ผู้เขียน หัวข้อ: คนตายละหมาดในกุบูร เขาว่าเป็นนิยายปรัมปรา? โดย bos101  (อ่าน 15483 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ 0123

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 27
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ถ้างั้นเอาหลักฐานมาดิว่า อยู่อาลัมดุนยาไปอาลัมบัรซักได้  อยู๋บัรซักจะกลับดุนยาได้ นี่อย่าบอกว่า อัลลอฮประสงค์อีกน่ะครับ  อ้อมโลกสิ้นดี  ถ้าอ้างอย่างนั้น  ก็อดยานีก็ไม่ผิดที่มีนบีคน26 เพราะอัลลอฮประสงค์ไงครับ

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ดูๆไปแล้ว พูดไปพูดมาก็วนกลับที่เดิม
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ ad-dalawy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 193
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ดูๆไปแล้ว พูดไปพูดมาก็วนกลับที่เดิม



ธรรมดาแหละน้อง ILHAM  เอ้อ  ..คุณ 0123 เค้าไม่รู้ภาษาอาหรับ    แปลหะดิษไม่ออก   แปลตัฟซีรก็ลำบาก
เลยไม่รู้จะเอาเรื่องไรมาพูดดี   ก็พูดมันเรื่องเดิมสะเลย     คนในเวปนี้ เค้าเอาหลักฐานจากหะดิษเเศะเฮี๊ยะฮฺมาให้อ่านกันแล้ว 
ทั้งที่บอกว่า "นบีละหมาดในกุโบร"  , "เศาะหาบะฮฺละหมาดในรกุโบร"     แถมยังยกคำกล่าวของท่าน อัลบานีย์  อุละมาอฺที่วะฮาบีย์ชื่นชอบ มาประกอบอีก
ว่าท่าน อัลบานีย์ เองก็ยอมรับในเรื่องการละหมาดในกุโบรของคนตาย  (ทั้งที่คุณ 01213 บอกว่า พ้นญาณวิสัย)   แต่คุณ 0123 ก็ยังดันทุรังอีก 
งั้นขอแนะนำให้ คุณ 0123   เรียนภาษาอาหรับ  แความรู้ทางศาสนาเพิ่มเติมนะครับ  แล้วเมื่อคุณ 0123 มีความรู้แล้ว คุณ 0123 ก็จะเข้าใจเรื่อง
การละหมาดในกุโบรของคนตายจากทัศนะบรรดานักปราชญ์หะดกิษเองแหละครับ


คุณ 0123  พูดว่า 

อ้างถึง
ท่านทั้งหลายอย่ารีบร้อนในการฮุก่มผมเป็นกาเฟรซิครับ

ไหนครับ คนที่หุก่มกาเฟรต่อคุณ 0123  ไหนครับ คนไหน  เอาชื่อมาเลยครับ   อย่าพูดมาลอยๆ นะครับ   
เพราะปกติของวะฮาบีย์บางคนแล้ว  ชอบบิดเบือนคำพูดของคนอื่น  ชอบตัดทอนหลักฐาน  ...ไหนครับ คนที่หุกมกาเฟรต่อคุณ 0123  เอามาสิครับ..บอกมา ...คนไหน

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
อ้างถึง
คนตายฟื้นขึ้นมาได้ไงครับ  หลักบอกว่าคนเราตายแค่ครั้งเดียว

              ก่อนที่เราจะกล่าวว่าเรื่องเป็นไปได้หรือไม่นั้น เราต้องเข้าใจสองหลักเป็นเบื้องต้นก่อน สองหลักที่ว่าคือ
                          1.) หลักอักลี (หลักสติปัญญา)
                          2.) หลักอาดัต (หลักเหตุและผล หรือหลักธรรมชาติ หรือทั่วๆ ไป)

             หลักอักลี หรือหุกุมอากัล นั้น แบ่งเป็น 3 ประเภท นั่นก็คือ
                          1.) วาญิบต่ออากัล หมายถึง สิ่งที่วาญิบต้องมี การไม่มีสำหรับมัน ถือว่าสติปัญญาไม่ยอมรับเลย เช่น การมีอยู่ของอัลลอฮฺ การไม่มีของอัลลอฮฺ เป็นไปไม่ได้ (มุสตาฮิล) เป็นต้น
                          2.) มุสตฮิลต่ออากัล หมายถึง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีมัน การมีมัน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น อัลลอฮฺทรงมีบุตร การมีบุตรของอัลลอฮฺ เป็นไปไม่ได้ เป็นต้น
                          3.) ญาอิส หรือฮารูสต่ออากัล หมายถึง การทำ หรือไม่ทำของพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ เช่น การสร้างมนุษย์ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่วาญิบ (บังคับ) ที่พระองค์สร้าง เพราะพระองค์สร้างมนุษย์ รวมถึงสรรพสิ่ง เพราะพระองค์ทรงประสงค์ มิใช่เพราะวาญิบต้องสร้างแต่ประการใด เป็นต้น

            หลักอาดัต หรือหลักธรรมชาติทั่วๆ ไปนั้น มี 3 ประเภทเช่นกันคือ
                          1.) วาญิบต่ออาดัต หมายถึง สิ่งที่ดำเนินไปตามปกติวิสัย หรือธรรมชาติของมันอย่างนั้น เช่น เมื่อเราเทน้ำ น้ำต้องลงสู่พื้น หรือผู้หญิงจะเป็นเพศที่คลอดบุตร ฯลฯ
                          2.) มุสตฮิลต่ออาดัต หมายถึง สิ่งที่ผิดปกติวิสัย หรือธรรมชาติของมัน เช่น ต้นมะละกอออกลูกเป็นมะพร้าว หรือคนมีสี่หน้า หรือเทน้ำ ณ พื้นผิวโลกที่มีแรงดึงดูดของโลก แทนที่น้ำจะลงสู่พื้น น้ำกลับขึ้นไปข้างบน หรือลอย ซึ่งขัดกับปกติวิสัยของมัน ฯลฯ
                          3.) ญาอิสต่ออาดัต หมายถึง สิ่งที่เป็นไปได้ทุกทาง เช่น การกินข้าวหมด 2 จาน บางคนก็อิ่ม บางคนก็ยังไม่อิ่ม เป็นต้น

