ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัตินักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  (อ่าน 28028 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
หลักสูตรการศึกษาอิสลามของชาวกุรดีย์

ผู้ที่ไม่ใช่คนอาหรับโดยทั่วไปและชาวกุรดีย์(ตุรกี)โดยเฉพาะนั้น พวกเขาให้ความสำคัญกับวิชาการอิสลาม ซึ่งวิชาที่พวกเขาเน้นให้ความสำคัญคือวิชาที่พวกเขาเรียกว่า วิชาอาลัต (วิชาหลักภาษาอาหรับที่เป็นเครื่องมือประหนึ่งกุญแจไขไปสู่ความเข้าใจวิชาการแขนงต่าง ๆ) หมายถึง วิชา ซ่อร๊อฟ (นิรุกติศาสตร์) , วิชานะฮู (ไวยากรณ์อาหรับ) , วิชาบะลาเฆาะฮ์ (วาทศาสตร์) , วิชามันติก (ตรรกศาสตร์) , วิชามะกูลาตทั้งสิบ (วิชาว่าด้วยเรื่องการอ้างเหตุผล) ดังนั้น ผู้ใดที่ตั้งใจศึกษาความรู้ในโรงเรียนต่าง ๆ ของชาวกุรดีย์ เขาจะต้องเริ่มศึกษาวิชาการกระจายคำกริยา ซึ่งเป็นส่วนพื้นฐานแรกที่สำคัญของวิชาซ่อร๊อฟ หลังจากนั้นเขาจะได้ศึกษาวิชานะฮูตามหลักสูตรที่ได้วางไว้ และหนังสือวิชานะฮูเล่มสุดท้ายที่นักศึกษาต้องอ่านตามหลักสูตรที่วางไว้คือ หนังสืออัลญามีย์ซึ่งอธิบายหนังสืออัลกาฟียะฮ์ ของท่าน อิบนุอัลหาญิบ เสียชีวิตปี ฮ.ศ. 646

ส่วนวิชาแขนงต่าง ๆ ของชะรีอะฮ์อิสลามนั้น พวกเขาให้ความสนใจเกี่ยวกับหลักวิชาอะกีดะฮ์ วิชาสุดท้ายที่พวกเขาทำการเรียนคือ หนังสือ อัลอะกออิด อันนะซะฟียะฮ์ จากนั้นเรียนวิชาตัฟซีร ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียนตัฟซีรของท่านอัลกอฏี อัลบัยฏอวีย์ ถัดจากนั้น เรียนวิชาฟิกฮ์ ซึ่งหนังสือฟิกฮ์ที่พวกเขายึดถือคือ หนังสือของท่านอิมามผู้แน่นแฟ้นในวิชาความรู้ ท่าน อิบนุ หะญัร อัลฮัยตะมีย์ คือหนังสือ ตั๊วะฟะตุลมั๊วะตาจญ์ อธิบายหนังสือ อัลมินฮาจญ์ ของท่านอิมาม อันนะวาวีย์ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของบรรดานักศึกษาที่เรียนวิชาฟิกฮ์ และสำหรับวิชาอุซูลุลฟิกฮ์(หลักมูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม)นั้น จะเรียนหนังสือ ชัรห์(อธิบาย)ของท่านญะลาลุดดีนอัลมุฮัลลีย์ ที่มีต่อหนังสือ ญัมอุลญะวาเมี๊ยะอ์ ของท่านอิบนุ อัซซุบกีย์ จากนั้นก็เรียนวิชาหะดิษและหลักพิจารณาหะดิษ วิชาชีวประวัติของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม วิชาอัลกุรอาน วิชาฟิกฮ์เปรียบเทียบ วิชาตะเซาวุฟ วิชาวรรณคดี เป็นต้น

บิดามักกล่าวให้ฉันฟังเสมอว่า ในช่วงที่ท่านกำลังศึกษากับบรรดาอาจารย์ทั้งหลายนั้น นักศึกษาส่วนมากให้ความสำคัญกับวิชาฟิกฮ์ พวกเขาจะมีความภาคภูมิเหนือเพื่อนคนอื่น ๆ ที่สามารถตีประเด็นปัญหาของฟิกฮ์ได้แตกฉานและสามารถไขปริศนาประเด็นที่ยาก ๆ ได้!.. แต่ทว่าฉันให้ความสนใจกับการท่องจำมะตัน(ตำราที่เป็นตัวบทย่อ ๆ มีถ้อยคำสั้น ๆ แต่ความหมายกว้างขวาง) และท่องจำตำราที่ใช้เรียน และอื่น ๆ ... ฉันมุ่งเน้นในการอ่านอัลกุรอานและอ่านมันอย่างช้า ๆ ไพเราะ ฉันตั้งความหวังว่าจะท่องจำให้ขึ้นใจ ฉันก็จึงเริ่มท่องจำตั้งแต่เยาว์วัย ฉันให้ความสำคัญกับวิชาฟิกฮ์ที่เกี่ยวกับหมวดหลักอิบาดะฮ์เพื่อนำมาควบคุมหลักปฏิบัติของฉัน และฉันชอบหนังสือตะเซาวุฟเป็นอย่างมาก หนังสือเอี๊ยะหฺยาอุลุมุดดีน ของท่านอิมามอัลฆ่อซาลีย์ เป็นหนังสือระดับต้น ๆ ที่ฉันเฝ้าเพียรอ่านและศึกษา ฉันหลงใหลศึกษาชีวประวัติของท่านนบีเป็นอย่างมากเช่นกัน และฉันเพียรพยายามหมั่นทำอิบาดะฮ์สุนัตอย่างสม่ำเสมอ ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะกำหนดสักช่วงเวลาหนึ่งสำหรับการละหมาดสุนัตในความค่ำคืน(กิยามุลลัยล์) เมื่อความหวังของฉันได้บรรลุผลแล้ว ฉันจึงรู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งไม่มีสิ่งใดมาเทียบเทียมได้เลย!..

