ผู้เขียน หัวข้อ: ยึดศ็ฮีหฺบุคอรีย์และมุสลิม เป็นเกณฑ์วัดความศ็ฮีหฺของ 4 มัฑฮับได้หรือไม่?  (อ่าน 9841 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด

อัสสลามุ อลัยกุม

                       เนื่องจากในปัจจุบัน ก็เป็นที่ทราบกันว่า มีการตื่นตัวและเรียกร้องให้ปฏิบัติตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮ์กันอย่างดาษดื่นในสังคมมุสลิมแทบจะทุกย่อมหญ้า และก็ปฏิเสธไม่ได้ที่สังคมมุสลิมบางสังคม ยังอาจจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับสัจธรรมตรงนี้ ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็สมควรตระหนักและรับผิดชอบตามแต่สถานการณ์นั้นๆ ไป

                       ท่ามกลางการฟื้นฟูอิสลามที่เกิดขึ้นในโลกอิสลามและมุสลิมปัจจุบันนั้น นับเป็นสิ่งที่ดีและน่าติดตามถึงการเจริญเติบโต แม้บางครั้งจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้าก็ตาม ขบวนการเหล่านั้น เป้าหมายหลักก็คือ การเรียกร้องสู่ความเป็นเอกภาพแห่งอิสลาม ภายใต้กิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮ์

                       ดังนั้น ทำให้มีบางกลุ่มพยายามที่จะกำหนดมาตรฐานหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในสังคมอิสลามและมุสลิม แต่ทว่า มาตรฐานที่พวกเขาได้ตั้งขึ้นมานั้น กลับสังคมมุสลิมบางส่วนไม่เห็นด้วย ในปัจจุบัน เราจะเห็นได้ว่า มีการเรียกร้องให้ละทิ้งมัฑฮับ และให้ยึดสุนนะฮ์ของท่านนบีย์ ศ็อลฯ ซึ่งมาตรฐานที่พวกเขานำมาตั้งไว้ เพื่อกำหนดว่า การกระทำนี้ หรือการกระทำนั้น ถือว่าได้ตามสุนนะฮ์ หรือไม่ได้ตามสุนนะฮ์ เกณฑ์ที่พวกเขามักจะนำมาใช้ก็คือ หนังสือศ็ฮีหฺ อัลบุคอรีย์ มุสลิม และอื่นๆ จากทั้ง 6 เล่มหะดีษที่มีชื่อเสียง โดย 2 เล่มแรกดังกล่าวนั้น ทำให้บางกลุ่มถึงกับหุกุมอีกกุล่มหนึ่งว่า ยึดทัศนะฎ็อีฟ หรือทำขัดกับสุนนะฮ์ เป็นต้น เพียงเพราะทัศนะของคนอื่น ไม่มี หรือขัดกับหะดีษในศ็ฮีหฺบุคอรีย์ และมุสลิม

                       ดังนั้น ผมจึงใคร่ขอถามว่า การนำหะดีษจากศ็ฮีหฺอัลบุคอรีย์และมุสลิม มาเป็นเกณฑ์วัดถึงความถูกต้อง หรือขัดหรือไม่ขัดกับสุนนะฮ์ ของมัฑฮับทั้งสี่นั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ไหม เพราะทราบมาว่า อิมามมัฑฮับทั้งสี่นั้น เกิดก่อนอิมามทั้งสองเสียด้วยซ้ำ และอุละมาอ์อิสลามมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างครับ ช่วยชี้แจงหน่อยนะครับ อยากทราบ เพราะมันรบเร้าจิตใจมาก โดยเฉพาะช่วงที่เรียน หรือฟังบรรยายธรรมจากสถาบันที่ตนได้เรียน ซึ่งจะยึดแต่ศ็ฮีหฺบุคอรีย์ มุสลิม และอีก 6 เล่มดังกล่าวเป็นหลัก แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ส่วนใหญ่จะถูกตรวจความถูกต้องโดยเชคอัลอัลบานีย์ด้วย???