              จากหลักทั้งสองนั้น ถือเป็นหลักพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องเรียน และทำความเข้าใจก่อนเป็นเบื้องต้น เพื่อปูพื้นไปสู่การเรียนศิฟัต 20 ต่อไป และถือเป็นหลักที่โต๊ะครูหลายคนเน้นเป็นอย่างมาก เพราะบางคนตกมุรฺตัด เพราะสับสนเรื่องหลักทั้งสอง เช่น ไปบอกว่า มุสตฮิลต่ออากัล (เป็นไปไม่ได้ต่อหลักสติปัญญา) ที่คนตายจะฟื้นขึ้นมาใหม่ (นี่คือความเชื่อของพวกกาฟิรฺ) ซึ่งที่จริงมันเป็นเรื่องฮารูสต่ออากัล ต่อมุสติฮิลต่ออาดัต ฉันใดก็ฉันนั้น กับเรื่อง "คนตายฟื้นขึ้นมาได้ไงครับ  หลักบอกว่าคนเราตายแค่ครั้งเดียว" หากว่าไปตามหลักสติปัญญาเป็นไปได้ (ฮารูส) ที่อัลลอฮฺจะทรงให้คนตายฟื้นขึ้นมาใหม่ก่อนวันกิยามะฮ์ แม้อัลกุรฺอานจะกล่าวว่า มนุษย์จะฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ์ก็ตาม เพราะหลักที่กล่าวในอัลกุรฺอาน ถือเป็นหลักอาริฎี หมายถึง หลักที่เพิ่งมาใหม่ ซึ่งก็แบ่งเป็น 3 เช่นกัน คือ วาญิบอาริฎี, มุสตฮิลอาริฎิ และฮารูสอาริฎี หากพระองค์จะทรงทำในสิ่งที่ขัดกับสิ่งที่กล่าวในอัลกุรฺอาน ก็ย่อมได้ เพราะนั่นเป็นเอกสิทธิ์ของพระองค์ ไม่มีใครห้ามได้ เรื่องการฟื้นคืนชีพ ก่อนวันกิยามะฮฺนั้น หากว่าไปตามหลักต่างๆ ข้างต้นก็จะได้ดังนี้คือ
                      - เป็นเรื่องฮารูสต่ออากัล - เพราะอัลลอฮฺทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ทรงอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง รวมทั้งกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ หรือสัญญาไว้ด้วย ส่วนการที่พระองค์จะทรงละไว้ไม่กระทำ นั่นก็เป็นพระประสงค์แต่ดั้งเดิมของพระองค์แล้ว ซึ่งพระองค์จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้
                      - เป็นเรื่องมุสติฮิลต่ออาดัต - เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา ก็ไม่เคยมีใครบอกว่า คนตายแล้ว ฟื้นขึ้นมาใหม่ เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ แต่หากเป็นจริง ก็มิใช่เป็นเรื่องที่สติปัญญารับไม่ได้ เพราะมันเป็นไม่ได้ตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ
                      - เป็นเรื่องมุสตฮิลอาริฎี - เพราะขัดกับสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสัญญาไว้ในอัลกุรฺอาน เพราะพระองค์ทรงตรัสในอัลกุรฺอานว่ามนุษย์จะฟื้นขึ้นมาในวันกิยามะฮ์ - วัลลอฮุ อะอฺลัม

                     เพราะฉะนั้น ก่อนที่กล่าวว่า "คนตายฟื้นขึ้นมาได้ไงครับ  หลักบอกว่าคนเราตายแค่ครั้งเดียว" ต้องพิจารณาและตรวจสอบให้ดีนะครับว่า เป็นไปไม่ได้ในหลักใด หากเป็นไปไม่ได้ (มุสตฮิล) ต่ออาดัต และอาริฎี ถือว่ากล่าวถูกต้องครับ แต่หากบอกว่าเป็นไปไม่ได้ต่ออากัล (สติปัญญา) นั้นถือว่า กุฟุรฺ ครับ วัลอิยาฑุบิลลาฮฺ เพราะที่ถูกต้องควรอิอฺติก๊อตฺ ว่า ฮารูสต่ออากัล เป็นไปได้ที่อัลลอฮฺจะทรงให้คนตายฟื้นขึ้นก่อนวันกิยามะฮฺตามพระประสงค์ของพระองค์ ส่วนหลักฐานที่กล่าวยืนยันในอัลกุรฺอานนั้น นั่นก็เป็นอีกหลักหนึ่ง ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น

                     นี่คือความเข้าใจอันน้อยนิดของผมที่ฟังบรรยายธรรมจากบาบอแอ สปันญัง และเพื่อนที่ปอเนาะอธิบายให้ฟังอะครับ หากผิดพลาดประการใด เชิญท้วงติงได้ครับ หากผมกล่าวถูกต้องแล้ว ช่วยยืนยันด้วยครับ บังอัลอัซฮะรีย์

