ผู้เขียน หัวข้อ: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ  (อ่าน 12429 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: ต.ค. 10, 2008, 07:24 AM »
0
 salam

อัลเลาะฮ์ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า

أَنَّ الشَّيْطَانَ لَكُمْ عَدُوٌّ إِنَّمَا يَدْعُوْ حِزْبَهُ لِيَكُوْنُوْا مِنْ أَصْحَابِ السَّعِيْرِ

"แท้จริง มารชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงถือว่ามันเป็นศัตรู แท้จริง มันเรียกร้องพลพรรคของมัน เพื่อให้พวกมันเป็นสหายแห่งไฟลุกโชติช่วง"

========== ว่าง ๆ จะนำต้นฉบับหนังสือตัฟซีรอัศศอวีย์ที่อธิบายอายะฮ์มาแสกนให้พี่น้องได้เก็บมันเอาไว้ครับ อินชาอัลเลาะฮ์ ==========




ท่าน  อิมาม  อัช-ชัยค์  อัศ-ศอวีย์  กล่าวไว้ในตัฟซีร  ของท่าน  ว่า

وَقِيْلَ هَذِهِ الأيَةُ نَزَلَتْ فِىْ الخَوَارِجِ الَّذِيْنَ يُحَرِّفُوْنَ تَأْوِيْلَ الكِتَابِ وَالسُّنَّةِ وَيَسْتَحِلُّوْنِ بِذَلِكَ دِمَاءَ الْمُسْلِمِيْنَ وأَمْوَالَهُمْ كَمَا هُوَ مُشَاهَدٌ الآنَ فِيْ نَظَائِرِهِمْ وَهُمْ فِرْقَةٌ بِأَرْضِ الحِجَازِ يُقَالُ لَهُمُ الْوَهَّابِيَّةُ يَحْسِبُوْنَ أَنَّهُمْ عَلىَ شَيْءٍ أَلاَ إِنَّهُمْ هُمُ الْكَاذِبُوْنَ

"ถูกกล่าวว่า  อายะฮ์นี้  ถูกประทาน  เกี่ยวกับพวกค่อวาริจญฺ  ซึ่งที่พวกเขา ได้ทำการบิดเบือนกับการตีความอัลกุรอานและซุนนะฮ์  โดยที่พวกเขาได้ทำการหะลาลเลือดและทรัพย์สินของบรรดามุสลิมมีน ด้วยกับสิ่งดังกล่าว  เสมือนที่ได้ปรากฏเห็นในปัจจุบัน(คือในสมัยของท่านอัศ-ศอวีย์)  โดยที่พวกเขาเหล่านั้น  คือชนกลุ่มหนึ่ง  ที่อยู่ ณ แผ่นดินหิญาซฺ (แถบนัจญฺดีย์  มักกะฮ์ และมะดีนะฮ์ ปัจจุบัน)  ซึ่งพวกเขาถูกเรียกว่า กลุ่มวะฮาบียะฮ์  พวกเขาคิดว่าตนเองอยู่บนสิ่งหนึ่ง(ที่เป็นสัจจะธรรม) แต่พึงทราบเถิดพวกเขาคือบรรดาผู้ที่โกหกมุสา"  ดู  ฮาชียะห์อัศ-ศอวีย์  อธิบายซูเราะฮ์  อัล-ฟาฏิร  อายะฮ์ที่ 6   ตีพิมพ์ที่  มุสตอฟา  อัล-หะละบีย์ และฮาชียะฮ์ อัศศอวีย์ 3/307-308 ตีพิมพ์ ที่โรงพิมพ์อัลมัชชัดอัลฮุซัยนีย์ โคโร อียิปต์

แต่ในปัจจุบัน  ข้อความสีน้ำเงินตรงนี้  วะฮาบีย์ต่างว่าจ้างทุ่มงบลงทุน  ให้โรงพิมพ์อื่นๆ ให้ทำการตัดทอนข้อความที่มาเปิดโปงประวัติของวะฮาบีย์นี้ออกไป  โรงพิมพ์ใหนที่ตีพิมพ์ต้นฉบับแท้ดังกล่าวพวกเขาจะกว้านซื้อให้หมดเพื่อนำไปเผา

วัลลอฮุอะลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 19, 2008, 07:44 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: ต.ค. 10, 2008, 09:44 AM »
0
บังอัลฯ ช่วยนำเสนอชื่อของอุละมาอ์ต่างๆ ที่เกิด หรือตาย ก่อนหรือหลังท่านอิบนุตัยมียะฮ์ และท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ หน่อยได้ไหมครับ เพื่อจะได้แยกแยะถูกว่าใครตามใคร รวมทั้งผู้ร่วมสมัยกับท่านทั้งสองด้วย - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ นูรุ้ลอิสลาม

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1356
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: ต.ค. 10, 2008, 02:20 PM »
0
อัสลามุอะลัยกุ้มฯ

       ความรู้ใหม่ครับ  ที่ประวัติศาสตร์กำเนิดวะฮาบีขัดแย้งกับซุนนะฮ์และขัดแย้งกับคำสาบานยืนยันของท่านนบี(ซ.ล.)  อย่างนี้แสดงว่าประวัติศาสตร์บทนำที่เขียนกันมาอย่างสวยหรูนั้น  เป็นนิยายปรัมปราเพื่อมาสนับสนุนแต่งแต้มความชอบธรรมการกำเหนิดวะฮาบีย์ซะน่ะครับ

วัลลอฮุอะลัมบิสศ่อวาบ
لا إله إلا الله محمد رسول الله

ออฟไลน์ คนอยากรู้

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 621
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: ต.ค. 10, 2008, 06:07 PM »
0
อ้างถึง
เพราะผมฟังมุรีดพูดอย่าง
อ่านที่นี่รู้อีกอย่าง

เป็นธรรมดาครับคุณkirah_1ที่มุรีดไม่ยอมรับว่า ตัวเองเป็นวาฮบีย์  เพราะชื่อนี้พวกเขาจะเเสลงหู นอนไม่ค่อยหลับ ขึ้นมา ในขณะเดียวกันถ้ามีใครเรียกเขาว่า กลุ่มซุนนะ แล้วพวกเขาจะปลื้มใจครับ fouet:


ตามที่จริงพวกเรา  หรือใครๆก็เรียกเขาว่ากลุ่มซุนนะได้นี้ครับ  แต่เป็น ซุนนะวาฮาบียะ ไงครับน้อง   love

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: ต.ค. 10, 2008, 08:31 PM »
0
เค้ากลัวอะไร หรือขยะแขยงอะไรกันนักกันหนาครับ กับไอชื่อ "วะฮาบีย์" ตาหลกลีจัง พี่น้อง ถ้าจะให้เรียกพวกตนว่า สะละฟีย์ ถ้างั้นพี่น้อง 4 มัฑฮับก็สมควรถูกเรียกว่า "สะละฟีย์" มากกว่า เพราะพวกเขาตามบรรดาอิมามแห่งสลัฟที่เลื่องชื่อลือนาม อีกทั้งก็ตามแบบอุละมาอ์สลัฟ คือ ท่านอิมามอบุลหสัน อัลอัชอะรีย์ (อะชาอิเราะฮ์) ท่านอบูมันศูรฺ อัลมาตูรีดียะฮ์ (มาตูริดียะฮ์) ท่านอิมามอะหฺมัด บิน หัมบัล (หะนาบิละฮ์) แล้วทีนี้ใครเอ๋ยที่สมควรถูกเรียกว่า "สะละฟีย์" หรือผู้ตามสลัฟที่แท้จริง แล้วไม่ทราบว่าท่านอิบนุ ตัยมียะฮ์ ท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ เป็นสลัฟกะเค้าด้วยไหมเนี่ยะ เห็นชอบตามกันจัง - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ idristime

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 4
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: ต.ค. 13, 2008, 04:16 PM »
0
http://www.alisuasaming.com/qa/index.php?topic=96.0

บังแดง
  ละหมาดตามหลังวาฮาบีย์เซาะห์หรือปล่าว
« เมื่อ: ตุลาคม 04, 2008, 10:12:18 pm » 
--------------------------------------------------------------------------------
อยากทราบอ่ะครับ เห็นมีคนบอกว่า คนอากีดะห์เสีย ละหมาดตามไม่ได้ ช่วยอธิบาย คน บอดอ อย่างผมด้วยครับ 

อ.อาลี เสือสมิง

  Re: ละหมาดตามหลังวาฮาบีย์เซาะห์หรือปล่าว
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2008, 07:16:23 pm » 

--------------------------------------------------------------------------------

الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد  ؛


นักวิชาการสังกัดมัซฮับอัชชาฟิอีย์ กล่าวว่า : การละหมาดตามหลังคนฟาซิกนั้นถือว่าใช้ได้ ไม่ใช่สิ่งต้องห้าม แต่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ (มักโระฮฺ) และเช่นกัน การละหมาดตามหลังผู้ประกอบอุตริกรรม (มุบตะดิอฺ) ซึ่งมิได้ตกศาสนา (กุฟร์) ด้วยการทำอุตริกรรมของตนนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ (มักโระฮฺ) และการละหมาดนั้นใช้ได้ (เซาะฮฺ) แต่ถ้าหากผู้ประกอบอุตริกรรมนั้นตกศาสนา (กุฟร์) ด้วยการทำอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) ของตน  ก็ถือว่าการละหมาดตามบุคคลเช่นนี้ใช้ไม่ได้เหมือนกับผู้ปฏิเสธทั่วไป


