อิทธิพลทางความคิดที่แพร่หลายของวะฮาบีย์ในสังคมไทยตอนนี้ ส่วนใหญ่จะถูกเจาะกลุ่มที่นักศึกษาและกลุ่มคนที่ไม่ค่อยได้มีโอกาส หรือไม่ว่างในการศึกษาอิสลามตามสถาบันต่างๆ ทางศาสนา สังคมมุสลิมสมัยนี้ต้องแข่งกับเวลา พวกเขาต้องการอะไรที่รวดเร็วและสะดวกสบาย ซึ่งรวมไปถึงการเข้าใจอิสลามที่รวดเร็วต่อการเข้าใจและสะดวกสบาย เราจะเห็นได้ว่า วะฮาบีย์ได้ตอบสนองพวกเขาตรงนี้ อาจจะเรียกได้ว่าครบถ้วนและครบครัน แต่เมื่อเราหันมาดูทางฝ่ายที่ยึดมัฑฮับ กลับไม่มีอย่างนั้น หรือมีก็ถือว่ายังไม่เพียงพอ เรามีประมุขทางศาสนาที่เป็นฝ่ายเดียวกับเรา แต่กลับไม่ค่อยได้เห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมเสียเท่าไร น่าเศร้าใจมากครับ นักศึกษามหาวิทาลัย นับวันยิ่งมีความคิดที่ก้าวร้าวต่อทัศนะเดิมที่ตนเคยยึดอยู่ และต่อว่าต่อขานบรรดาอุละมาอ์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผมเข้าใจว่าคงไม่มีใครต้องการจะให้มันเกิดอย่างแน่นอน แล้วเราสมควรจะทำอย่างไรดีหละ โดยเฉพาะผู้นำศาสนาอิสลามแห่งเมืองไทย??? - วัสสลาม
ตอนนี้วะฮาบีกำลังป้อนอุดมการณ์ของตนเองโดยเก็บเกี่ยวจากความเขลาหรือความไม่รู้ของนักศึกษาที่ไม่มีพื้นฐานศาสนา ความจริงสังคมมันเริ่มอ่อนแอทางการเรียนรู้ศาสนามาระยะหนึ่งแล้วครับ เลยไปเป็นชีอะฮ์มั่ง เป็นวะฮาบีมั่ง ซึ่งตอนนี้ระบบการเผยแพร่ของวะฮาบีกับชีอะฮ์ก็พอๆ กัน ดังนั้นหากเราจะตั้งคำถามว่า ทำไมมีพี่น้องมุสลิมอะฮ์ลิสซุนนะฮ์จึงเข้าไปเป็นวะฮาบีและชีอะฮ์ นั่นก็เพราะว่าเขารู้แนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์น้อย รู้หลักการศาสนาน้อยนั่นเอง แต่บางทีนักศึกษาที่ไม่ค่อยเรียนศาสนา แต่อย่าอับเกรดตนเองในเรื่องศาสนาในแง่ของอยากเด่นด้วยการเปลี่ยนตนเองไปอยู่แนวทางชีอะฮ์หรือวะฮาบี เพื่อมาทดแทนสิ่งที่ตนเองขาดหายไปในแง่ของความรู้ศาสนา และโต๊ะครูวะฮาบีพยายามนำเรื่องข้อปลีกย่อยทางฟิกห์มาเป็นตัวชูโรง แต่เรื่องอะกีดะฮ์นั้นวะฮาบีพยายามปกปิดแบบตะกียะฮ์ในบางส่วนอันเนื่องมาจากอะกีดะฮ์บิดอะฮ์นั่นเองครับ
เป็นที่ทราบกันดีว่าวะฮาบีและชีอะฮ์ในปัจจุบันไม่ว่าจะในโลกอาหรับหรือในเมืองไทย ต่างก็พยายามทำลายและฮุกุ่มเพื่อให้ อะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ ออกจากการเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ทั้งที่นักปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์คือปราชญ์แห่งโลกอิสลามส่วนมากที่แบกรับหลักการของอัลอิสลามมาทุกยุคสมัย แต่ปัจจุบันวะฮาบีพยายามตัดสินว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ไม่ใช่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ หมายถึงพวกเขาอยู่แนวทางบิดอะฮ์และชั่วนั่นเอง ซึ่งหลักการของวะฮาบีดังกล่าวนี้ ตรงกับฮะดิษของท่านนบี(ซ.ล.) ได้ที่กล่าวยืนยันไว้ว่า
لا تقوم الساعة حتى يلعن آخر هذه الأمة أولها
"วันกิยามะฮ์จะไม่อุบัติขึ้นจนกระทั่งผู้คนยุคหลังของประชาชาตินี้ได้ประณามบุคคลยุคก่อนของประชาชาตินี้"
ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า วะฮาบีคือกลุ่มชนยุคหลังที่ประณามทั้งในคำพูดและเชิงหลักการกับปราชญ์ยุคก่อน และที่พอสังเกตุได้จากหลักความเชื่อของวะฮาบีนั้น คือ
1. วะฮาบีเชื่อว่าตัวเองคือผู้สัจจริงเพียงหนึ่งเดียว เชื่อว่าตนเองตามแนวทางสะลัฟ ส่วนแนวทางอื่นจากวะฮาบีนั้นต่างก็เบี่ยงเบนออกจากสัจธรรมนั่นเอง ทั้งที่ความจริงวะฮาบีย์คือกลุ่มอะกีดะฮ์อะฮ์ลุลบิดอะฮ์ที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในยุคนี้ ซึ่งเหมือนกับการฟื้นขึ้นมาของหลักการของชีอะฮ์
2. วะฮาบีพยายามหว่านเมล็ดพันธ์แห่งความเกลียดระหว่างกันในหมู่พี่น้องมุสลิม เนื่องจากวะฮาบีมักจะมองคนอื่นเป็นคนทำบิดอะฮ์ มีหลักอะกีดะฮ์ไม่ถูกต้อง และอยู่บนแนวทางไม่ถูกต้อง ดังนั้นวะฮาบีจึงปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยมิได้มีความยินดีและให้เกียรติพี่น้องมุสลิมอย่างจริงใจ
3. วะฮาบีพยายามแสดงตนให้รู้ว่า พวกเขาเองนั้นคือกลุ่มชนที่ได้รับการคัดเลือกจากอัลเลาะฮ์ในหมู่ประชาชาติอิสลาม พวกเขาคิดว่ากลุ่มของตนเองปกป้องศาสนาและหลักอะกีดะฮ์อิสลาม แต่หากเราพิจารณาด้วยตาใจที่เป็นธรรม จะพบว่าแนวทางวะฮาบีย์นั้นได้ปรากฏเด่นชัดในยุคหลังนี้เอง ส่วนแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์นั้น ได้ปรากฏเด่นชัดมาเป็นพันปีแล้วและคอยปกป้องอิสลามมาทุกยุคสมัย
ซึ่งหลักการและพฤติกรรมของวะฮาบีดังกล่าวนี้ ตรงกับฮะดิษของท่านนบี(ซ.ล.) ได้ที่กล่าวยืนยันไว้ว่า
لا تقوم الساعة حتى يلعن آخر هذه الأمة أولها
"วันกิยามะฮ์จะไม่อุบัติขึ้นจนกระทั่งผู้คนยุคหลังของประชาชาตินี้ได้ประณามบุคคลยุคก่อนของประชาชาตินี้"
วัลลอฮุอะลัมบิศศ่อวาบ