บิดากล่าวอีกว่า นักศึกษาส่วนมากให้การดูถูกการกระทำของฉันนี้ พวกเขาคิดว่าฉันคร่ำเคร่งจนเกินไป จนบางครั้งพวกเขาคิดว่าฉันเลียนแบบบรรดาอาจารย์ผู้อาวุโส และบางครั้งพวกเขาคิดว่าการที่ฉันมุ่งปฏิบัติเช่นนี้ เป็นผลมาจากการไร้ความสามารถที่จะเทียบเคียงพวกเขาในการตรวจสอบประเด็นเชิงวิชาการต่าง ๆ ของฟิกฮ์และไขปัญหาประเด็นที่ยาก ๆ

บิดากล่าวว่า ที่จริงแล้วฉันใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการอ่านอัลกุรอาน ท่องบทซิกิร บทวิริด ทำอิบาดะฮ์ที่เป็นสุนัต ทำการละหมาดสุนัตในยามค่ำคืน ในขณะที่บรรดานักศึกษาคนอื่น ๆ มุ่งเน้นท่องจำมะตันและบทเรียนอื่นซ้ำไปซ้ำมา...และตามนัยดังกล่าวนั้น ทำให้ฉันด้อยกว่าพวกเขาในแง่ของวิชาการ ท่องจำฮุกุ่มและมัสอะละฮ์(ประเด็น)ต่าง ๆ ของฟิกฮ์...บิดากล่าวว่า ฉันเชื่อมั่นว่าฉันจะทำอย่างนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งอย่างจริงจัง แล้วฉันก็เฝ้าคอยวันที่บรรดาอาจารย์จะทดสอบบรรดานักศึกษาทั้งหลาย..ในวันหนึ่ง มีชัยค์(อาจารย์)คนหนึ่งได้มาหาพวกเรา เพื่อทำการถามและทดสอบทีละคน ๆ เมื่อถึงฉัน อาจารย์จึงตั้งคำถามต่าง ๆ ที่ยาก ๆ ตามที่อาจารย์ต้องการ แต่แล้วอัลเลาะฮ์ก็ทรงดลใจให้ฉันตอบได้อย่างถูกต้อง อาจารย์จึงมองมายังฉันแล้วกล่าวว่า "ที่จริงแล้วท่านไม่ใช่เป็นคนมีความรู้มากนัก แต่อัลเลาะฮ์ทรงกล่าวแก่ท่านว่า ท่านจงเป็นคนที่มีความรู้ แล้วท่านก็รู้!.. บิดาของฉันเล่าเรื่องราวในการศึกษาความรู้เช่นนี้ให้ฟังเสมอ เพื่อให้ฉันตระหนักต่อคำตรัสของอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ที่ว่า

وَاتَّقُواْ اللّهَ وَيُعَلِّمُكُمُ اللّهُ

"และพวกเจ้าจงยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์เถิด และอัลเลาะฮ์ก็จักทรงสอนพวกเจ้า" อัลบะกอเราะฮ์ 282
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
การป่วยหนัก..และการมองเห็นอันน่าทึ่ง

ในช่วงระยะนี้  บิดาของฉัน (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์)  ประสบอาการป่วยอย่างหนักเกือบคร่าชีวิต  เข้าใจว่าท่านคงป่วยเป็นโรคฝีดาษ  ฉันจำไม่ได้ว่าช่วงนั้นท่านอายุเท่าไหร่   แต่โรคเข้ามาคุกคามอย่างกระทันหัน

บิดากล่าวว่า "ขอสาบานว่า  ฉันได้เห็นมะลิกุลเมาต์ (มะลาอิกะฮ์ซึ่งมีหน้าที่ถอดวิญญาน) ด้วยสองตาของฉัน  ในขณะที่ป่วยอย่างหนัก!.."

