เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

พี่น้องซุนนะฮ์สทิวเด็นท์คิดอย่างไรกับฮาดิษนี้ครับ?

<< < (7/9) > >>

นูรุ้ลอิสลาม:

--- อ้างจาก: ahmedisa ที่ มี.ค. 22, 2007, 05:54 PM --- ย้ำนะครับไม่เอาการกิยาศเอาตามตัรตีบนะครับ หลักฐานก่อนมานะครับ  :)

--- End quote ---

เราคุยลำบากหน่อยครับ กับวะฮาบีย์ในคราบมัซฮับชาฟิอีย์คนนี้  เขาอ้างว่าอยู่มัซฮับชาฟิอีย์  ทั้งที่แนวทางวินิจฉัยหลักฐานของอิมามชาฟิอีย์นั้น  มีการกิยาสด้วย  และการกิยาสก็เป็นหลักฐานหนึ่งของอิมามชาฟิอีย์  คุณอะห์มัดครับ กรุณาอย่าอ้างว่าตนเองอยู่มัซฮับชาฟิอีย์เลยนะครับ  เพราะหลักการวินิจฉัยของคุณษไม่ได้อยู่ในมัซฮับชาฟิอีย์  แต่อยู่ในมัซฮับวะฮาบีย์อย่างเห็นได้ชัด  ดังนั้น  หากคุณไม่ต้องการหลักฐานกิยาส  คุณสมควรไปเสวนากับวะฮาบีย์โน้น  หากคุณต้องการจะเสวนากับอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  คุณก็ต้องให้เกียรติเสวนาตามแนวทางของพวกเขาด้วย  และอิมามชาฟิอีย์กล่าวไว้หรือว่า  หลักการใดที่วินิจฉัยตามหลักมูลฐานนิติศาสตร์แนวทางของฉันหลังจากที่ฉันตายไปแล้ว  นั่นไม่ใช่มัซฮับของฉัน ?? หรือว่าอิมามชาฟิอีย์ได้สั่งเสียห้ามให้บรรดามุสลิมีนทำการวินิจฉัย(อิจญฺฮาด)ตามแนวทางของหลักมูลฐานนิติศาสตร์อิสลามของท่านจนถึงวันกิยามะฮ์ ?? 

ผมว่าวะฮาบีย์นี่แหละครับ ที่กลายเป็นผู้ปิดประตูวินิจฉัย  เนื่องจากแนวทางของตนนั้น  ถูกอย่างเดียว  หากคนอื่นวินิจฉัยที่ไม่ตรงกับตนถือว่าผิด  หมายถึงห้ามวินิจฉัยได้  เพราะหากวินิจฉัยอื่นจากตนก็ผิดลูกเดียว

แล้วเด็กน้อย ๆ หายไปใหนหว่า ผมรออยู่ครับ?   

ahmedisa:

คุณนูรุ้ลครับ คุณกล่าวหาผมหรือไม่(เอาแบบลูกผู้ชายครับ ไม่เอาแบบตอแหล) ถ้ากล่าวหาล่ะก็

วัลลอฮิ!!!   ผมจะไม่ให้มะอาฟให้กับคุณนูรุลอิสลามแน่นอนต่อการกล่าวหาแบบนี้ นอกเสียจากท่านจะขอมะอาฟผมและแสดงความเป็นพี่น้องอย่างอิคลาศ

قطوف من أزاهير النور:


ไม่เอาน่าใจเย็น ๆ
บังเขียว แกเป็นงี้ล่ะ  ;D

Hakeem:
คุณนูรุ้ลครับ คุณกล่าวหาผมหรือไม่(เอาแบบลูกผู้ชายครับ ไม่เอาแบบตอแหล) ถ้ากล่าวหาล่ะก็

วัลลอฮิ!!!   ผมจะไม่ให้มะอาฟให้กับคุณนูรุลอิสลามแน่นอนต่อการกล่าวหาแบบนี้ นอกเสียจากท่านจะขอมะอาฟผมและแสดงความเป็นพี่น้องอย่างอิคลาศ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คนเรานี้ ก็แปลก นะขอรับ หากมีใครท้วงติงว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวเองก็ไม่ยอมรับมัน กลับโกรธในสิ่งที่ตัวเองพฤติกรรมออกมาให้เห็น  ไอ้กระผมว่า อะมัดอิชา  ไม่พอใจ คุณนูร้ลฯด้วยแค่เหตุผลที่คุณนุร้ลฯเปรียบเปรยพฤติกรรมของอะมัด ว่า มีลักษณะความเข้าใจแบบทัศนะใหม่หรือกลุ่มวะฮาบีย์ 