และส่วนหนึ่งจากผู้ที่ตกศาสนา (กุฟร์) นั้นคือผู้ที่กล่าวว่าพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) มีเรือนร่างเช่นมนุษย์อย่างชัดเจน และผู้ที่ปฏิเสธความรู้ของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ในส่วนที่เป็นรายละเอียด ส่วนพวกมุอฺตะซิละฮฺ (ที่กล่าวว่าอัลกุรอานเป็นมัคลู๊ก) นั้น ท่านอัลกอฟฟาลและนักวิชาการสังกัดมัซฮับอัชชาฟิอีย์จำนวนมากกล่าวว่า : อนุญาตให้ละหมาดตามพวกเขาได้ อิหม่ามอันนะวาวีย์ (ร.ฮ.) ระบุว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และท่านอิหม่ามอัชชาฟิอีย์ (ร.ฎ.) ระบุว่า : ชาวสะลัฟและคอลัฟยังคงเห็นว่าให้ละหมาดตามหลังพวกมุอฺตะซิละฮฺและพวกที่เหมือนพวกเขาและมีการสมรสและรับมรดกตลอดจนการใช้หลักการทั่วไปกับพวกเขา (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน อัลมัจญ์มูอฺ ชัรฮุ้ลมุฮัซซับ ; อันนะวาวีย์ เล่มที่ 4 หน้า 150-151)


ส่วนการละหมาดตามหลังวะฮาบีย์นั้นถือว่าใช้ได้ (เซาะฮฺ) ลองคิดดูง่าย ๆ ว่า ถ้าการละหมาดตามหลังวะฮาบีย์ใช้ไม่ได้ คนที่ละหมาด ณ มัสญิดหะรอมทั้งสองแห่งจะเป็นเช่นไร? และนักเรียนไทยที่ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยอิสลามียะฮฺ นครม่าดีนะฮฺเป็นเวลาหลายปี ละหมาดของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?


และวะฮาบีย์นั้นจริง ๆ แล้วคือผู้ที่สังกัดมัซฮับฮัมบะลีย์ และอะฮฺลุลหะดีษ ถือตามแนวทางของสะลัฟในเรื่องหลักความเชื่อ (อะกีดะฮฺ) พวกเขาเรียกตัวเองว่า “อัสสะละฟียะฮฺ” มิใช่ วะฮาบีย์ เพราะคำว่าวะฮาบีย์เป็นการใช้คำเรียกขานในแง่ลบและเป็นการโจมตีนั่นเอง! หากท่านอยากทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ลองสอบถาม ดร.อับดุลลอฮฺ หนุ่มสุข ดู อินชาอัลลอฮฺท่านจะได้รับความกระจ่างว่า แท้ที่จริงแล้ววะฮาบีย์เป็นใครกันแน่!


والله أعلم بالصواب
 
 

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: ต.ค. 13, 2008, 10:57 PM »
0
 salam

พวกเขาเรียกตัวเองว่า “อัสสะละฟียะฮฺ” มิใช่ วะฮาบีย์ เพราะคำว่าวะฮาบีย์เป็นการใช้คำเรียกขานในแง่ลบและเป็นการโจมตีนั่นเอง![/b]

วะฮาบีย์ชอบเรียกแนวทางอื่นอย่างเสียหายไม่เห็นมีใครมาเรียกร้องความชอบธรรม  เนื่องจากพวกเขาไม่ให้ความสนใจ  แต่เหตุใดพอเรียกว่า วะฮาบีย์  จึงเกิดความไม่พอใจ  ทั้งที่เป็นการเรียกที่ไม่ได้เป็นการตำหนิหรือผิดหลักการอะไร  ส่วนปัจจุบันที่มีการตั้งชื่อใหม่ขึ้นมาว่า "สะละฟียะฮ์" นั้นถือเป็นการตั้งชื่อที่บิดอะฮ์ ผิดเป้าหมายที่แท้จริง  เพราะบรรดานักปราชญ์ผู้มีคุณธรรมตั้งแต่ยุคสะลัฟจนถึงปัจจุบันนั้น  เขาไม่เคยตั้งแนวทางของตนว่า "สะละฟียะฮ์"

ท่านชัยค์ หะซัน ฟัรฮาน อัลมาลิกีย์ กล่าวต่อว่า

เกี่ยวกับการใช้ศัทพ์คำว่า วะฮาบียะฮ์

ประการที่หนึ่ง  คือต่อไปผู้อ่านจะพบระหว่างการค้นคว้าวิเคราะห์ว่า  บางครั้งฉันจะใช้คำว่า "วะฮาบียะฮ์"  ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องของการน่าตำหนิอย่างที่ฝ่ายคัดค้านได้เรียกขึ้นมา  หรือว่าทำให้ "วะฮาบียะฮ์" เป็นมัซฮับใหม่  แต่ทว่ามันเป็นเรื่องการเรียกศัพท์ทางเทคนิคหรือฉายาที่บรรดามุสลิมิมีนส่วนมากทำการเรียกที่มีต่อ  กระแส  กระบวนการ  แนวคิด  การเรียกร้อง  ที่มีประวัติศาสตร์  มีลักษณะพิเศษ  มีตำรา และอุลามาอ์เฉพาะของพวกตน

ประการที่สอง  พวกวะฮาบีย์บางส่วนได้พึงพอใจกับฉายานี้  และพวกเขานำฉายาดังกล่าวมาเรียกแทนตัวพวกเขาเอง  ดังนั้น  คำว่า "วะฮาบีย์" จึงไม่ใช่เป็นลักษณะของการตำหนิและการสรรเสริญ  และไม่ใช่เป็นการตำหนิ  จนกระทั่งหากยอมรับในหลักการวะฮาบีย์  จะกลายเป็นมัซฮับหนึ่งขึ้นมา  เพราะฉะนั้น  มัซฮับที่ยึดอยู่บนหลักฐานที่ถูกต้องนั้น  นามชื่อของมัซฮับที่เกิดขึ้นใหม่จะไม่ทำให้มัซฮับเกิดความเสียหาย  การเรียกของผู้คนก็เช่นเดียวกัน  เนื่องจากว่า  เงื่อนไขของการมีมัซฮับนั้น  ไม่จำเป็นต้องอยู่ในยุคแรกของศตวรรษที่สาม  เฉกเช่นเดียวกันกับ กระแสความคิดหรือมัซฮับที่ทฤษฏีหรือแนวปฏิบัติอยู่บนบรรดาหลักฐานที่อ่อน  ก็ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดจากการตั้งชื่อมัซฮับซ่ะสวยงาม  หากแม้ว่ามัซฮับดังกล่าวจะอยู่ยุคศตวรรษแรกก็ตาม  เพราะการพิจารณานั้น  ด้วยกับความรู้ที่ถูกต้อง  อีม่านที่บริสุทธิ์  และการปฏิบัติที่ดีงาม  ไม่ใช่ด้วยการตั้งชื่อหรือมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ

ฉันรู้สึกแปลกใจที่มีบรรดาพวกมุก๊อลลิดต่างกล่าวกันว่า  ถ้อยคำ "อัลวะฮาบียะฮ์" นั้น ผู้เป็นปฏิปักษ์จะนำมาใช้เรียก พวกเขามักนำมาพูดกับฉายานี้  ทั้งที่การเรียกชื่อไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่จะมาถกเถียงกัน

มีอุลามาอ์ที่เรียกร้องแนวทางดังกล่าว  อนุญาตให้ใช้คำว่า "วะฮาบียะฮ์"  พวกเขาต่างนำมาใช้ในตำราต่าง ๆ ของพวกเขา  โดยไม่หวั่นเกรงต่อการกล่าวหาว่า สร้างมัซฮับขึ้นมา  ยิ่งกว่านั้น  พวกเขายังทำการประพันธ์ตำราต่าง ๆ เกี่ยวกับอะกีดะฮ์และการเรียกร้องของวะฮาบีย์  โดยมิได้มีความเสื่อมเสียแต่ประการใด

ส่วนหนึ่งจากบรรดาอุลามาอ์ที่เรียกร้องแนวทางวะฮาบีย์  ยังนำคำว่า "วะฮาบีย์" มาให้เรียก  เช่น  ชัยค์ สุไลมาน บิน ซะห์มาน  , ชัยค์ มุฮัมมัด บิน อับดุลล่าฏีฟ ( ดู หนังสือ อัดดุร๊อร อัซซะนียะฮ์ เล่ม 8 หน้า 433)  และบรรดาอุลามาอ์ที่ปกป้องวะฮาบีย์  เช่นชัยค์ หามิด อัลกิฟฟีย์ , ชัยค์อับดุลเลาะฮ์ อัลกอซีมีย์ , ชัยค์ สุลัยมาน อัดะดะคีล , ชัยค์ อะห์มัด บิน หุจญร์ อบู ฏอมีย์ , ชัยค์มัสอูด อัลนัดวีย์ , ชัยค์ อิบรอฮีม บิน อุบัยด์ เจ้าของหนังสือ อัตตัซกิเราะฮ์ , และท่านอื่น ๆ  ต่างก็ใช้คำว่า "อัลวะฮาบียะฮ์"
  แต่กระนั้น  ท่านชัยค์ ฮามิด อัลกิ๊ฟฟีย์ (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ยังคงพยายามที่จะสร้างความสงสัยต่อเจตนาของทุก ๆ คนที่ใช้คำนี้  และเขาได้ยื่นข้อเสนอจากการเรียกว่า "วะฮาบียะฮ์"  ไปเป็น "อัดดะอ์วะฮ์ อับมุฮัมมะดียะฮ์" เพื่อพาดพิงไปยังชื่อของท่าน ชัยค์ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ  แต่ไม่พาดพิงไปยังชื่อของบิดา คือ อับดุลวะฮาบ (วะฮาบีย์)  ดังนั้น  อุลามาอ์ยุคหลังอย่างท่านชัยค์ ซอและห์ อัลเฟาซาน ได้ตักลีดตามท่านชัยค์ ฮามิดอัลกิ๊ฟฟีย์  ในการตำหนิต่อท่านชัยค์ อบู ซะฮ์เราะฮ์  และคนอื่น ๆ (ก็เพราะพวกเขาใช้คำว่าวะฮาบีย์) [/size]