                      ฝากบังอัลอัซฮะรีย์ ชี้แจงด้วยนะครับ

วัสสลามุ อลัยกุม วะร็อหฺมะตุ้ลลอฮฺ ตอาลา วะบะร็ก้าตุฮฺ
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
 salam

สำหรับผมคิดของกระผมน่ะ  คือเราจะเอาซอเฮี๊ยะหบุคอรีและมุสลิมมาวัดเกณฑ์ความถูกต้องของมัซฮับทั้ง 4 นั้น  หากต้องการทำเช่นนั้นจริงๆ ทำไมอิมามบุคอรีและมุสลิมเจ้าของหนังสือซอเฮี๊ยะห์เองถึงอยู่ในมัซฮับอิมามชาฟิอีย์เป็นหลักล่ะครับ   ทำไมท่านทั้งสองไม่ยึดฮะดิษต่างๆในซอเฮี๊ยะห์ขอท่านมาปฏิบัติเลยล่ะ  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหนอ  ::)
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
                       ดังนั้น ผมจึงใคร่ขอถามว่า การนำหะดีษจากศ็ฮีหฺอัลบุคอรีย์และมุสลิม มาเป็นเกณฑ์วัดถึงความถูกต้อง หรือขัดหรือไม่ขัดกับสุนนะฮ์ ของมัฑฮับทั้งสี่นั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ไหม เพราะทราบมาว่า อิมามมัฑฮับทั้งสี่นั้น เกิดก่อนอิมามทั้งสองเสียด้วยซ้ำ และอุละมาอ์อิสลามมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างครับ ช่วยชี้แจงหน่อยนะครับ อยากทราบ เพราะมันรบเร้าจิตใจมาก โดยเฉพาะช่วงที่เรียน หรือฟังบรรยายธรรมจากสถาบันที่ตนได้เรียน ซึ่งจะยึดแต่ศ็ฮีหฺบุคอรีย์ มุสลิม และอีก 6 เล่มดังกล่าวเป็นหลัก แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ส่วนใหญ่จะถูกตรวจความถูกต้องโดยเชคอัลอัลบานีย์ด้วย???
                      ฝากบังอัลอัซฮะรีย์ ชี้แจงด้วยนะครับ

วัสสลามุ อลัยกุม วะร็อหฺมะตุ้ลลอฮฺ ตอาลา วะบะร็ก้าตุฮฺ

 salam

เชคอัลบานีย์เป็นบุคคลที่ฎออีฟหรือครับ ถึงไม่ค่อยสบายใจเมื่อได้ยินชื่อท่าน
หรือเป็นเพราะในเว็ปนี้ ได้วิพาทน์เชคอัลบานีย์จนหมดความน่าเชื่อถือของนักหะดีษระดับโลกอิสลามไปแล้ว(เสมือนบทความวิภาทเชคอัลบานีย์ในเว็ปนี้เป็นยันต์เพื่อต่อสู้กับวะฮาบีย์ทำนองนั้น) เป็นที่ทราบดีว่าคนทุกคนย่อมมีข้อผิดพลาด แต่นำข้อผิดพลาดที่เล็กน้อยมาก มาตัดสินอุลามาอฺและวิพาทน์วิจารณ์จนเกินเหตุจนกลายเป็นบุคคลฎออีฟไปเลย เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะต่อสู้กับฝ่ายทีไม่เห็นด้วยกับตน ...

ส่วนประเด็นของกระทู้ ก็ต้องตั้งคำถามกลับว่า อะไรสำคัญกว่ากันระหว่างหะดีษที่ศอเฮียะห์กับมัสหับครับ?

วัสลาม

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
salam

สำหรับผมคิดของกระผมน่ะ  คือเราจะเอาซอเฮี๊ยะหบุคอรีและมุสลิมมาวัดเกณฑ์ความถูกต้องของมัซฮับทั้ง 4 นั้น  หากต้องการทำเช่นนั้นจริงๆ ทำไมอิมามบุคอรีและมุสลิมเจ้าของหนังสือซอเฮี๊ยะห์เองถึงอยู่ในมัซฮับอิมามชาฟิอีย์เป็นหลักล่ะครับ    ทำไมท่านทั้งสองไม่ยึดฮะดิษต่างๆในซอเฮี๊ยะห์ขอท่านมาปฏิบัติเลยล่ะ  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหนอ  ::)

