al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
มัซฮับเคาะลิฟะฮ์อัรรอชิดีนอยู่ใหน? ทำไมต้องมาสังกัดมัซฮับทั้งสี่ ?
ตอบ
มัซฮับเคาะลิฟะฮ์อัรรอชิดีนนั้น ผ่านการวินิจฉัยอยู่ในมัซฮับทั้งสี่แล้ว และเหตุใดจึงต้องจำกัดการตักลีดตามแค่มัซฮับทั้งสี่นั้น คำตอบก็คือ
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า บรรดานักปราชญ์ที่มีคุณสมบัติในการวินิจฉัย(อิจญฺฮาด) ในประชาชาติอิสลามที่มีสิริมงคลนี้ มีจำนวนมากมายที่คณานับไม่ได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะมาจากบรรดาซอฮาบะฮ์ ตาบิอีน และบรรดานักปราชญ์ยุคหลังจากพวกเขา แต่เพราะเหตุใดเล่าที่การตัดลีดมัซฮับทั้งสี่ถึงยังมีอิทธิพลต่อประชาชาติอิสลามจนถึงปัจจุบันนี้?? ดังนั้น เราขอมอบให้ท่าน อิบนุ รอญับ ทำการตอบคำถามนี้ให้แก่พวกเรา
ท่านอิบนุ รอญับ กล่าวว่า " หากถูกกล่าวว่า เรายอมรับถึงหลักการที่มีการห้ามคนเอาวามทั่วไปเข้ามาทำการวินิจฉัย เนื่องจากดังกล่าว จะนำไปสู่ความเสียหายอันใหญ่หลวง แต่เราไม่ยอมรับกับการห้ามตักลีดตามอิมามมุจญฺฮิดที่อื่นจากบรรดาอิมาม(ทั้งสี่)ผู้โด่งดังเหล่านั้น ? (ท่านอิบนุรอญับ) ตอบว่า " เรามีความตระหนักดีต่อเหตุผลในการห้ามจากสิ่งดังกล่าว(คือการห้ามตักลีดตามผู้อื่นจากอิมามมัซฮับทั้งสี่) กล่าวคือ บรรดามัซฮับอื่น ๆ นั้น ไม่มีความเลื่องลือ และไม่ได้ถูกกำหนดหลักการเอาไว้ เพราะว่าบางครั้งอาจจะมีการแอบอ้างกับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กล่าวแสดงทัศนะมันเอาไว้ หรือทำความเข้าใจไม่ตรงกับตามจุดประสงค์ที่พวกเขาต้องการ และบรรดามัซฮับเหล่านั้น ไม่มีผู้ใดทำการปกป้องและคอยบอกให้ทราบถึงความบกพร่องที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเด็นนั้น ๆ ได้ ซึ่งแตกต่างกับมัซฮับทั้งสี่ที่มีความเลื่องลือ" ดู หนังสือ อัรร๊อด อะลา มัน อิตตะบะอะ ฆ๊อร อัลมะซาฮิบ อัลอัรบะอะฮ์ หน้า 33
ดังนั้น สิ่งที่ท่านอิบนุรอญับได้กล่าวไว้ข้างต้น ย่อมมีความชัดเจน เนื่องจากคนหนึ่งจะไม่สามารถรู้ถึงมัซฮับของซอฮาบะฮ์ได้ แม้ว่าจะเป็นประเด็นหลัก ๆ ก็ตาม เช่นการละหมาดที่เป็นรุกุ่นที่ 2 ของอิสลาม ซึ่งบุคคลหนึ่งจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งใดเป็นฟัรดู สิ่งใดเป็นสุนัต ตามทัศนะของท่านอบูบักร (ร.ฏ.) ท่านอุมัร ท่านอุษมาน และท่านอลี (ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุม) และซอฮาบะฮ์ท่านอื่น ๆ
ด้วยเหตุที่มัซฮับของซอฮาบะฮ์ไม่ได้ถูกบันทึกหลักการเอาไว้ เราจึงพบว่า บรรดานักปราชญ์ระดับอาวุโสได้ห้ามทำการตัดลีดบรรดาซอฮาบะฮ์(ร.ฏ.) ยิ่งไปกว่านั้น บรรดานักปราชญ์ผู้ทรงคุณวุฒิได้มีมติต่อการห้ามตัดลีกซอฮาบะฮ์ที่กล่าวมาแล้วอีกด้วย