การเรียกร้องของ อัลกิ๊ฟฟีย์และอัลเฟาซานให้เรียกวะฮาบีย์ว่า "อัดดะวะฮ์ อัลมุฮัมมะดียะฮ์"  ไม่ใช่ "อัดดะวะฮ์ อัลวะฮาบียะฮ" นั้น  เนื่องจาก ท่านชัยค์ มีชื่อว่า "มุฮัมมัด"  ซึ่งดังกล่าวนี้ถึงเป็นการนำเสนอที่น่าแปลก  อันเนื่องจากมีเหตุผลเล็กน้อยดังนี้  คือ  ส่วนมากจากบรรดามัซฮับที่โด่งดังนั้น จะไม่ตั้งชื่อ ด้วยกับนามชื่อเจ้าของแนวทาง  แต่จะตั้งชื่อด้วยนามของบิดาหรือปู่  ดังนั้น มัซฮับ ฮัมบาลีย์ حنبلى  เป็นต้น  จะใช้พาดพิงไปยังคำว่า حنبل (ฮัมบัล) ซึ่งเป็นปู่ของท่านอิมามอะห์มัด  (เนื่อจากท่านอิมามอะห์มัดมีชื่อว่า อะห์มัด บุตร มุฮัมมัด บุตร หัมบัล)  แต่ท่านชัยค์อัลเฟาซานหรือชัยค์อัลกิ๊ฟฟีย์ และผู้ที่เจริญรอยตามทั้งสอง ต่างไม่คัดค้านการเรียกชื่อนี้(คือฮัมบาลีย์) และพวกเขาก็ไม่เรียกมัซฮับฮัมบาลีย์ว่า "มัซฮับอะห์มะดีย์" (ที่มาจากชื่อของอิมาม อะห์มัด เอง)

เฉกเช่นเดียวกันกับมัซฮับชาฟิอีย์  ซึ่งพาดพิงไปยังท่าน ชาฟิอ์  ซึ่งเป็นปู่ลำดับที่ 4 ของท่านอิมามชาฟิอีย์  ทั้งที่อิมามชาฟิอีย์มีชื่อว่า "มุฮัมมัด บุตร อิดรีส  บุตร อัลอับบาส บุตร อุษมาน บุตร ชาฟิอ์"  แต่เหตุใดพวกเขาถึงไม่เรียกมัซฮับชาฟิอีย์ว่า "มัซฮับมุฮัมมะดีย์" (เพราะอิมามชาฟิอีย์ชื่อว่า มุฮัมมัด)

ยิ่งกว่านั้น  ท่านชัยค์ซอลิห์ อัลเฟาซาน ยังเรียกผู้ที่ตาม มุฮัมมัด บิน สุรูร บิน นายิฟ ซัยนุลอาบิดีน  ด้วยถ้อยคำว่า "อัซซุรูรียะฮ์"  ทำไมถึงไม่เรียกว่า "อัลมุฮัมมะดียะฮ์" เช่นเดียวกัน ! ทั้งที่เขาชื่อ "มุฮัมมัด บิน สุรูร" และในปัจจุบันเราเองก็ได้ยินในกลุ่มสะละฟียะฮ์ ได้มีหลายฉายาที่พวกเขาใช้เรียกซึ่งกันและกัน เช่น อัลญามียีน , อัลมัดค่อลียีน , อัลบาซียีน (ผู้ที่ตามบินบาซฺ) , และอัลบานียีน(ผู้ตามอัลบานีย์)  เป็นต้น ( สรุปจาก หน้าที่ 12 และหน้าที่ 144 - 146)

ดังนั้น  การเรียกว่า "วะฮาบีย์"  จึงมิใช่เป็นการตำหนิ  เพราะอุลามาอ์วะฮาบีย์เองที่พอใจและเห็นชอบในการเรียกชื่อเช่นนี้  แต่บางคนปัจจุบันชอบยึดติดที่ชื่อ  ยึดติดยี่ห้อ  ขอให้เรียกชื่อกลุ่มตนเองให้ดีไว้ก่อน  ถือว่าเป็นการเข้าใจที่ผิด  เพราะสัจธรรมจะไม่พิจารณาที่ชื่อของแนวทางหรอกครับ  แต่ทว่าจะเน้นพิจารณาที่เนื้อหา  หลักอะกีดะฮ์  และหลักปฏิบัติครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 14, 2008, 04:09 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: ต.ค. 13, 2008, 10:59 PM »
0
หากท่านอยากทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ลองสอบถาม ดร.อับดุลลอฮฺ หนุ่มสุข ดู อินชาอัลลอฮฺท่านจะได้รับความกระจ่างว่า แท้ที่จริงแล้ววะฮาบีย์เป็นใครกันแน่!

ข้อเขียนของ ท่านดร. อับดุลลอฮ์ หนุ่มสุข นั้น  มีบทนำที่ขัดกับซุนนะฮ์ขอท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ดังนั้นข้อความที่ขัดกับซุนนะฮ์ขอท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็ห้ามเชื่อและทิ้งมันออกไป 

ต่อไปนี้คือ ข้อเขียนของท่าน ดร. อับดุลลอฮ์ หนุ่มสุข เกี่ยวกับประวัติบทนำความเป็นมาของวะฮาบีย์ครับ

ประวัติความเป็นมาของวะฮาบียะฮเป็นที่ทราบกันดีว่าในตอนต้นของศตวรรษที่ 12 แห่งฮิจเราะฮศักราช (หรือคริสต์ศตวรรษที่ 18) ศาสนาและศิลธรรมในโลกอิสลามเสื่อมทรามลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคาบสมุทรอาระเบีย กล่าวคือ มุสลิมส่วนใหญ่ได้พากันละทิ้งหลักการอิสลาม ละทิ้งหลักความเชื่อในเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า และ ละทิ้งการปฏิบัติตามแนวทางของศาสนทูต มูฮัมมัด ( ศ็อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) พวกเขาได้หันไปหลงไหล คลั่งไคล้อยู่กับเรื่องไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา และการตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้าในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคารพสักการะ และการขอความช่วยเหลือและคุ้มครองจากสุสานของบุคคลต่างๆ ที่ตัวเองเห็นว่าเป็นผู้วิเศษและศักดิ์สิทธิในท่ามกลางสภาพสังคมที่ฟอนเฟะและโง่งมงายนี้ได้มีบุคคลผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นที่ตำบลอัลอุยัยนะฮ ในเมืองนัจด (เมืองริยาด) ในปี ค.ศ. 1703 บุคคลผู้นั้นคือ มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบ เขามาจากตระกูล อุลามาอ (ผู้ทรงความรู้) ได้ศึกษาวิชาความรู้จากบิดา และสามารถท่องจำอัลกุรอานทั้งเล่มได้เมื่อมีอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น และแม้ว่าเขาจะได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ผู้มากด้วยความรู้ แต่เขาก็ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติมยังหัวเมืองต่าง ๆ เช่น มักกะฮ มะดีนะฮ บัศเราะฮ บัฆดาด และเมาศิลในอิรัก เมื่อเขาได้กลับมาสู่มาตุภูมิ และได้เรียกร้องเชิญชวนผู้คนให้กลับสู่แนวทางอันบริสุทธิ์ของอิสลาม เขาก็ได้รับการต่อต้านจากบรรดาผู้ปกครองซึ่งพากันหวาดระแวงกับอิทธิพลของเขาที่จะสั่นสะเทือนต่ออำนาจการ ปกครองของพวกตน เขาต้องถูกขับไล่ออกจากดินแดนที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน แต่เขาก็ยังยืนหยัดในอุดมการณ์อันมั่นคงที่จะฟื้นฟูและกอบกู้สังคมให้กลับไปสู่หลักการอันบริสุทธิ จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบ ก็คือ เมื่อท่านเดินทางมาที่เมือง อัดดัรอียะฮ ซึ่งเป็นเมืองในการ ปกครองของตระกูล สะอูด (ราชวงศ์สะอูดในปัจจุบัน) ท่านก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากอามีร มูฮัมมัด อิบนสะอูด เจ้าเมืองคนหนึ่งซึ่งตกลงใจที่จะร่วมงานกับเขาในการฟื้นฟูและเผยแผ่คำสอนของอิสลาม หลังจากนั้นไม่นานภายใต้การปกครองของ อามีร มูฮัมมัด อิบน สะอูด และการเผยแพร่คำสอนของ เชค มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบ อย่างเอาจริงเอาจัง วิถีชีวิตและความเชื่อของมุสลิมที่อยู่ภายใต้การปกครองก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากความโง่งมงายในหลักการอิสลาม และหลงผิดในการตั้งภาคี (ชิรก)
  เขียนโดย ดร.อับดุลลอฮ์ หนุ่มสุข