ต่อไปนี้ฉันจะถ่ายทอดคำพูดของบิดาเกี่ยวกับเหตุการณ์อันน่าทึ่ง  บรรดาพี่น้องและเพื่อน ๆ มิตรสหายหลายคนก็ได้ยินจากปากของท่าน  ซึ่งในขณะนั้นพวกเขากำลังห้อมล้อมสถานที่ที่บิดาฉันนั่งพำนักอยู่

บิดาของฉัน (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า "ฉันมีอาการป่วยหนัก  จนกระทั่งครอบครัวสิ้นหวังจากการหายป่วย   ในขณะที่ฉันนอนอยู่บนเตียง  รอบ ๆ ตัวฉัน  มีเครือญาติและผู้มาเยี่ยมมากมาย  ทันใดนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก  ได้เข้ามาในห้อง  ข้างหลังของเขามีชายอีกคนหนึ่ง  ซึ่งดูเหมือนว่าเขาเป็นจะเป็นผู้ช่วยหรือคนรับใช้  ดังนั้น  ฉันพยายามจะยืนขึ้นเพื่อจูบมือของเขาเพราะเชื่อว่าเขามีคุณธรรมและมีความประเสริฐ  แต่ทว่าเขากลับถอยหลัง  แล้วกล่าวว่า  "เราไม่ได้มีจุดมุ่งหมายด้วยกับตัวท่าน  แต่เรามาเพราะต้องการเพื่อนบ้านของพวกท่านคนหนึ่งของพวกท่านที่ชื่อยาซีน(1)"  และเมื่อเขาได้หายลับไปจากฉัน  บรรดาบุคคลที่นั่งอยู่จึงมองมายังฉัน  แล้วกล่าวว่า "อะไรที่ทำให้ท่านเป็นอย่างนั้น และอะไรทำให้ท่านมีลักษณะเหมือนกับว่าจะจูบบนพื้นดิน?"  ฉันตอบว่า "ฉันไม่ได้ต้องการจะจูบพื้นดิน  แต่ฉันกำลังพยายามที่จะจูบมือชัยค์คนหนึ่งที่เข้ามาหาเรา  แต่เขากลับถอยออกไปพร้อมกล่าวว่า  เขาต้องการคนชื่อยาซีน"  ทันใดนั้นพวกเขาจึงร้องตะโกน พร้อมกล่าวว่า "ขณะนี้ ยาซีน ได้เสียชีวิตแล้ว"  มันเป็นเสียงร้องระงมที่ดังขึ้นภายในบ้าน!.."

บิดากล่าวต่อไปว่า "หลังจากนั้นชัยค์ผู้น่าเกรงขามได้หวนกลับมาหาเราอีกครั้ง  พร้อมกับอีกคนซึ่งเขากำลังแบกสิ่งหนึ่งคล้ายหนังของสัตว์อยู่บนบ่าของเขา  และเขาจึงหันมาทางฉันแล้วจับฉันด้วยกำมือของเขา  ดังนั้น  ฉันจึงมีความรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง   ฉันจึงส่งเสียงร้องขึ้นเพื่อร้องขอความช่วยเหลือผู้เป็นบิดา(ของท่านชัยค์มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์)  แล้วฉันก็มอง  ปรากฏว่าบิดาได้ดึงฉันเข้าไปหา  เพื่อปกป้องฉันจากเขา  หลังจากนั้น  ชายสองคนก็หายไป   และเมื่อฉันได้มองดู  ปรากฏว่าบรรดาผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ฉันต่างรู้สึกหวาดกลัวในเหตุการณ์นี้    มีคนหนึ่งกล่าวแก่ฉันว่า "อะไรได้เกิดขึ้นกับท่านหรือ?"  ดังนั้น  ฉันจึงเหล่าให้พวกเขาฟังกับสิ่งที่ฉันเห็น .. และฉันได้ทราบในขณะนั้นว่า บิดาของฉันนั้น  เมื่อท่านได้ยินเสียร้องตะโกนและความหวาดกลัวของฉัน   ท่านจึงได้บนบานว่า  "ขอสาบาน  หากอัลเลาะฮ์ทรงให้บุตรของฉันนี้หายป่วย  แน่แท้ว่าฉันจะทำการบริจาคทาน เท่านั้นเท่านี้  ด้วยหัวของแพะ"  แล้วอัลเลาะฮ์ก็ทรงประทานเกียรติและให้หายจากการป่วยที่ร้ายแรงครั้งนั้น

ดังนั้น  ที่ฉันได้ถามเกี่ยวกับสิ่งที่บิดาได้เล่าให้ฉันฟังในครั้งแรกนี้  ทำให้ฉันระลึกเสมอว่า   "แท้จริง  การมาของมะลิกิลเมาต์นั้น  เป็นหลักฐานชี้ว่า  ถึงกำหนดเวลาที่ต้องเอาชีวิตแล้ว  และเมื่อถึงกำหนดเวลา  การบนบานและการขอดุอาอ์ให้ประวิงเวลาออกไปนั้น  ย่อมไร้ประโยชน์เสียแล้ว!.."

บิดากล่าวแก่ฉันว่า "แท้จริงกำหนดเวลาที่ต้องตายนั้น  ได้รับการยืนยันไว้ในการรอบรู้ของอัลเลาะฮ์แล้ว  ซึ่งไม่มีช่วงเวลาหลังจากนั้นต่อไปแล้ว  แต่บางทีอัลเลาะฮ์ทรงให้มะลิกุลเมาต์มาหาฉันและปรากฏให้ฉันเห็นด้วยสองตาฉันนั้น  เพื่อเป็นสาเหตุให้ความหมายของ "ความตาย"  มั่นคงอยู่ในจิตใจของฉัน  เป็นแรงผลักดันเพื่อกระตุ้นให้เตรียมพร้อมสำหัรบความตายในทุกเมื่อเชื่อวัน"   จากนั้น บิดากล่าวอีกว่า "การกำหนด(สภาวะ)นั้น มี 2 ประเภท  คือการกำหนดแบบตายตัว  และการกำหนดแบบมีข้อแม้  สำหรับการกำหนดแบบตายตัวนั้น  ไม่มีผู้ใดรับรู้ได้นอกจากอัลเลาะฮ์องค์เท่านั้น  และสำหรับการกำหนดแบบมีข้อแม้  คือการกำหนดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จากบรรดามูลเหตุต่าง ๆ  ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงให้รับรู้ได้จากปวงบ่าวชนชั้นพิเศษของพระองค์"