ไอ้กระผมเองเคยได้ยิน หลายหนจากปากของอะมัดฯที่อ้างว่า ....คุณสังกัดมัสหับ ชาฟีอี..(แต่คุณไม่รับการกิยาสของท่าน).และไอ้กระผม ก็ยังแปลกใจจนทุกวันนี้ ในสิ่งที่คุณอะมัดอิซาบอกมา   ...

ก็ในเมื่อท่านอีหม่ามชาฟีอี (รฮ)ท่านเองตั้งเงื่อนไขและตัรตีบไว้สำหรับท่านว่า ในกรณียต่าง ปัญหาที่เป็นคีลาฟในทัศนะของท่าน ดังนี้.
...
1.อัลกรุอ่าน
2.อัลฮาดิส
3.อิจมาอะมุญตะญิด
4.การกิยาส

ส่วนท่านอีหม่ามฮัมบาลี(รฮ) ท่านเองก็มีเงื่อนไขว่า.........

1.อัลกรุอ่าน
2.อัลฮาดีส
3.ฮาดิสมุรซัลหรือฮาดีสดอิอีฟ
4.การกิยาสหรือความคล้ายคลึง

แต่ไอ้กระผมว่า อะมัดฯนั้นไม่เข้าใจหรือไม่เปิดใจในสิ่งๆนี้ที่บรรดาชาวสลัฟเขากระทำกันแน่นอน

แต่ส่วนทัศนะใหม่ นั้นมีเงื่อนไขดังนี้

1.อัลกรุอ่าน 2.อัลฮาดิส.

ฉนั้นสิ่งที่ คุณนุร้ลอิสลาม เข้าใจคุณ  นั้นก็ไม่น่าจะผิด เพราะไอ้กระผมและเพื่อนๆชาวเวปฯก็รู้ว่าอะมัดอยู่ในทัศนะไหน 

เมื่อเป็นเช่นนี้ คอะมัดก็ไมน่าจะโกรธกับ สิ่งที่คุณนุร้ลอิสลามกล่าวว่า

........คุยลำบากหน่อยครับ กับวะฮาบีย์ในคราบมัซฮับชาฟิอีย์คนนี้  เขาอ้างว่าอยู่มัซฮับชาฟิอีย์  ทั้งที่แนวทางวินิจฉัยหลักฐานของอิมามชาฟิอีย์นั้น  มีการกิยาสด้วย  และการกิยาสก็เป็นหลักฐานหนึ่งของอิมามชาฟิอีย์  คุณอะห์มัดครับ กรุณาอย่าอ้างว่าตนเองอยู่มัซฮับชาฟิอีย์เลยนะครับ  เพราะหลักการวินิจฉัยของคุณไม่ได้อยู่ในมัซฮับชาฟิอีย์  แต่อยู่ในมัซฮับวะฮาบีย์อย่างเห็นได้ชัด

 ดังนั้น ไอ้กระผมเห็นด้วยในสิ่งที่คุณนุรุ้ลอิสลลามกล่าวและแนะนำว่า

1.หากคุณไม่ต้องการหลักฐานกิยาส  คุณสมควรไปเสวนากับวะฮาบีย์โน้น

2.หากคุณต้องการจะเสวนากับอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  คุณก็ต้องให้เกียรติเสวนาตามแนวทางของพวกเขาด้วย 

3.และอิมามชาฟิอีย์กล่าวไว้หรือว่า  หลักการใดที่วินิจฉัยตามหลักมูลฐานนิติศาสตร์แนวทางของฉันหลังจากที่ฉันตายไปแล้ว  นั่นไม่ใช่มัซฮับของฉัน ??

4.หรือว่าอิมามชาฟิอีย์ได้สั่งเสียห้ามให้บรรดามุสลิมีนทำการวินิจฉัย(อิจญฺฮาด)ตามแนวทางของหลักมูลฐานนิติศาสตร์อิสลามของท่านจนถึงวันกิยามะฮ์ ?? 