ท่านอิมาม อัลหะรอมัยน์ อัลญุวัยนีย์ เกิดปี 417 ฮ.ศ. เสียชีวิต ปี 478 ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลบุรฮานของท่านว่า "บรรดานักปราชญ์ผู้แน่แฟ้นในความรู้ลงมติเห็นพร้อมว่ากันว่า ไม่อนุญาติให้บรรดาคนเอาวาม ทำการยึดมัซฮับของบรรดาซอฮาบะฮ์(ร.ฏ.) แต่จำเป็นเหนือพวกเขา ต้องดำเนินตามมัซฮับของปวงปราชญ์ ที่ได้ทำการตรวจสอบ สังเคราะห์ จัดวางระเบียบบทต่าง ๆ มีการกล่าวถึงสถานะภาพของประเด็นปัญหาต่าง ๆ (ของฟิกห์) และมีการนำทัศนะทำกล่าวไปเทียบกับมัซฮับของนักปราชญ์ก่อนหน้านั้น และสาเหตุจากการนั้น ก็คือ บรรดาปวงปราชญ์ที่ล่วงผ่านมาแล้วนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบอย่างในศาสนา เป็นแบบฉบับของบรรดามุสลิมีนก็ตาม แต่พวกเขาไม่ได้ทุ่มเทและทิ้งผลงานในการจัดระเบียบแนวทางของการวินิจฉัย แจกแจงถึงวิธีการวิเคราะห์ วิธีโต้แย้ง หรือกำหนดหลักการพูดเอาไว้ และบรรดานักปราชญ์นิติศาสตร์ที่อยู่ช่วงหลังจากสมัยของพวกเขานั้น ก็มีความเพียงพอในการวิเคราะห์ถึงบรรดามัซฮับของซอฮาบะฮ์ ดังนั้น คนเอาวามทั่วไป ถึงถูกใช้ให้ตามมัซฮับของนักปราชญ์ผู้ตรวจสอบและวินิจฉัยได้เท่านั้น"
ท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลฟะตาวา อัลฟิกฮียะฮ์ อัลก๊อบรอ เล่ม 4 หน้า 340 ว่า "ท่านอิบนุซอลาห์ได้มีความมั่นใจด้วยคำกล่าวเสริมของท่าน อัลหะรอมัยน์ ที่ว่า แท้จริง คนเอาวามทั่วไปจะไม่ตักลีดตามตาบิอีน และผู้ที่เป็นเจ้าของมัซฮับที่ไม่ได้ถูกบันทึกหลักการเอาไว้ แต่เขาสามารถตักลีดตามมัซฮับของนักปราชญ์มุจญฺฮิดที่มีความแพร่หลายและถูกบันทึกหลักการเอาไว้ คือ จนกระทั่งมีหลักการ จำกัดคำ(มุก๊อยยัด)ที่มีความหมายแบบกว้าง ๆ(มุฏลัก) หรือมีการทอนความหาย(ตักซีซ)กับคำที่มีความครอบคลุม(อาม)อยู่ในมัซฮับด้วย ซึ่งแตกต่างกับมัซฮับของตาบิอีน ซึ่งมีเพียงฟัตวาเท่านั้นที่ถูกถ่ายทอดมาจากพวกเขา แต่บางครั้งฟัตวาเหล่านั้น ยังต้องถูกเสริมให้สมบูรณ์ ต้องถูกจำกัดความหรือทอนความหมายให้กับมัน ซึ่งหากมีนักปราชญ์ผู้หนึ่งได้ทำการขยายความ(เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว)แล้ว ความแตกต่างของทัศนะก็จะเกิดขึ้น ดังนั้น จึงห้ามการตักลีดตาบิอีน อันเนื่องจากมีอุปสรรคในการทราบถึงข้อเท็จจริงจากมัซฮับของพวกเขา"
