بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْمِ
اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ اَلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ
มัซฮับตามหลักวิชาการ หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เกียวกับธรรมเนียมในเชิงปฏิบัติของปวงปราชญ์ที่ถูกนำมาใช้กับฮุกุ่มต่างๆ ที่อิมามในขั้นระดับมุจญฮิดได้วินิจฉัยออกมา หรือหมายถึงฮุกุ่มต่างๆ ที่ได้วินิจฉัยออกมาตรงตามกฎเกณฑ์และหลักการของอิมามที่อยู่ในขั้นระดับมุจญฮิด โดยบรรดาสานุศิษย์ที่อยู่ในระดับมุจญฮิดที่ปฏิบัติตามหลักการต่างๆ ของอิมามในการวิเคราะห์วินิจฉัยฮุกุ่มออกมา
การมีมัซฮับตามความที่กล่าวมานี้ จึงหมายถึง หนทางหรือแนวทางของบรรดาปวงปราชญ์ได้ยึดถือปฏิบัติกัน ไม่ว่าจะเป็นนักหะดิษ นักนิติศาสตร์ นักธิบายอัลกุรอาน และอักษรศาสตร์ ซึ่งในเรื่องนี้นั้น ไม่มีนักวิชาการท่านใดที่โลกยอมรับจะให้การปฏิเสธ เพราะท่านจะพบว่า บรรดานักวิชาการทั้งหลายเขาปฏิบัติตามมัซฮับที่ตนพึงพอใจทั้งสิ้นโดยเขานำมาฟัตวาและตัดสินแก่ผู้คนทั้งหลาย
การมีมัซฮับ คือ การที่สามัญชนที่ตามมัซฮับของอิมามที่อยู่ในระดับขั้นที่สามารถวินิจฉัยได้(มุจญฮิด) ไม่ว่าเขาจะยึดอยู่กับมัซฮับของอิมามคนเดียว หรือย้ายไปย้ายมาระหว่างมัซฮับต่างๆ จุดประสงค์ของคำว่า อามีย์(เอาวาม) หมายถึง “ทุกๆ บุคคลที่ยังไม่บรรลุระดับขึ้นวินิจฉัย” นี่คือศัพท์ความหมายทางด้านวิชาการตามทัศนะของนักปราชญ์มูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม เพราะพวกเขาเรียกคนเอาวามว่า คนที่ยังไม่ถึงขั้นระดับมุจญฮิด ตามที่กล่าวมานี้เอง คนเอาวามอาจหมายถึง “คนที่มีความถนัดในวิชานิติศาสตร์ หรือผู้ที่มีความถนัดในวิชาอักษรศาสตร์ หรือหมายถึงคนที่มีความถนัดในการค้นหาอัลหะดิษและรอบรู้สายรายงานต่างๆ รวมถึงการจดจำหะดิษและสายรายงานของหะดิษ และรู้จักบรรดานักรายงานหะดิษ เป็นต้น แต่เขายังไม่ถึงขั้นที่จะไปวินิจฉัย วิเคราะห์ตัวบทต่างๆ แห่งนิติศาสตร์อิสลาม เพราะฉะนั้น คำพูดของเขาที่เกี่ยวกับนิติศาสตร์และการนำเอาฮุกุ่มออกมาจะไม่เป็นที่ยอมรับ
คนเอาวามต้องมีมัซฮับ คนเอาวามซึ่งเป็นสามัญชนที่ยังไม่มีศักยภาพในการวินิจฉัยอัลกุรอานและฮะดิษโดยตรงได้ กล่าวคือยังต้องพึ่งพาการอธิบายของอุลามาอฺนั้น เขาต้องมีมัซฮับครับ เพราะมัซฮับของคนเอาวามคือมัซฮับของมุฟตีผู้เป็นมัจญ์ฮิด ส่วนจะยึดมัซฮับแบบมัซฮับเดียวหรือหลายมัซฮับนั้น อีกประเด็นหนึ่ง ดังนั้นหากมีอาจารย์คนใดที่เข้าไปศึกษาอัลกุรอานและซุนนะฮ์โดยศึกษาค้นคว้าผ่านตำราหรือความเข้าใจของอุลามาอฺ แล้วเขาบอกว่าฉันไม่มีมัซฮับ ตามหลักนิติศาสตร์อิสลามแล้ว ถือว่าเขาสร้างความเข้าใจผิดต่อตนเอง หากเขาไปสอนลูกศิษย์ให้เข้าใจตามทัศนะที่เขายึดถืออยู่แล้วบอกว่าเราไม่มีมัซฮับ ก็ถือว่าเขาได้สร้างความเข้าใจผิดซ้ำซาก เพราะอย่างน้อยคนที่ไปฟังอาจารย์คนหนึ่งมานั้น ถือว่าตักลีดอาจารย์คนนั้นแล้ว