อะมัดฯเป็นอย่างนี้ไหมครับ............คือ..ในทัศนะใหม่หรือกมมุดอหรือกลุ่มของวะฮาบีย์นั้น...พวกเขาจะไม่ยอมรับ การวินิจฉัยใดๆหลังจากนี้ เนื่องจาก พวกเขาเข้าใจว่า แนวทางของตนนั้น  ถูกอย่างเดียว  หากคนอื่น..วินิจฉัยที่ไม่ตรงกับตนถือ..นั้นก็จะถือว่าสิ่งนั้นผิด  หมายถึง..ห้ามวินิจฉัยนั้นเอง เพราะหากวินิจฉัยอื่นจากตนก็ถือว่า ผิดลูกเดียว ................
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดังนั้น อะมัดฯจงรับรู้ด้วยครับว่า ท่านอิม่ามชาฟีอี(รฮ)นั้น ท่าน เองก็มีการวินิจฉัย และก็มีกิยาสด้วย และสำหรับบรรดอุลามะทุกๆทัศนะนั้นเขาก็ยัง มีการวินิจฉัยกับบางปัญหาที่ไม่มีในสมัยท่านรอซุ้ลอีกมากมาย ขอรับ

แม้กระทั้ง การฟัตวา ล่าสุด ที่เพิ่งประกาศมาจากสำนักงานกระทรวงศาสนาของประเทศซาอุดีฯที่เกียวกับสุขภาพของมุสลิมในประเทศเขาเองนั้น..

ได้มีการห้ามสูบบุหรีและถือว่าบุหรี่เป็นสิ่งฮะรอม   นั้นก็มาจากการวินิจฉัยและการกิยาสหรือการเปรียบเทียบกับสิ่งเสพติดที่ใกล้เคียงกับสุราและสารเสพติดเช่นกัน[/color]

จะเห็นว่า ทัศนะที่ อะมัดอิซาเจริญรอยตามนั้น...เขาก็ใช้ การมุจญฮิต  และกิยาสเลยครับ   แต่ถ้าจะถามว่า สิ่งนี้มีห้ามในอัลกรุอ่านไหม  มีในสมัยท่านนนบีไหม  ก็ตอบว่า ไม่ได้มีการห้าม ฉนั้น อะมัดอิสานั้นต้องเปิดใจในสิ่งนี้ให้กว้างครับอย่าตะอัศสุบในแนวทางตนเองและอย่าได้แอบอ้างหรือใสร้าย ท่านอีม่ามอัชชาฟีอี(รฮ)ของเราเลยขอรับ เพราะเรานั้นภูมิใจในตัวของท่านเสมอครับ

Hakeem:
อะมัดฯครับ  ที่นี้ไอ้กระผมนำหลักฐานให้คุณมาดูว่าบรรดาอีม่ามทั้งสี่และอุลามะนั้นเขาใช้หลักกิยาสกันอย่างไร
...
แต่ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจเสียก่อนนะว่า  เรื่องอิบาดะฮนั้น ต้องมาจากอัลลอฮและท่านรอซูล แต่ในอิบาดัตต่างๆนั้นอกจากมาจากคำพูดของท่านนบีแล้ว บรรดาอุลามะที่มีความรู้ที่ดีได้ทำการรวบรวมหลักฐานและวางกฎเกนณ์ไว้ซึ่งมันก็มาจากอัลกรุอ่านและอัชซุนนะ  ว่าสิ่งนี้ อัลลออ์กำหนดมาและท่านนบีก้ย้ำให้กระทำ ถือว่าสิ่งนั้นคือ  เป็นวาญิบ บางอย่างท่านนบีกระทำบ้างไม่กระทำบ้างสิ่งนั้นคือ สุนัต

มีวิธีการอย่างไร เวลาใหน เท่าไหร่ แบบใด ทั้งหมดนี้ ต้องมาจากอัลลอฮและรอซูล และบรรดาผู้รู้นั้นก็เอามาจากหลักฐาน2สิ่งนี้ เช่นกัน..........   

