เรื่องราวต่างๆนั้น เอามาเป็นอากีดะห์ เป็นหลักปฏิบัติได้หรือไม่...
ขอเสริมเสวนาสักหน่อยครับ คือจากสิ่งที่พี่น้องเขานำเสนอกันมานั้น สรุปประเด็นหลักๆ ได้ 3 แง่มุม
1. ษาบิต อัลบุนานีย์ เป็นตาบิอีนที่มีคุณธรรมเชื่อถือได้ เขาได้ทำตะฮัจญุดเป็นประจำและขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ให้ได้ละหมาดในกุบูร
2. เขาได้รับกะรอมัต(รับเกียตริ)จากอัลเลาะฮ์ ให้ได้ละหมาดในกุบูร
3. อัลเลาะฮ์จึงให้คนหนึ่งเห็นเขาละหมาดในกุบูร
สรุปเรื่องอะกีดะฮ์ของประเด็นนี้คือ เรื่องกะรอมัต เรื่องมุมินละหมาดในกุบูร ดังนั้นเรื่องกะรอมัต เป็นอะกีดะฮ์ข้อปลีกย่อยที่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ให้การยอมรับว่ามุมินผู้มีคุณธรรมนั้นสามารถได้รับกะรอมัตจากอัลเลาะฮ์ได้ และการละหมาดในกุบูรตามรูปแบบที่อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์นั้น มิได้ขัดกับอะกีดะฮ์อะไรเลยยิ่งกว่านั้นอัลบานีเองก็ยังยืนยันรับรองว่ามุมินละหมาดในกุบูรได้
ตามที่เราได้เข้าใจจากเรื่องเล่ากะรอมัตที่นักปราชญ์ฮะดิษได้บันทึกไว้นั้น ในแง่ของอะกีดะฮ์คือ ในอิสลามมีกะรอมัต ส่วนแง่มุมของหลักปฏิบัติคือ ส่งเสริมให้ละหมาดตะฮัจญุด แต่หากจะถามว่า เอาหลักการคนละหมาดในกุบูรมาเป็นหลักฐานละหมาดตะฮัจญุดได้หรือ เราขอตอบว่า เรื่องการเห็นคนตายที่ชอบละหมาดตะฮัจญุดในละหมาดนั้น นำมาพูดกันเพื่อให้มีความอุ่นใจเป็นอุทาหรณ์ للتأنيس ไม่ใช่นำมาเป็นหลักฐานด้านคุณความดีของตะฮัจญุด للتدليل
ดังนั้นใครปฏิเสธการมีกะรอมัต เขาไม่ใช่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ใครปฏิเสธความเป็นไปได้ที่มุมินจะละหมาดในกุบูร เขาไม่ใช่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ครับ