วัสสลามุ อลัยกุม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 04, 2008, 09:13 PM โดย Al Fatoni »
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ถ้าเขาพยายามอ่านและทำความเข้าใจกับด้านบนนั้นดีๆ เขาก็จะยอมรับเรื่องนี้
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
คนตายฟื้นขึ้นมาได้ไงครับ  หลักบอกว่าคนเราตายแค่ครั้งเดียว ไม่ใช่สองครั้ง ส่วนในกุโบเขาจะทำอะไรเรามิอาจรับรู้ได้ เป็นการคิดเอาเองว่าน่ะจะอย่างนั้นอย่างนี้  ไม่ได้เชื่ออัลลอฮทำไม่ได้  แต่คนตายไปแล้วไม่มีทางที่จะฟื้นขึ้นมานอกจากวันปรโลกเท่านั้นครับพี่น้อง  คนตายแล้วฟื้นขึ้นมาในวันปรโลก  เท่านั้น  แต่วิญญานในกุโบรที่รอการสอบสวนจะทำอะไรนั้นอยู่ยังไงนั้นไม่มีทางที่เราจะรู้ได้เพราะแยกส่วนชัดเจนครับพี่น้อง

หากเชื่อกันแบบนี้  ก็แสดงว่ามั๊วะญิซาที่ระบุไว้ในอัลกุรอานที่ว่าท่านนบีอีซาทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาด้วยพระประสงค์ของอัลเลาะฮ์  ก็เป็นไปไม่ได้ซิครับ  เพราะตายไปแล้วแต่ฟื้นกลับมาอีกครั้ง  แสดงว่าตายสองรอบในดุนยา  และแสดงว่าอัลเลาะฮ์ทรงให้วิญญาณกลับมายังดุนยาอีกครั้งตามที่พระองค์ทรงประสงค์  

ถ้างั้นเอาหลักฐานมาดิว่า อยู่อาลัมดุนยาไปอาลัมบัรซักได้  อยู๋บัรซักจะกลับดุนยาได้ นี่อย่าบอกว่า อัลลอฮประสงค์อีกน่ะครับ  อ้อมโลกสิ้นดี  ถ้าอ้างอย่างนั้น  ก็อดยานีก็ไม่ผิดที่มีนบีคน26 เพราะอัลลอฮประสงค์ไงครับ

แล้วเป็นนบีคนที่ 26 จริงหรือเปล่าล่ะครับ  คำว่าเป็นนบีคนที่ 26 ถือว่าเป็นประพจน์ที่เป็นเท็จเสียแล้ว  แล้วจะอ้างความประสงค์ไปยังอัลเลาะฮ์ได้อย่างไร?   เช่นนี้เขาเรียกว่าอ้างตามหลัก ซัฟซะเฏาะฮ์  (อ้างเหตุตบตาด้วยประพจน์ที่เป็นเท็จ) แต่คนฟื้นมารอบสองนั้นเป็นไปได้เพราะอัลกุรอานระบุเอาไว้



اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
 salam

เท่าที่ผมได้อ่านรายละเอียดอีกครั้ง  ผมได้เข้าใจตัวบทหลักฐานที่อ้างอิงมาหน้าแรกของกระทู้นี้ว่า  หลักฐานรายงานโดยมุสลิมที่ระบุว่ามีนบีละหมาดในกุบูร  หรือหลักฐานของท่านอัลบุนานีย์ที่ระบุว่าเป็นคนเห็นผู้ตายละหมาดในกุบูร  ซึ่งหลักฐานเหล่านี้  ไม่ได้ระบุเลยว่า  อัลเลาะฮ์ทรงทำให้ผู้ตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกแล้วทำการละหมาด ดังกล่าวคือเท่าที่ผมอ่านจากตัวบทนะครับ  ส่วนการบอกว่าฟื้นคืนชีพขึ้นมานั้น  เป็นความเข้าใจจากตัวบทเท่านั้นเองไม่ได้ระบุชัดไว้ในตัวบทที่รายงานมา 

ก่อนอื่นเราน่าจะมาพิจารณาถึงรูปแบบการมีชีวิตของนบีและทำการละหมาดในกุบูรว่า  มันมีสภาพอยู่ในรูปแบบใด  รูปร่างที่เห็นละหมาดอยู่เป็นรูปร่างดั่งเดิมที่เคยเป็นอยู่ในดุนยาหรือไม่? และการที่อัลเลาะฮ์ทรงให้ผู้ตายกลับมาละหมาดในกุบูรนั้น  เป็นลักษณะการให้หวนกลับมาแบบฟื้นคืนชีพหรือหวนกลับมาแบบอื่น? 

ตรงนี้เราสามารถที่จะมาพิจารณากัน  เพื่อจะสามารถสร้างความเข้าใจได้ตรงประเด็นกันยิ่งขึ้น  ไม่ต้องมาเสวนากันซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ครับ

วัสลาม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ AhlZran

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 20
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam ก่อนอื่นต้องขอสลามพี่น้องที่รักของ อ.ล ทุกท่านจากการที่ได้อ่านกระทู้นี้ แล้ว
 ผมอาจจะเชื่อว่าคนตายละหมาดในกุโบร์  แต่ไม่เชื่อหากใครมาพูดว่าเห็นคนนั้นคนนี้ตายแล้วละหมาดในกุโบร์ เพราะเรากับคนตายอยู่ละโลกแบ่งอย่างชัดเจน จึงไม่สามารถสื่อสารกันรับรุ้กันได้ สัมผัสกันได้  เราอยู่ในอาลัมดุนยา  ไม่อาจที่ไม่รับรู้(สัมผัสหรือพบเห็นนอกจากการเรียนรู้ตามกีตาบุลลอฮ) แล้วคนจะเห็นได้อย่างไร ขอย้ำน่ะครับว่าบัรซักกับดุนยาคนละส่วนกัน ไม่สามารถเหลื่อมล้ำกันได้  ไปมาหาสู่กันไม่ได้  ไม่มีรถเมย์สายบัรซักดุนยาหรอกครับพี่น้อง  วิญญาณผู้ตายก็อยู่ในอาลัมบัรซักไม่ได้อยู่ในดุนยา เรายังไม่ตายก็อยู่ในดุนยาไม่ได้อบยู่ในบัรซัก  อาลัมแต่ละอาลัมนั้นไม่สามารถข้ามเขตแดนกันได้น่ะครับ  เราจะรับรู้สิ่งที่พ้นญาณวิสัยได้นั้นต้องมาจากกีตาบุลลอฮและซุนนะฮฺใช่ไหมครับ  หากมีหลักฐานยืนยันเช่นนี้ว่าคนตายละหมาดในกุโบร์ได้ ผมต้องยอมเชื่ออยู่ดีแหละครับ  แต่คนจะมองเห็นได้นั้นยังไงผมก็ไม่เชื่อ  อย่ามาอ้างว่านบีเห็นแล้วจะเห็นได้ด้วยน่ะครับ
 