ในเรื่อง  การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์ ตามแนวทางของสะลัฟนั้น ต้องทำการเทียบเคียงกับหุกุ่มที่มาจากอัลเลาะฮ์และร่อซูล(ซ.ล.) การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์ต้องมีเงื่อนไขและกฏเกนฑ์อย่างเข้มงวด ไม่ใช่จะกิยาสได้ตามอำเพอใจ

คำนิยามตามหลักศาสนา ของ "กิยาส" คือ " การทำการเทียบเคียง (อนุมาน) สิ่งที่หนึ่งที่ไม่ได้ถูกระบุตัวตามหลักศาสนาเอาไว้ (เทียบเคียง) ด้วยกับสิ่งหนึ่งที่ได้ถูกระบุหุกุ่มของมันไว้(คือมีหลักฐานระบุไว้ชัดเจนแล้ว) โดยทั้งสอง มีลักษณะร่วมกัน ในเหตุผลของหุกุ่มนั้น ( علة الحكم )

และเราอยากจะชี้แจงว่า "การเทียบเคียง" (กิยาส) ณ ที่นี้ คือการ เผยให้เห็นหรือทำให้ปรากฏถึงหุกุ่ม ไม่ใช่เป็นการ สร้างหุกุ่มขึ้นมาใหม่ และอีกความหมายก็คือ "การเทียบเคียง" (กิยาส) ของนักปราชน์ผู้วินิจฉัยนี้ คือ การทำให้ปรากฏหรือเผยให้ทราบถึง หุกุ่มที่มีอยู่ในสิ่งที่ไม่มีตัวบทมาระบุ ให้เหมือนกับหุกุ่มของสิ่งที่มีตัวบทระบุชัดเจนแล้ว โดยทั้งสองมีเหตุผลของหุกุ่มเดียวกัน"

เช่นท่านร่อซูล(ซ.ล.) ได้วางแบบอย่างแนวทางในการกิยาสเทียงเคียงหุกุ่มให้แก่เราว่า

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้กล่าวกับสตรีคนหนึ่งว่า

أرأيت لو كان على أمك دين فقضيته أكان ينفعها ذلك ؟ قالت نعم قال فدين الله أحق بالوفاء

"เธอลองบอกมาซิว่า หากมารดา(ที่เสียชีวิตไปแล้ว)ของเธอมีหนี้สินอยู่ แล้วเธอก็ชดใช้หนี้สินนั้น ดังกล่าวนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับมารดาของเธอหรือไม่? นางกล่าวตอบว่า ค่ะ (เป็นประโยชน์) ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า "ดังนั้นหนี้ของอัลเลาะฮ์ย่อมสมควรกว่า ด้วยการชดใช้" รายงานโดย อิมาม อัลบุคอรีย์และมุสลิม

เราลองมาพิจารณาคำสอนและแบบอย่างของท่านร่อซูล(ซ.ล.) ที่ท่านได้ทำการ ตอบคำถามสตรีผู้นั้นด้วยการกิยาส คือ ท่านได้กิยาส หนี้ที่มีต่ออัลเลาะฮ์ ( دَيْن الله ) ด้วยกับ หนี้สินที่มีต่อมนุษย์( دين العباد ) ด้วยกัน โดยมีเหตุผลของหุกุ่มที่ว่า ทั้งสองนั้น จำเป็นต้องชดใช้ ( وجوب الوفاء )

อีกตัวอย่างในเรื่องการเสียศีลอด..เช่นครั้งหนึ่ง ท่านอุมัรได้ถามท่านร่อซูล(ซ.ล.) เกี่ยวกับการจูบ(ภรรยา)ของผู้ที่ถือศีลอด โดยไม่มีการหลั่ง ท่านร่อซูล(ซ.ล.)ก็ตอบแก่ท่านอุมัรว่า
أرأيت لو تمضمضت بماء وأنت صائم ؟ فقال عمر : لا بأس بذلك ، فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم : ففيم ؟

"ท่านเห็นว่าอย่างไร หากท่านได้ทำการบ้วนปากด้วยน้ำ โดยที่ท่านทำการถือศีลอด ? ท่านอุมัรกล่าวว่า "ดังกล่าวนั้น ไม่เป็นไร" แล้วท่านร่อซูล(ซ.ล.) จึงกล่าวว่า "แล้วในเรื่องของมันนั้นจะเป็นอะไรเล่า"