และจากคำกล่าวของนักปราชญ์ที่ผ่านมานั้น ย่อมมีความชัดเจนแล้วว่า สาเหตุที่ห้ามการตัดลีดตามมัซฮับอื่นจากมัซฮับทั้งสี่นั้น (เช่นมัซฮับของคอลาฟาอ์อัรรอชิดีน บรรดาซอฮาบะฮ์ และตาบิอีน) เพราะไม่มีหลักการที่ชัดเจนและแน่นอนจากมัซฮับของพวกเขา แต่หากว่าความชัดเจนได้เกิดขึ้น ก็อนุญาติให้ตักลีดตามนักปราชญ์มุจญฮิดจากซอฮาบะฮ์และตาบิอีนได้ แต่กรณีนี้สามารถนำมาปฏิบัติเพียงส่วนตัวเท่านั้น คือจะนำมาฟัตวาหรือตัดสินปัญหาใดปัญหาหนึ่งย่อมไม่ได้ ส่วนผู้ทำการฟัตวาหรือพิพากษา ก็จะต้องไม่ออกจากมัซฮับทั้งสี่ ซึ่งกรณีนี้ย่อมเป็นที่ชัดเจนและถูกยอมรับโดยประชาชาติอิสลามได้ลงมติเห็นพร้องในเชิงปฏิบัติไว้แล้ว เพราะประเทศอิสลามทั้งหมดต่างก็ทำการตัดสินตามมัซฮับทั้งสี่และผู้ดำรงตำแหน่งมุฟตีในประเทศอิสลามนั้น ก็มาจากมัซฮับทั้งสี่
al-azhary ผู้แต่งหนังสือกล่าวว่า
การวิเคราะห์ของดะลาวีย ในสารอัลอินศ้อฟว่า แนวความคิด(มัสหับ) นั้นเป็นอุตริกรรม??!!
"ดังนั้นผู้ใดที่ได้ยึดเอา คำกล่าวของอบูหะนีฟะทั้งหมด คำกล่าวของมาลิกทั้งหมด คำกล่าวของชาฟีอีทั้งหมด คำกล่าวของอะหมัดทั้งหมด หรือคำกล่าวของคนอื่นทั้งหมดมายึดถือ และไม่ได้อาศัยสิ่งที่มาจากคัมภีร์และแนวทาง(ซุนนะ)ก็เท่ากับว่าเขาฝ่าฝืน การเห็นพ้องต้องกันของประชาชาติทั้งหมดหรือเขาไม่ได้ดำเนินตามหนทางของบรรดาผู้ศรัทธา" สรุปจาก หนังสือ มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่ ? ฉบับแปลไทย หน้าที่ 20 และฉบับภาษาอาหรับ หน้า 91
วิจารณ์
เราขอกล่าวว่าคำกล่าวนี้ไม่ได้รับการยืนยันจากท่าน อัดดิฮ์ลาวีย์ ในประเด็นของคนมุก๊อดลิดที่ไม่สามารถทำการวินิจได้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสืออัลอินซ๊อฟและหนังสืออัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮ์ของท่าน
แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อเราไปดูหนังสือของอัลอินซ๊อฟ และหนังสืออัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮ์ ของท่านอัดดิฮ์ลาวีย์ ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า
إن هذه المذاهب الأربعة المدونة المحررة قد إجمعت الأمة أو من يعتد به منها على جواز تقليدها إلى يومنا هذا ، وفى ذلك من المصالح مالا يخفى ، لا سيما فى هذه الأيام التى قصرت فيها الهمم جدا وأشربت النفوس الهوى وأعجب كل ذى رأى برأيه
ความว่า " แท้จริง บรรดามัซฮับทั้งสี่ที่ได้ถูกบันทึกหลักการไว้เรียบร้อยแล้ว อุมมะฮฺอิสลามได้ลงมติหรือผู้ที่ถูกนับด้วยกับเขาจากการลงมติได้ มีมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้ทำการตักลีดตามบรรดามัซฮับทั้งสี่ได้ จนกระทั้งถึงวันของเรานี้ และในสิ่งดังกล่าวเป็นการรักษาไว้ซึ่งประโยชน์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบรรดายุคสมัยนี้ ซึ่งบรรดาปฏิธานความุ่งมั่นได้ถดถอยลงไปอย่างมาก