ลัทธิศูฟีย์ ฤาษีเเห่งอาหรับ..
คำว่า ซูฟี เป็นภาษาอาหรับ มีรากศัพท์มาจากคำว่า ซูฟ ซึ่งหมายถึงหนังแกะหรือหนังสัตว์ แม้จะมีผู้อ้างว่าซูฟีมาจากคำว่า ซอฟ ซึ่งหมายถึงแถวละหมาดหรือมาจากคำว่า ซุฟฟะฮฺ ซึ่งหมายถึงเพิง (กระต๊อบ) ที่ผู้มาเรียนศาสนากับท่านนบีฯ อาศัยนอนรอบๆ มัสยิด (คล้ายปอเนาะทางภาคใต้ของไทย) แต่ความหมายแรกถูกต้องและเป็นที่ยอมรับมากกว่า
ตัวอย่างผู้นำ (แนวทางศูฟีย์) ท่านแรกที่ได้รับการยอมรับคือท่านอัลฮาซัน อัลบัศรี (ตาย ฮ.ศ. 110) ท่านได้เผยแพร่แนวความคิดแบบซูฟีขึ้นที่ค่ายทหารเมืองบัศรอในอีรัค ถัดมาคือท่านอิบรอฮีม อิบนิ อัดฮาม ชาวอาหรับผู้เป็นเจ้าชายแห่งบัลค์ (PRINCE OF BALK) ท่านละทิ้งอำนาจราชศักดิ์บำเพ็ญตนดุจฤาษีอยู่ในแถบซีเรียและทะเลสาปเดดซี เป็นที่กล่าวขานกันว่า ท่านเรียนรู้การรู้จักพระเจ้า (มะอฺริฟะตุ้ลลอฮฺ) จากการชี้แนะของพระในศาสนาคริสต์ชาวซีเรีย นอกจากนี้ท่านยังชำนาญเรื่องการแต่งกลอนและแต่งบทประพันธ์สรรเสริญพระเจ้า
ผู้นิยมซูฟีในยุคแรกๆ มักสวมเครื่องนุ่งห่มที่ทำจากหนังสัตว์ (จึงถูกเรียกว่าพวกซูฟี หรือพวกที่นิยมนุ่งห่มหนังสัตว์) ตามแบบอย่างที่พระคริสเตียนในซีเรียนิยมสวมใส่ รวมทั้งรับแนวความคิดเรื่องระบบวัดของศาสนาคริสต์ และได้รับแนวความคิดเรื่องนิพพานของศาสนาพุทธ (หลังจากอิสลามได้ขยายเข้าไปในอินเดีย) จึงได้มีการบำเพ็ญตบะทำตัวเป็นนักพรต นักบวชเลียนแบบพระของศาสนาคริสต์ในซีเรีย และเลียนแบบพระของศาสนาพุทธ และพราหมณ์ของศาสนาฮินดูในอินเดีย มาประยุกต์ใช้ในหมู่สาวกของลัทธิ
ลัทธิซูฟีเน้นการหาทาง (ฎอริเกาะฮฺ, ตะริกัต) เข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า โดยวิธีการปฏิบัติตนแบบสมถะมักน้อย ปลีกตัวออกไปยังที่เงียบสงบ เพื่อทำสมาธิ (กุชั๊วอฺ) เช่นกลางทะเลทราย ในถ้ำตามหุบเขาหรือตามป่าเขาลำเนาไพร ฯลฯ เพื่อค้นหาความสว่างภายใน (รู้แจ้ง) หรือได้รับการดลใจ (อิลฮาม) จากพระเจ้า
แทนที่จะศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางที่ศาสดา และบรรดาศอฮาบะฮฺเคยปฏิบัติหรือสั่งสอนไว้ พวกเขากลับพยายามแสวงหาความลี้ลับ (เฆ้บ) ที่อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ มาเป็นเครื่องชำระล้างจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ (ตะเซาวุฟ) โดยเชื่อว่าเมื่อสามารถทำให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจจนถึงระดับสุดยอดได้ ก็จะสามารถเข้าถึงพระเจ้า และสามารถรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าได้
การกระทำด้วยวิธีต่างๆ ตามที่บรรดาหัวหน้า (อามีรฺหรือโต๊ะแซะห์) หรือเจ้าลัทธิได้คิดค้นขึ้นนั้น ล้วนมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าได้ จนสามารถรู้สึกได้ว่า พระเจ้าคือตน คนคือพระเจ้า (หนังสือบางเล่มก็ใช้สำนวนว่า กูคืออัลลอฮฺ) อันเป็นเป้าหมายสูดสุดของสาวกซูฟีเกือบทุกคณะ
ตอนหลังลัทธิซูฟีแพร่หลายมากเช่นเข้าไปยังหมู่เกาะอินโดนิเซีย (ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม โต๊ะวาลีซองโงทั้ง 9 ท่าน) และเข้าไปยังดินแดนในทวีปอัฟริกาและเอเซีย จนถึงประเทศจีนและรัสเซีย วันนี้แค่นี้ก่อนครับ อิงชาอัลเลาะวันหลังจะนำอากีดะที่ผิดเพี้ยนของซูฟีมานำเสนอใหม่.