และมัซฮับของเขาคือมัซฮับอาจารย์คนนั้น แต่คนเอาวามไม่กล้าบอกหรอกว่าเขาอยู่มัซฮับอาจารย์คนนั้น เพราะว่ามัซฮับทั้งสี่ย่อมประเสริฐกว่ายิ่งนัก ดังนั้นอุลามาอ์แห่งโลกอิสลามในทุกยุคสมัยเขาต่างก็มีมัซฮับ แม้กระทั่งท่านอิบนุตัยมียะฮ์และท่านอิบนุก็อยยิม ก็อยู่ในมัซฮับฮัมบาลีย์ นั่นก็เพราะว่าพวกเขารู้ถึงหลักนิติศาสตร์อิสลาม ดังนั้นหากคนเอาวามปัจจุบันบอกว่า ฉันไม่มีมัซฮับแต่ฉันตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์หรือสังกัดมัซฮับนบีนั้น ถือว่าเขาได้สร้างความเข้าใจผิดต่อตนเองและผู้อื่น ยิ่งกว่านั้นยังสร้างความเข้าใจผิดต่อหลักนิติศาสตร์อิสลามอีกด้วย
บรรดานักปราชญ์มากมายได้กล่าวไว้เช่นกัน คือ "คนเอาวามทั่วไปนั้น เมื่อเขาพบกับมุฟตี(มุจญฮิด)คนหนึ่ง เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาที่เขาต้องการทราบถึงฮุกุ่มของมัน และเขาก็ได้ถามมุฟตี(มุจญฺฮิด)ถึงปัญหานั้น ดังนั้น จำเป็นแก่เขา ให้ยึดคำกล่าวของมุฟตี(มุจญฮิด) และไม่อนุญาตให้คนเอาวามทำการขอคำฟัตวาปัญหานั้น ๆ ตามนัยยะของมัซฮับหนึ่งมัซฮับใดเป็นการเฉพาะ ดังกล่าว ก็เพราะว่ามุฟตีนั้นเป็นมุจญฮิด ซึ่งหากมุฟตีไม่ได้เป็นมุจญฮิด ก็ไม่อนุญาติให้เรียกเขาว่า "มุฟตี" และไม่อนุญาตแต่งตั้งเขาให้เป็นมุฟตี และมุฟตีที่เป็นมุจญฮิดจะทำการตอบผู้ที่ถามด้วยสิ่งที่เขาทำการวินิจฉัย และไม่อนุญาตให้เขาทำการตักลีดตามมุฟตีที่เป็นมุจญฮิดเหมือนกับเขา แต่!! อนุญาติให้คนเอาวามทั่วไป ทำการถามมุฟตีมุจญฮิด จากสิ่งที่อิมามชาฟิอีย์ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับประเด็นปัญหานั้น ๆ และอนุญาติให้มุฟตีมุจญฮิด ทำการรายงานคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหานั้น ๆ แต่ก็ต้องอยู่ในหนทางของการถ่ายทอดคำกล่าวอิมามชาฟิอีย์เท่านั้น ไม่ใช่อยู่ในหนทางของการฟัตวา เพราะการที่คนเอาวามทั่วไปจะขอให้มุฟตีมุจญฮิดทำการฟัตวา(ไม่ใช่ถ่ายทอด)ตามมัซฮับของอิมามที่คนเอาวามยึดถือนั้น ย่อมไม่เป็นที่อนุญาติ เพราะจะทำให้มุฟตีมุจญฮิดไม่แตกต่างอะไรกับคนทั่วไปที่อาจจะอ้างว่าเขามีความรอบรู้ถึงมัซฮับอิมามของเขาที่เฉพาะ และถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องถามและขอคำฟัตวาจากนักปราชญ์มุจญฮิด"
และสำนวนของจุดมุ่งหมายนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ชัดเจนและไม่ต้องสงสัยแต่ประการใด คือ บรรดานักปราชญ์ได้กล่าวเอาไว้ว่า
مذهب العامى مذهب مفتيه ، وليس للعامى على هذا مذهب معين
"มัซฮับของคนเอาวาม คือมัซฮับมุฟตีของเขา และตามกรณีนี้ คนเอาวามจึงไม่มีมัซฮับที่เฉพาะเจาะจง"