วิจารณ์

ตราบใดที่ชีอะฮ์ยึดประวัติศาสตร์มาอ้างโดยลักษณะที่ขัดแย้งกับตัวบทของอัลกุรอานและซุนนะฮ์  ผมไม่ขอเชื่ออย่างเด็ดขาดฉันท์ใด  แน่นอนจากบทนำประวัติกำเนิดวะฮาบีย์นี้ผมก็ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดฉันท์นั้น  เพราะประวัติบทนำกำเนิดวะฮาบีย์นี้  มันขัดแย้งกับซุนนะฮ์นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  และเป็นการกล่าวมุสาต่อซุนนะฮ์นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ดังนั้นหากเราเชื่อต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เราก็ห้ามเชื่อบทนำประวัติกำเหนิดวะฮาบีย์อันนี้  เพราะท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้สาบานต่ออัลเลาะฮ์ในการปฏิเสธเนื้อหาประวัติอันนี้ไว้ตั้งแต่ 1400 ปีมาแล้ว   

รายงานจากอุกบะฮ์ บิน อามีร  เขากล่าวว่า  ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

 وَإِنِّي قَدْ أُعْطِيتُ خَزَائِنَ مَفَاتِيحِ الْأَرْضِ وَإِنِّي وَاللَّهِ مَا أَخَافُ بَعْدِي أَنْ تُشْرِكُوا وَلَكِنْ أَخَافُ أَنْ تَنَافَسُوا فِيهَا

"แท้จริงบรรดาคลังกุญแจแห่งแผ่นดินได้ถูกมอบให้แก่ฉัน และแท้จริงฉันขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ว่า  หลังจากที่ฉันเสียชีวิตไปแล้ว ฉันไม่กลัวว่าพวกท่านจะทำชิริก  แต่ทว่าฉันกลัวว่าพวกท่านจะแข่งขันกันชิงดีชิงเด่นบนผืนแผ่นดิน" รายงานโดยบุคอรีย์ (3329)

รายงานจากท่านญาบิร  เขากล่าวว่า
 
سَمِعْتُ النَّبِيَّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏يَقُولُ ‏ ‏ إِنَّ الشَّيْطَانَ قَدْ أَيِسَ أَنْ يَعْبُدَهُ الْمُصَلُّونَ فِي ‏ ‏جَزِيرَةِ الْعَرَبِ ‏ ‏وَلَكِنْ فِي ‏ ‏التَّحْرِيشِ ‏ ‏بَيْنَهُمْ

"ฉันได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า  แท้จริงชัยฏอนนั้นได้สิ้นหวังให้บรรดาผู้ทำการละหมาด(คือบรรดามุสลิมีน) ทำการกราบไหว้มัน(คือทำชิริก)ในคาบสมุทรอาหรับ  แต่มันพยายามสร้างความแตกแยกระหว่างพวกเขา" รายงานโดยมุสลิม (5030)

ท่านอิมามอันนะวาวีย์อธิบายว่า

وَمَعْنَاهُ : أَيِس أَنْ يَعْبُدهُ أَهْل جَزِيرَة الْعَرَب , وَلَكِنَّهُ سَعَى فِي التَّحْرِيش بَيْنهمْ بِالْخُصُومَاتِ وَالشَّحْنَاء وَالْحُرُوب وَالْفِتَن وَنَحْوهَا

"ความหมายของฮะดิษ  คือ  ชัยฏอนสิ้นหวังแล้วที่ชาวคาบสมุทรอาหรับจากทำการกราบไว้(หมายถึงทำชิริก)ต่อชัยฏอน  แต่ทว่ามันทำยุยงให้เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาให้มีการถกเถียงขัดแย้งกัน  มีความรังเกียจ  มีการรบฆ่าฟัน  มีการสร้างฟิตนะฮ์กล่าวหาผู้อื่น เป็นต้น" หนังสือชัรห์ซอฮิห์มุสลิม 

ดังนั้น  เราอย่าเทิดทูนประวัติศาสตร์ที่ขัดกับซุนนะฮ์คำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เพราะจะไปเหมือนกับพวกชีอะฮ์ที่เทิดทูนประวัติศาสตร์เพื่อเอามาแสดงความชอบธรรมในแนวทางของตนเองครับ

วัลลอฮุอะลัม


มีข้อโต้แย้งจากวะฮาบีย์ครับ

โต๊ะครูอัลอัลอัซอารีย์ อ้างหะดิษข้างต้น โดยเข้าใจว่า นบี Solallah บอกว่า หลังจากสมัยนบี Solallah คนอาหรับไม่มีการทำชิริก และกล่าวหา ดร.อับดุลลอฮ หนุ่มสุข ที่ระบุ ว่าท่านมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ ทำสงครามกับการทำชิริกในคาบสมุทรอาหรับนั้นเป็นเรื่อง เท็จ ไม่จริง
อัลอัชอัชฮารี พยายามบิดเบือนหะดิษข้างต้น เพื่อโจมตี มุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ ทีพวกตั้งฉายาว่า “วะฮบีย อัลอัลอัซฮารี บอกว่า นบี Solallah ได้สาบานรับรองแล้วว่า คนในโลกอาหรับไม่ทำชิริก เพราะฉะนั้น การที่มุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ อ้างว่า คนอาหรับในสมัยของท่าน ทำชิริก เป็นการโกหกต่อท่านนบี Solallah นะอูซุบิลละฮ ทั้งๆหะดิษต่อไปนี้แสดงให้เห็นว่า ต่อไปในอนาคต ยังมีชาวอาหรับทำชิริก บูชาเทวรูป
عن أبي هريرة-رضي الله عنه- أن رسول الله-صلى الله عليه وسلم- قال: لا تقوم الساعة حتى تضطرب أليات نساء دوس حول ذي الخلصة، وكانت صنما تعبدها دوس في الجاهلية بتبالة
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ เราะฎิยัลลอฮุอันฮู ว่า รซูลุ้ลลอฮ กล่าวว่า “วันกิยามะฮจะยังไม่เกิดขึ้น จนกว่า สะโพกของบรรดาผู้หญิงเผ่าเดาส์ จะส่ายอยู่รอบๆซิลอัลเคาะเศาะฮ และมันเป็นรูปปั้นที่เผ่าเดาส์เคยเคารพบูชามันในสมัยญาฮิลียะฮ อยู่ที่ตะบะละฮ (เป็นสถานที่แห่งหนึ่งในยะมัน) – หะดิษรายงานโดย บุคอรี ,มุสลิมและอิหม่ามอะหมัด
...............
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า คนที่โกหก ไม่ใช่ ท่านมุหัมหมัดบิดอับดุลวะฮับ และไม่ใช่ ดร. อับดุลลอฮ หนุ่มสุข แต่เป็น นายอัลอัซอารีย์ โต๊ะครูแห่ง เว็บ ซุนนะฮสะติวเด้น

ถือว่าเป็นการอ้างอิงแก้ต่างให้ท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ แบบไม่ถูกที่และไม่เข้าใจเรื่องที่เสวนากัน  ไปอ้างฮะดิษที่พูดเกี่ยวกับชิริกที่จะเกิดขึ้นใกล้วันกิยามัตโน้นและยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน  แต่อะดิษที่ทางเว็บนี้เขานำมาอ้างอิงเสวนานั้น  เจาะจงเกี่ยวกับชิริกในอดีตที่เกิดขึ้นในสมัย 200 กว่าปีก่อนโน้น  ซึ่งฮะดิษนบีได้บอกไว้จริงว่าไม่เกิดชิริก  ส่วนบรรดาสตรีหญิงเผ่าเดาส์นั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ  ดังนั้นชิริกก็ไม่ได้เกิดขึ้นในคาบสมุทรอาหรับในสมัยนั้น  ตามที่ท่านนบีได้บอกสาบานเอาไว้  ดังนั้นฮะดิษสตรีเผ่าเดาส์จึงไม่มีผลมามายืนยันการเกิดชิริกในสมัยท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ

เช็คอิบนุอุษัยมีน ขออัลลอฮเมตตาต่อท่านได้กล่าวว่า
يأس الشيطان أن يعبد في جزيرة العرب لا يدل على عدم الوقوع ؛ لأنه لما حصلت الفتوحات وقوي الإسلام ودخل الناس في دين الله أفواجاً أيس أن يعبد سوى الله في هذه الجزيرة ‏.‏ فالحديث خبر عما وقع في نفس الشيطان ذلك الوقت ولكنه لا يدل على انتفائه في الواقع ‏.‏
ชัยฏอนหมดหวัง ต่อ การที่มันจะได้รับการเคารพภักดีในคาบสมุทรอาหรับ ไม่ได้แสดงบอกว่า มัน จะไม่เกิดขึ้น เพราะ ว่า เมื่อ ได้รับชัยชนะ,อิสลามแข็งแกร่งและบรรดาผู้คนเข้ารับอิสลามเป็นพวกๆ มัน(ชัยฏอน) มันก็หมดหวัง ต่อการที่มันได้รับการเคารพภักดี อื่นจากอัลลอฮ ในคาบสมุทรนี้ เพราะหะดิษ ได้บอกเล่าเกี่ยวกับตัวของชัยฏอน ในเวลานั้น แต่ว่า มันไม่ได้เป็นหลักฐานแสดงบ่งบอกถึง การปฏิเสธว่ามันจะไม่เกิดขึ้น

แค่ความเห็น ซึ่งเป็นความเห็นที่ขัดแย้งกับฮะดิษนบี  ถือว่าให้ทิ้งไปเสีย  เพราะชัยค์อุษมีนบอกว่า  ฮะดิษนี้เป็นความสิ้นหวังเกิดขึ้นแก่ชัยฏอนในเวลาดังกล่าว  ซึ่งจริงๆ แล้ว มิใช่ว่าชัยฏอนจะสิ้นหวังจากตัวมันเอง   แต่ท่านนบีก็ยืนยันสำทับสาบานด้วยตัวท่านเองเช่นกันว่าท่านไม่กลัวจะทำชิริก  นอกจากมีฮะดิษมาทอนความหมายหรือเจาะจงว่าจะเกิดชิริกในช่วงใกล้กิยามัตของสตรีเผ่าเดาส์