----------------------------------------------
(1) เขาเป็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ต้องทนทุกข์กับโรคร้ายนี้  บ้านของเขาอยู่ติดกับบ้านที่บิดาของฉันอาศัยอยู่
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ yaseen

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 36
  • ชีวิตนักเดินทาง
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บิดากล่าวแก่ฉันว่า "แท้จริงกำหนดเวลาที่ต้องตายนั้น  ได้รับการยืนยันไว้ในการรอบรู้ของอัลเลาะฮ์แล้ว  ซึ่งไม่มีช่วงเวลาหลังจากนั้นต่อไปแล้ว  แต่บางทีอัลเลาะฮ์ทรงให้มะลิกุลเมาต์มาหาฉันและปรากฏให้ฉันเห็นด้วยสองตาฉันนั้น  เพื่อเป็นสาเหตุให้ความหมายของ "ความตาย"  มั่นคงอยู่ในจิตใจของฉัน  เป็นแรงผลักดันเพื่อกระตุ้นให้เตรียมพร้อมสำหัรบความตายในทุกเมื่อเชื่อวัน"    จากนั้น บิดากล่าวอีกว่า "การกำหนด(สภาวะ)นั้น มี 2 ประเภท  คือการกำหนดแบบตายตัว  และการกำหนดแบบมีข้อแม้  สำหรับการกำหนดแบบตายตัวนั้น  ไม่มีผู้ใดรับรู้ได้นอกจากอัลเลาะฮ์องค์เท่านั้น  และสำหรับการกำหนดแบบมีข้อแม้  คือการกำหนดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จากบรรดามูลเหตุต่าง ๆ  ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงให้รับรู้ได้จากปวงบ่าวชนชั้นพิเศษของพระองค์"

ญะซากัลลอฮฺค๊อยรอน แจ่มมากเลยโดยเฉพาะประโยคนี้ :'(
+ในร่างกายนั้นมีก้อนเนื้อหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายทุกส่วนก็จะดี เมื่อมันเสีย ทุกส่วนของร่างกายก็จะเสีย จงจำไว้เถิด เนื้อก้อนนั้นคือหัวใจ+

ออฟไลน์ คนเดินดิน

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1620
  • ขอให้ได้รับความโปรดปรานจากพระผู้ทรงเมตตาด้วยเถิด
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
ช่วงนี้คนเดินดิน  งานยุ่งมาก  ต้องรบกับนักเรียนไม่เว้นแต่ละวัน
ไว้จะเล่าให้ฟังวันหน้านะคะหลาน ๆ ถ้าอยากฟัง  อย่างอแงซะก่อนล่ะ ;) ;) ;)
เพราะรู้ดีว่าเป็นเพียงหนึ่งคนที่อ่อนแอ  จึงทำให้คำนึงถึงคุณค่าของหนึ่งชีวิต  โปรดชี้แนะแนวทางที่เที่ยงตรงด้วยเถิด  ยาร็อบบี  سَلَّمْنَا مُسْلِمِيْنَ وَمُسْلِمَاتٍ فِي الدُّنْيَا وَ الأخِرَةِ

ออฟไลน์ salamah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 761
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ช่วงนี้คนเดินดิน  งานยุ่งมาก  ต้องรบกับนักเรียนไม่เว้นแต่ละวัน
ไว้จะเล่าให้ฟังวันหน้านะคะหลาน ๆ ถ้าอยากฟัง  อย่างอแงซะก่อนล่ะ ;) ;) ;)


เดี๋ยวหลานๆจะรอฟังนะคะ........ ;D ;D ;D ;D
ถึงไม่รอบรู้ทุกด้าน    แต่ขอเป็นมุสลิมะห์ที่ดีก็พอ

ออฟไลน์ คนเดินดิน

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1620
  • ขอให้ได้รับความโปรดปรานจากพระผู้ทรงเมตตาด้วยเถิด
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
สำหรับพี่น้องที่อยากฟังเรื่องราวของคนเดินดิน  ๆ ก็จะตั้งกระทู้ใหม่แล้วกันแล้วแวะมาอ่านกันนะคะ
ใน  ความเชื่อ และ บททดสอบของคนเดินดิน1 ;) ;) ;)
เพราะรู้ดีว่าเป็นเพียงหนึ่งคนที่อ่อนแอ  จึงทำให้คำนึงถึงคุณค่าของหนึ่งชีวิต  โปรดชี้แนะแนวทางที่เที่ยงตรงด้วยเถิด  ยาร็อบบี  سَلَّمْنَا مُسْلِمِيْنَ وَمُسْلِمَاتٍ فِي الدُّنْيَا وَ الأخِرَةِ