จากคำกล่าวของท่านร่อซูล(ซ.ล.) เราจะพบว่า ท่านร่อซูล(ซ.ล.) ได้ทำการ กิยาสการจูบในขณะที่ถือศีลอด ด้วยกับการบ้วนปาก(การเอาน้ำเข้ามาปาก)ในขณะที่ถือศีลอด ซึ่งไม่ทำให้เสียศีลอด โดยที่ทั้งสองมีเหตุผลเป็นเพียงแค่สื่อที่อาจจะทำให้เสียศีลอดเท่านั้นเอง(คือทั้งสองไม่ทำให้เสียศีลอด) คือการจูบนั้นเป็นสือหรือบทนำในการร่วมประเวณี และการบ้วนปากก็เป็นสื่อที่จะทำให้น้ำเข้าไปในลำคอและลงสู่ภายใน แต่ทั้งสองก็ไม่ทำให้เสียศีลอด
ท่านอุมัรได้ทำการเอา หนทางซาตฺอิรกฺ ไปกิยาสกับหนทางก่อร๊อน

อิมามทั้งสี่ ได้ทำการกิยาสในเรื่องซะกาต (เราไม่ได้พูดว่าเรื่องซะกาต จะมีผลดีแก่คนจนหรือไม่อย่างไร อันนี้ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นนั้น เราคุยเรื่องการกิยาสในเรื่อง(อิบาดะฮ์)ซะกาต)

อุลามาอ์ได้ลงมติเอาไว้ว่า หุกุ่มการเสียอุมเราะห์จาการร่วมประเวณี โดย ไปกิยาส กับหุกุ่มเรื่อง ฮัจญฺ (ซึ่งทั้งสองก็เป็นเรื่องอิบาดะฮ์)

อุลามาอ์ได้ลงมติ โดยเอาหุกุ่มเรื่องนิฟาส ไปกิยาส กับเรื่องเฮด (ซึ่งทั้งสองก็เป็น أمر تعبدى เรื่องอิบาดะฮ์)

และอีกมากมายที่เราได้ทำการยกตัวอย่างไป โปรดกลับไปทบทวน แล้วอัลเลาะฮ์จะทรงชี้นำ

เรื่องการกิยาสนั้น ไม่ใช่จะกระทำกันง่ายๆ ตามอำเพอใจ ซึ่งต้องมีเงื่อนไขอย่างรัดกุ่มเลยทีเดียว โดยที่บรรดานักปราชน์ได้วางกฏเกนฑ์และเงื่อนไขต่างๆเอาไว้มากมาย ซึ่งเราไม่สามารถจะนำมากล่าวได้ทั้งหมด เพราะจะทำให้แตกประเด็นมากขึ้นไปอีก แต่ผมจะยกบางเงื่อนไข เพื่อผู้อ่านจะได้เข้าใจดังนี้ครับ

1. การกิยาสนั้น จะไม่ต้องไปขัด หรือค้านกับ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจญฺมาอ์ เช่น การอนุญาติให้ละทิ้งหมาดในขณะเดินทาง โดยไปกิยาส(เทียบเคียง) กับการอนุญาติให้ละศีลอดได้ในขณะเดินทาง โดยอ้างว่า ทั้งสองอยู่ในสภาพของการเดินทาง ซึ่งการกิยาสแบบนี้ ถือว่าเป็นการกิยาสที่โมฆะ เนื่องจากบรรดานักปราชน์ต่างลงมติว่า ไม่อนุญาติให้ทำการละทิ้งละหมาดในขณะที่เดินทาง

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะกล่าวไม่ได้ว่า การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น คือการบัญญัติหุกุ่มขึ้นมาใหม่ หรือ ทำตนเทียบเท่าร่อซูล(ซ.ล.) เนื่องจากการกิยาสต้องไม่ขัดกับอัลกุรอานและคำกล่าวของร่อซูล(ซ.ล.) เพราะการกิยาส ต้องอิงเทียบ หรือพาดพิงไปยังหุกุ่มที่มาจากอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจญฺมาอ์ และการกิยาสก็เป็นหลักฐานรองลงมาในระดับที่ 4 ซึ่งจะทำอย่างไร ก็ไม่เทียบเท่า หลักฐานจากอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจมาอ์