คุณ 0123 ต้องการหลักฐานและพยายามยืนยันถึงความไม่เข้าใจที่ตรงกัน กับบรรดาพี่น้องท่านอื่น  หากท่านบอกว่าท่านไม่เชื่อว่าคนตายละหมาดในกุโบร  ท่านยกอายะอัลกรุอ่าน มาท่านศึกษาอัลกรุอ่าน เหตุใดท่านไม่  ศึกษาให้ถี่ถ้วน จะเห็นได้ว่าในหลายๆ ซูเราะห์ พระองค์ อ.ล ได้ลงองค์การ ต่างๆมาส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เหนือหลัก กะรอมะ เหนือ ธรรมชาติ อยากทราบว่าท่าน เรียนรูกุลอีหม่านรึเปล่า เหตูใดพระองค์ อ.ล ทรงย้ำนัก ย้ำหนาให้เรา เชื่อในวันกียามะ ในวันตอบแทน อยากถามคุณ 0123 ว่า วันกียามะ เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เหนือขอบเขต สายตาเรารึไม่ และหากท่านศึกษาอัลกรุอ่าน  ท่านลองกลับไปอ่าน ในหลายๆซูเราะหฺ พระองค์ อ.ล ทรงต้องการให้เรานั้น มีความเชื่อ มั่นศรัทธาในซีฟัต ของพระองค์  และอยากทราบว่า ท่านพอจะรู้เรื่องราวในสมัยของท่าน นบีมูซาหรือไม่ รู้จักบ่าวของ อ.ลที่ชื่อ เคาะฎิร  หรือไม่    ที่พระองค์ ทรงให้ เคาะฎิร มีความสามรถ ในการล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า   ในซูเราะห์  อัลกะฟฺฮฺ  อายะที่ 65-82    และ ท่าน 0123 ครับ  หากสิ่งที่กระผม ได้ทำการ อธิบายนั้น เป็น การซอเล่ม ต่อ ท่านหรือ บุคคลอื่น ต้องขอ มาอัฟ ด้วยนะครับ  มนุษย์ย่อมมีข้อผิดพลาด     วัสลามครับ

ออฟไลน์ นูรุ้ลอิสลาม

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1356
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
salam

เท่าที่ผมได้อ่านรายละเอียดอีกครั้ง  ผมได้เข้าใจตัวบทหลักฐานที่อ้างอิงมาหน้าแรกของกระทู้นี้ว่า  หลักฐานรายงานโดยมุสลิมที่ระบุว่ามีนบีละหมาดในกุบูร  หรือหลักฐานของท่านอัลบุนานีย์ที่ระบุว่าเป็นคนเห็นผู้ตายละหมาดในกุบูร  ซึ่งหลักฐานเหล่านี้  ไม่ได้ระบุเลยว่า  อัลเลาะฮ์ทรงทำให้ผู้ตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกแล้วทำการละหมาด ดังกล่าวคือเท่าที่ผมอ่านจากตัวบทนะครับ  ส่วนการบอกว่าฟื้นคืนชีพขึ้นมานั้น  เป็นความเข้าใจจากตัวบทเท่านั้นเองไม่ได้ระบุชัดไว้ในตัวบทที่รายงานมา 

ก่อนอื่นเราน่าจะมาพิจารณาถึงรูปแบบการมีชีวิตของนบีและทำการละหมาดในกุบูรว่า  มันมีสภาพอยู่ในรูปแบบใด  รูปร่างที่เห็นละหมาดอยู่เป็นรูปร่างดั่งเดิมที่เคยเป็นอยู่ในดุนยาหรือไม่? และการที่อัลเลาะฮ์ทรงให้ผู้ตายกลับมาละหมาดในกุบูรนั้น  เป็นลักษณะการให้หวนกลับมาแบบฟื้นคืนชีพหรือหวนกลับมาแบบอื่น? 