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
สำหรับพี่น้องที่อยากฟังเรื่องราวของคนเดินดิน  ๆ ก็จะตั้งกระทู้ใหม่แล้วกันแล้วแวะมาอ่านกันนะคะ
ใน  ความเชื่อ และ บททดสอบของคนเดินดิน1 ;) ;) ;)


งั้น เชิญเข้ามาเสวนาที่กระทู้ดังกล่าวได้เลยครับ ความเชื่อและบททดสอบของคนเดินดิน1 ;D
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
บิดากล่าวว่า ที่จริงแล้วฉันใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการอ่านอัลกุรอาน ท่องบทซิกิร บทวิริด ทำอิบาดะฮ์ที่เป็นสุนัต ทำการละหมาดสุนัตในยามค่ำคืน ในขณะที่บรรดานักศึกษาคนอื่น ๆ มุ่งเน้นท่องจำมะตันและบทเรียนอื่นซ้ำไปซ้ำมา...และตามนัยดังกล่าวนั้น ทำให้ฉันด้อยกว่าพวกเขาในแง่ของวิชาการ ท่องจำฮุกุ่มและมัสอะละฮ์(ประเด็น)ต่าง ๆ ของฟิกฮ์...บิดากล่าวว่า ฉันเชื่อมั่นว่าฉันจะทำอย่างนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งอย่างจริงจัง แล้วฉันก็เฝ้าคอยวันที่บรรดาอาจารย์จะทดสอบบรรดานักศึกษาทั้งหลาย..ในวันหนึ่ง มีชัยค์(อาจารย์)คนหนึ่งได้มาหาพวกเรา เพื่อทำการถามและทดสอบทีละคน ๆ เมื่อถึงฉัน อาจารย์จึงตั้งคำถามต่าง ๆ ที่ยาก ๆ ตามที่อาจารย์ต้องการ แต่แล้วอัลเลาะฮ์ก็ทรงดลใจให้ฉันตอบได้อย่างถูกต้อง อาจารย์จึงมองมายังฉันแล้วกล่าวว่า "ที่จริงแล้วท่านไม่ใช่เป็นคนมีความรู้มากนัก แต่อัลเลาะฮ์ทรงกล่าวแก่ท่านว่า ท่านจงเป็นคนที่มีความรู้ แล้วท่านก็รู้!.. บิดาของฉันเล่าเรื่องราวในการศึกษาความรู้เช่นนี้ให้ฟังเสมอ เพื่อให้ฉันตระหนักต่อคำตรัสของอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ที่ว่า

وَاتَّقُواْ اللّهَ وَيُعَلِّمُكُمُ اللّهُ

"และพวกเจ้าจงยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์เถิด และอัลเลาะฮ์ก็จักทรงสอนพวกเจ้า" อัลบะกอเราะฮ์ 282

นี่แหละครับ  คือบทเรียนสำหรับผู้แสวงหาวิชาความรู้  เรียนอย่างเดียวยังไม่พอ  เราต้องทำอิบาดะฮ์ให้มาก ๆ ด้วย  แล้วอัลเลาะฮ์จะให้เราได้เข้าใจหลักการของอิสลามากๆ ขึ้นโดยไม่รู้ตัว 

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
บิดาของท่านชื่อ อุมัร  และปู่  ชื่อ  มุร๊อด  และเรื่องเชื้อสายของเรา  ฉันไม่รู้รายละเอียดมากนัก  ฉันเคยถามบิดาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว  ปรากฏว่าท่านไม่ให้ความสำคัญมากนัก  โดยท่านชี้แจงว่า  มันเป็นความยากลำบากที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถแจกแจงเชื้อสายวงศ์ตระกูลของตนในอดีตที่ผ่านมาโดยไม่เกิดความผิดพลาด  และท่านคิดว่าเป็นการดีสำหรับการไม่สืบเสาะรายละเอียดของเชื้อสายอันนี้  ซึ่งท่านได้อ้างอิงบทกวีของท่าน อิบนุ วัรดี  อันเลื่องลือที่ว่า

لا تقل أصلى وفصلى أبدا    إنّما أصل الفتى ما قد حصل

"ท่านอย่ากล่าวว่าเชื้อสายของฉันและตระกูลของฉันเลย    เพราะแท้จริงสายตระกูลของชายหนุ่มนั้นคือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น(แก่ตัวเขา)"

(หมายถึง หากคนหนึ่งปฏิบัติตนดีมีคุณธรรมให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาก็ย่อมทำให้ตระกูลดีและมีเกียรติ)

คนที่มีตระกูลไม่โด่งดัง อย่าไปน้อยใจเลยนะครับ  เพราะคนเราจะดีไม่ได้อยู่ที่ตระกูลเสมอไป   ตระกูลไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้เราเข้าสวรรค์หรือลงนรกเลยครับ เพราะบางครั้งตระกูลดี  แต่บางคนประพฤติตนไม่ดี  ก็มีถมไป   ดังนั้น  ต้นตระกูลที่ดีมันอยู่ที่เราเริ่มต้นต่างหาก  หากเราทำตนดีและอยู่ในคุณธรรมอย่างแท้จริง  เรานี่แหละจะได้เป็นแบบอย่างในตระกูลของเรา  เมื่อเรามีลูกมีหลาน  พวกเขาเหล่านั้น  ก็เป็นลูกหลานของผู้มีคุณธรรม  และยุคหลัง ๆ จากนั้นลูกหลานมีเยอะแยะมากมาย  ก็จะได้รับกล่าวขานว่า  เป็นลูกหลานของคนดีมีคุณธรรม   ก็จะกลายเป็นตระกูลที่ดีขึ้นมาได้   แบบนี้ใช่เปล่าครับ  ที่เป็นความของคำพูดของท่าน ชัยค์ มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์