รายงานจากอุกบะฮ์ บิน อามีร เขากล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

وَإِنِّي قَدْ أُعْطِيتُ خَزَائِنَ مَفَاتِيحِ الْأَرْضِ وَإِنِّي وَاللَّهِ مَا أَخَافُ بَعْدِي أَنْ تُشْرِكُوا وَلَكِنْ أَخَافُ أَنْ تَنَافَسُوا فِيهَا

"แท้จริงบรรดาคลังกุญแจแห่งแผ่นดินได้ถูกมอบให้แก่ฉัน และแท้จริงฉันขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ว่า หลังจากที่ฉันเสียชีวิตไปแล้ว ฉันไม่กลัวว่าพวกท่านจะทำชิริก แต่ทว่าฉันกลัวว่าพวกท่านจะแข่งขันกันชิงดีชิงเด่นบนผืนแผ่นดิน" รายงานโดยบุคอรีย์ (3329)

คงไม่มีใครพูดอีกน่ะครับว่า  มันเป็นการคาดการณ์จากตัวท่านนบีเอง!  แต่จริง ๆ แล้วเป็นความเข้าใจผิดจากวะฮาบีย์ต่างหากที่ไปบอกว่าในยุคสมัยก่อนโน้นเกิดชิริก

และการที่ท่านอุษัยมีนบอกว่าฮะดิษนี้ไม่ได้ปฏิเสธจะไม่เกิดขึ้น  ผมขอตอบว่า "ใช่ครับ"  แต่ทว่ามันจะเกิดขึ้นตามที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้บอกไว้ต่างหาก คือเกิดตอนใกล้วันกิยามะฮ์ตามที่ฮะดิษนบีได้ระบุไว้

หะดิษข้างต้นท่านครู อัลอัชอารี แห่งเว็บซุนนะฮสะติวเด้น เอามาอ้างว่า นบี Solallah สาบานแล้วว่า ต่อไปชาวอาหรับจะไม่ทำชิริก เพื่อโต้แย้งและกล่าวหาว่า ดร. อับดุลลอฮ หนุ่มสุข และ ประวัติการต่อสู้ชิริกของท่านมุหัมหมัดอิบนุวะฮับ นั้น เป็นการมุสา เป็นการกล่าวเท็จต่อนบี Solallah
จึงอยากจะถามว่า เมื่อท่านนบียืนยันว่าต่อไปชาวอาหรับจะไม่ทำชิริก ทำไมท่านจึงสอนให้ระวังเรื่องชิริก เช่น
عن أبي هريرة رضي الله عنه أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال: "اجتنبوا السبع الموبقات، قيل: يا رسول الله، وما هن؟ قال: "الشرك بالله، والسحر، وقتل النفس التي حرَّم الله إلا بالحق، وأكل مال اليتيم، وأكل الربا، والتولي يوم الزحف، وقذف المحصنات الغافلات المؤمنات" (متفق عليه
รายงานจากอบีฮุรัยเราะ เราะดิยัลลอฮุอันฮู ว่า แท้จริง รซูลุลลอฮ Solallah กล่าวว่า "พวกท่านพึงห่างใกลอันตรายเจ็ดประการ ,มีผู้กล่าวว่า " โอ้รซูลุลลอฮ มันมีอะไรบ้าง? ท่านกล่าวว่า " การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ(ชิริก) ,ไสยศาสตร์ ,การฆ่าชีวิตที่อัลลอฮทรงห้าม เว้นแต่กรณีเพื่อความยุติธรรม ,การกินดอกเบี้ย, การกินทรัพย์สินเด็กกำพร้า(โดยมิชอบ) ,การหนีออกจากสนามรบ และการใส่ร้ายหญิงผู้ศรัทธาที่มีคุณธรรมว่า มีชู้ - มุตตะฟักอะลัยฮิ
..........
หะดิษบทนี้ยกเลิกแล้วหรือ เพราะโต๊ะครูอัลอัชอะรีย์ บอกว่า นบี Solallah ยืนยันว่า ต่อไปจะไม่มีชิริกอีกแล้ว เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า การเข้าใจหะดิษข้างต้นของโต๊ะครูอัลอัซอารีย์แห่งซุนนะฮสะติวเด้น ต่อหะดิษที่นำมาอ้าง คือ การไม่เข้าใจหะดิษ เพราะหากเข้าใจ ก็แสดงว่า บิดเบือนหะดิษเพื่อโจมตีพวกที่เขาตั้งฉายาว่าวะฮบีย์ เท่านั้นเอง วัลอิยาซุบิลละฮ

ฮะดิษนี้เตือนให้ระวังชิริก  อันนี้เป็นฮะดิษอูมูม ให้ความหมายครอบคลุมทั้งคาบสมุทรอาหรับและไม่ใช่คาบสมุทรอาหรับ  และฮะดิษที่ชัยฏอนสิ้นหวังให้คาบสมุทรอาหรับทำชิริกและท่านนบีก็บอกเองสาบานว่าไม่กลัวเลยที่พวกท่านจะทำชิริกนั้น  ถือเป็นฮะดิษที่มาทอนความหมาย  แต่อย่างไรก็ตาม  ผู้ที่ไม่ทำชิริกก็สามารถระวังและห่างไกลจากชิริกได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว

และฮะดิษทั้งหมดนี้มันจะไม่ค้านกันอย่างแน่นอน  ถ้าหากเราเอาฮะดิษมาอธิบายฮะดิษไม่ใช่เอาประวัติที่เล่าบันทึกมาทอนความหมายฮะดิษ

วัลลอฮุอะลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 19, 2008, 01:19 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: ต.ค. 13, 2008, 11:03 PM »
0
และวะฮาบีย์นั้นจริง ๆ แล้วคือผู้ที่สังกัดมัซฮับฮัมบะลีย์ และอะฮฺลุลหะดีษ ถือตามแนวทางของสะลัฟในเรื่องหลักความเชื่อ (อะกีดะฮฺ)

หากเราศึกษาให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับหลักอะกีดะฮ์ของอุลามาอ์มัซฮับฮัมบาลีย์ที่รู้กันในแนวทางอะกีดะฮ์ในนาม อะฮ์ลุลฮะดิษหรืออัลอะษะรียะฮ์  ซึ่งในกลุ่มอุลามาอ์ฮัมบะลีย์เอง  ก็แตกออกเป็น 2 กลุ่ม 

1. กลุ่มอุลามาอฺมัซฮับฮัมบะลีย์  ที่ทำการมอบหมาย(ตัฟวีฎ)กับความหมายอายะฮ์หรือฮะดิษที่มีความหมายหลายนัยยังไปอัลเลาะฮ์ตะอาลา กลุ่มนี้เขาเรียกว่ากลุ่ม อัลมุเฟาวิเฎาะฮ์ اَلْمُفَوِّضَةُ  เช่นท่าน ท่านอิมามอะห์มัด , อิบนุกุดามะฮ์ , ท่านอิบนุรอญับ , ท่านอิบนุอบียะลา , ท่านอิบนุอะกีล , ท่านอิบนุอัลเญาซีย์ , ท่านอัสสะฟารีนีย์ , ท่านอิมามอับดุลบากีย์อัลฮัมบาลีย์ , ท่านอบูมุฮัมมัด อัตตะมีมีย์  เป็นต้น

ดังนั้น อุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์ที่เป็นส่วนหนึ่งจากอะฮ์ลุลฮะดิษกลุ่มนี้  อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์เรียกเขาว่า  فُضَلاَءُ مِنَ الحَنَابِلَةِ (บรรดาอุลามาอฺผู้ประเสริฐ ๆ จากฮัมบาลีย์) ซึ่งพวกเขาอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  รู้จักในนามของ อะฮ์ลุลฮะดิษหรือกลุ่มอัลอะษะรียะฮ์นั่นเองครับ  ในทางตรงกันข้ามก็มีอุลามาอฺฮัมบาลีย์อีกกลุ่มนั้น  สร้างความเสื่อมเสียและความอับอายให้แก่มัซฮับฮัมบาลีย์ในเรื่องอะกีดะฮ์ ตามที่อุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์ได้ยืนยันเอาไว้

ท่านอิมามอัลฮาฟิซฺ อัศศุบกีย์  ไดกล่าวว่า

وَهَؤُلاَءِ الْحَنَفِيَّةُ وَالشَّافِعِيَّةُ وَالْمَالِكِيَّةُ وَفُضَلاَءُ الْحَنَابِلَةِ فِي الْعَقَائِدِ يَدٌ وَاحِدَةٌ كُلُّهُمْ عَلىَ رَأْيِ أَهْلِ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ

"พวกเขาเหล่านั้น คือบรรดาปราชญ์มัซฮับฮะนะฟีย์ , ปราชญ์มัซฮับชาฟิอีย์ , ปราชญ์มัซฮับมาลิกีย์ , และปราชญ์ที่ประเสริฐ ๆ จากฮัมบาลีย์  - อัลฮัมดุลิลลาฮ์ - ในด้านของอะกีดะฮ์นั้น  พวกเขาทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันตามแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์"  ดู หนังสือมุอีดุลนิฮัม ของท่านอิมามอัศศุบกีย์  หน้า 62

