เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ทำบุญให้แก่คนตาย

(1/6) > >>

ahmedisa:
Tweet
  รบกวนขอตัวบทภาษาอาหรับหน่อยครับ

อิหม่ามชาฟิอีย์กล่าวว่า "ส่วนการจัดทำอาหารของครอบครัวผู้ตายเพื่อเลี้ยงผู้คนนั้นเป็นส่งที่อุตริ(บิดอะฮฺ)ที่น่ารังเกียจยิ่งและไม่มีแบบฉบับอยู่เลย เพราะการกระทำดังกล่าวเท่ากับยิ่งเป็นการเพิ่มความทุกข์ให้กับพวกเขา" (มะอฺริฟะตุสสุนัน วัลอาษารฺ 5/338)

ตกลงพี่น้องบ้านเรายังเห็นว่าเป้นบิดอะห์ที่ดีหรือไม่ครับ โดยส่วนตัวผมว่าในหมวดของซิกรรุลเลาะห์ หรือการรวมตัวเนี่ย ผมถือว่าไม่ได้มีปัญหาครับการนึกถึงอัลเลาะห์ถือว่าเป้นสิ่งที่ดีครับ แต่ผมเห้นด้วยกับท่านอิหม่ามอัชชาฟีอีย์อย่างยิ่งครับที่ท่านปฏิเสธกระบวนการทำบุญอย่างที่บ้านเรากำลังทำกันน่ะครับ ตอนท้ายท่านให้ข้อคิดว่า "เป็นการเพิ่มความทุกข์ให้กับพวกเขา" ซึ่งอาจมองได้หลายแบบครับ แบบแรกก็เป็นการเพิ่มทางความเศร้าโศกของญาติพี่น้องผู้เสียหาย อีกแบบคือเพิ่มความทุกข์อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ในกระทู้(ที่หลงกระทู้อยู่พักหนึ่ง) ก็คือเพิ่มความทุกข์ในด้าน การเงินแน่นนอนครับ เพราะเดี๋ยวนี้ต้องติดหนี้ครับ ไม่เช่นนั้นบรรดาโตะครู โต๊ะแลแบ จะไม่ไปซิกรุลลอฮ์ที่บ้านให้ นี่จึงเป็นสาเหตุให้ผู้ใกล้ชิดของผู้ตายต้องไปติดหนี้บ้าง หรือไม่ก็ต้องควักเอง ทั้งๆที่ฐานะการเงินไม่ดี

นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ตีความผิดไป เพราะดันตีความว่าเป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งความจริงก็เป้นเพียงค่านิยมในหมู่คนมีเงินในยุคๆหนึ่งเท่านั้น หรือไม่ก็เป็นการส้รางค่านิยมที่พยายามแจกตังค์เพื่อให้คนมาซิกรุลลอฮ์เยอะๆขึ้น เพื่อผู้ตายจักได้ถูกอภัยโทษมากที่สุด

นี่คือความสะเพร่าของการตีความครับ แต่ทำไมไม่เอาแบบอย่างจากท่านรอซู้ลที่แท้จริง ทั้งๆที่อิหม่ามชาฟีอีย์เองกล่าวไว้ชัดเจน

al-azhary:

--- อ้างจาก: ahmedisa ที่ มี.ค. 25, 2007, 03:01 PM ---แต่ผมเห้นด้วยกับท่านอิหม่ามอัชชาฟีอีย์อย่างยิ่งครับที่ท่านปฏิเสธกระบวนการทำบุญอย่างที่บ้านเรากำลังทำกันน่ะครับ

--- End quote ---

สงสัยเป็นนักสำรวจพี่น้องมุสลิมไทยทั่วไปประเทศไทย  จึงฟันธงว่า "กระบวนการทำบุญอย่างที่บ้านเรากำลังทำกันนะครับ"  แล้วอะห์มัดอีซารู้หรือครับว่า เขาทำกันอย่างไร ? และความเป็นจริงนั้นเขาทำกันอย่างไร?  จุดยืนของเรามีดังกล่าวนี้ครับ