ตรงนี้เราสามารถที่จะมาพิจารณากัน  เพื่อจะสามารถสร้างความเข้าใจได้ตรงประเด็นกันยิ่งขึ้น  ไม่ต้องมาเสวนากันซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ครับ

วัสลาม


       ใช่แล้วครับ  มองได้ลึกซึ้งดีครับ  กล่าวคือเมื่อได้ยินว่าคนตายละหมาดในกุบูรได้  วะฮาบีย์ก็จะคิดค้านขึ้นมาทันทีว่าคนตายฟื้นคืนชีพมาในกุบูรอีกครั้งหนึ่งเหมือนที่เคยมีชีวิตมาก่อนหน้านี้  คือทั้งร่างกายและวิญญาณกลับมาดังเดิม  ซึ่งวะฮาบีย์จะตั้งโจทก์ขึ้นมาคัดค้านว่าคนตายไปแล้วอยู่คนละโลกกันแล้วจะกลับมาได้อย่างไร  เพราะไม่เคยเห็น  ไม่มีวีดีโอมายืนยันเป็นหลักฐานให้เห็น  ไม่มีรถเมล์ที่วิ่งไปมาระหว่างโลกดุนยากับโลกบัรซัก  ตามทั้งคุณ 0123 สันหามาอ้างอิงเพื่อสนับสนุนแนวคิดตนเอง

       ท่านษาบิต อัลบุนานีย์   รายงานจากท่านอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุว่า

‏عَنْ ‏ ‏ثَابِتٍ ‏ ‏عَنْ ‏ ‏أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ ‏أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏قَالَ ‏ ‏أَتَيْتُ لَيْلَةَ أُسْرِيَ بِي عَلَى ‏ ‏مُوسَى ‏ ‏عَلَيْهِ السَّلَام ‏ ‏عِنْدَ ‏ ‏الْكَثِيبِ ‏ ‏الْأَحْمَرِ وَهُوَ قَائِمٌ ‏ ‏يُصَلِّي فِي قَبْرِهِ ‏

       "แท้จริงท่านร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) กล่าวว่า   ในค่ำคืนอิสรออฺฉันได้ไปที่มูซา อะลัยฮิสลาม  ณ  ที่กองทรายสีแดง  ซึ่งมูซากำลังละหมาดอยู่ในกุบูร" รายงานโดยมุสลิม , ท่านอันนะซาอีย์

       ท่านอิมามอัสซินดีย์ และท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ ผู้อธิบายสุนันอัลนะซาอีได้อธิบายว่า

‏قَالَ الشَّيْخ بَدْر الدِّين الصَّاحِب هَذَا صَرِيح فِي إِثْبَات الْحَيَاة لِمُوسَى فِي قَبْره فَإِنَّهُ وَصَفَهُ بِالصَّلَاةِ وَأَنَّهُ قَائِمٌ وَمِثْل ذَلِكَ لَا يُوصَف بِهِ الرُّوح  .......... وَقَالَ الشَّيْخ تَقِيُّ الدِّينِ السُّبْكِيّ فِي هَذَا الْحَدِيث أَنَّ الصَّلَاة تَسْتَدْعِي جَسَدًا حَيًّا وَلَا يَلْزَم مِنْ كَوْنِهَا حَيَاةً حَقِيقَةً أَنْ تَكُون لَا بُدّ مَعَهَا كَمَا كَانَتْ فِي الدُّنْيَا مِنْ الِاحْتِيَاج إِلَى الطَّعَام وَالشَّرَاب وَغَيْر ذَلِكَ مِنْ صِفَات الْأَجْسَام الَّتِي نُشَاهِدُهَا بَلْ يَكُون لَهَا حُكْمٌ آخَرُ

       "ท่านชัยค์บัดรุดดีนกล่าวว่า  ฮะดิษนี้บ่งชัดเจนว่าท่านนบีมูซามีชีวิตอยู่ในกุบูรของเขา  และฮะดิษได้พรรณานบีมูซาด้วยการละหมาดและทำการยืนละหมาดและเฉกเช่นดังกล่าวนี้ไม่จำเป็นที่นบีมูซาต้องอยู่ในลักษณะที่มีวิญญาณ.....ท่านชัยค์ตะกียุดดีนอัซซุบกีกล่าวว่า  ในฮะดิษนี้นั้น  กล่าวคือแท้จริงการละหมาดนั้นเรียกร้องไปยังการมีการร่างกายที่มีชีวิต แต่ไม่จำเป็นว่าลักษณะการละหมาดต้องมีชีวิตแบบจริงๆ ที่ว่าจำเป็นต้องมีชีวิตแบบตอนอยู่ในโลกดุนยาที่ต้องการอาหาร  เครื่องดื่มและอื่นๆ ที่เป็นคุณลักษณะของร่างกายที่เราได้เห็นกัน  แต่ทว่าให้กับการมีชีวิตนี้  มันเป็นลักษณะอื่นอีก"

       จากการอธิบายของอุลามาอ์ฮะดิษตรงนี้คือ การมีชีวิตอยู่ในกุบูรและทำการละหมาดนั้น  ไม่จำเป็นที่วิญญาณต้องกลับเข้ามาในเรือนร่าง  ซึ่งการมีชีวิตกล่าวนี้  คือการมีชีวิตอีกมิติหนึ่งที่ไม่เหมือนกับการมีชีวิตในดุนยาที่มีทั้งร่างกายและวิญญาณที่ต้องการอาหารเครื่องดื่มและอื่นๆ

       ดังนั้น  สายรายงานที่ท่านษาบิต อัลบุนานีย์ได้ทำการรายงานว่า  เห็นชายคนหนึ่งทำการละหมาดในกุบูรเพราะเขาขอต่ออัลเลาะฮ์ให้เขาได้ละหมาดกุบูร แล้วพระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เขาทำการละหมาดในกุบูรได้เพื่อเป็นเกียตริหรือกะรอมัตให้กับเขามีคุณธรรมผู้นั้น  และลักษณะที่ที่เขาได้ละหมาดนั้น  คือมีชีวิตขึ้นมาอีกมิติหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องมีวิญญาณกลับเข้ามาในร่างตามนัยยะที่นักปราชญ์ฮะดิษได้อธิบายไว้   วัลลอฮุอะลัมบิสศ่อวาบ
لا إله إلا الله محمد رسول الله

ออฟไลน์ read

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 130
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
bos101