2. กลุ่มอุลามาอฺมัซฮัมบาลีย์  ที่ไม่ทำการมอบหมาย(ตัฟวีฎ)ความหมายของอายะฮ์หรือฮะดิษที่แท้จริงไปยังอัลเลาะฮ์ตะอาลา  แต่พวกเขารู้ความหมายและเข้าใจความหมายในเชิงตัชบีฮ์(เข้าใจคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ไปคล้ายคลึงกับคุณลักษณะของมัคโลค) เช่น ท่านอุษมาน บิน สะอีด อัดดาริมีย์ (ซึ่งเป็นคนละคนก็ท่านอัดดารีมีย์เจ้าของสุนันอัดดาริมีย์ที่เป็นอะฮ์ลิสซุนนุะฮ์) , ท่านอบูยะลา , ท่านอบูอับดิลลาฮ์ อิบนุ ฮามิด , ท่านอิบนุอัซซาฆูนีย์ , ท่านอิบนุบัฏเฏาะฮ์ (เป็นนักรายงานที่ฏออีฟ) , ท่านอิบนุมันดะฮ์ (ผู้ที่รายงานฮะดิษแล้วพูดเกี่ยวกับฮะดิษแล้วจะเบี่ยงเบนและสับสนตามที่ท่านอัซซะฮะบีย์ได้กล่าวไว้) , อัลกะฮารีย์ (นักกุฮะดิษ) , ท่านอัลอิชชารีย์ (นักกุฮะดิษ) , ท่านอิบนุกาดิช (นักกุฮะดิษ) , เป็นต้น

ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุอะษีร ได้ถ่ายทอดคำกล่าวของท่าน อิมาม อบู มุฮัมมัด อัตตะมีมีย์ อุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์ ความว่า

لَقَدْ شَانَ أَبُوْ يَعْلىَ الْحَنَابِلَةَ شَيْناً لاَ يَغْسِلُهُ مَاءُ البِحَارِ

""แท้จริงท่านอบูยะลาได้สร้างความเสื่อมเสียอับอายให้แก่บรรดาอุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์  ซึ่งเป็นความอับอายที่น้ำทะเลก็ไม่สามารถล้างมันได้" หนังสือ กามิลอิบนุอะษีร : 10/52

ท่านอิมามอัลฮาฟิซฺ อิบนุ อัลเญาซีย์ อุลามาอ์มัซฮับฮัมบาลีย์ ได้กล่าวถึงอุลามาอฺฮัมบาลีย์บางกลุ่มว่า

وَرَأَيْتُ مِنْ أَصْحَابِنَا مَنْ تَكَلَّمَ فْي الأُصُوْلِ بِمَا لاَ يَصْلُحُ ، وَانْتَدَبَ للتَصْنِيْفِ ثَلاَثَةٌ أَبُوْ عَبْدِاللهِ بنُ حَامِدٍ ، وَصَاحِبُهُ الْقَاضِيْ وَابْنُ الزَّاغُوْنِيْ ؛ فَصَنَّفُوْا كُتُباً شَانُوْا بِهَا الْمَذْهَبَ وَرَأَيْتُهُمْ قَدْ نَزَلُوْا إِلَى مَنْزِلَةِ الْعَوَّامِ ، فَحَمَلُوْا الصِفَاتِ عَلىَ مُقْتَضَى الحِسِّ

"ข้าพเจ้าได้เห็นจากส่วนหนึ่งของอุลามาอฺแห่งเรา(คืออุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์) ได้ทำการพูดถึงเรื่องอุศูล(หลักอะกีดะฮ์)ด้วยกับสิ่งที่ไม่บังควร  และทำการตอบรับในการประพันธ์เป็นตำราขึ้นมา โดย 3 ท่านด้วยกัน  คือ อบูอับดิลลาฮ์อิบนุฮามิด , ท่านกอฎีย์ อบูยะลา , และท่านอิบนุอัซซาฆูนีย์ , ดังนั้นพวกเขาจึงทำการประพันธ์ตำราต่าง ๆ ที่พวกเขาได้สร้างความเสื่อมเสียอับอายให้แก่มัซฮับ(ฮัมบาลีย์)  และข้าพเจ้าได้เห็นพวกเขาลดตนเองลงไปอยู่ในตำแหน่งของคนเอาวาม(สามัญชน) แล้วทำการตีความบรรดาซีฟาตของอัลเลาะฮ์ตามนัยยของรูปธรรม"  หนังสือ ชุบฮะตุชตัชบีฮ์ ของท่านอิบนุอัลเญาซีย์ หน้า 6

ดังนั้น  หลักอะกีดะฮ์ของอุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์กลุ่มที่ 2 เหล่านี้ได้เกิดขึ้นไปช่วงศตวรรษที่ 4 หลังจากนั้นได้หมดบทบาทลงด้วยการคัดค้านจากแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  จนกระทั่งมาถึงศตวรรษที่ 7 ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ก็ทำการฟื้นคืนกลับขึ้นมาอีกครั้งแล้วหมดบทบาทไปด้วยการด้วยการคัดค้านจากนแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  ต่อมาในศตวรรษที่ 12 โดยการฟื้นคืนกลับขึ้นมาอีกโดยท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ  นี่คือจุดกำเหนิดของแนวทางและหลักอะกีดะฮ์ของวะฮาบีย์ในปัจจุบันอย่างแท้จริง นั่นเองครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 14, 2008, 09:23 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: ต.ค. 14, 2008, 04:44 PM »
0
มุสลิมน่ายกย่องคือ

ดีแต่ไม่เด่น เก่งแต่ไม่ดัง

คนที่พยายามจะทำตัวให้เป็นจุดสนใจอยู่เสมอแบบผิดปกติ และมากเกินไป มักไม่ค่อยน่าคบหานัก...

ออฟไลน์ M. Rodee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 108
  • Oh ! My Lord...........
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: ต.ค. 16, 2008, 09:11 PM »
0
     ^
     ^
     ^

   ติดตามตอนต่อไปคับ งัย บัง อัล อัซฮารี ช่วยหน่อยนะคับ
'การสรรเสริญนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และได้ทรงให้มีความมืดและแสงสว่าง แต่แล้วบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
ก็ยังให้มีสิ่งอื่นเท่าเทียมกับพระผู้อภิบาลของพวกเขา'
                                                                       (  อัล อันอาม  1 )

  !..... หัวใจที่รำลึก.....!
 1000 - (1) = 999

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: ต.ค. 17, 2008, 02:08 PM »
0
บังอัลฯ ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วย หาดตั้งคำถามซ้ำกับที่นำเสนอแล้ว (เพราะไม่มีเวลาอ่าน อินชาอัลลอฮฺ หลังสอบเสร็จจะมาอ่าน) หากยังไม่ซ้ำ ก็ขอให้ตอบตามคำถามต่อไปนี้นะครับ คำถามมีอยู่ว่า

              (1.) ไม่ทราบว่า "วะฮาบีย์" ที่หมายถึง ที่เริ่มโดยท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ กับ "วะฮาบีย์" ของอาณาจักรรุสตัม ที่แอฟริกาในอดีตนั้น มีความแตกต่างอย่างไร เพราะในหนังสือบางเล่ม เค้าระบุ สาเหตุที่มีการเรียกกลุ่มของท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ว่า "กลุ่มวะฮาบีย์" ก็เนื่องจากสมัยนั้น สอูดีย์ กับอาณาจักอุษมานียะฮ์ ไม่ถูกกัน และอาณาจักรอุษมานียะฮ์ มีอิทธิพลต่อโลกอิสลามมากกว่า ในฐานะเมืองแม่ของโลกอิสลาม ดังนั้น ทางอาณาจักรอุษมานียะฮ์จึงต้องการลดความน่าเชื่อถือของกลุ่มวะฮาบีย์ เพราะสมัยนั้น ผู้ปกครองของอาณาจักรอุษมานียะฮ์ เหลวแหลกมากๆ ไม่อยู่กับร่องกับรอยของศาสนา ประกอบกับท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ได้ก้าวก่ายต่อประชาชนของทางอาณาจักรอุษมานียะฮ์ เพื่อให้ลุกขึ้นต่อต้านความอธรรม ดังนั้น มันจึงเป็นเหมือนการตบหน้าผู้ปกครองอาณาจักรอุษมานียะฮ์ ฉะนั้น ทางอาณาจักอุษมานียะฮ์จึงยัดเยียดชื่อ "วะฮาบีย์" ของอาณาจักรรุมตัม ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ไม่ใช่อะฮฺลุสสุนนะฮ์ วัลญมาอะฮ์ (วัลลอฮุ อะอฺลัม) ให้กับท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ และกลุ่มของท่าน เพื่อให้ประชาชนอิสลามในอาณาจักรเกิดความสงสัยและเชื่อว่า กลุ่มของท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ไม่ใช่อะฮฺลุสสุนนะฮ์ วัลญมาอะฮ์ ประเด็นที่จะถามคือ
                    - อาณาจักรรุมตัมที่ว่ามีความเป็นมาอย่างไรครับ แล้วอาณาจักรนี้เป็นอะฮฺลุสสุนนะฮ์ฯ ไหม
                    - ในสมัยของท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ มีอุละมาอฺอื่นอีกไหมที่ลุกขึ้นมาอย่างท่าน หรือท่านจะเป็นคนเดียวจริงๆ ในสมัยของท่านที่ลุกขึ้นมาต่อต้านความอธรรมทางศาสนา