ข้อเสนอแนะ

แต่ระบบของสังคมบ้านเรานั้นถือว่าดี คือมี การทำอาหารให้แก่ครอบครัวมัยยิดและให้พวกเขารับประทานจนอิ่มนั้น เป็นเรื่องที่บรรดาพี่น้องมุสลิมเมืองไทยบ้านเราทำกันอยู่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้น บรรดาพี่น้องมุสลิมก็จะช่วยกันทำอาหารและทำบุญให้กับครอบครัวของมัยยิด โดยที่พวกเขาจะทำการบริจาคเงินในขณะที่ไปเยี่ยมผู้ตาย และมีระบบการช่วยเหลือที่ดี ปัจจุบันนี้ หลายท้องที่  มีระบบการช่วยเหลือที่ดี  คือจะมีการรวมกลุ่มเป็นสมาชิก เพื่อทำการช่วยเหลือครอบครัวผู้ตาย โดยผู้เป็นอิมามประจำมัสยิด หรือผู้นำในท้องถิ่น ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาและทำการนำเสนอโครงการร่วมเป็นสมาชิกด้วยความสมัครใจเพื่อทำการช่วยเหลือครอบครัวผู้ตาย โดยมีการตกลงร่วมกันว่า หากมีพี่น้องมุสลิมคนใดเสียชีวิต พวกเราจะทำการช่วยเหลือกันในวงเงินอย่างต่ำ เท่านั้น เท่านี้ แล้วแต่สมาชิกในหมู่บ้านจะตกลงกัน เช่น อย่างต่ำ 50 บาท เป็นต้น ซึ่งหากมีพี่น้องมุสลิมเสียชีวิต กรรมการก็จะทำการเก็บเงินของสมาชิกที่ได้ถูกระบุชื่อที่ตกลงกันไว้ หากมีสมาชิก 100 คน  ก็จะได้รับการช่วยเหลืออย่างต่ำ 5000 บาท และหากมีสมาชิก 200 คน ครอบครัวผู้ตายก็จะได้รับการช่วยเหลืออย่างต่ำ 10000 บาท ซึ่งดังกล่าวนี้ ถือว่เป็นการเป็นการริเริ่มและช่วยเหลือกันการในการทำความดีงามเลยทีเดียว

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء

" ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน เขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งบกพร่องลงเลย จากผลบุญของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่เลว แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน  หลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย  จากบรรดาบาปของพวกเขา" (รายงานโดย ท่านอิมาม มุสลิม ไว้ในซอเฮี๊ยะหฺของท่าน หะดิษที่ 1017)

ดังนั้น จำนวนเงินดังกล่าวที่บรรดาพี่น้องมุสลิมได้ช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้ตายนั้น ถือเป็นโอกาสดีที่ครอบผู้ตายจะทำการเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลเป็นทานซอดาเกาะฮ์ให้กับผู้ตาย โดยบรรดาพี่น้องมุสลิม มาช่วยกันทำอาหารที่บ้านครอบครัวมัยยิดและทำอาหารให้แก่ครอบมัยยิดไปพร้อม ๆ กัน  และเราจะทำบุญเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นทานกี่วันก็ได้ แล้วแต่จะสะดวก หนึ่งวัน สองวัน หรือสามวันก็ดี หากทำบุญ 7 วันก็ยิ่งดี นั่นสำหรับผู้ที่มีความสามารถ ส่วนครอบครัวที่ไม่มีความสามารถและไม่มีระบบการช่วยเหลือจากพี่น้องมุสลิมที่ดี ก็ไม่สมควรหรือกระเสือกกระสนไปทำบุญ บางท่านถึงกับยืมเงินผู้อื่นมาทำบุญ(อาจจะมีแต่ผมไม่เคยได้ยิน) ซึ่งกรณีแบบนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่น่าตำหนิเป็นอย่างยิ่ง อาจจะถึงขั้นหะรอม - วัลลอฮุอะลัม  หากทายาทของมัยยิดต้องการจะทำบุญเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นทานซอดะเกาะฮ์แก่มัยยิดนั้น ก็สามารถกระทำได้เมื่อมีความสะดวกโดยไม่ต้องไปจำกัดว่าต้อง 40 วัน หรือ 100 วัน - วัลลอฮุอะลัม และถ้าหากทายาทผู้ตาย มีความพร้อมและตกลงกันในการทำบุญเลี้ยงอาหาร เพื่ออุทิศส่วนกุศลเป็นทานศอดะเกาะฮ์แด่มัยยิด  ก็อนุญาติให้กระทำได้ตามโอกาสและความสะดวก และทำได้ทุกเวลา แม้จะเป็นการให้อาหารหรือเลี้ยงอาหารแค่ 2 - 3 คน ก็ถือว่ากระทำได้ และผู้ตายก็ได้รับผลบุญนั้นด้วย และหากว่ามัยยิดของทายาทเป็นบิดามารดาแล้ว ก็จะได้รับผลบุญโดยตรงไม่ว่าจะทำมากทำน้อยและไม่ว่าจะเป็นเวลาใด - วัลลอฮุอะลัม

หากครอบครัวหรือทายาทผู้ตาย มีทรัพย์สินมากพอและมีมติในหมู่ทายาท  ว่าให้ทำบุญเลี้ยงอาหารเพื่อซอดาเกาะฮ์เป็นทานแก่ผู้ตายนั้น ก็อนุญาติให้กระทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคอาหารแบบข้าวสาร หรือทำการปรุงอาหารเลี้ยงพี่น้องมุสลิม ก็ถือว่าให้กระทำได้ หากมีทายาทบางคนไม่ยินยอมในการเอาทรัพย์สินมาทำบุญเลี้ยงอาหาร ก็อนุญาติให้ทายาทที่ต้องการจะทำบุญเลี้ยงอาหารนั้น เอามรดกส่วนที่เขาได้รับมาทำบุญเลี้ยงอาหารได้  ดังนั้น ผู้อ่านโปรดเข้าใจว่า มรดกหรือทรัพย์สินที่ผู้ตายทิ้งไว้ให้ทายาทนั้น ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทผู้ตาย การนำทรัพย์สินมาใช้ ก็ต้องได้รับการยินยอมจากทายาท แต่มีบางคนพูดอย่างผิด ๆ ว่า "มันเป็นมรดกของคนตาย" หากกินบุญก็เท่ากับกินมรดกของคนตาย!!! ซึ่งคำพูดแบบนี้ ถือว่าผิดและไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา เนื่องจากผู้ตายนั้นไม่มีทรัพย์สินใดที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาแล้ว แต่มันเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาท   และหากผู้ตายยังมีหนี้สินอยู่  ก็ไม่อนุญาติให้เอาทรัพย์มรดกที่ผู้ตายทิ้งไว้มาทำบุญเลี้ยงอาหารเป็นทาน   ทั้งนี้ทั้งนั้น หากมรดกของผู้ตายไม่สามารกใช้หนี้ได้พอ   และการที่มรดกผู้ตายทิ้งไว้ให้  เป็นกรรมสิทธิ์ของเด็กกรำพร้าก็ไม่อนุญาติให้นำมาทำบุญเป็นทานเพราะเนื่องจากมันเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา  และหากบรรดาทายาทนำเงินที่พวกเขามี  มาสมทบกันทำบุญเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นทานแก่มัยยิดนั้น  ก็อนุญาติให้กระทำได้  แต่ทางที่ดีที่สุดนั้น  บรรดาพี่น้องมุสลิมต้องช่วยกันบริจาคช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้ตายและช่วยกันทำอาหารให้กับพวกเขาด้วยการมีระบบช่วยเหลือที่ดี

ahmedisa:
คุณอัลอัชฮารีย์พูดมานั้นเป็นทฤษฎีแต่การปฏิบัติจริงส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วข้อที่บอกว่าไม่เคยพบหรือไม่เคยได้ยินชั่งตลกสิ้นดี :P

al-azhary:

--- อ้างจาก: ahmedisa ที่ มี.ค. 25, 2007, 11:06 PM ---คุณอัลอัชฮารีย์พูดมานั้นเป็นทฤษฎีแต่การปฏิบัติจริงส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วข้อที่บอกว่าไม่เคยพบหรือไม่เคยได้ยินชั่งตลกสิ้นดี :P

--- End quote ---

ก็ผมไม่เคยได้ยินจริงๆ ครับ  ประเภทที่ต้องติดหนี้เพราะทำบุญ  เพราะที่บ้านผมเองและหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ประสบ  การจะมีกองทุนญะนาซะฮ์ทั้งสิ้น  แต่คุณพยายามสมมุติทฤษฏีของคนที่ทำไม่ถูกต้อง แล้วมาโจมตีพี่น้องมุสลิมโดยรวมนั้น  มันไม่กินกับปัญญาหรอกครับ  และหากเป็นอย่างนั้นจริง  ผมเองก็ต่อต้าน  ไม่สนับสนุนอย่างแน่นอน  แต่การที่คุณตอบมาล่าสุดนี้  ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่า  คุณใช้ความอคตินำเสนอ  เมื่อเรามีทางแก้  คุณไม่ยอมรับฟัง  แต่พยายามบอกว่า  ตลกสิ้นดี  เราคุยกันคงไม่รู้เรื่องหรอกครับ  หากคุณจะกล่าวหาพี่น้องโดยรวมกับกล่าวไป  แต่ขอไปกล่าวหาในเวปไซท์อื่น  แต่ที่นี่เราชี้แจงจุดยืนแล้ว  อัลฮัมดุลิลลาฮ์

ahmedisa:
พี่น้องครับผมไม่ได้พิมพ์สำนวนด้านล่างนี้นะครับ ผมไม่อยู่สองวันลืมล็อคเอ้าท์

อนึ่ง ผมไม่เคยใช้สำนวนนี้กับพี่ชายหรือคุณปู่ อัลฯ นะครับ

ขอมะอาฟด้วยครับ แล้วผมจะตรวจสอบครับ :-[


ส่วนกระทู้ที่ผมตั้งไว้ก็เพื่อจะบอกว่า มัซฮับอัชชาฟีอีย์ ต่อต้านการทำบุญที่ เป็นการเพิ่มความทุกข์ให้กับพวกเขา ดังนั้นผมไม่ได้ฟันธงว่าทุกพื้นที่เป็นเหมือนกันหมดอย่างที่พี่ชายอัลฯเข้าใจนะครับ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเจอปัญหาประเภทนี้อยู่ ส่วนพื้นที่ที่มีกองทุนก็ถือว่าเป้นสิ่งที่ดีไปครับ

อนึ่ง ผมไม่ได้ตั้งมาเพื่อก่อกวนนะครับแต่จะตั้งไว้เพื่อพี่น้องจะได้พิจจารณาและนำไปตักเตือนทางบ้านหรือคนรู้จัก(ที่ไม่ได้มีทุนสำรอง)ได้ว่า "ไม่ต้องถึงกระทั่งยืมหรือลงทุนมากไปก็ได้(หากมันสร้างทุกข์) เพราะมันไม่ได้เป็นแบบอย่าง" ครับแค่นี้แหละครับ ส่วนที่พี่ชายอัลฯอยากได้หลักฐานว่าหมู่บ้านไหนมีบ้างที่เกิดปัญหาเรื่องการติดหนี้ทำบุญ ผมขอให้ข้อมูลเป้นการส่วนตัว(ถ้าพี่ชายอยากได้ และพี่น้องท่านอื่นๆ)ล่ะกันนะครับ เดี๋ยวจะเกิดฟิตนะห์กับเพื่อนพี่น้องใน พท.นั้นๆ :)



--- อ้างจาก: ahmedisa ที่ มี.ค. 25, 2007, 11:06 PM ---คุณอัลอัชฮารีย์พูดมานั้นเป็นทฤษฎีแต่การปฏิบัติจริงส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วข้อที่บอกว่าไม่เคยพบหรือไม่เคยได้ยินชั่งตลกสิ้นดี :P

--- End quote ---

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version