สัจธรรมมันไม่เกี่ยวกับสิบคืนไม่สิบคืนหรอกครับ แล้วผมก็นำเสนอข้อมูลสุดท้ายตั้งแต่ก่อนสิบคืนสุดท้ายแล้ว แต่คุณเอาไปให้เมื่อไหร่ คำตอบว่ายังไงก็แจ้งมาที่นี่ละกันครับ

ผมไม่ได้พึ่งให้ท่านเอาไปนำเสนอแทนให้นะครับขอให้เข้าใจ มันเป็นการเอาสัญญาจากท่านเองที่พูดในกระทู้ "ยะมาอะฮ์ตับลีฆ" เร็พที่ 44 แต่หากท่านเองมีหลักฐานก็กรุณาบอกผมด้วยนะครับ ผมเองจะได้นำมาเผยแพร่ให้มุสลิมคนอื่นหรืออ.มูรีดได้เข้าใจใหม่   ผมจึงไม่ได้ให้ท่านเป็นสื่อแต่ผมแค่ทวงคำพูดจากท่าน

และแน่นอนครับผมก็ต้องทวงสัญญา อ.มุรีด เช่นเดียวกันที่ว่า

หากผู้เลื่อมใสในกลุ่มญะมาอะฮฺตับลีฆท่านใดที่มีหลักฐานข้างต้น กรุณาแจ้งมาที่ผู้เขียนทราบโดยด่วน เพราะผู้เขียนจะได้นำมาเผยแพร่ให้มุสลิมคนอื่นได้เข้าใจใหม่

เเละสัญญาที่ท่าน อ.เองไม่ควรพูด คือสิ่งที่พูดที่ทับช้าง เรื่อง "สะสางหนังสือเล่มเขียว" ในเรื่องละหมาดในกุบูรนี้ในนาทีที่ 40.05 ว่า

อะมีรญะมาอะฮ์ตับลีฆ ผมขอหลักฐานด้วยครับ ถ้ามีหลักฐานพรุ่งนี้ผมจะไปโยรกะท่านเลย  ผมจะไปออกตับลีฆกับท่านเลยถ้าเอาหลักฐานนี้มาให้ แต่ถ้าหากว่าท่านไม่มีด้วยความเคารพ ท่านทำไมหลอกชาวบ้านได้ลงคอ หลอกพี่น้องของเราที่ไม่มีความรู้
ผมอยากโฟกัสคำว่าหลอกชาวบ้าน หลังจากผมได้พิสูจน์เรื่องนี้ให้พี่น้องเห็นแล้วว่าเรื่องนี้มีหลักฐาน ผมขอยืนยันว่าคำว่าหลอกชาวบ้าน หากออกมาจากท่านอ.ถือว่าความน่าเชื่อถือลดลงไปครึ่งหนึ่ง(ผมขอใช้มาตรฐานเดียวกับที่ท่านชะบ๊าบใช้กับผม ซึ่งเรื่องที่ว่าตกลงใครโกหกท่านชะบ๊าบยังไม่ได้เคลียร์นะครับ)

ถ้าผมบอกว่า อ.มุรีดในบทความนี้ก็หลอกชาวบ้านเหมือนกันท่านจะรู้สึกยังไง? แต่ผมไม่พูดหรอกครับ มันไม่ใช่วิสัยของผม และไม่ใช่วิสัยของมุสลิมที่จะคิดต่อมุสลิมด้วยกัน

จะอย่างไรก็แล้วแต่ ผมเรียกร้องดังนี้(ฝากไปพร้อมตอนที่เอาไปเสนอด้วยครับ)

1.ผู้เขียนบทความต้องเตาบะฮ์ ทำไมต้องเตาบะฮ์ เพราะท่านได้ดูหมิ่นท่านตาบิอีนซาบิต อัลบุนานีย์ ในขณะที่ท่านศอฮาบะฮ์อย่างท่านอนัสรับรองในความดีของท่าน แต่อ.มุรีดกลับบอกว่าท่านมีความคิดค้านกับหลักการอิสลาม ทั้งที่คนที่ละหมาดในกุบูรมาแล้วก่อนท่านซาบิตคือท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม บอกว่าท่านซาบิตเฝ้าละหมาดตะฮัจจุดมา 50 ปีก็เพียงเพื่อให้มีอภิสิทธิ์เหนือมุสลิมคนอื่นได้ละหมาดในกุบูรตนเอง(ยาอัลลอฮ์) ฝ่ายหนึ่งเป็นนบีกับตาบิอีนและบรรดาอุลามาอ์ กับอีกฝ่ายเป็นอ.มุรีด ทิมะเสน ผมไม่ทราบว่าฝ่ายไหนค้านกับหลักการ ใครคิดว่าเป็นเรื่องเล็กคิดเสียใหม่ครับ จะรักษาหลักการศาสนาและป้องป้องนบี ตาบิอีน หรือจะรักษาสิ่งผิดและปกป้องอ.ตนเอง จงตรองดู

2. ลบบทความดังกล่าวแล้วชี้แจงเป็นบทความใหม่แทนที่ เพราะอัลลอฮ์ตรัสว่า

 إلا  الذين تابوا و أصلحوا وبينوا فأولئك أتوب عليهم

ไม่ใช่แค่เตาบะฮ์แต่ต้องแก้แล้วชี้แจงด้วยตามความหมายอายะฮ์ ทั้งในเว็บไซต์และสถานที่ที่เคยไปบรรยายสิ่งผิดให้ผู้อื่นฟังไว้ครับ

ผมยอมรับครับคนเราผิดกันได้ แต่ถ้าท่านอยากให้คนอื่นให้โอกาสท่านไม่บีบคั้นท่าน ท่านก็ต้องทำเยี่ยงนั้นกับคนอื่นด้วย แต่เมื่อคนอื่นค้านกับท่าน ท่านและลูกศิษย์บอก "หลอกชาวบ้าน" แต่พอท่านค้านกับหะดีษและข้อเท็จจริงลูกศิษย์ท่านบอก "ท่านอ.มีเจตนาดี"