แต่คนที่ตระกูลดี และประพฤติตนดีนั้น  ถือว่าสุดยอดทวีคูณครับ   แต่ที่สำคัญตระกูลของเราจะดีแน่นอน  หากเราเป็นคนดีมีคุณธรรม  ;D

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
บิดาของฉันเห็นว่า  ดังกล่าวเป็นโอกาสที่สามารถจะทำงานได้อย่างเพลิดเพลินได้สำหรับวัยเด็ก  แต่ทว่ามารดาเป็นผู้ที่เคร่งครัดและมีความยำเกรงเป็นอย่างมาก  นางจึงส่งเสริมยืนหยัดให้บิดาของฉันทำการเล่าเรียนและแสวงหาความรู้  และนางสามารถทำให้ผู้เป็นสามีคล้อยตามและเห็นด้วยในสิ่งดังกล่าวโดยดี

เรามาดูบทเรียนชีวประวัติของท่านท่านชัยค์มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ นั้น  ท่านผู้เป็นมารดาจะมีบทบาทและเป็นแรงผลักดันในการศึกษาของท่าน  นางไม่ยอมให้บุตรตนทำงาน  เพราะอยากให้ร่ำเรียน  โดยคำนึงถึงอนาคตของลูก  จนกระทั่งท่านเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมและยำเกรง  บอกตรง ๆ ว่า มารดาเป็นผู้ที่มีบทบาทอันยิ่งใหญ่สำหรับลูกๆ ครับ  อิมามชาฟิอีย์กำพร้าบิดามาตั้งแต่เด็ก  แต่ผู้เป็นมารดาสนับสนุนส่งเสริมให้กำลังใจบุตรของตน(คืออิมามชาฟิอีย์) ทำการร่ำเรียนจนเป็นนักปราชญ์ของโลก  อิมามมาลิกได้รับแรงผลักดันจากกมารดาให้ไปร่ำเรียนหนังสือ  มารดาของท่านจะแต่งตัวให้อิมามมาลิกอย่างเรียบร้อยโพกสะบันให้ตั้งแต่ในวัยเด็ก  แล้วนางก็กล่าวกับท่านอิมามมาลิกว่า "ลูกจากไปเถิด  ไปร่ำเรียนกับท่าน ร่อบีอะฮ์ อัรเราะอ์"  กำลังใจของมารดาผลักดันให้อิมามมาชิกเป็นนักปราชญ์ของโลกอิสลามอีกเช่นเดียวกัน , ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุหะญัร  อัสก่อลานีย์  นักปราชญ์หะดิษผู้อัจฉริยะแห่งยุค  กำพร้ามารดาตั้งแต่เยาว์วัย  มารดาของท่านจึงเป็นผู้เลี้ยงดู  คอยอบรมสั่งสอน  และสนับสนุนให้ทำการเล่าเรียนศึกษา  จนกระทั่งได้เป็น  อะมีรุลมุอ์มุนีนฟิลหะดิษ (หัวหน้าแห่งปวงปราชญ์หะดิษ) ที่ไม่มีผู้ใดให้การปฏิเสธในความอัจฉริยะของท่านเลย ,   ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์  ก็กำพร้าบิดาตั้งแต่เยาว์วัยเช่นกัน  แต่ผู้เป็นมารดาได้ให้แรงสนับสนุนกำลังใจให้ท่านทำการร่ำเรียน  จนกลายเป็นนักปราชญ์แห่งยุค และเป็นนักปราชญ์หะดิษท่านหนึ่งที่ได้รับฉายาว่า "อะมีรุลมุอ์มินีนฟิลหะดิษ" (หัวหน้าแห่งปวงปราชญ์นักหะดิษ) เช่นเดียวกัน   
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
รู้สึกว่าการนำเสนอจะขาดช่วง  ;D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิ.ย. 21, 2007, 04:49 AM โดย al-azhary »

SaFinah

  • บุคคลทั่วไป
รู้สึกว่าการนำเสนอจะขาดช่วง  ;D

เห็นด้วยกับท่านนูรุ้ลอิสลามครับ... ;D
วันนี้มา request ครับผม... :)


ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ขณะที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้อุบัติขึ้นในปี ค.ศ. 1914   บิดาได้กลับมาจากการแสวงหาวิชาความรู้  ท่านจึงพำนักอยู่ในบ้านเกิดที่หมู่บ้าน เจลิกา  เป็นอิมามมัสยิดที่นั่น  และเป็นอาจารย์สอนนักเรียนศาสนาในโรงเรียนที่ติดกับมัสยิด