และบรรดาจิตใจได้ดื่มด่ำกับอารมณ์ และทุก ๆ ผู้มีความเห็น ต่างก็อวดว่าดีด้วยความเห็นของเขา " ดู หนังสือ อัลอันซอฟ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ หน้า 53 และหนังสือ อัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮฺ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ เล่ม 1 หน้า 123 ตีพิมพ์ที่ อัลค๊อยรียะฮ์
ท่านอัดดะฮฺละวีย์ ซึ่งท่านได้กล่าวต่อจากหน้าที่ 123 จากหนังสือ อัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮฺ โดยที่ท่านอัดดะฮฺละวีย์ได้กล่าวอย่างชัดจนว่า ไม่ห้ามในการเฉพาะเจาะจงอิมามคนหนึ่งคนใด ท่านวะลียุลเลาะฮฺ อัดดะฮฺละวีย์ กล่าวต่อว่า
وكيف ينكر هذا أحد مع أن الإستفتاء والإفتاء لم يزل بين المسلمين من عهد النبى صلى الله عليه وسلم ، ولافرق بين أن يستفتى هذا دائما ، أو يستفتى هذا حينا وذاك حينا، بعد أن يكون مجمعا على ماذكرنا ، كيف لا ولم نؤمن بفقيه أياً كان أنه أوحى الله إليه الفقه وفرض علينا طاعته وأنه معصوم، فإن إقتدينا بواحد منهم فذالك لعلمنا بأنه عالم بكتاب الله وسنة رسوله ، فلا يخلو قوله إما أن يكون من صريح الكتاب والسنة أو مستنبطاً منهما بنحو من الإستنباط أو عرف بالقرائن أن الحكم فى صورة ما منوطة بعلة كذا وإطمأن قلبه لتلك المعرفة فقاس غير المنصوص على المنصوص ، فكأنه يقول : ظننت أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال : كلما وجدت هذه العلة فالحكم هكذا ، والمقيس مندرج فى هذا العموم ، فهذا أيضاً معزى إلى النبى صلى الله عليه وسلم ولكن فى طريقه ظنون ، ولولا ذلك لما قلد مؤمن مجتهدا .
ความว่า " บุคคลหนึ่ง จะปฏิเสธกับกรณีนี้ได้อย่างไร ? ทั้งที่การถามเพื่อขอฟัตวา หรือการทำการฟัตวา ยังคงมีอยู่ระหว่างบรรดามุสลิมีน ตั้งแต่จากยุคสมัยของท่านนบี(ซ.ล.) โดยที่ไม่มีการแบ่งแยกใด ๆ ระหว่างการขอฟัตวากับ(อิมาม)คนนี้ตลอดไป หรือขอฟัตวากับ(อิมาม)คนนี้ชั่วขณะหนึ่ง หรือ(อิมาม)คนนั้น ชั่วขณะหนึ่งไม่ได้หลังจากที่มันได้เป็นมติแล้วตามสิ่งที่เราได้กล่าวมา ทำไมจะไม่ได้ล่ะ โดยที่เราไม่เคยเชื่อว่าจะมีนักวิชาการฟิกหฺคนใดคนหนึ่งที่อัลเลาะฮฺได้ทรงประทานวะหฺยูกับวิชาฟิกหฺไปยังเขา และพระองค์ทรงกำหนดให้เราภักดีต่อเขา และเชื่อว่าเขานั้นปราศจากความผิด ดังนั้น แท้จริง การที่เราได้เจริญรอยตาม คนหนึ่งคนใดจากพวกเขา โดยที่เป็นแบบนั้น อันเนื่องจากเรารู้ว่า เขาเป็นผู้ที่มีความรู้ในอัลกุรอานและซุนนะฮฺของร่อซูล ดังนั้น คำพูดของเขาไม่พ้นจากการที่ว่า บางทีเขาพูด(วินิจฉัย)มาจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺที่ชัดเจน