และอีกอย่างผมถือว่านี่เป็น "ความผิดซึ่งหน้าอันมิอาจแก้ต่างแทนได้" ผมไม่เห็นด้วยกับ อ.หลายเรื่องครับ แต่ผมต้องออกมาชี้แจงเรื่องนี้เป็นเรื่องเป็นราว เพราะมันเป็นความผิดที่มาจากความบกพร่องในการค้นคว้าล้วนๆ ยังไงครับ ก็เพราะ

ท่านบอกว่าท่านคร่ำเคร่งศึกษาหะดีษที่คนไทยไม่ค่อยสนใจ แต่ท่านกลับบอกว่าไม่รู้จักท่านซาบิต ทั้งที่ชื่อท่านปรากฎอยู่ในตำราตนเอง

ชื่อท่านปรากฎอยู่ในอัตตักรีบของอินุหะญัรซึ่งท่านเองก็มี

หะดีษเรื่องคนตายละหมาดในกุบูรมีอยู่ในศอเฮียห์มุสลิมซึ่งท่านมี

คำพูดของเชคอัลบานีย์ที่ท่านมักคล้อยตามก็อยู่ในอะห์กามญะนาอิซซึ่งท่านก็มีอีกนั่นแหละ

ผมเตือนท่านแล้วเมื่อหนึ่งปีกว่าที่แล้ว แต่ท่านไม่ตอบและไม่ถามอะไรเลย แต่ ณ วันนี้ท่านบอกไม่ได้รับข้อมูลใดๆ

 หนังสือเล่มเขียวถูกพิมพ์ใหม่ระบุชื่อท่านซาบิตเป็นภาษาอาหรับและเขียนคำอ่านภาษาไทยใหม่เหมือนกับท่านคือ "ษาบิต" ซึ่งพิมพ์มาตั้งแต่ปี 50 แต่ท่านไม่อ่าน แล้วมันบกพร่องที่ใครครับ?

จุดใหญ่ของผมคือท่านจาบจ้วงดูหมิ่นผู้มีบุญคุณกับทั้งท่านและผมคือท่านซาบิต(และท่านนบีมูซาด้วยหากอนุมานจากบริบทข้อกล่าวหา) ใครไม่หวงท่านซาบิตแต่หวงท่าน อ. ผมก็สุดจะเอื้อมมือฉุดรั้งครับ

....................

แล้วผมจะรอคำชี้แจงจากท่าน อ.ครับ

 

วัสสลาม

 

ออฟไลน์ read

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 130
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
salam
    จากข้อโต้แย้ง เกี่ยวกับ คนตายละหมาดในกุบูร ของ คุณ bos101  ซึ่ง ได้วิจารย์บทความ ของอ.มุรีด ที่ได้โจมตี ยามาอะห์ตับลีฆ
     
    ซึ่ง ผมกำลังรอคอยว่า อ.มุรีด จะชี้แจงแก้ต่าง เกี่ยวกับบทความของคุณ bos101 อย่างไร และอยากรู้ว่าอาจารย์จะมีอามานะห์เหมือนนักวิชาการทั่วไปหรือเปล่า
   
     คือ เมื่อรู้ว่าผิด ก็ต้องยอมรับผิด ไม่กลัวเสียหน้าและแก้ไขปรับปรุง เอกสารข้อความที่ใช้โจมตี  ให้ถูกต้องเป็นธรรม    ไม่ตะอัสสุบ ต่อหลักการของตัวเอง หรือ กลุ่มของตัวเอง
   
     จนละเลยหลักการที่ได้จาก อัลลอฮ์ และ คำสั่งสอน และแบบฉบับ รอซูล ของอัลลอฮ์

       แต่ผมคิด( คาดการณ์)ว่า ที่ อ.มุรีด จะกระทำมีอยู่ 3 -4 ทางด้วยกัน

       ทางที่ 1 เฉยๆ ไว้ ไม่ทำอะไรปล่อยเรื่องเงียบไปเอง
       ทางที่ 2 ท้าขึ้นเวทีโต้ (ทางถนัด) 'ใครก็ตามคิดว่าดะวะฮ์ตับลีฆถูกต้อง มาขึ้นเวทีโต้เลยครับ"   ก็จะมาแบบเหมารวมยกเข่งเลยครับ หลงประเด็น
                     ประเด็น คือ  คนตายละหมาดในกุบูร มีตามหลักฐาน หรือ เป็นนิยายปรัมปรา
       ทางที่ 3 กล่าวยอมรับผิด ว่าตัวเองผิดพลาด อาจบอก ว่า ตัวเองเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ไม่ได้เป็นนบี ย่อมผิดพลาดกันได้ แล้วก็เริ่มโจมตีเรื่องอื่น
                    เรื่องนี้เป็นนิยาย เรื่องนั้นเป็นเมาดั๊ว เรื่องโน้นดออีฟ บิดอะห์ ชิริก อะกิดะเพี้ยน
      ทางที4   ......................................(ยังนึกไม่ออก)


พี่น้องคิดว่าจะเป็นทางไหน ครับ ??