บิดาครุ่นคิดอยู่นานเกี่ยวกับสงครามโลกที่ได้อุบัติขึ้น  และมีเป้าหมายถึงโค่นล้มค่อลีฟะฮ์อิสลามที่กำลังมีลมหายใจเฮือกสุดท้าย  บิดามีความเห็นว่า  ค่อลิฟะฮ์อิสลามในช่วงนั้นมีความผิดพลาดหลายประการ   อันตรายอันยิ่งใหญ่ที่มุ่งทำลายโลกอิสลามนั้น  มาจากทางรัสเซียซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเฉือนอาณาจักรอิสลามให้เป็นเสี่ยง ๆ และจักรพรรดิรัสเซียก็จะถือโอกาสเข้ามาครอบครอง  ดังนั้น  บิดาจึงคิดว่าบรรดามุสลิมีนในทั่วทุกสารทิศจะต้องเข้ามาร่วมรบในสถานะการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานดังกล่าวเพื่อปกป้องอัลอิสลามอย่างแน่นอน

บิดาจึงเข้าเป็นทหารอาสาสมัครร่วมรบในสงครามโลกดังกล่าว  ซึ่งท่านจะต้องเสียสละค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับภาระกิจนั้น   หลังจากทำการฝึกขั้นพื้นฐานในค่ายทหารที่อยู่ใกล้ ๆ   กลุ่มทหารของจึงมุ่งไปประจำการอยู่ทางเขตชายแดนที่ติดกับรัสเซียและเขตทะเลดำ

การเข้าร่วมสงครามของบิดาในครั้งนั้น  มีความล้มเหลว  บิดากล่าวกับฉันว่า  "ฉันตั้งใจที่จะออกรบในสงครามดังกล่าว  เพื่อให้บรรลุถึงการญิฮาดที่อัลเลาะฮ์จักทรงตอบแทนความดีแก่ฉัน  แต่ทว่าฉันได้ประสบกับสิ่งตรงกันข้ามตามที่ได้หวังไว้  เนื่องจากดังกล่าวทำให้ฉันบกพร่องต่อภาระหน้าที่สำคัญอันยิ่งยวดในการทำอิบาดะฮ์   หัวหน้าทหารของพวกเราไม่เปิดโอกาสให้ฉันทำการละหมาดและพยายามห้ามปรามให้ฉันทำการดำรงละหมาดซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของศาสนา   ดังกล่าว  จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันต้องกล่าวกับเขาว่า  "ฉันไม่ใช่ทหารประจำการในค่ายของท่าน  แต่ฉันเป็นเพียงทหารอาสาสมัครเพื่อดำรงไว้ซึ่งภาระหน้าที่ของฉันในการญิฮาดและแบกรับค่าใช้จ่ายเอง  โดยไม่ขอการตอบแทนบุญคุณจากพวกท่าน  เพื่อแสวงหาความพึงพอพระทัยของอัลเลาะฮ์  อัซซะวะญัลล่า  ดังนั้น  ด้วยสิทธิอันใดหรือที่ท่านจะมาห้ามการปฏิบัติสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญชาใช้? "

บิดาได้เล่าถึงพฤติกรรมของบรรดาทหารว่า  พวกเขาห่างไกลจากการดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม  ละเมิดในความชั่วต่าง ๆ  ซึ่งบางครั้งก็กระทำสิ่งอันน่ารังเกียจ,,, บิดากล่าวอีกว่า  บางครั้งฉันถามทหารคนหนึ่งเกี่ยวกับชื่อของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์  ที่ถูกส่งมาจากอัลเลาะฮ์  แต่เขาตอบว่าไม่รู้!!   ฉันไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอาสาสมัครเป็นทหารอีกนานเท่าไหร่  แต่ฉันรู้ว่า  ความหวังในชัยชนะสงครามดังกล่าวนั้นมีความขมขื่น  ฉันมั่นใจว่าค่อลิฟะฮ์อิสลามต้องล่มสลาย  เพราะทหารไม่ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรมและไร้พฤติกรรมที่ดีงาม

สำหรับความป่าเถื่อนที่เราได้ทนทุกข์ในสงครามดังกล่าวนั้น  บิดา (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า "เราได้มุ่งหน้าประจำการที่ชายแดนรัสเซียในช่วงฤดูหนาว  โดยที่ทหารไม่ได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือแก่เราในเรื่องของเครื่องนุ่งห่มอย่างเพียงพอเพื่อบรรเทาความเหน็บหนาวและหิมะที่ก่อตัวขึ้น   ฉันเองก็มีเพียงแค่เสื้อกันหนาวหนา ๆ เพียงตัวเดียวที่ใช้สวมใส่ในยามกลางวันและกลางคืน  ซึ่งบางครั้งฉันจำเป็นต้องให้ผู้อื่นที่มีความต้องการมากกว่ายืมเสื้อกันหนาว  จนกระทั่งฉันไม่มีเสื้อหนาวและผ้าห่มเลย"   บิดากล่าวอีกว่า "โรคโรมาติซึ่มนั้นทำให้ฉันต้องทนทุกข์มาเป็นระยะเวลานาน  เนื่องจากสาเหตุของความหนาวเหน็บในช่วงสงครามท่ามกลางหิมะซึ่งสองเท้าของฉันต้องจมอยู่ในหิมะเป็นเวลาหลายชั่วโมงในระหว่างการเดินทาง"
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เข้าสู่ชีวิตการแต่งงาน