ดังนั้น เมื่อมีอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ มาระบุถึงหุกุ่มใดหุกุ่มหนึ่ง ก็ไม่สามารถใช้กิยาสได้ ซึ่งหากทำากรกิยาสโดยขัดกับอัลกุรอานและซุนนะฮ์นั้น ก็ย่อมถือว่า เป็นการกิยาสที่ไม่ถูกต้องและอาจจะถูกกล่าวหาว่า บัญญัติหุกุ่มขึ้นมา ฉะนั้น การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์หรือไม่ใช่เรื่องอิบาดะฮ์ หากว่าได้ทำการกิยาสโดยมีความถูกต้องตามเงื่อนไขแล้ว ก็ไม่มีอุลามาอ์สะละฟุสศอลิหฺท่านใด กล่าวว่ามันคือการเทียบกับร่อซูล (ซ.ล.) หรือวางบทบัญญัติขึ้นมาในศาสนา

2. การกิยาส ต้องเป็นสิ่งที่ มีเหตุผลเกิดขึ้นมา ( معقول المعنى ) ซึ่งเหตุผลนี้ เขาเรียกว่า (العلة ) ดังนั้น องค์ประกอบหนึ่งของการกิยาส ก็คือ ต้องมี เหตุผลของหุกุ่ม (علة الحكم) ฉะนั้น เราจะทำการกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์ที่ไม่สามารถรู้เหตุผลนั้น ย่อมไม่ได้ เช่น จำนวนร่อกะอัตของละหมาด 5 เวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่หาเหตุผลไม่ได้ ว่าทำไมถึงต้อง มี 4 ร่อกะอัต มี 3 ร่อกะอัต ซึ่งเราจะทำละหมาดสุนัตขึ้นมาเอง โดยมี 3 ร่อกะอัต ด้วยการนำมากิยาสกับละหมาดมัฆริบนั้น ย่อมไม่ได้เด็ดขาด เพราะ 3 ร่อกะอัตนั้น เป็นสิ่งที่หาเหตุผลไม่ได้

อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่นการ ยกหะดัษเล็ก และหะดัษใหญ่ ด้วยน้ำสะอาด ซึ่งเราจะเอาน้ำส้ม หรือน้ำมุสตะมัลที่ใช้แล้ว มาทำการยกหะดัษ โดยกิยาสว่า น้ำสะอาดก็เป็นของเหลวและน้ำส้มก็เป็นของเหลว แล้วนำมายกหะดิษนั้น ย่อมไม่ได้ เนื่องจากว่า หะดัษ นั้น เป็นสิ่งที่เราไม่ทราบว่าต้องล้างมันเพราะเหตุใดเพราะมันไม่มีตัวตน ? แต่มันเป็นหุกุ่มหนึ่งที่หลักศาสนากำหนดขึ้น แต่หะนะฟีย์ เอาน้ำส้ม และน้ำมุสตะมัลที่ใช้แล้ว มากิยาสกับ น้ำสะอาดได้ เกี่ยวกับกรณี การเปลื้องหรือล้างนะยิสสิ่งสกปรก โดยน้ำสะอาด และน้ำส้มนั้น สามารถเปลื้องสิ่งสกปรกออกไปได้ เนื่องจากสิ่งสกปรกนั้น เป็นสิ่งที่เราเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร และปลดเปลื้องมันออกไปได้อย่างไร ?

และเช่น เราจะเอาสิ่งหนึ่งไปกิยาส กับ พิกัตของซะกาต หรือ จำนวนพิกัตของกัฟฟาเราะห์(เสียค่าปรับ) หรือจำนวนร่อกะอัตของละหมาดห้าเวลานั้นไม่ได้ เนื่องจากทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นหุกุ่มที่สติปัญญาไม่สามารถรับรู้ถึงเหตุผลของมันได้เลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะไปบอกว่า ใหนลองยกตัวอย่าง การทำฮัจญฺ ไปกิยาสกับเรื่องซากาตหน่อยซิ หรือลองยกตัวอย่างเรื่องการละหมาด ไปกิยาสกับเรื่องซากาตหน่อยซิ ซึ่งการถามแบบนี้ ถือว่าเป็นการถามที่ไม่ถูกต้องตามแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ วัล ญะมาอะฮ์ และไม่เข้าใจเรื่องการกิยาสที่สะลัฟได้ทำแบบฉบับเอาไว้

วัสลาม

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version