     

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด
bos101

1.ผู้เขียนบทความต้องเตาบะฮ์ ทำไมต้องเตาบะฮ์ เพราะท่านได้ดูหมิ่นท่านตาบิอีนซาบิต อัลบุนานีย์ ในขณะที่ท่านศอฮาบะฮ์อย่างท่านอนัสรับรองในความดีของท่าน แต่อ.มุรีดกลับบอกว่าท่านมีความคิดค้านกับหลักการอิสลาม ทั้งที่คนที่ละหมาดในกุบูรมาแล้วก่อนท่านซาบิตคือท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม บอกว่าท่านซาบิตเฝ้าละหมาดตะฮัจจุดมา 50 ปีก็เพียงเพื่อให้มีอภิสิทธิ์เหนือมุสลิมคนอื่นได้ละหมาดในกุบูรตนเอง(ยาอัลลอฮ์) ฝ่ายหนึ่งเป็นนบีกับตาบิอีนและบรรดาอุลามาอ์ กับอีกฝ่ายเป็นอ.มุรีด ทิมะเสน ผมไม่ทราบว่าฝ่ายไหนค้านกับหลักการ ใครคิดว่าเป็นเรื่องเล็กคิดเสียใหม่ครับ จะรักษาหลักการศาสนาและป้องป้องนบี ตาบิอีน หรือจะรักษาสิ่งผิดและปกป้องอ.ตนเอง จงตรองดู



ثابت البناني   ( อ่านว่า ษาบิต อัล-บุนนานีย์ .. มีชัดดะฮฺที่ หุรุฟ นูน )  คือ  أبو محمد ثابت بن أسلم البناني البصري    เสียชีวิต ปีที่ 123 ฮ.ศ.  หรือ 127 ฮ.ศ.  มีคนกล่าวว่า ท่านเป็นศูฟีย์  มีความอดทน หนักแน่น ในการช่วยเหลือพี่น้องมุสลิม.    ท่านเป็นวะลียุลลอฮฺ  ซึ่งท่านเศาะหะบะฮฺ อะนัส บิน มะลิก
(ร.ด.) กล่าวถึงท่าน ษาบิต อัล-บุนนานีย์ ว่า....................

إن للخير مفاتيح  وإن ثابتا من مفاتيحه

"แท้จริงสำหรับความดีนั้น ล้วนแล้วแต่มีกุญแจของมัน  และแท้จริง ษาบิต เป็นหนึ่งในบรรดากุญแจแห่งความดีเหล่านั้น"

ดู  หนังสือ  الكواكب الدرية  โดยท่าน  المناوي   เล่ม 1 หน้าที่ 174   ,  หนังสือ الطبقات الصوفية  โดยท่าน  السلمي  หน้าที่ 207   ,  หนังสือ شذرات الذهب  โดยท่าน ابن عماد  เล่ม 1 หน้าที่ 161   ,   หนังสือ المعارف  โดยท่าน ابن قتيبة  หน้าที่ 476    ,  หนังสือ تهذيب التهذيب  โดยท่าน อิบนุ หะญัร อัล-อัสเหาะลานีย์  เล่ม 2 หน้าที่ 2   , หนังสือ تهذيب الكمال  โดยท่าน  المزي   เล่ม 3  หน้าที่ 223
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 06, 2008, 12:14 PM โดย Muftee »
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ 0123

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 27
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ไม่ว่าในยุคใหนๆก็มีคนที่ไม่เป็นอิสลาม  ในยุคซอฮาบะเองยังมีมูนาฟิก  แล้วทำไมในยุคตาบีอีนจะไม่มีคนที่บิดเบือนหลักคำสอน 
หรือว่าประวัติศาสตร์มีสองฉบับ วะฮบีกับอัชชาอีเราะกระนั้นหรือ 

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
ไม่ว่าในยุคใหนๆก็มีคนที่ไม่เป็นอิสลาม  ในยุคซอฮาบะเองยังมีมูนาฟิก  แล้วทำไมในยุคตาบีอีนจะไม่มีคนที่บิดเบือนหลักคำสอน 

คุณ 0123 ก็บอกไปตรง ๆ เลยซิครับว่า ท่านษาบิต อัลบุนานีย์  เชื่อและรายงานคำสอนที่บิดเบือนอิสลาม  แค่นี้ก็จบต่างคนต่างไป  ;D
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ 0123

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 27
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ในส่วนความสามารถของนบีต่างนั้นๆผมไม่เถียงเพราะหลักฐานชัดเจนนี่ครับ  ถึงนบีจะมีชีวิตหลังความตายนั้น ยังไงก็ต้องอยู่ในบัรซัคไม่ใช่ดุนยา  แต่ถ้านบีมูฮัมมัดจะเห็นเช่นนั้นก็ไม่แปลก  ท่านคือนบีเราเป็นใครล่ะ   ไม่ใช่ว่าผมศึกษาไม่หมดน่ะครับ แต่ไม่มีแม้แต่อายะเดียวที่ว่าคนตายละหมาดในกุโบร์  อายะนั้นที่ผมยกมาก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่มีใครรู้เรื่องวิญญาณมากกว่าพระเจ้าแล้วแล้วเราเป็นใครที่จะเห็นวิญญาณคนตายละหมาด  ถ้าเห็นก็คงเป็นญินบัดดี้ที่มาแปลงร่างเป็นคนที่ตายไปแล้ว ทำให้เราคิดว่าเป็นวิญญาณ  และอีกอย่างไม่ได้เอาอายะนั้นมาสนับสนุนแนวคิดของผม  แต่อายะก็บอกอย่างชัดเจนแล้วหรือคุณจะเก่งกว่าพระเจ้า รุ้ว่าวิญญาณเป็นไง  อยู่แบบใหนในบัรซัค  ส่วนการที่นบีจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอย่างที่ท่านอ้างมานั้น เป็นเรื่องมหัสจรรย์ของนบีท่าน ไม่ของเรา  

คุณILHAM  คุณทราบได้อย่างไรว่าผมไม่มีความรู้  ผมก็ศึกษาเพราะเป็นวายิบ  

 

GoogleTagged