หรือทำการวินิจฉัยจากทั้งสองด้วยวิธีการหนึ่งจากการวิจัยหรือเขารู้บรรดาข้อความแวดล้อมที่บ่งชี้ว่า แท้จริงหุกุ่มที่อยู่ในรูปแบบหนึ่งรูปแบบใดนั้น จะเกี่ยวพันธ์อยู่กับเหตุผลอย่างนั้น อย่างนี้ และหัวใจของเขาก็มีความมั่นคง ให้กับการรับรู้สิ่งดังกล่าว ดังนั้นเขาก็ทำการอนุมาณสิ่งที่ไม่ได้ระบุตัวบทเอาไว้ ไปเทียบเคียงกับสิ่งที่ได้ระบุตัวบทเอาไว้ ซึ่งเหมือนกับเขาได้กล่าวว่า ฉันคาดว่า ร่อซูลได้กล่าวไว้ว่า ทุกครั้งที่มีเหตุผล(ของหุกุ่มนั้น) หุกุ่มของมันก็เช่นนั้นด้วย และสิ่งที่ถูกเทียบเคียงนั้น ย่อมอยู่ภายใต้ความหมายที่ครอบคลุมนี้(คือเมื่อมีเหตุผลเหมือนกัน หุกุ่มก็เป็นเช่นนั้นด้วย เช่นเหล้านั้นเมา และหะรอม นะบีซฺ(เหล้าองุ่น)ก็ทำให้เมา ดังนั้นนะบีซฺก็หะรอมด้วย) ดังนั้น อันนี้ก็เช่นกัน ที่ถูกอ้างอิงไปยังท่านนบี(ซ.ล.)ได้ แต่หนทางของมัน(การอ้างอิงไปหานบี)นั้น เพียงแค่ค่อนข้างถูกต้องเท่านั้นเอง ซึ่งหากไม่มีสิ่งดังกล่าว มุอฺมินคนหนึ่งก็จะไม่ตักลีดตามมุจญฺฮิด " ดู หนังสืออัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮฺ หน้า 124 - 125
เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านผู้อ่านโปรดลงพิจารณาคำพูดของท่านอัดดิฮ์ลาวีย์ที่ไปค้านคำกล่าวของผู้แต่งหนังสือที่อ้างว่าท่านอัดดิฮ์ลาวีย์ได้กล่าวตามที่ผู้อ้างอิงไว้ข้างต้นทั้งที่มันไม่เป็นความจริงแต่ประการใด? ดังนั้น เราจึงไม่ทราบว่าแรงผลักดันอันใดที่ทำให้ผู้แต่งหนังสือเล่มถึงอ้างไปยังท่านอัดดิฮ์ลาวีย์อย่างนั้น
asan น้องบ่าว al-azhary ถามว่า
ผมขอถามหน่อยครับว่า หากคนเอาวามมีปัญหาเกิดขึ้น จะให้พวกเขาไปหาใคร? ไปหยิบอัลกุรอานมาเปิดอ่านและทำความเข้าใจกันใช่ไหม? อ่านไม่ออกแล้วทำไงล่ะครับ? จะไปเปิดตำหะดิษใช่ไหมครับ ? เปิดแล้วอ่านไม่ออก หากอ่านออกก็ไม่แปลไม่ได้ไม่เข้าใจ ? แล้วพวกเขาจะกลับไปหาใครครับบังอะสัน ? หรือว่าคนเอาวามพวกนี้ต้องไม่ใช่เป็นผู้ศรัทธาเพราะหวนกลับไปยังอัลกุรอานและซุนนะฮ์ไม่ได้ เลยต้องไปถามผู้รู้??
ตอบ
น้องบ่าวมีความรู้ เป็นปัญญาชน แค่คำถาม เหมือนเด็กอนุบาลถามครู น้องบ่าวครับ คนไม่รู้ มีหน้าที่(วาญิบ)ต้องถาม ผู้มีความรู้ และต้องเป็นผู้ที่มีความรู้จริงด้วย ดังที่อัลกุรอ่าน ระบุว่า
فاسألوا أهل الذكر إن كنتم لاتعلمون
พวกเจ้าจงถามผู้รู้ หากพวกเจ้าไม่รู้ - อัลนะหลิ/43
ألا سألوا إذ لم يعلموا، فإنما شفاء العي السؤال
พวกท่านไม่ถามหรอกหรือ เมื่อพวกท่านไม่รู้ ความจริง ยาของความโง่ คือ การถาม - อบูดาวูด หะดิษหมายเลข 384
رواه أبو داود في باب الطهارة 1: 142 رقم: 336.
