بسم الله الرحمن الرحيم
ท่านชัยค์ ด๊อกเตอร์ มุฮัมมัด สะอีด ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ ได้กล่าวไว้ในบทนำของท่านว่า
ฉันมีความลังเลเป็นอย่างมากที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้ ฉันเฝ้าถามตลอดเวลาว่าถึงแรงผลักดันที่ทำให้ฉันต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา บางครั้งฉันเฝ้าถามตนเองว่า การเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา มันเป็นความพอใจของบิดาหรือเปล่า? กาลเวลาผ่านไปสี่ครึ่งหลังจากบิดาเสียชีวิต ฉันก็ยังไม่มั่นใจที่จะเขียนชีวประวัติของบิดา จนกระทั่งถึงเช้าของวันนี้

ชัยค์ มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ ช่วงวัย 60 ปี
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ฉันต้องลังเลใจเป็นเวลานาน ก็คือ ฉันเห็นผู้คนในปัจจุบันมีความปรารถนาที่จะนำเสนอผลงาน ๆ ต่างของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาต่างพรรณายกย่องกันอย่างเลยเถิด พยายามประดิษฐ์ประดอยนำเสนอเพื่อแสวงหาเป้าหมายทางดุนยาด้วยกับงานของศาสนา
ดังนั้นการที่ฉันจะนำเสนอชีวประวัติของบิดา ฉันรู้สึกไม่สบายใจและมีความครางแครงว่า บางครั้งฉันอาจจะมีเป้าหมายดังกล่าวก็ได้ ทั้งที่ทราบกันดีว่าบิดาของฉันเป็นผู้ที่สมถะ รังเกียจการยกยอสรรเสริญ ไม่รู้ว่าท่านจะพอใจในการกระทำของฉันอันนี้หรือเปล่า? ซึ่งบางครั้งฉันอาจเป็นเหตุให้ท่านเจ็บปวดและโกรธ เพราะฉันรู้ว่าคนตายก็เหมือนคนเป็นซึ่งพวกเขาสามารถประสบกับความพึงพอใจและความโกรธได้ เสมือนกับที่พวกเขาได้ประสบปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้มีความสุขสบายและเจ็บปวด
ในขณะเดียวกันมีเพื่อนมิตรสหายมากมายที่รู้จักบิดาของฉัน ซึ่งพวกเขาได้ยื่นข้อเสนอและรับเร้าฉันให้เขียนชีวประวัติบิดา (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) พวกเขาได้ให้การผลักดันฉันด้วยแรงสนับสนุนมากมาย แต่ทว่า ความหวั่นเกรงของฉันที่จะกระทำผลงานการเขียนนี้มีน้ำหนักมากกว่าที่จะปรารถนาย่างก้าวเข้าไปกระทำ จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันได้หวนรำลึกคำพุดบิดาที่เคยบอกเล่าเกี่ยวกับบรรดาอุลามาอ์ชาวกุรดีย์ (เคริ๊ต) ผู้มีความโดดเด่นในด้านความรู้ เป็นที่เลื่องลือในความมีคุณธรรมและความยำเกรง บิดาเคยเล่าประวัติและคุณความดีของพวกเขาเหล่านั้นแก่ฉัน หลังจากนั้น ปรากฏว่าท่านรู้สึกเสียใจที่ประวัติคุณความดีของพวกเขาได้ลืมเลือนไปจากความทรงจำบ้าง ซึ่งเป็นการสมควรอย่างยิ่ง ในการที่จำเป็นต้องขีดเขียนบันทึกไว้เพื่อเป็นบทเรียนสอนใจแก่ชนรุ่นหลัง
ฉันได้พูดกับตัวเองว่า ฉันไม่คิดว่าบิดาของฉันจะเสียใจไปมากกว่าฉันหรอก! ดังนั้น บิดาของฉันน่าจะความรู้สึกว่า มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนบันทึกชีวประวัติของอุลามาอ์ผู้มีคุณธรรมเหล่านั้น เพื่อผู้คนทั้งหลายจะได้รับผลประโยชน์และนำมาเป็นแบบอย่างในการดำนเนินชีวิต ดังนั้นจึงสมควรสำหรับฉันที่ต้องมีแรงผลักดันให้เกิดความรู้สึกตระหนักถึงความจำเป็นดังกล่าวที่มีต่อบรรดาอุลามาอ์ และไม่สงสัยเลยว่าบิดาของฉันก็คือหนึ่งจากพวกเขาเหล่านั้น
ขอยืนยันว่า ฉันไม่มีโอกาสเลยที่จะเขียนชีวประวัติของบรรดาอุลามาอ์รุ่นก่อน ๆ เนื่องจากฉันไม่เคยได้พบและไม่รู้ถึงวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเขา ดังนั้น ความสามารถของฉันในเวลานี้ คือเขียนชีวประวัติของผู้เป็นบิดา เนื่องจากฉันรู้ดี ยิ่งกว่านั้น ฉันยังเป็นผู้ที่รู้ดีถึงวิถีการดำเนินชีวิตของบิดามากกว่าบุคคลอื่น ๆ

ชัยค์ มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ ช่วง 3 วันก่อนท่านจะเสียชีวิต
หลังจากนั้น ฉันได้ขอคำปรึกษากับท่านผู้รู้บางส่วนในประเทศซีเรียแห่งนี้ที่ฉันคิดว่าพวกเขามีคุณธรรมและความยำเกรง โดยฉันชี้แจงว่า บิดาของฉัน (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ได้เคยห้ามฉันจากการบอกเล่ากับผู้คนทั้งหลายเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวและคุณลักษณะเฉพาะที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานให้ ดังนั้น ฉันจึงได้รับความเห็นจากพวกเขาว่า มันเป็นการกระทำที่ดีและมีประโยชน์หากมีเจตนาเพื่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา ด้วยการอธิบายและพรรณาสภาพการณ์ที่ตรงกับความเป็นจริงไม่มีการตัดทอนหรือเพิ่มเติมหรือยกย่องจนเลยเถิด และพวกเขาได้ให้คำปรึกษาแก่ฉันว่า การที่บิดาของท่านได้เตือนให้ระวังเกี่ยวกับการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวที่เกิดขึ้นระหว่างบิดาของท่านกับอัลเลาะฮ์นั้น คือในขณะที่ท่านมียังมีชีวิตอยู่ แต่ในปัจจุบันท่านได้ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่นับว่าการถ่ายทอดเรื่องราวของท่านนั้นเป็นสิ่งที่ต้องห้ามแต่ประการใด
ดังนั้น ฉันจึงน้อมรับความปรารถนาดีอันนี้ ฉันจึงรีบทำการละหมาดอิสติคอเราะฮ์ตามที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้สอนแก่เรา โดยทำการละหมาด วอนขอดุอาและขอให้พระองค์ทรงชี้นำให้ฉันไปสู่ความดีงามและดลใจให้ฉันดำเนินตามแนวทางที่ทำให้พระองค์ทรงพึงพอพระทัย
และอัลเลาะฮ์เท่านั้นที่อยู่เบื้องหลังของเจตนานี้ และความดีทั้งหมดอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ และพระองค์เท่านั้น ที่มีการมอบหมาย
ดิมัชก์ 21 รอเบี๊ยะอุษษานีย์ ฮ.ศ. 1415