              (2) เท่าที่ผมศึกษากลุ่มวะฮาบีย์ทั้งจากข้อมูลของฝ่ายที่ต่อต้าน (ทั้งเว็บไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) และฝ่ายที่สนับสนุนแนววะฮาบีย์ ผมก็พอจะสรุปเกี่ยวกับแนวคิดของวะฮาบีย์จากทั้งสองฝ่ายได้ดังนี้ ขอกล่าวเป็นประเด็นนะครับ
                   จากฝ่ายที่ต่อต้านวะฮาบีย์
                              - ประเด็นหลักที่ผู้ต่อต้านวะฮาบีย์ทำการต่อต้านพวกวะฮาบีย์ก็คือ เรื่องศิฟาตของอัลลอฮฺ ที่ทางวะฮาบีย์ได้สร้างความคลุมเครือเป็นอย่างมาก จนทำให้คนเอาวามไม่ใช่น้อยหลงเชื่อตาม และเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดว่า อัลลอฮฺทรงคล้ายคลึงกับมนุษย์ อันจะทำให้อะกีดะฮ์ของผู้ที่เชื่อตามนั้นเกิดอันตรายได้
                              - ประเด็นต่อมาคือ การชอบกล่าวหากลุ่มว่าทำบิดอะฮ์ จะต้องตกนรก จากประเด็นนี้นั้น รู้สึกว่าผู้ต่อต้านทั้งจากเมืองไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียจะเห็นพ้องต้องกันในประเด็น เนื่องทั้งสองประเทศมีมัฑฮับทางอะกีดะฮ์และฟิกฮฺอันเดียวกัน ทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิตที่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็ไม่ได้ต่างอะไรมากนัก ดังนั้น ผลกระทบจากการกล่าวหาของกลุ่มวะฮาบีย์จึงมีเหมือนๆ กัน และลักษณะการต่อต้าน รวมทั้งหลักฐานที่นำเสนอเพื่อแก้ต่างและชี้แจงต่อกลุ่มวะฮาบีย์ ก็คล้ายๆ กัน แต่ที่น่าสนในก็คือ รู้สึกว่าเว็บนี้ (อาจจะถือว่าเป็นตัวแทนในการต่อต้านวะฮาบีย์ของเมืองไทย) จะนำเสนอข้อมูลได้ละเอียดที่สุด และเจาะเป็นประเด็นๆ ไป อย่างเป็นวิชาการมากๆ ซึ่งจากการที่ผมเคยเข้าไปในเว็บที่ต่อต้านวะฮาบีย์สัญชาติอินโดบางเว็บ ลักษณะการชี้แจงและแก้ต่าง ส่วนใหญ่จะตอบโดยบรรดาอาจารย์ของพื้นที่นั้นๆ และการตอบก็ไม่ค่อยเป็นวิชาการเสียเท่าไร แต่จะเป็นการตอบแบบพูดคุยและอ้างหลักฐานอย่างเดียว ไม่ค่อยอธิบายเชื่อมโยงกับประเด็นที่พูดเพื่อให้ผู้รับเข้าใจ และส่วนใหญ่จะเป็นการนำเสนอ มากกว่าการวิเคราะห์ข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งต่างจากเว็บนี้ ที่มีการวิเคราะห์และเจาะลึก และถือว่าเป็นการเสวนาทางวิชาการอย่างแท้จริง โดยวิธีเกลือจิ้มเกลือ หรือนำหลักฐานมาหักล้างหลักฐาน ได้อย่างน่าสนใจและตื่นเต้นอย่างยิ่ง
                               - ประเด็นต่อมาคือ การเรียกร้องให้ทางวะฮาบีย์เข้าใจต่อทัศนะของผู้อื่นบ้างและหันมายอมรับหลักฐานของฝ่ายตรงข้าม เพื่อความสมานฉันท์ เพราะต่างคนต่างก็อ้างว่าเป็นอะฮฺลุสสุนนะฮ์ แต่ใครเป็น "ญมาอะฮ์" (ชนส่วนใหญ่ของอิสลาม) นั้น ก็ประจักษ์แก่สายตาทุกดีอยู่แล้วว่าคือ กลุ่มอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วั้ลญมาอะฮ์ อัลอะชาอิเราะฮ์

                     จากฝ่ายผู้นิยมวะฮาบีย์
                               - ประเด็นหลักของพวกเขาคือ การเรียกร้องให้ผู้คนหันมากลับมาสู่กิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮ์
                               - เรียกร้องให้มีการละทิ้งมัฑฮับ
                               - เรียกร้องให้มีการดำเนินตามแนวทางของสะละฟุศศอลิหฺ (ตามแนวคิดของตน)
                               - ต่อต้านการเรียกตนเองว่า "วะฮาบีย์"
                               - ต่อต้านการกระทำที่ชิริก (จนบางทีก็เลยเถิดในการหุกุมผู้คน รวมทั้งบรรดาอุละมาอ์)
                               - เรียกร้องและต่อต้านการกระทำที่เป็นบิดอะฮฺ โดยไม่ได้แบ่งแยกว่าจะเป็นบิดอะฮฺทางอกีดะฮ์ หรือฟิกฮฺ

                     เราจะเห็นได้ว่าต่างฝ่ายต่างก็มีจุดยืนของตนอย่างเข้มแข็ง และต่างก็เรียกร้องสู่ความบริสุทธิ์แห่งอิสลาม แต่ทำไมทั้งสองกลับไม่สามารถปรองดองกันได้ ผมเชื่อว่า คนเอาวาม และคนที่ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ คงจะคิดในใจอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมต้องมาเถียงกันเองด้วย ทั้งๆ ที่ใช้อัลกุรฺอานและสุนนะฮ์อย่างเดียวกัน บางทีก็อุละมาอ์คนเดียวกัน ผมว่า คนที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างใส่ใจเท่านั้น ถึงจะรู้คำตอบว่า ทำไมทั้งสองถึงปรองดองกันไม่ใช่เสียที หรือจะเถียงกันอย่างนี้ต่อไปจนวันกิยามะฮ์ ผมว่าตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับหลักฐานที่แข็งกว่า การยอมรับ มิได้หมายความว่าจะต้องเข้าไปอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่งเสมอไป หากแต่การยอมรับ ณ ที่นี้หมายถึง การรับรู้และไม่ก้าวก่ายทัศนะของอีกฝ่ายนั่นเอง  คนที่มีใจเป็นกลางเท่านั้น จะได้รู้ว่า ระหว่างทั้งสองใครกันแน่คือ อะฮฺลุสสุนนะฮ์ วัลญมาอะฮ์ ของจริง มิใช่เป็นเพียงแค่การโฆษณาชวนเชื่อ เพชรที่อยู่ในหิน แม้จะถูกมองว่าเป็นหินไม่มีค่า แต่คราใดที่มันถูกกระเทาะออกมา และเจียไนขึ้นมา แน่แท้ สิ่งที่อยู่รอบข้างมัน อาจจะไร้ค่าในทันที - วัลลอฮุ อะอฺลัม

วัสสลามุ อลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ นูรุ้ลอิสลาม

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1356
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: ต.ค. 18, 2008, 01:17 PM »
0
อ้างถึง
และวะฮาบีย์นั้นจริง ๆ แล้วคือผู้ที่สังกัดมัซฮับฮัมบะลีย์ และอะฮฺลุลหะดีษ ถือตามแนวทางของสะลัฟในเรื่องหลักความเชื่อ (อะกีดะฮฺ) พวกเขาเรียกตัวเองว่า “อัสสะละฟียะฮฺ” มิใช่ วะฮาบีย์ เพราะคำว่าวะฮาบีย์เป็นการใช้คำเรียกขานในแง่ลบและเป็นการโจมตีนั่นเอง! หากท่านอยากทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ลองสอบถาม ดร.อับดุลลอฮฺ หนุ่มสุข ดู อินชาอัลลอฮฺท่านจะได้รับความกระจ่างว่า แท้ที่จริงแล้ววะฮาบีย์เป็นใครกันแน่!
والله أعلم بالصواب

       เรื่องฟิกห์เนี่ยอาจารย์อะลีตอบได้ละเอียดดีแยกแยะมัซฮับโน้นมัซอับนี้ได้แจ่ม  แต่เรื่องอะกีดะฮ์นั้นอาจารย์เขาคงต้องทุ่มเทศึกษาเพิ่มอีกเพื่อจะได้แยกแยะมัซฮับเรื่องอะกีดะฮ์ได้อย่างถูกต้องและละเอียดละออ

لا إله إلا الله محمد رسول الله

ออฟไลน์ นูรุ้ลอิสลาม

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1356
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: ต.ค. 18, 2008, 01:25 PM »
0
หากท่านอยากทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ลองสอบถาม ดร.อับดุลลอฮฺ หนุ่มสุข ดู อินชาอัลลอฮฺท่านจะได้รับความกระจ่างว่า แท้ที่จริงแล้ววะฮาบีย์เป็นใครกันแน่!