แต่วิถีชีวติของคนเอาวามจะเป็นอย่างไร? หากว่าเขาได้หันมองไปรอบ ๆ ตัวของเขา แล้วไม่พบมุฟตี(มุจญฮิด)คนใดเลย โดยที่เขาไม่เห็นผู้ใดนอกจากบรรดาผู้รู้ที่ทำการตักลีดมัซฮับหนึ่งที่เฉพาะ และบรรดาผู้รู้เหล่านั้นที่ถูกเรียกว่า "มุฟตี" ในหมู่พวกเขา ซึ่งความจริงแล้วชื่อนี้(คือคำว่ามุฟตี)ได้ถูกนำมาใช้เพราะยืมคำพูดมาหรือเพราะมีความคล้ายคลึงตามหลักปฏิบัติเท่านั้น ฉะนั้น หลักการที่ว่า "มัซฮับของคนเอาวาม คือ มัซฮับมุฟตีของเขา" จึงไม่ได้ครอบคลุมอยู่ในกรณีนี้เลย(คือกรณีที่ไม่มีมุฟตีระดับมุจญฮิดที่เป็นเอกเทศน์) เพราะว่าไม่มีมุฟตีที่แท้จริงให้กับเขา เพราะคำว่า "มุฟตี" ตามทัศนะของนักปราชญ์มูลฐานนิติศาสตร์(อุลามาอ์อุซูลุลฟิกห์) นั้นคือ "มุจญฮิดมุฏลัก" (ปราชญ์นักวินิจฉัยที่เป็นเอกเทศน์)
ดังนั้น เมื่อไม่มีมุฟตีที่แท้จริงตามหลักมูลฐานนิติศาสตร์อิสลามแล้ว ก็จำเป็นสำหรับคนเอาวามให้ทำการขอคำฟัตวาจากทัศนะของบรรดานักปราชญ์มุจญฮิดในอดีต ซึ่งท่านอิบนุ ก๊อยยิมได้กล่าวเอาไว้แล้วว่า " และสิ่งที่ดีเลิศที่พวกเขาได้รับนั้นคือ การตักลีดตามบรรดาปวงปราชญ์ที่เสียชีวิตไปแล้ว...โดยที่บรรดาทัศนะคำกล่าวของพวกเขานั้น จะไม่ตายด้วยสาเหตุการตายของผู้ที่กล่าว" เอี๊ยะลาม อัลมุวักกิอีน เล่ม 4 หน้า 215
และบรรดาปวงปราชญ์ที่ดีเลิศ สำหรับผู้ที่จะขอฮุกุ่มคำฟัตวาจากบรรดานักปราชญ์มุจญฺฮิดในอดีต ก็คือ บรรดาอิมามทั้ง 4 ด้วยการรับรองมติเป็นเอกฉันท์จากปวงปราชญ์แห่งประชาชาติอิสลามทั้งหมด ด้วยสาเหตุที่บรรดามัซฮับของพวกเขาเหล่านั้น ได้รับการตอบรับ มีการตรวจสอบ และได้รับการบันทึกหลักการเอาไว้พร้อมสรรพ และปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้จิตสงบและมั่นใจในความถูกต้องของการอ้างอิงถึงเจ้าของมัซฮับนั้นมีความสมบูรณ์พร้อม ซึ่งคนเอาวามทั่วไป สามารถที่จะถามผู้ใดก็ได้ตามที่เขาต้องการ ไม่ว่าจากหนทางของนักปราชญ์มัซฮับและผู้ที่มีความเข้าใจอันลึกซึ้งในมัซฮับ หรือจะทำการศึกษาตำราของมัซฮับนั้น ๆซึ่งหากว่าเขามีความสามารถ หลังจากนั้นก็อนุญาต(แต่ไม่วายิบ) ให้เขาทำการสังกัดมัซฮับหนึ่งมัซฮับใดก็ได้ และก็อนุญาตให้เขาทำการย้ายมัซฮับของอิมามคนหนึ่งไปสู่มัซฮับอิมามอื่นได้ตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่นักปราชญ์นิติศาสตร์และนักปราชญ์มูลฐานนิติศาสตร์อิสลามได้กล่าวระบุไว้
ดังนั้น คนเอาวามคนหนึ่งที่ปฏิบัติเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้ออกจากแก่นแท้ของหลักการที่ว่า "มัซฮับของคนเอาวาม คือมัซฮับมุฟตีของเขา" เพราะว่าเขาไม่พบว่ามีมุฟตีที่แท้จริงอยู่รอบ ๆ ตัวเขา เพราะฉะนั้น เขาจึงจำเป็นต้องไปขอคำฟัตวาของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์ เป็นต้น ดังนั้น มัซฮับของเขา ก็คือ มัซฮับชาฟิอีย์ ตามหลักการที่ระบุเอาไว้ข้างต้นนั่นเอง
ส่วนลักษณะการอะมัลของพวกเขานั้น ประเด็นสำคัญ ๆ ก็ไม่ต่างอะไรพี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่ ต่างกันก็เรื่องข้อปลีกย่อย ส่วนการตอบรับอะมัลนั้นอยู่ที่อัลเลาะฮ์ตะอาลา เราก็ขอต่ออัลเลาะฮ์ให้พระองค์ทรงตอบรับอะมัลที่มีความอิคลาศต่อพระองค์ ไม่ว่าเขาจะอยู่มัซฮับก็ตาม
وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَاليَ أعْلىَ وَأَعْلَمُ