมสิครับ รอให้พี่น้องเขานำหลักฐานมาก่อน เพราะในเว็บที่มีเรื่องอิซีกุโบร์ก็เป็นเรื่องกิยาศ ขยายเพิ่มอีกนักต่อนัก ที่บ้านเรามีปัญเรื่องนี้ก็เพราะมัซฮับเราไม่มีหลักฐานจริงๆให้พวกเขาเห็น ทีนี้ก็ไปด่าว่าเขา ว่าพวกเขาไม่เอามัซฮับ พวกเขาสุดโต่ง ดูก่อนสิว่าเรามีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไหม หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องนี้ไหม ในเรื่องยิดอะห์ที่พวกเขาต่อต้าน ถ้าเรามีครบนั่นถือว่าเจ๊าไป นั่นก็แปลว่าพวกเขาสุดโต่งจริงๆ นี่เราไม่มีหลักฐานเลยแม้แต่น้อย แล้วเอาการกิยาศกระบวนการสุดท้าย ไปนำเสนอโต้แย้ง แล้วพวกเราก็ไม่ชอบตัรตีบเอาไงเอาด้วย เอาตาม หรือเอาแค่เล่มเดียว เอาส่วนเดียว แบบนี้ไง

ย้ำนะครับไม่เอาการกิยาศเอาตามตัรตีบนะครับ หลักฐานก่อนมานะครับ  :)
munsheed filislam
www.myspace.com/ababeelrec โหลดฟรี

http://ahmedisa.multiply.com ท่วงทำนองของนักต่อสู้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

น้องอะห์มัดอีซา   บังยังคงหวังที่จะให้การเสวนาอยู่ในประเด็นของกระทู้นั้น ๆ เป็นการเฉพาะและเจาะจงลงไป  หากต้องการจะเสวนาเรื่อง อีซีกุโบร  ก็ไปตั้งกระทู้มาเป็นเอกเทศ  หรือจะเสวนาเรื่องกิยาสโดยตรง  ก็ตั้งกระทู้มาแบบเฉพาะ  หรือหากจะเสวนาเรื่องอะไรก็แล้วแต่  เจาะประเด็นเป็นกระทู้ ๆ มาเลยครับ  เสวนากันเลยเรื่องรุมสุมอยู่ในกระทู้เดียวกันมันสับสน  ไม่เป็นระเบียบ

ดังนั้น  สิ่งที่นอกประเด็นจากกระทู้นี้  หรือกระทู้อื่น ๆ  ผมจะทำการลบน่ะครับ  เพื่อรักษาระเบียบของการเสวนาเชิงวิชาการเอาไว้ 

والسلام

al-azhary
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ ahmedisa

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 102
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
กระทู้นี้ว่าด้วยเรื่องฮาดิษที่กล่าวถึงบิดอะห์ ผมก็เพียงยกตัวอย่างที่มันขัดกับฮะดิษก็เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอะไร  ;)
munsheed filislam
www.myspace.com/ababeelrec โหลดฟรี

http://ahmedisa.multiply.com ท่วงทำนองของนักต่อสู้

ออฟไลน์ ahmedisa

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 102
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
คุณฮากีมเองก็ช่วยๆเตือนผมด้วยนะครับ เพราะคุณชอบมาแจมกับผมอยู่เรื่อยเลย

 อีกอย่าง ส่วนมากแล้วผมมักจะถูกต่อว่ามากกว่าคุณหรือท่านอื่นๆ ดังนั้นคุณไม่ต้องเครียดนะ ไว้ผมจะช่วยดูคุณให้ แต่คุณพยายามอย่ามาแจมกะผมล่ะกันนะครับ เพราะว่าคนสอดส่องเยอะครับ คุณแจมกับผมทีไรผม(คนเดียว)ถูกต่อว่าก่อนประจำ ยังไงก็เห็นใจผมด้วยนะครับ :)

(งอนนิดหน่อยครับพี่น้อง งิงิ) :( :( ;D
munsheed filislam
www.myspace.com/ababeelrec โหลดฟรี

http://ahmedisa.multiply.com ท่วงทำนองของนักต่อสู้

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ไม่ใช่ ฮากีม ไม่ผิด เพราะผมได้ว่ากล่าวตักเตือนไปแล้ว
แต่น้องอีซา เองเริ่มเรื่องใหม่ตลอด
เช่น เรื่องกระทู้ บิดอะวะฮะบี ก็ไปเรื่องหนีชู้สาว
กลับมาเรื่องฮะดีสบิดอะ ก็มาเรื่อง อุทิศส่วนกุศล
งงมากว่า น้องอีซา จะเสวนาประเด็นไหนกันแน่

บอกว่าจะยกตัวอย่าง ก็ให้ไปตั้งกระทู้ใหม่
เนื่องจากเรื่องอื่น ก็เป็นปัญหา คิลาฟิยะเหมือนๆ กัน
ก็ต้องเสวนากันยาว

ไม่ใช่ว่าเสวนาเรื่องเดียวจบ ทุกเรื่องจะจบหมด

ที่เขาว่าน้องอีซาเยอะ ก็เพราะน้องอีซา
เป็นคนเริ่มประเด็นนอกกระทู้ก่อนทุกที

วัสลาม..

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ผมไม่จะเป็นน้อง อะห์มัดอีซา หรือว่าคุณฮากีม หรือคนอื่น ๆ หากเสวนานอกประเด็น  ผมก็จะดำเนินการตามกฏระเบียบของการเสวนา  เพื่อที่จะให้การเสวนามีประโยชน์สูงสุดเท่าที่จะกระทำได้  อินชาอัลเลาะฮ์  ดังนั้น การเสวนาตามกฏระเบียบ  ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหมครับ  หากเราจะเสวนาในเป็นใดประเด็นหนึ่ง เราต้องรู้จริงในประเด็นนั้น  หากไม่สามารถให้ความกระจ่างได้มากกว่าที่ตนเองรู้  ก็สมควรหยุดนิ่งในเรื่องศาสนาที่เราไม่รู้ 

والسلام

al-azhary

أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged