ผู้เขียน หัวข้อ: ตกลง งานเมาลิด เป็นที่อนุมัติ หรือไม่ตามหลักการแห่งศาสนา  (อ่าน 12601 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam
อีกอย่างนึง
ผมเคยได้ฟังการบรรยายจากอาจารย์ทางภาคใต้

ว่าทำไมสังคมเราจึงให้ความสำคัญกับวันเกิดนบี แต่ไม่มีใครเลยที่ให้ความสำคัญการวันที่นบีสิ้นชีวิต ทั้งๆที่ การสิ้นชีวิตของท่านนบี มีเรื่องราวอะไรดีๆและแง่คิดข้อคิดสำหรับประชาชาติอิสลามมากกว่าช่วงที่ท่านเกิดด้วยซ้ำ

น่าคิด....

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
salam
อีกอย่างนึง
ผมเคยได้ฟังการบรรยายจากอาจารย์ทางภาคใต้

ว่าทำไมสังคมเราจึงให้ความสำคัญกับวันเกิดนบี แต่ไม่มีใครเลยที่ให้ความสำคัญการวันที่นบีสิ้นชีวิต ทั้งๆที่ การสิ้นชีวิตของท่านนบี มีเรื่องราวอะไรดีๆและแง่คิดข้อคิดสำหรับประชาชาติอิสลามมากกว่าช่วงที่ท่านเกิดด้วยซ้ำ

น่าคิด....

คิดไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไหร่  อิสลามเขาไม่ให้ความสำคัญกับวันเสียชีวิตหรอก  เพราะอิสลามเขาไม่ส่งเสริมการไว้อาลัยไม่ส่งเสริมตอกย้ำถึงความโศรกเศร้าในการเสียชีวิต หากเชิญบรรดาอาจารย์มาปราศัยเรื่องวันตายของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เดี๋ยวผู้คนก็ร้องไห้คร่ำครวญกันอีกหรอก  มันจะไปเหมือนพวกชีอะฮ์เน้นการให้ความสำคัญวันเสียชีวิตของท่านอิมามอัลฮุซัยน์การไว้อาลัยจึงเกิดขึ้นเป็นพิธีกรรม 

วันเกิดเป็นวันที่ชุโกรเนี๊ยะต์มัตที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานให้แก่เรา  เช่นมีการเชือดสัตว์ทำอะกีเกาะฮ์เพื่อแสดงความยินดีชุโกรเนี๊ยะมัตที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานบุตรให้แก่เรา  การรำลึกถึงวันประสูตของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็เป็นการแสดงความยินดีในเนี๊ยะมัตที่อัลเลาะฮ์ให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเกิดมา  เพื่อเป็นความเมตตาแห่งสากลโลก  อัลกุรอานก็บอกชัดเจนแล้วว่า "ด้วยเนี๊ยะมัตของพระองค์นั้น พวกเขาจึงปิติยินดีกันเถิด"

ดังนั้น การพูดว่าน่าจะให้ความสำคัญกับวันเสียชีวิตของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  จึงเป็นการนำเสนอความเห็นที่ไม่บังควรอย่างยิ่งครับ

วัลลอฮุอะลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 03, 2008, 11:56 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
salam
อีกอย่างนึง
ผมเคยได้ฟังการบรรยายจากอาจารย์ทางภาคใต้

ว่าทำไมสังคมเราจึงให้ความสำคัญกับวันเกิดนบี แต่ไม่มีใครเลยที่ให้ความสำคัญการวันที่นบีสิ้นชีวิต ทั้งๆที่ การสิ้นชีวิตของท่านนบี มีเรื่องราวอะไรดีๆและแง่คิดข้อคิดสำหรับประชาชาติอิสลามมากกว่าช่วงที่ท่านเกิดด้วยซ้ำ

น่าคิด....

คิดไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไหร่  อิสลามเขาไม่ให้ความสำคัญกับวันเสียชีวิตหรอก  เพราะอิสลามเขาไม่ส่งเสริมการไว้อาลัยไม่ส่งเสริมตอกย้ำถึงความโศรกเศร้าในการเสียชีวิต หากเชิญบรรดาอาจารย์มาปราศัยเรื่องวันตายของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เดี๋ยวผู้คนก็ร้องไห้คร่ำครวญกันอีกหรอก  มันจะไปเหมือนพวกชีอะฮ์เน้นการให้ความสำคัญวันเสียชีวิตของท่านอิมามอัลฮุซัยน์การไว้อาลัยจึงเกิดขึ้นเป็นพิธีกรรม 

วันเกิดเป็นวันที่ชุโกรเนี๊ยะต์มัตที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานให้แก่เรา  เช่นมีการเชือดสัตว์ทำอะกีดะฮ์เพื่อแสดงความยินดีชุโกรเนี๊ยะมัตที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานบุตรให้แก่เรา  การรำลึกถึงวันประสูตของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็เป็นการแสดงความยินดีในเนี๊ยะมัตที่อัลเลาะฮ์ให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเกิดมา  เพื่อเป็นความเมตตาแห่งสากลโลก  อัลกุรอานก็บอกชัดเจนแล้วว่า "ด้วยเนี๊ยะมัตของพระองค์นั้น พวกเขาจึงปิติยินดีกันเถิด"

ดังนั้น การพูดว่าน่าจะให้ความสำคัญกับวันเสียชีวิตของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  จึงเป็นการนำเสนอความเห็นที่ไม่บังควรอย่างยิ่งครับ

วัลลอฮุอะลัม

salam
ไม่ใช่ครับอาจารย์
อุสตาสเขาสอนบรรยากาศของเหตุการณ์ที่ท่านนบีเสียชีวิตอย่างละเอียด โดยเน้นถึงบทเรียนที่ท่านนบีฝากไว้สำหรับประชาชาติอิสลาม ไม่ได้เล่าเหตุการณ์นบีเสียชีวิตเพื่อจะได้ไว้อาลัยอย่างพวกชีอะห์เขาทำกันหรอกนะครับ
ผมกล่าวถึงตัวบทเรียนที่ท่านนบีฝากไว้ก่อนที่ท่านนบีจะสิ้นชีวิตสำหรับประชาชาติอิสลาม และเหตุการณ์ที่ท่านนบีเสียชีวิตได้ฝากอะไรให้ประชาชาติอิสลามได้เป็นบทเรียน หากกล่าวในมิตินี้ก็ควรสนับสนุนนะครับ ไม่ใช่ทำแบบชีอะห์เขา มันคนละประเด็นครับ

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
salam
ไม่ใช่ครับอาจารย์
อุสตาสเขาสอนบรรยากาศของเหตุการณ์ที่ท่านนบีเสียชีวิตอย่างละเอียด โดยเน้นถึงบทเรียนที่ท่านนบีฝากไว้สำหรับประชาชาติอิสลาม ไม่ได้เล่าเหตุการณ์นบีเสียชีวิตเพื่อจะได้ไว้อาลัยอย่างพวกชีอะห์เขาทำกันหรอกนะครับ
ผมกล่าวถึงตัวบทเรียนที่ท่านนบีฝากไว้ก่อนที่ท่านนบีจะสิ้นชีวิตสำหรับประชาชาติอิสลาม และเหตุการณ์ที่ท่านนบีเสียชีวิตได้ฝากอะไรให้ประชาชาติอิสลามได้เป็นบทเรียน หากกล่าวในมิตินี้ก็ควรสนับสนุนนะครับ ไม่ใช่ทำแบบชีอะห์เขา มันคนละประเด็นครับ

แต่ไม่มีใครเลยที่ให้ความสำคัญการวันที่นบีสิ้นชีวิ

พูดกันเรื่องขณะเสียชีวิตได้น่ะ  แต่ที่เราพูดคือการให้ความสำคัญของ "วัน" คือให้ความสำคัญกับ "วันตาย" นี่ไม่มันเหมาะ   
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
salam
ไม่ใช่ครับอาจารย์
อุสตาสเขาสอนบรรยากาศของเหตุการณ์ที่ท่านนบีเสียชีวิตอย่างละเอียด โดยเน้นถึงบทเรียนที่ท่านนบีฝากไว้สำหรับประชาชาติอิสลาม ไม่ได้เล่าเหตุการณ์นบีเสียชีวิตเพื่อจะได้ไว้อาลัยอย่างพวกชีอะห์เขาทำกันหรอกนะครับ
ผมกล่าวถึงตัวบทเรียนที่ท่านนบีฝากไว้ก่อนที่ท่านนบีจะสิ้นชีวิตสำหรับประชาชาติอิสลาม และเหตุการณ์ที่ท่านนบีเสียชีวิตได้ฝากอะไรให้ประชาชาติอิสลามได้เป็นบทเรียน หากกล่าวในมิตินี้ก็ควรสนับสนุนนะครับ ไม่ใช่ทำแบบชีอะห์เขา มันคนละประเด็นครับ

แต่ไม่มีใครเลยที่ให้ความสำคัญการวันที่นบีสิ้นชีวิ

พูดกันเรื่องขณะเสียชีวิตได้น่ะ  แต่ที่เราพูดคือการให้ความสำคัญของ "วัน" คือให้ความสำคัญกับ "วันตาย" นี่ไม่มันเหมาะ   
ครับผม ขอมะอัฟที สื่อสารผิดไปหน่อยครับ

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ในอนาคตคงจะมีบางคนเพิ่มวัน วาฟาตุนนาบี ล่ะมั้ง แล้วเริ่มแต่งซางีกันเล่าเรื่องที่นบีได้จากโลกไป
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ คนอยากรู้

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 621
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
 salam

อ้างถึง
ผมเคยได้ฟังการบรรยายจากอาจารย์ทางภาคใต้

ว่าทำไมสังคมเราจึงให้ความสำคัญกับวันเกิดนบี แต่ไม่มีใครเลยที่ให้ความสำคัญการวันที่นบีสิ้นชีวิต ทั้งๆที่ การสิ้นชีวิตของท่านนบี มีเรื่องราวอะไรดีๆและแง่คิดข้อคิดสำหรับประชาชาติอิสลามมากกว่าช่วงที่ท่านเกิดด้วยซ้ำ

น่าคิด....

อันที่จริงแล้ว สิ่งที่อ.ท่านนั้นพูดแล้วคุณQolbunSaleemนำมาคิดนั้น  ผมว่า ถ้าเราได้ศึกษาตามหลักการของศาสนานั้น หากเรามีการอาลัยอาวรณ์ต่อผู้ที่จากไปจนถึงขนาดจัดงานรำลึกนั้นผมว่า

สิ่งนี้นั้นอาจจะถูกครหาได้มากกว่าการจัดรำลึก ต่อบุคคลที่เป็นศาสนทูตอย่างเช่นท่านนบีของเรา และในขณะเดียวกัน การกระทำเช่นนั้นอย่างที่คุณQolbunSaleemนำมากล่าวอ้างนั้น มันรจะกลายเป็นว่า ผูที่ให้ความสำคัญในการจัดงานรำลึกถึงการตายนั้น เป็นผู้ที่กระทำบิดอะดอลาละเสียอีก เพราะในศาสนาก็ห้ามที่จะไม่มีรูบแบบของการคร่ำครวญหรืออาลัยอาวรณ์(การอินายะ)ต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วแบบเลยเถิดหรือแบบอย่างที่คุณQolbunSaleemชีนำมาจากอ.ท่านดังกล่าว

และหากสมมุตว่า เราจะกระทำเช่นนั้นจริงๆ   ผมแน่นอน  ว่ามันจะกลับกลายเป็นเป้าหมายในการโจมตี จากผู้ที่มีอคติและผู้ที่ไม่หวังดีเข้าจนได้  ว่าจัดงานวันตายให้กับท่านนบีอีก

 ;Dแต่ถ้าเราย้อนกลับเข้าหา คำดำรัสจากอัลกรุอ่านของผู้ทรงอภิบาล ในการที่พระองค์นั้นเป็นผู้ทรงบังเกิดมนุษยชาติและท่านนบีมุฮำมัด(ซล)

.....อันที่จริง พระองค์อัลลอฮ์(ซบ)นั้นให้การสรรเสริญต่อท่านนบีและยังใช้ให้บรรดามาลาอีกัตและญินและมนุษย์กล่าวสดุดีซอลาวัตต่อท่านนบี...ในวันที่ท่านถุกส่งมา.(

ฉนั้นจากหลักฐานข้างบนนั้น คือที่มาของวันแห่งการให้เกียรติบรรดาวันของท่านนบีของเรา  และยังมีในอดีตสถานที่ประสูตของบรรดานบี (อะลัยฮิมุสลาม)ท่านก่อนๆมากมาย

เช่นจากรายงานจากท่าน ชัดดาด บิน อุวัยสฺ  ว่า  "ท่านญิบรีลได้ใช้ให้ท่านนบี(ซ.ล.) ละหมาดสองร่อกะอัตที่บัตุลละหฺมิ (เบตแลแฮม) หรือบัยตุลมากอดิส ชายแดนปาเลสไตน์กับอิสราเอลปัจจุบัน
จากนั้น  ท่านญิบรีลก็กล่าวกับท่านนบี(ซ.ล.)ว่า  ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังละหมาดอยู่ที่ใหน ?  ท่านนบีตอบว่า "ไม่รู้"  ท่านญิบรีลจึงกล่าวว่า "ท่านกำลังละหมาดอยู่ที่บัยตุลละหฺมิ ซึ่งเป็นสถานที่เกิดของอีซา"   รายงานโดย  ท่านอัลบัซซาร , อบูยะอฺลา , และท่านอัฏฏ๊อบรอนีย์ ,  เช่นเดียว คือท่านอัลหาฟิซฺ  อัลฮัยษะมีย์ กล่าวว่า  บรรดานักรายงานของหะดิษนี้  มีบรรดานักรายงานที่ซอฮิหฺ  ,  ดู  มัจญฺมะอฺ  อัลซะวาอิด  เล่ม 1 หน้า 199 ,  และสายรายงานนี้  ท่านอิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์  ได้กล่าวไว้ใน หนังสือฟัตหุลบารี เล่ม 7 หน้า 199

ส่วนหนึ่งจากสิ่งดังกล่าวก็คือ  การขอพรความสันติต่อบรรดานบี(อะลัยฮิมุสลาม) ในวันเกิดของพวกเขานั้น  ได้มีระบุไว้ในอัลกุรอาน  เช่นคำตรัสของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ที่กล่าวเกี่ยวกับท่านนบีอีซา(อะลัยฮิสลาม)ว่า

والسلام على يوم ولدت                                                                                         
                  "และความศานติ ประสบแด่ฉัน  ในวันที่ฉันเกิด"  มัรยัม 33


ดังนั้น  ท่านนบีมุหัมมัด(ซ.ล.) ไม่สมควรยิ่งกว่าหรือ  ที่จะทำการขอความสันติขอพรซ่อลาวาตให้แก่ท่านนบี(ซ.ล.)ในวันที่ท่านได้เกิด
และส่วนหนึ่งจากสิ่งดังกล่าวคือ  การกล่าวเล่าเรื่องราวการเกิดของบรรดานบี(ซ.ล.)บางท่านที่มีระบุไว้ในอัลกุรอาน  ซึ่งเราจะนำมากล่าวต่อไป
อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ทรงตรัสไว้ว่า

وذكرهم بأيام الله إن فى ذلك لأيات لكل صبار شكور                                                                     
"และจงเตือนพวกเขาให้รำลึกถึงบรรดาวัน (แห่งความโปรดปราน) ของอัลลอฮฺ แท้จริงในการนั้นย่อมเป็นสัญญาณแก่ผู้อดทนผู้ขอบคุณทุกคน" อิบรอฮีม 5

 
قل للذين أمنوا يغفروا للذين لا يرجون أيام الله                                                                         
 
"จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาให้พวกเขาอภัยแก่บรรดาผู้ที่ไม่หวังในวันทั้งหลายของอัลลอฮฺ"  อัลญาซิยะฮ์ 14

 
ดังนั้น บรรดาวันของอัลเลาะฮ์  ก็คือ  บรรดาวันแห่งความอดทนและชุโกรรู้คุณต่ออัลเลาะฮ์(ซ.บ.)   

ฉะนั้น  สิ่งที่เราหวังก็คือบรรดาวันที่อัลเลาะฮ์ทำให้มันมีบะรากัตศิริมงคล  นั่นคือจุดมุ่งหมายของอายะฮ์ดังกล่าวนี้
เราลองมาพิจารณาคำตรัสของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ที่ว่า
 
قل بفضل الله وبرحمته فبذلك فليفرحوا                                                                             
 
"จงกล่าวเกิดมุฮัมมัด  ด้วยกับความโปรดปรานของอัลเลาะฮ์และความเมตตาของพระองค์  ดังนั้นพวกเขาจงปีติยินดีเถิด" ยูนุส 58


ดังนั้น  วันที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ประสูต ย่อมเป็นวันแห่งความน่าปิติยินดีและเป็นความเมตตาหรือไม่?  ทั้งที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)เองก็กล่าวว่า
 
أنا الرحمة المهداة                                                                                           
 
"ฉันคือความเมตตาที่ถูกมอบเป็นของขวัญ"

 
การที่เราได้รำลึกของวันเกิดของท่านนบี(ซ.ล.)นี้  เราได้กระทำสิ่งที่สุนัตหรือว่ากระทำสิ่งที่หะรอม ?  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  บรรดาสถานที่ที่มีการรวมตัวกัน

  โดยทำให้บรรดามุสลิมมีความรักต่อท่านนบี(ซ.ล.) และทำให้พวกเขามีการรำลึกถึงบรรดาแบบอย่าง  จรรยามารยาทที่ยิ่งใหญ่ของท่าน
 
อีกตัวอย่างความสำคัญหนึ่งที่เกี่ยวกับบรกัตของการรำลึกถึง วันประสูติของท่านนบีก็คือ

การเบาของการลงโทษของ อบูละฮับที่ครั้งหนึ่ง อบูลาฮับนั้นได้ทำการปลดปล่อยนางสุวัยบะฮ์ อัลอัสละมีย์ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาส  เพราะมีความปีติยินดี

และดีใจ ในการเกิด(เมาลิด)ของท่านนบี(ซ.ล.)   
 
ท่านอิบนุกะษีรกล่าวว่า "สตรีคนแรกที่ให้นมแก่ท่านนบี(ซ.ล.)คือ  นางสุวัยบะฮ์ ทาสของอบูละฮับ  โดยที่อบูละฮับได้ทำการปล่อยนางให้เป็นอิสระ

 เพราะเขาได้รับข่าวดีจากการเกิดของท่านนบี(ซ.ล.)  ด้วยเหตุดังกล่าวคือ  ในขณะที่ท่านอับบาสพี่น้องของอบูละฮับ(ร.ฏ.)ได้ฝันเห็นเขา 
หลังจากที่ได้เห็นเขาถึงความขาดทุนอย่างย่อยยับ  แล้วท่านอับบาสถามอบูละฮับว่า ท่านได้ประสบอะไรบ้าง?  อบูละฮับตอบว่า  "หลัง(ตาย)จากพวกท่านไป

ฉันไม่พบความดีใดเลยนอกจากฉันได้รับน้ำดื่มในนี้(หัวแม่มือและนิ้วถัดจากนั้น)ด้วยเหตุการปล่อยสุวัยบะฮ์"  ดู อัลบิดายะฮ์ วะ อันนิฮายะฮ์  เล่ม 1  หน้า 224 
 

ส่วนหาดิษที่ฝ่ายคัดค้านการรำลึกของประสูตของท่านนบี(ซล)และทำการยกฮาดิสที่ว่า

كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة

"ทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น บิดอะฮ์ และทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"


จริงๆแล้วจุดมุ่งหมายของหะดิษนี้ ก็คือ บรรดาสิ่งที่อุตริทำขึ้นมาใหม่ที่เป็นโมฆะและบรรดาบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิเท่านั้น..." (ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม ของท่านอิมาม อันนะวาวีย์ เล่ม 4 หน้า 113)
และการฟื้นฟูซุนนะฮ์นะนั้น ย่อมมีหลักฐานที่เป็นเอกเทศของมันอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องไปตีความหะดิษ "من سن في الإسلام سنة حسنة " แต่อย่างใด เช่น

 และท่านอิมาม อันนะวะวีย์ ก็ได้กล่าวว่าอธิบายหะดิษข้างบนโดยท่านเห็นว่าฮาดิสดังกล่าวนั้นถูกสนับด้วยฮาดิสต่อไปนี้ที่ว่า

من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها.....إلى أخره

"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน ผลตอบแทนของมัน ก็มีให้แก่เขา...(จนจบหะดิษ) ในหะดิษนี้ ได้ส่งเสริมให้ริเริ่มกระทำบรรดาความดีงาม และกระทำขึ้นมา กับบรรดาแนวทางทางที่ดี และเตือนให้ระวัง จากการประดิษฐ์บรรดาสิ่งที่เป็นโมฆะและสิ่งที่น่ารังเกียจ และสาเหตุที่นบี(ซ.ล.)กล่าวในหะดิษนี้ คือในช่วงแรกผู้รายงานกล่าวว่า " ได้มีชายคนหนึ่ง(ที่ยากจนแล้วบรรดาซอฮาบะฮ์ก็บริจาคทำการช่วยเหลือ) ได้นำถุงกระสอบหนึ่งที่มือของเขายกเกือบไม่ไหว แล้วบรรดาผู้คนก็ติดตาม(บริจาคให้อีก)" ดังนั้น ความประเสริฐอันยิ่งใหญ่ สำหรับผู้ที่ริเริ่ม ด้วยการทำความดีนี้ และสำหรับผู้ที่เปิดประตูของการกระทำความดีงามนี้ และในหะดิษนี้ ได้มาทอนความหมายคำหะดิษท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่กล่าวไว้ข้างบนต่างหาก

และอีกสำนวนหนึ่งที่ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ ได้รายงาน จาก ท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า

من دعا إلى هدى كان له من الأجر مثل أجور من تبعه لا ينقص ذلك من أجورهم شيئا ، ومن دعا إلى ضلالة كان عليه من الإثم مثل آثام من تبعه لا ينقص ذلك من آثامهم شيئا

"ผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ทางนำ แน่นอน ย่อมมีผลตอบแทนแก่เขา เหมือนบรรดาการตอบแทนของผู้ที่เจริญตาม โดยดังกล่าวนั้น จะไม่ลดน้อยสักสิ่งใดเลย จากบรรดาผู้การตอบแทนของพวกเขา และผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ความลุ่มหลง แน่นอน ย่อมมีบาปบนเขา ซึ่งเสมือนกับบรรดาบาปของผู้ที่เจริญตาม โดยสิ่งดังกล่าวนั้น จะไม่ลดน้อยสักสิ่งเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" รายงานโดยมุสลิม

เราจึงพอจะสรุปได้ว่า การเชิญชวนให้พี่น้องของเรารู้จักกับวันประเสริฐ(วันประสูตของท่านร้อซุ้ล)จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่การะทำแบบน่ารังเกียจและลุ่มหลงแต่อย่างใดเลย

แต่เพื่อเป็นการชี้หรือตักเตือนในวันสำคัญของการมาของท่านนบี(ซล)ต่างหาก เพื่อที่จะให้พี่น้องของเราได้ตระหนักในเรื่องนี้ตลอดชีวิตของเขา ด้วยประวัติของท่านนบีที่มีมากมายของการเป็นศาสนทูตของมวลมนุษยชาติเริ่มแต่ ตั้งแต่

สิ่งที่ได้บอกกล่าวถึงการมาของท่านในคัมภีร์เก่า

และช่วงระยะเวลาพระองค์อัลลอฮ์(ซบ)ได้ทรงให้ท่านนบี(ซล)

ใช้ชิวิตในครรถ์มารดา

จนกระทั้งท่านประสูติ 

และช่วงชีวิตวัยเด็ก 

ช่วงระยะเวลาวัยรุ่น 

ช่วงวัยหนุ่ม

และช่วงที่ท่านได้ถูกแต่งตั้งเป็นนบี

 และถุกแต่งตั้งเป็นร้อซุล 

และเหตุการณ์ต่างๆในขณะที่ท่านเผยแพร่ศาสนา

และก็ช่วงสุดท้ายของชีวิตของท่าน

ซึ่งเราๆท่านๆก็รับทราบ แต่เงื่อนไขในการอาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปไม่ว่าของใครก็ตามนั้น มันเป็นกรรมสิทะของพระองค์

ฉนั้น เราสมควรยินดีมากกว่าในการที่พระองค์ส่งผู้ที่พระองค์ทรงเลือกเฟ้นมายังมวลมนุษยชาติ  แทนที่จะกลับมาโศกเศ้าต่อการจากไปจนให้ความสำคัญจนเลยเถิด

ซึ่งมันจะแตกต่างกับนิกายชิอะ12อีม่าม ที่พวกเขายังคงโศกเศร้าในการที่ท่านอาลี(รด)และท่านฮุเซน(รด)จากไป จนถึงขนาดเลยเถิดยิ่งทุกวันๆ

 สำหรับเรานั้น ไม่มีการเลยเถิดในงานดังกล่าวแต่สำหรับการครึกครื้นในการแสดงออกของผู้มาร่วมงานบางท่านนั้นเราถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลเท่านั้น


วัสลาม



ดังนั้น มันยังไม่พอเพียงเลยกับที่เราให้ความสำคัญเฉพาะการจัดเมาลิดเพื่อรำลึกถึงท่าน ในเดือนรอบี่อุลเอาว้าล  แต่ที่น่าสนับสนุนยิ่งคือไม่ว่าเดือนไหนๆการรำลึกของท่านนบีนั้น

สมควรจะมีการะทำในทุกเดือนด้วยซ้ำ   เฉกเช่นกับบรรดาอุลามาไม่น้อยที่เห็นด้วยกับแนวความคิดดังกล่าว

แต่การที่มีฝ่ายหนึ่งคัดค้านโดยที่ห้ามไม่ให้กระทำเลยนั้นถือว่าเขานั้น  ช่างตระหนี่เหลือเกินในทรัพย์สินที่พระองค์ให้เขา  แม้แต่จะลงทุนที่ไม่เป็ยทรัพย์สินเงินทอง แต่การซาดาเกาะช่วยเหลือด้วยการให้กำลังใจในรูปแบบของคำพูดที่ดี  พวกเขาก็ตระหนี ขี้เหนียว ที่เขาไม่สามารถที่จะให้มันไม่ได้เลย....แล้วเมื่อไหร่ละ..พวกเขาจะคิดได้...

ดังนั้น การที่มีการแสดงออกของพี่น้องฝ่ายหนึ่งในการเชิญชวนการรำลึกต่อท่านนบีเป็นระจำนั้น   ผมว่า อิงชาอัลลอฮฺ  วันหนึ่งพวกเขาคงสำนึกได้ไม่ช้าก็เร็ว

แต่ก็คงจะนั่งเสียดายกับวันเวลาที่ผ่านไปที่เขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย      มีแต่โจมตีและทำการฮูกมโดยการกล่าวหา พี่น้องของเขากับเวลามที่ผ่านมา.... mycry

ออฟไลน์ คนอยากรู้

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 621
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
ดังนั้น มันยังไม่พอเพียงเลยกับที่เราให้ความสำคัญเฉพาะการจัดเมาลิดเพื่อรำลึกถึงท่าน ในเดือนรอบี่อุลเอาว้าล  แต่ที่น่าสนับสนุนยิ่งคือไม่ว่าเดือนไหนๆการรำลึกของท่านนบีนั้น

   :-* สมควรจะมีการะทำในทุกเดือนด้วยซ้ำ   เฉกเช่นกับบรรดาอุลามาไม่น้อยที่เห็นด้วยกับแนวความคิดดังกล่าว

แต่การที่มีฝ่ายหนึ่งคัดค้านโดยที่ห้ามไม่ให้กระทำเลยนั้นถือว่าเขานั้น  ช่างตระหนี่เหลือเกินในทรัพย์สินที่พระองค์ให้เขา 

แม้แต่จะลงทุนที่ไม่เป็ยทรัพย์สินเงินทอง แต่การซาดาเกาะช่วยเหลือด้วยการให้กำลังใจในรูปแบบของคำพูดที่ดี 

พวกเขาก็ตระหนี ขี้เหนียว ที่เขาไม่สามารถที่จะให้มันไม่ได้เลย....แล้วเมื่อไหร่ละ..พวกเขาจะคิดได้...

ดังนั้น การที่มีการแสดงออกของพี่น้องฝ่ายหนึ่งในการเชิญชวนการรำลึกต่อท่านนบีเป็นระจำนั้น   ผมว่า อิงชาอัลลอฮฺ 

วันหนึ่งพวกเขาคงสำนึกได้ไม่ช้าก็เร็วแต่ก็คงจะนั่งเสียดายกับวันเวลาที่ผ่านไปที่เขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย

       yippy:มีแต่โจมตีและทำการฮูกมโดยการกล่าวหา พี่น้องของเขากับเวลามที่ผ่านมา....กับหลักฐานที่บรรดาอุลามะยุคก่อนๆเขาไม่เคยรับรู้มัน yippy:

วัสลาม   
 

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam
ที่ยกมานั้นก็ได้ศึกษาหมดแล้วครับผม และศึกษาฝั่งโน้นด้วย
ผมก็บอกแล้วว่าผมไม่ใช่นักวิชาการ  และไม่ได้มาฮุกุมใครอะไรยังไง บางคนมาบอกว่ามายัดเยียดนรก  นี่ก็แรงไป

แต่มาตักเตือนพี่น้องเท่านั้น ผมก็บอกแล้วว่าหากคิดว่าไปได้ก็ไป แต่ต้องระวังสิ่งที่ศาสนาห้าม ผมก็ไม่ได้จะโจมตีตัวงาน 100 เปอร์เซ็นท์ ไม่ใช่...แต่ก็ควรจะตำหนิคนที่ไปงานบ้างบางส่วน ก็เท่านั้นไม่ได้ไปเหมารวมหมดครับ



ออฟไลน์ คนอยากรู้

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 621
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
งั้นก็ดีแล้วละครับคุณQolbunSaleem۞

ผมยินดีด้วยครับ mycool:

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
อ้างถึง
ที่ยกมานั้นก็ได้ศึกษาหมดแล้วครับผม และศึกษาฝั่งโน้นด้วย

              บางครั้งเรื่องศึกษามาแล้วทั้งสองฝ่าย ผมว่าใครๆ ศึกษามาก่อนทั้งนั้นแหละครับ แต่ปัญหาก็คือ คุณศึกษาฝ่ายไหนมากว่ากัน แล้วอ่านการนำเสนอของฝ่ายไหนอย่างพิเคราะห์ไตร่ตรองมากกว่ากันเท่านั้นเอง ผมเบื่อที่จะฟังแล้วครับกับคำพูดที่ว่า "ผมศึกษามาทั้งสองฝ่ายแล้ว" มันโหลแล้วอะครับ แต่ความจริงจะเป็นอย่างไร, คำถามที่คุณๆ ถามนี่แหละ เป็นตัวบ่งชี้ได้ว่า คุณอ่านในสิ่งที่เรานำเสนออย่างพิเคราะห์จริงๆ หรือป่าว เพราะบางคำถาม มันไม่สมควรจะถามเลย หากคุณได้อ่านมาแล้ว แต่ที่ปรากฏก็คือ คำถามเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ คนแล้วคนเล่าที่ถาม ก็ถามเรื่องเดิมนี่แหละ เมื่อแนะนำให้ไปอ่าน ก็อ้างว่าอ่านมาแล้ว แล้วทำไมยังถามประเด็นเดิมอีกแหละ มิหนำซ้ำยังเค้นจะเอาคำตอบเร็วๆ ผมว่าโดยรวมนะครับที่เป็นวะฮาบีย์ ที่จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน ผมว่าอย่างนี้เราหาข้อสรุปไม่ได้หรอก ผมว่าหลักการหากจะหาข้อสรุปมันง่ายมากครับ แต่ที่สรุปกันยาก เข้าใจยาก มันอยู่ที่บุคคลมากกว่า ไม่ใช่หลักการ - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ คนอยากรู้

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 621
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
อีกอย่างนะครับที่อยากจะทำความเข้าใจกับพี่น้องของเราไหนก็นานๆได้มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมเยียนโยเฉพาะบางกลุ่มที่ชอบที่จะยกหาดิสที่ว่า

كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة

"ทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น บิดอะฮ์ และทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

ซึ่งผมเองมีโอกาสได้อ่านบทความในเวปนี้เช่นเดียวกัน และอยากจะนำเสนอตัวบทของฮาดิสบทนี้ใหพี่น้องบางฝ่ายได้ประจักษ์ด้วยตัวเองว่า

อ้างจากคำพูดของคุณnurihan malaysia

"كل بدعة ضلالة، وكل ضلالة في النار" [رواه النسائي في "سننه" (3/188 ـ 189

ทุกบิดอะฮ เป็นการหลงผิด และทุกการหลงผิดนั้น จะอยู่ในนรก –รายงานโดย อัลนะสาอีย์ ในสุนันของท่าน – 3/188-189

เป็นที่รู้กันว่า  หะดิษดังกล่าวโดยเฉพาะท่อนหลังนั้น  ท่านอันนะซาอีย์ รายงานมาโดย เพิ่มคำว่า "และทุกการหลงผิดนั้น อยู่ในนรก"

ซึ่งบรรดาผู้รู้หะดิสกล่าวกันว่า สิ่งที่ท่านอันนะซะอีย์นำมาเพิ่มเติมนี้ มีความซอเฮี๊ยะหฺมากน้อยเพียงใด

ก็ด้วยเนื่องจากที่ท่านอิมามมุสลิมและท่านอิมามบุคคอรีย์ ไม่ยอมรับเอามารายงานส่วนที่เพิ่มของท่านอันนาซะอีย์ไว้ในหนังสือฮาดิสซอเหียะของทั้ง2ท่าน

และผมก็ไม่เคยเห็นว่าอุลามาอ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ ท่านใด ได้ทำการยกหะดิษที่เพิ่มคำว่า "และทุกการลุ่มหลงนั้น อยู่ในนรก"

 ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ ผมพูดในเชิงตัวบทหะดิษ หรือความซอเฮี๊ยะหฺหรือฏออีฟของหะดิษเท่านั้นนะครับ 

ดังนั้น บ่อยครั้งพี่น้องฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เข้าใจอย่างท่องแท้เกี่ยวกับที่มาของหาดิสบทนี้ก็มักจะยกมาฮุกมอีกฝ่ายหนึ่งบ่อยมาก

 
 บรรดาอุลามะด้านฮาดิสเขาคิดอย่างไรกันบ้างกับฮาดิสบทนี้

เป็นที่รู้ว่าฮะดิสบทนี้มีผู้รายคนเดียว คือ..ท่านนาซาอีย์  ในขณะเดียวกัน ตัวบทรายงานของหะดิสดังกล่าวกลับไม่ได้ถูกเก็บบันทึกไว้ถึงความซอเหียะ

ในตัวบทของท่านบุคอรี และมุสลิม 

ซึ่งท่านทั้งสองนั้นก็บอกให้เรารับทราบว่า...สิ่งที่ตนนำมารางานนั้นจะต้องได้รับการคัดเลือกและตรวจสอบอย่างดีและมีการบันทึกสิ่งที่ซอหิฮ์เท่านั้น 

ส่วนหลักฐานดออีฟหรือเมาดัวะหรือไม่ชัดเจนนั้นทั้ง2นั้นจะไม่นำมาเสนอ    แต่จะแยกออกไปเป็นฮะดิสที่ต่อเติมขึ้นมา ไปไว้ในหมวดอื่นๆ       

สำหรับ นักรายงานที่มีเสียงในการบันทึกความซอหิฮ์ของฮาดิส 2 ท่านนี้คือ ท่านบุคอรีและท่านมุสลิมแล้ว

นอกจากนี้ก็ยัง ก็ยังมี ท่านอะหมัด, ท่านอบูดาวุด, ท่านตีรมีซีย์ ,ท่านตอบรอนีย์ ท่านอันนาซาอีฯลฯ บางครั้งในสุนันของท่านก็ยังมีฮาดีสระดับอื่นเก็บไว้เช่นกัน


สำหรับท่าน เชค  มุหัมมัด บิน อาลี บิน อาดัม อัลอิสษิวบีย์ ท่านเองก็มีความแปลกใจและมีความสงสัยในสิ่งที่ท่านอันนาซาอีย์นำมารายงาน(ในประโยคหลัง)

แต่ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ...แต่ในความเป็นจริง  กลับเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องคัดเลือกหะดิสที่ดีและมีความน่าเชื่อถือมากกว่าที่จะแค่ปริมาณและขาดคุณภาพ 

โดยการขาดการตรวจสอบหลักฐานที่มาในการกล่าวอ้าง ก็เช่นเดียวกับท่านอีม่ามบุคอรีและท่านอีม่ามมุสลิม  ที่ท่านต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ท่านบันทึกไว้ 

นีคือเหตุผลหนึ่งที่ ท่าน เชค  มุหัมมัด บิน อาลี บิน อาดัม อัลอิสษิวบีย์ ได้กล่าวในซัรสุนันอันนะสาอีย์ว่า "رجاله كلهم رجال الصحيح غير شيخه فإنه من أفراده"
“บรรดานักรายงานของสายรายงานนี้ทุกคนเป็นนักรายงานของเศาะหีหฺ (เป็นนักรายงานของหนังสือทั้งหก) ไม่กล้านำออกมารายงาน
นอกจากท่านอันนะสาอีย์ ซึ่งเป็นนักรายงานของอันนะสาอีย์เพียงคนเดียวเท่านั้น” (ซะคีเราะตุลอุกบา ฟี ชัรหฺอัลมุจญ์ตะบา เล่ม 17 หน้า 207)

ที่ทำการรายงานประโยคข้างหลังที่ผมกล่าวถึง...

และท่านเองกล่าวขณะอธิบายความหมายของประโยคที่ว่า (และทุกๆความหลงทางจะอยู่ในนรก) ว่า
وهذه الجملة زائدة في رواية المصنف من طريق عبد الله المبارك، وليست في صحيح مسلم وغيره، وهي زيادة صحيحة
“และประโยคนี้เป็นประโยคที่เพิ่มเติมในรายงานของผู้เขียน (หมายถึงอันนะสาอีย์) จากสายรายงานของอับดุลลอฮฺ บิน อัลมุบารัก

และไม่มีระบุในหนังสือซอเหียะของอีม่ามบุคคอรีและซอเหียะของท่านอีม่ามมุสลิม และอีม่ามนักรายงานที่ดีท่านอื่นๆ

ส่วนท่านเชคอัลบานีย์นั้นท่านกล่าวว่า
وزاد النسائي (وكل ضلالة في النار) وهي عند البيهقي أيضا في الأسماء والصفات، وسندها صحيح
“และอันนะสาอีย์ได้เพิ่มคำว่า (และทุกๆความหลงทางจะอยู่ในนรก) ซึ่งมีระบุในรายงานของอัลบัยฮะกีย์ด้วยเช่นกันในหนังสืออัลอัสมาอ์วัสศิฟาต

และสายรายงานของมันถูกต้อง” (อิรวาอ์อัลเฆาะลีล เลขที่ 608)...........



ดังนั้น ถ้าเราพิจราณาด้วยความเป็นธรรมเเล้ว หะดิสบทดังกล่าวนั้น แม้กระทั้งบรรดาผู้รู้เองยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในตัวบทเดียวกัน

ดังนั้นพวกเขาห่างไกลที่จะเอาหาดิสบทหนึ่งบทใดที่มาทำการฮุกมหรือกล่าวหาพี่น้องอีกฝ่ายหนึ่งให้เสียหาย เพราะเพวกเขากลัวในสิ่งที่พวกเขา

พาดพิงในสิ่งที่เขาไม่รู้จริงในความหมายของหะดิสบทนั้นนั้นเอง   ไม่จึงไม่คุ้มค่ากับการเข้าใจผิดที่มันได้เกิดขึ้นไปแล้วนั้นเอง




ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
นูรีฮันมาเลเซียคงไม่กลับมาอ่านแล้วล่ะมั้ง มาโพสต์ๆเสร็จแล้วหนีไปหัวเราะในเว็บตัวเองว่าพวกเราตอบไม่ได้บ้างอะไรบ้าง จนปัญญาจริงเลย ถ้าอย่างนั้นเชิญ โดะ ดาแล ปูรง ต่อไปนะ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
อยากให้ท่านอาจารย์แห่งเว็บมรดกฯ เว็บมุรีด เว็บ อ.ริฎอ มาเสวนาทางวิชาการที่เว็บนี้จัง มันจะได้ชัดเจนเสียที เพราะที่ผ่านๆ มาก็ลูกศิษย์ทั้งนั้น ดังนั้น เราจึงยังจะฟันธงไม่ได้ว่าเขายอมแล้ว แม้เราจะเคยนำเสนอเว็บเขามาแล้วก็ตาม ทั้งนี้ก็ว่าไปตามหลักการการถ่อมตน - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ nurihan malaysia

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 66
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
แล้วการจัดค่ายอบรมจริยธรรมที่ท่านๆ ผู้รู้ของวะฮาบีย์ชอบจัดจัง ไม่ทราบว่าสมัยนบีย์ ศ็อลฯ หรือสมัยศ็หาบะฮ์ หรือสมัยสลัฟ เคยจัดค่ายในรูปแบบที่ท่านจัดไหม??? แล้วไม่ทราบว่าเป็นบิดอะฮ์ฎอลาละฮ์ด้วยไหม หากนบีย์ ศ็อลฯ ไม่เคยทำ ไม่เคยรู้จักมาก่อน??? แน่นอน ตามทัศนะของเราถือว่า มันเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ หรือบิดอะฮ์ที่ดีนั่นเอง แต่ตามทัศนะท่านหละ ??? - วัสสลาม



 salam
ดิฉันว่าคุณกำลังเชือดคอตัวเองพูดน่ะค่ะ
งานที่จัดนั้น มันไม่มีการซอลาวาตนาบี
ไม่เจาะจงต้องเป็นวันไหน เดือนไหน
เห็นว่าดีตอนไหนก็จัดเมื่อนั้น
จะมาเทียบกับการจัดเมาลิด มันไม่ได้
มันไม่เหมือนกัน
คุณพิจารณาดู ว่าคุณจัดเมาลิด เหมือนกับงานที่ อื่นเค้าจัดไหม
เเละการที่คุณ เขียนว่า พวกวะฮบี
เท่าที่ดิฉันศึกษากับกลุ่มที่คุณกำลังฟิตนะหอยู่นั้น
ไม่เคยเเม้สักครั้งเดียว
ที่ท่านผู้รู้เหล่านั้น สอนให้ดิฉัน กลับไปหา อะหมัด บินวาฮับ
เเต่ให้กลับไปหาอัลลอฮ เเละ ท่านศาสดาเท่านั้น
เเละการที่คุณกำลังวิจารณ์ว่า วะฮบี นั้น คุณเอาข้อมูลมาจากไหนไม่ทราบ
ถึงได้พูดได้เต็มปากว่า ผู้รู้เหล่านั้น เป็นวะฮบี
คุณฟิตนะห หน้าด้านๆๆเลยน่ะค่ะ น่านับถือจริงๆค่ะ
ระวัง จะโดนสอบสวนน่ะค่ะ

 

GoogleTagged