 salam
อันนี้ ผมคิดว่า ระดับอุลามาอฺขนาดนี้ เขายึดมัสหับที่ไม่เหมือนกับการยึดมัสหับเหมือนเราๆหรอกนะครับ เขาเป็นผู้รู้และก็ลำดับความสำคัญได้ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน หากหะดีษไหนที่ศอเฮียะห์น่าเชื่อถือและสอดคล้องกับมัสหับก็ยึดถือไป แต่หากมีหะดีษไหนที่ขัดกับมัสหับ เขาก็คงต้องยึดหะดีษเป็นหลักก่อนแหล่ะครับ ซึ่งมันอาจต่างกับการยึดมัสหับของเราๆ เพราะบางครั้งมีหะดีษที่ศอเฮียะห์แค่ไหนบางทีมันไปขัดกับมัสหับ แต่เราก็เลือกปฏิบัติตามมัสหับก่อนหะดีษ ซึ่งอันนี้ผมคิดว่ามันต่างกันกับอุลามาอฺระดับอีหม่ามบุคอรีนะครับ

วัสลาม

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
 salam

ฮะดิษกับมัซฮับเป็นของคู่กัน  ไม่แยกกัน  ดังนั้นใครถามว่าฮะดีษกับมัซฮับอะไรสำคัญกว่ากันนั้น ถือว่ายังไม่เข้าใจนิติศาสตร์อิสลาม
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
salam

ฮะดิษกับมัซฮับเป็นของคู่กัน  ไม่แยกกัน  ดังนั้นใครถามว่าฮะดีษกับมัซฮับอะไรสำคัญกว่ากันนั้น ถือว่ายังไม่เข้าใจนิติศาสตร์อิสลาม

ถึงจะไม่สันทัดวิชานิติศาสตร์อิสลาม...
แต่ไม่ทราบว่าจะจับคู่อะไรผิดหรือเปล่า  ที่เคยได้ยินมา ก็จะมีแต่ อัล-กุรอานกับฮะดีษเป็นของคู่กัน ไม่แยกกัน ไม่ขัดกัน ไม่เคยได้ยินเลยว่าหะดีษกับมัสหับเป็นของคู่กัน..

เคยได้ยินแต่หะดีษที่ว่า "จงกัดซุนนะห์ด้วยกับฟันกราม" แต่ไม่เคยได้ยินหะดีษว่า "จงกัดซุนนะห์และมัสหับด้วยกับฟันกราม" เลยครับ
ประเด็นแยกแยะความสำคัญนั้น ผมว่าน่าจะตั้งเป็นคำถามได้หน่ะ จริงไหม เพราะ อัล-กุรอานสำคัญที่สุด รองลงมาก็เป็นหะดีษ รองลงไปก็เป็น.....อะไรต่างๆ

วัสลาม

ออฟไลน์ multi

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 413
  • Respect: +7
    • ดูรายละเอียด
ไม่มีมุสลิม คนไหนปฏิเสธอัลกุรอ่าน ละครับท่านมัสฮับก็ยึดอัลกุรอาน เป็นที่ตั้งพร้อมกันนั้นก้ ยึดอัลฮาดิษไปด้วยกันแล้วแบบนี้ก็ต้องดำเนิน ไปตามแนวทางของอัลกุรอานและอัลฮาดิษ  โดยการวินิฉัยของอุลามะอ์ ของมัสฮับนั้นๆ แบบนี้ก้คงต้องดำเนิน ไปพร้อมๆกัน ละครับ วึ่งมันไม่มีอะไรจะเสียหายเลย

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
เจ้าของมัสฮับเขาจะบอกกฎอะไรยังไงก็ต้องตรวจสอบกุรอานฮาเดสละเอียดถิ่ถ้วนหมดแล้วแหละ ไม่ทำมั่วซั่วหรอก
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ไม่มีมุสลิม คนไหนปฏิเสธอัลกุรอ่าน ละครับท่านดิษมัสฮับก็ยึดอัลกุรอาน เป็นที่ตั้งพร้อมกันนั้นก้ ยึดอัลฮาไปด้วยกันแล้วแบบนี้ก็ต้องดำเนิน ไปตามแนวทางของอัลกุรอานและอัลฮาดิษ  โดยการวินิฉัยของอุลามะอ์ ของมัสฮับนั้นๆ แบบนี้ก้คงต้องดำเนิน ไปพร้อมๆกัน ละครับ วึ่งมันไม่มีอะไรจะเสียหายเลย

ครับผม..