...........
เพราะฉะนั้น อิสลามสอนให้แสวงหาความรู้ ไม่ใช่ยอมอยู่ในสภาพโง่ดักดาน ไม่ยอมเรียน ไม่ยอมศีกษาหาความจริง และการแสวงหาความจริง ต้องศึกษาจากผู้รู้จริง และความจริงนั้น ในศาสนานั้น ต้องมาจากอัลลอฮและรอซูล มาดูตัวอย่างคนที่ไม่อยากโง่
وقال أبو العسيف إنّ ابني كان عسيفاً على هذا فزنى بامرأته فافتديت منه بمائة شاه وخادم ثم سألت رجالاً من أهل العلم فأخبروني أن على ابني جلد مائة، وتغريب عام وعلى امرأته هذا الرجم
และอบูอุสัยฟ์ กล่าวว่า ?แท้จริงบุตรชายของข้าพเจ้า ได้ทำการละเมิดต่อชายผู้นี้ แล้วเขา(บุตรชาย)ได้เล่นชู้กับภรรยของเขา แล้วข้าพเจ้าได้ไถ่ตัวเขา ด้วยแพะหนึ่งร้อยตัวและ คนรับใช้หนึ่งคน ต่อมา ข้าพเจ้าได้ถาบบรรดาชายที่มีความรู้ แล้วพวกเขาบอกข้าพเจ้าว่า แท้จริง บุตรขายของข้าพเจ้าจะต้องถูกลงโทษโดยการโบย 100 ครั้งและเนรเทศหนึ่งปี และภรรยาของชายผู้นี้ จะมีโทษโดยการขว้างด้วยก้อนหินจนตาย
البخاري 4: 1672، مسلم 2: 69 باب الاعتراف بالزنى.

..
จากหะดิษข้างต้น จะพบว่า ตอนแรกอบูอุสัยฟ์ ทำไปเพราะความไม่รู้ แต่ต่อมาก็พยายามถามผู้มีความรู้ หลายคน จนได้ข้อเท็จจริง นี้คือ ตัวอย่างของผู้แสวงหาสัจธรรม ไม่ใช่นั่งโง่ดักดาน ยอมอยู่ในสภาพคนอาวาม โดยไม่แสวงหาความจริง และคอยที่จะปิดตาให้คนอื่นมาป้อน ซี่งไม่รู้ว่า สิ่งที่คนมาป้อนให้ มันเป็นอะไร
.....................
ที่นี้มาดูฝ่ายผู้มีความรู้ นั้น ก็ต้องรู้จริง และมีจรรยาบรรในการถ่ายทอดความจริงให้กับผู้ไม่รู้ จะถูกสอนอะกีดะฮให้แก่ผู้ไม่รู้ว่า ศาสนาอิสลาม ต้องมาจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ไม่ใช่การตักลิดมัซฮับ แบบหูหนวกตาบอด ไม่ใช่ปิดตาชาวบ้านโดยสอนว่า คนอาวามต้องตามมัซฮับ
من أفتى بغير علم كان إثم ذلك على الذي أفتاه".
ผู้ใดฟัตวา(ตอบปัญหาศาสนา) โดยไม่มีความรู้ ความผิด(บาป)นั้น จะตกอยู่ที่ผู้ที่ฟัตวามัน ? รายงานโดย อะหมัดและอิบนุมาญะฮ
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาสอนไม่ใช่หรือว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلاً
[4.59] ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเชื่อฟังร่อซู้ลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮ์ และร่อซู้ล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง - 4/59
.....................