ข้อเขียนของ ท่านดร. อับดุลลอฮ์ หนุ่มสุข นั้น  มีบทนำที่ขัดกับซุนนะฮ์ขอท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ดังนั้นข้อความที่ขัดกับซุนนะฮ์ขอท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็ห้ามเชื่อและทิ้งมันออกไป 

ต่อไปนี้คือ ข้อเขียนของท่าน ดร. อับดุลลอฮ์ หนุ่มสุข เกี่ยวกับประวัติบทนำความเป็นมาของวะฮาบีย์ครับ

ประวัติความเป็นมาของวะฮาบียะฮเป็นที่ทราบกันดีว่าในตอนต้นของศตวรรษที่ 12 แห่งฮิจเราะฮศักราช (หรือคริสต์ศตวรรษที่ 18) ศาสนาและศิลธรรมในโลกอิสลามเสื่อมทรามลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคาบสมุทรอาระเบีย กล่าวคือ มุสลิมส่วนใหญ่ได้พากันละทิ้งหลักการอิสลาม ละทิ้งหลักความเชื่อในเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า และ ละทิ้งการปฏิบัติตามแนวทางของศาสนทูต มูฮัมมัด ( ศ็อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) พวกเขาได้หันไปหลงไหล คลั่งไคล้อยู่กับเรื่องไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา และการตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้าในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคารพสักการะ และการขอความช่วยเหลือและคุ้มครองจากสุสานของบุคคลต่างๆ ที่ตัวเองเห็นว่าเป็นผู้วิเศษและศักดิ์สิทธิในท่ามกลางสภาพสังคมที่ฟอนเฟะและโง่งมงายนี้ได้มีบุคคลผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นที่ตำบลอัลอุยัยนะฮ ในเมืองนัจด (เมืองริยาด) ในปี ค.ศ. 1703 บุคคลผู้นั้นคือ มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบ เขามาจากตระกูล อุลามาอ (ผู้ทรงความรู้) ได้ศึกษาวิชาความรู้จากบิดา และสามารถท่องจำอัลกุรอานทั้งเล่มได้เมื่อมีอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น และแม้ว่าเขาจะได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ผู้มากด้วยความรู้ แต่เขาก็ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติมยังหัวเมืองต่าง ๆ เช่น มักกะฮ มะดีนะฮ บัศเราะฮ บัฆดาด และเมาศิลในอิรัก เมื่อเขาได้กลับมาสู่มาตุภูมิ และได้เรียกร้องเชิญชวนผู้คนให้กลับสู่แนวทางอันบริสุทธิ์ของอิสลาม เขาก็ได้รับการต่อต้านจากบรรดาผู้ปกครองซึ่งพากันหวาดระแวงกับอิทธิพลของเขาที่จะสั่นสะเทือนต่ออำนาจการ ปกครองของพวกตน เขาต้องถูกขับไล่ออกจากดินแดนที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน แต่เขาก็ยังยืนหยัดในอุดมการณ์อันมั่นคงที่จะฟื้นฟูและกอบกู้สังคมให้กลับไปสู่หลักการอันบริสุทธิ จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบ ก็คือ เมื่อท่านเดินทางมาที่เมือง อัดดัรอียะฮ ซึ่งเป็นเมืองในการ ปกครองของตระกูล สะอูด (ราชวงศ์สะอูดในปัจจุบัน) ท่านก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากอามีร มูฮัมมัด อิบนสะอูด เจ้าเมืองคนหนึ่งซึ่งตกลงใจที่จะร่วมงานกับเขาในการฟื้นฟูและเผยแผ่คำสอนของอิสลาม หลังจากนั้นไม่นานภายใต้การปกครองของ อามีร มูฮัมมัด อิบน สะอูด และการเผยแพร่คำสอนของ เชค มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบ อย่างเอาจริงเอาจัง วิถีชีวิตและความเชื่อของมุสลิมที่อยู่ภายใต้การปกครองก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากความโง่งมงายในหลักการอิสลาม และหลงผิดในการตั้งภาคี (ชิรก)
  เขียนโดย ดร.อับดุลลอฮ์ หนุ่มสุข

วิจารณ์

ตราบใดที่ชีอะฮ์ยึดประวัติศาสตร์มาอ้างโดยลักษณะที่ขัดแย้งกับตัวบทของอัลกุรอานและซุนนะฮ์  ผมไม่ขอเชื่ออย่างเด็ดขาดฉันท์ใด  แน่นอนจากบทนำประวัติกำเนิดวะฮาบีย์นี้ผมก็ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดฉันท์นั้น  เพราะประวัติบทนำกำเนิดวะฮาบีย์นี้  มันขัดแย้งกับซุนนะฮ์นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  และเป็นการกล่าวมุสาต่อซุนนะฮ์นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ดังนั้นหากเราเชื่อต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เราก็ห้ามเชื่อบทนำประวัติกำเหนิดวะฮาบีย์อันนี้  เพราะท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้สาบานต่ออัลเลาะฮ์ในการปฏิเสธเนื้อหาประวัติอันนี้ไว้ตั้งแต่ 1400 ปีมาแล้ว   

รายงานจากอุกบะฮ์ บิน อามีร  เขากล่าวว่า  ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

 وَإِنِّي قَدْ أُعْطِيتُ خَزَائِنَ مَفَاتِيحِ الْأَرْضِ وَإِنِّي وَاللَّهِ مَا أَخَافُ بَعْدِي أَنْ تُشْرِكُوا وَلَكِنْ أَخَافُ أَنْ تَنَافَسُوا فِيهَا

"แท้จริงบรรดาคลังกุญแจแห่งแผ่นดินได้ถูกมอบให้แก่ฉัน และแท้จริงฉันขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ว่า  หลังจากที่ฉันเสียชีวิตไปแล้ว ฉันไม่กลัวว่าพวกท่านจะทำชิริก  แต่ทว่าฉันกลัวว่าพวกท่านจะแข่งขันกันชิงดีชิงเด่นบนผืนแผ่นดิน" รายงานโดยบุคอรีย์ (3329)

รายงานจากท่านญาบิร  เขากล่าวว่า
 
سَمِعْتُ النَّبِيَّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏يَقُولُ ‏ ‏ إِنَّ الشَّيْطَانَ قَدْ أَيِسَ أَنْ يَعْبُدَهُ الْمُصَلُّونَ فِي ‏ ‏جَزِيرَةِ الْعَرَبِ ‏ ‏وَلَكِنْ فِي ‏ ‏التَّحْرِيشِ ‏ ‏بَيْنَهُمْ

"ฉันได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า  แท้จริงชัยฏอนนั้นได้สิ้นหวังให้บรรดาผู้ทำการละหมาด(คือบรรดามุสลิมีน) ทำการกราบไหว้มัน(คือทำชิริก)ในคาบสมุทรอาหรับ  แต่มันพยายามสร้างความแตกแยกระหว่างพวกเขา" รายงานโดยมุสลิม (5030)

ท่านอิมามอันนะวาวีย์อธิบายว่า

وَمَعْنَاهُ : أَيِس أَنْ يَعْبُدهُ أَهْل جَزِيرَة الْعَرَب , وَلَكِنَّهُ سَعَى فِي التَّحْرِيش بَيْنهمْ بِالْخُصُومَاتِ وَالشَّحْنَاء وَالْحُرُوب وَالْفِتَن وَنَحْوهَا

"ความหมายของฮะดิษ  คือ  ชัยฏอนสิ้นหวังแล้วที่ชาวคาบสมุทรอาหรับจากทำการกราบไว้(หมายถึงทำชิริก)ต่อชัยฏอน  แต่ทว่ามันทำยุยงให้เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาให้มีการถกเถียงขัดแย้งกัน  มีความรังเกียจ  มีการรบฆ่าฟัน  มีการสร้างฟิตนะฮ์กล่าวหาผู้อื่น เป็นต้น" หนังสือชัรห์ซอฮิห์มุสลิม 

ดังนั้น  เราอย่าเทิดทูนประวัติศาสตร์ที่ขัดกับซุนนะฮ์คำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เพราะจะไปเหมือนกับพวกชีอะฮ์ที่เทิดทูนประวัติศาสตร์เพื่อเอามาแสดงความชอบธรรมในแนวทางของตนเองครับ

วัลลอฮุอะลัม


       ตามประวัติศาสตร์วะฮาบีที่คนปัจจุบันเขียนขึ้นมานั้น  แบ่งได้เป็น 2 ประเด็น

       1. ในสมัยกำเหนิดวะฮาบีนั้น  กล่าวอ้างกันว่าทำชิริก

       2.  มีการรบเข่นฆ่ามุสลิมด้วยกันเอง  เพื่อให้แนวทางของตนเองอยู่รอดและชอบธรรม

       ดังนั้นหากเราพิจารณาจากซุนนะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.) ก็จะพบว่า  ประวัติศาสตร์ประการแรกนั้นขัดกับซุนนะฮ์นบีซึ่งถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่โกหกอ้างขึ้นมาเพื่อเป็นนิยายปรัมปรา  ส่วนประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับวะฮาบีในข้อที่ 2 นั้น  ถือว่าเป็นจริงเพราะซุนนะฮ์นบีได้รับรองไว้เราจะปฏิเสธไม่ได้

วัลลอฮุอะลัมบิสศ่อวาบ
لا إله إلا الله محمد رسول الله

ออฟไลน์ zakinah

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 41
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากทราบจุดกำเนิดของวะฮาบีครับ
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: ต.ค. 30, 2008, 01:18 AM »
0
น้ำเมื่ออยู่ต้นนี้ก็มักจะบริสุทธ์สะอาด แต่เมื่อไหลผ่านไปผ่านสิ่งเจือปน บ้างก็สะอาด บ้างก็สกปรก

กลายเป็นแม่น้ำ หลากหลายชื่อ หลากหลายเส้นทาง

บางคนก็นำน้ำนั้นไปใช้ประโยชน์แก่แปลงพืชผลของตน

บางคนก็ได้รับความเสียหายจากสิ่งสกปรกที่ปนมา

แต่บางคนกลับโพทนาถึงความเสียหายของน้ำสายอื่นๆที่เขาไม่ชอบเสียแล้ว

ขอเพียงมีสักกลุ่มหนึ่ง ที่พยายามนำสายน้ำทั้งหลายมาทำให้บริสุทธ์เสีย

น้ำนั้นก็จะเป็นน้ำบริสุทธ์ที่มีมาแต่เดิมแล้วยังประโยชน์แก่ผู้คนทั้งหลาย




 

GoogleTagged