ฉันไม่ทราบว่าบิดาแต่งงานก่อนเข้าร่วมรบในสงครามโลกหรือหลังจากที่กลับมาแล้ว  แต่ที่สำคัญในช่วงระยะเวลานี้  บิดาได้เปลี่ยนจากสถานะภาพโสดไปสู่ชีวิตการแต่งงาน  บิดาได้สู่ขอผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นเครือญาติ  ซึ่งนางคือบิดาของฉันที่มีนามว่า มันญีย์  และฉันไม่ค่อยทราบสักเท่าไหร่เกี่ยวกับเรื่องราวการสู่ขอและการแต่งงานของบิดา   แต่มารดาของฉันได้เคยเล่าถึงบุคลิกในช่วงวัยหนุ่งของบิดาให้ฉันฟัง  ปรากฏว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้มารดามีความประทับใจบิดาในวันที่เข้ามาสู่ขอนั้น  คือบิดามีความเอาจริงเอาจังในเรื่องของศาสนาเป็นเลิศ  ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความพึงพอใจและความใฝ่ฝันของนาง   และมารดายิ่งให้ความประทับใจบิดาเป็นพิเศษ  ก็ตอนที่บิดาชอบนั่งในสถานที่โล่งใกล้ ๆ บ้านเป็นเวลานาน  โดยทำการอ่านอัลกุรอานและอ่านบทซิกรุลลอฮ์

ในชีวิตการแต่งงานนั้น  บางครั้งสิ่งสำคัญที่ทำให้บิดาและมารดาของฉันมีความกังวลก็คือ  ทั้งสองยังไม่มีลูกชาย  หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ลูกชายคนหนึ่งแต่ทว่าความตายได้พรากเขาจากทั้งสอง  และในขณะที่ทั้งสองได้ให้กำเนิดบุตรชายอีกคน - ซึ่งฉันไม่รู้ว่าได้บุตรชายคนนี้ได้กำเหนิดหลังจากแต่งงานมาแล้วกี่ปี -  ซึ่งบุตรชายผู้นั้นก็คือผู้ที่เขียนหนังสือนี้(คือท่านชัยค์สะอีด ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์นั่นเอง) บิดาได้อุ้มบุตรน้อย(คือท่านชัยค์ มุฮัมมัด สะอีด อัลบูฏีย์เอง) ไปให้บรรดาอาจารย์คนหนึ่งของท่าน  ซึ่งบิดานั้นได้ให้เกียรติและเชื่อมั่นถึงความมีคุณธรรมของเขา   อาจารย์ท่านนั้นคือ ท่านชัยค์  สะอีด  ผู้โด่งดังด้วยฉายาเรียกที่ว่า "ชัยค์ ซัยยิดา"   ปรากฏว่าเขาได้ทำการขอดุอาอ์ให้แก่ฉันและทำการเปิดปากฉัน และชัยค์ได้ขอให้บิดาตั้งชื่อตั้งชื่อฉันเหมือนกับเขา  ดังนั้นบิดาจึงตั้งชื่อฉันว่า  "มุฮัมมัด สะอีด"  ทั้งที่บิดาของต้องการที่จะตั้งชื่อฉันว่า "มุฮัมมัด ฟะฏีล" 
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ปรากฏว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้มารดามีความประทับใจบิดาในวันที่เข้ามาสู่ขอนั้น  คือบิดามีความเอาจริงเอาจังในเรื่องของศาสนาเป็นเลิศ  ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความพึงพอใจและความใฝ่ฝันของนาง   และมารดายิ่งให้ความประทับใจบิดาเป็นพิเศษ  ก็ตอนที่บิดาชอบนั่งในสถานที่โล่งใกล้ ๆ บ้านเป็นเวลานาน  โดยทำการอ่านอัลกุรอานและอ่านบทซิกรุลลอฮ์[/b]

ชั่งน่าชื่นชมที่มารดาของท่านบูฏี....ที่พอใจและประทับใจที่จะเลือกสามี...อันมาจากสาเหตุเพราะนางพึงพอใจและใฝ่ฝันผู้ที่เอาจริงเอาจังเรื่องศาสนา....ฉะนั้นหากนางพอใจเลือกผู้เอาจริงเอาจังในเรื่องศาสนา...นางก็จะได้รับความดีงามของสามีที่มีความเคร่งครัดศาสนา......แต่หากผู้หญิงคนหนึ่งชอบผู้ชายเพราะร่ำรวยมีเงินใช้สอยสบาย....นางก็จะได้มีความสุขกับเงินตามที่นางต้องการ....หากผู้หญิงคนหนึ่งชอบผู้ชายที่ความหล่อ...นางก็จะได้แค่ความหล่อของสามีไปครอง.....แต่พอเงินมีความสุขกับเงินโดยสามีไม่ค่อยมีศาสนา...ทุกข์เริ่มตามมา.....ชอบคนหล่อพอแก่ตัวลงความหล่อก็หายหล่อแต่ไม่ละหมาดไม่เคร่งครัดในศาสนาทุกข์ก็ตามมา.....แต่บางคนชอบทั้งคนหล่อ...ที่มีศาสนาและร่ำรวย....อันนี้หายากครับ....แต่อย่างไรก็ตามผมเลือกผู้หญิงที่มีความเอาใจใส่ศาสนา....  

 

GoogleTagged