จะสอนให้ชาวบ้านโง่ หรือสอนให้พวกเขาตาสว่าง ก็พิจารณาเอาเอง
asan إن هذه المذاهب الأربعة المدونة المحررة قد إجمعت الأمة أو من يعتد به منها على جواز تقليدها إلى يومنا هذا
ความว่า " แท้จริง บรรดามัซฮับทั้งสี่ที่ได้ถูกบันทึกหลักการไว้เรียบร้อยแล้ว อุมมะฮฺอิสลามได้ลงมติหรือผู้ที่ถูกนับด้วยกับเขาจากการลงมติได้ มีมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้ทำการตักลีดตามบรรดามัซฮับทั้งสี่ได้ จนกระทั้งถึงวันของเรานี้
...............
ตอบ
ข้างต้น คือ ความเห็นที่ถูกนักมาเป็นหุกุม ศาสนาว่า ด้วยการตักลิดมัซฮับ จึงอยากจะถามว่า ตักลิดแบบใหน
ตามแบบเชื่อตามโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง หรือ เจริญรอยตามคำสอนที่ถูกถ่ายทอดมาโดยมีหลักฐานจากอัลลอฮและรอซูล ? ตามแบบไม่มีเงื่อนไข หรือ ตามหลักฐาน? มาดูคำตอบ
قال شيخ الإسلام ابن تيمية:
وإذا نزلت بالمسلم نازلة فإنه يستفتي من اعتقد أنه يفتيه بشرع الله ورسوله من أي مذهب كان، ولا يجب على أحد من المسلمين تقليد شخص معين من العلماء في كل ما يقول، ولا يجب على أحد من المسلمين التزام مذهب شخص معين من العلماء في كل ما يوجبه ويخبر به، بل كل أحد من الناس يؤخذ من قوله ويترك إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم، واتباع شخص لمذهب بعينه لعجزه عن معرفة الشرع من غير جهته إنما هو مسوغ له، ليس هو مما يجب على كل أحد إذا أمكنه معرفة الشرع بغير ذلك الطريق، بل كل أحد عليه أن يتقي الله ما استطاع ، ويطلب علم ما أمر الله به ورسوله ، فيفعل المأمور ويترك المحظور. أ.هـ (مجموع الفتاوى 20/208-209).
และเมื่อมุสลิมประสบกับความยุ่งอยากลำบาก(ในกรณีคนอาวามค้นหาหลักฐานเองไม่ได้) ความจริง ให้เขาขอคำฟัตวา กับผู้ที่เขาเขื่อว่า เขาผู้นั้น ฟัตวา ตามบัญญัติของอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ จากมัซฮับใหนก็ได้ที่มีอยู่ และไม่วาญิบแก่มุสลิมคนใด ให้ตักลิด(เชื่อตาม)คนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะจากบรรดาอุลามาอ ในทุกคำพูดที่เขากล่าว และไม่วาญิบแก่มุสลิมคนใด ยึดติดอยู่กับมัซฮับของบุคคลใดโดยเฉพาะ จากบรรดาอุลามาอ ในทุกสิ่งที่เขาว่าจำเป็น และที่เขาไห้เลือกมัน แต่ทว่า มนุษย์ทุกคน คำพูดของเขาถูกนำเอามาปฏิบัติและถูกะทิ้ง ยกเว้น คำพูดของท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และการที่บุคคลหนึ่ง ปฏิบัติตามมัซฮับ(ทัศนะ)ของบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะเขาไม่มีความสามารถ รู้เรื่องศาสนาได้อื่นจากวิธีนั้น แท้จริง มันคือ ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อนุญาตให้แก่เขาเทานั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแก่ทุกคน เมื่อเขาสามารถ รู้ศาสนา ด้วยอื่นจากหนทางดังกล่าวนั้น แต่ทว่า ทุกคน จำเป็นจะต้องยำเกรงต่ออัลลอฮ เท่าที่เขาสามารถ และ เขาจะต้องแสวงหา ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ทรงใช้ แล้วปฏิบัติตามสื่งที่ถูกใช้ และละทิ้งสิ่งที่ถูกห้าม - วัลลอฮุอะลัม - อัลฟะตาวา 20/308-309
..............
นี้คือ แนวทางการตามมัซฮับ ไม่ใช่สังกัดมัซฮับ
asanท่านอิหม่ามชาฟิอี(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
: أجمع الناس على أن من استبانت له سنة عن رسول الله صلى الله عليه وسلم لم يكن له أن يدعها لقول أحد من الناس
อิหม่ามชาฟิอีย์ กล่าวว่า "เป็นมติของบรรดามนุษย์(หมายถึงอุลามาอ)ว่า บุคคลใดก็ตามที่สุนนะฮจากท่านรซูลุ้ลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ปรากฏชัดเจนแก่เขา ก็ไม่อนุญาตให้เขาละทิ้งมัน(สุนนะฮ) เพื่อไปเอาคำพูดคนหนึ่งคนใดจากมนุษย์" - อะอลามุลมุวักกิอีน เล่ม 2 หน้า 263
...........
ข้างต้นคือ คำสอนอิหม่ามชาฟิอีย์ ส่วนการสังกัดมัซฮับตามภาษาชาวบ้าน จะถือเอาคำสอนมัซฮับเป็นหลัก หะดิษใดไม่ตรงกับมัซฮับของตน ก็ไม่เอามาปฏิบัติ นี้คือความเป็นจริงในสังคม
MUSTAKEEM ผมขอวิจารณ์ว่าในหนังสือ "มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่?"นั้น ท่านผู้เขียนต้องการที่จะสื่อให้รู้ว่าผู้ที่ ตามมัซฮับโดยตาบอดหลับหูหลับตาตาม ทั้งๆที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ค้านกับของท่าน รอซูล(ศล)เขาก็ยังจะตามบุคคลผู้เป็นเจ้าของมัซฮับนั้น ไม่ได้จงใจว่าจะเป็นแค่ มัซฮับทั้ง 4 เท่านั้นแต่ก็เป็นทุกๆ ผู้คนที่ได้ฟัตวาซึ่งที่ขัดกับ ฮะดิษ อย่างนี้ ฮะรอม และผู้ที่ตามผู้ฟัตวานั้นได้รู้ถึ่ง ฮะดิษ ซอเฮียะแล้ว เขาก็ยังจะตามผู้ที่ฟัตวานั้น นี่ก็ฮะรอม เพราะทั้ง 4 มัซฮับใหญ่ๆ ก็ได้แน่นเรื่อง ฮะดิษซอเฮียะนั้นคือมัซฮับของพวกเขา แต่ที่เป็นปัญหาก็คือไม่มีฟัตวาจากเจ้าของมัซฮับ แต่ผู้ตามได้โยนไปให้เขาโดยอ้างว่าได้มาจากพวกเขา(4มัซฮับ)และผู้ตามก็ได้ทำการเรียนการสอนจนทุกวันนี้โดยบางที่การเรียนการสอนนั้นในขนะนั้นผู้ที่ทำการสอนยังไม่รู้เลยว่าฮะดิษที่ทำการสอนนั้น อ่อน ปล่อม เพื่อที่จะนำมาปฎิบัติเป็นศาสนะกิจหรือไม่อย่างไร.
เจ้าของ 4 มัซฮับนั้นก็คือโต๊ะครูผู้ที่มีความรู้มากคนหนึ่งและพวกเขาได้พยายามที่จะสอนให้แก่ลูกหลานให้เอาท่าน รอซูล(ศล)เป็นเยี่ยงอย่างและพวกเขาได้ถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นมาให้รุ่นเราๆ ได้เข้าใจกัน ก็เหมือนกับบรรดาซอฮาบัต(รฎ)ได้สอนลูกหลานของเขาว่าท่าน ศาสดา(ศล)ได้กระทำอย่างนั้นทำอย่างนี้และให้ทำตามเท่านั้นนะครับ และพวกเขาก็ไม่ได้กล่าวว่าให้ทำตามพวกเลย
Salafy อัสลามมุอะลัยกุม
ถ้ามุสลิมต้องสังกัดมัซฮับ....ใครก้อได้ช่วยบอกหน่อยครับว่า
1.มัซฮับไหนดีที่สุด??? (เลือกมาอันเดียวนะ...อย่าบอกว่าทุกอันดีหมด..เพราะถามไปว่า อันไหน"ดีที่สุด" น่ะครับ)
2.แล้วทำไมถึงเลือกมัซฮับนี้??
...เผื่อว่าบางคนอาจจะได้คำตอบจากการตอบคำถามนี้