มันจะเสียหายก็ตรงยึดมัสหับแบบลืมหูลืมตา ยึดแบบกัดด้วยฟันกราม เสมือนมีหะดีษที่บอกว่าจงยึดมัสหับด้วยกับฟันกรามอะไรทำนองนั้น
เพราะต้องยอมรับว่า มัสหับแต่ละมัสหับ ก็มีข้อผิดพลาดบางเรื่องที่ขัดกับหะดีษ ซึ่งเจ้าของมัสหับเอง ยังโปรยเพื่อเป็นการเตื่อนว่า หากเจอหะดีษที่ศอเฮียะห์แล้วมันไปขัดกับมัสหับฉัน ให้โยนทัศนะฉันเข้าฝา นั่นแสดงว่า เจ้าของมัสหับเองก็ยอมรับว่าบางอย่างในมัสหับอาจมีข้อผิดพลาดได้
ไม่อย่างนั้นแล้วมัสหับทั้ง 4 จะมีข้อปลีกย่อยทางศาสนาที่แตกต่างกันตั้งมากมายทำไมหล่ะครับ เพราะคำวินิจฉัยของอุลามาอฺในแต่ละมัสหับก็ฟัตวาแตกต่างกันไป แล้วสุดท้ายมันจะไปจบตรงไหน ก็จบที่อัล-กุรอานและหะดีษ

แต่คำถามที่ผู้ตั้งกระทู้ได้ถามไว้ ยังไม่เห็นมีคนมาตอบเลยหน่ะครับ รออยู่ครับ

ออฟไลน์ multi

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 413
  • Respect: +7
    • ดูรายละเอียด
  ไม่ไช่แค่ 4มัสฮับเท่านั้นหรอกครับ ที่มีข้อปลีกย่อยแต่กต่างกัน  ทุกๆ มัสอับบนโลกนี้ ก้ปลีกย่อยทั้งนั้นครับ แต่ที่ปลีกย่อยนี้มันก็ได้ขัดเกลามาจากอัลกุอานและอัลฮาดิทั้งนั้ซึ่ง  ถ้ามันจะผิดมันก็ผิด กันทั้งโลกแล้วละครับ  หลังจากยุคของท่านนบีเพราะมีข้อปลีกย่อยมากมาย ที่ไม่เหมือนกัน  ถ้ามีความเห็นเหมือนกันหมด  ก้คงไม่ต้องขึ้นเวทีไปโต้กันไปโต้กันมา จนไม่รู้จักจบสิ้นเพราะฉะนั้น มัสฮับมันก้คือแนวทาง ที่นำไปสู่การ เรียนรู้เพื่อไปสูจุดสูงสุด  นั่นคือ  อัลกุรอาน  แต่ถ้าบอกว่ายึดแบบ ไม่ลืมหูลืมตา นี่ก็คงจะพูดเกินไปละครับ ถ้าจะบอกเช่นนี้ ก็ขอกล่าวว่า กลุ่มที่ไม่มีมัสฮับก้ ยึดความคิด ของตัวเองไม่ลืมหูลืมตา เช่นกันแหล่ะครับ 
                                                 เพราะต่างก็มีแนวทางที่จะนำไปสู่อัลกุรอานทั้งนั้นเพียงแต่เข้าใจแตกต่างกันแค่เรื่อง เล็กๆน้อยๆ 

ดังนั้น  คิดว่า  ว่ามัสฮับทั้งหลายยึดฮาดิษ ซอเฮี้ย หรือไม่อย่างไร หรือยึดอัลกุรอานหรือไม่อย่างไรอยู่ที่  ระดับอุละมะอ์ ระดับโลก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน   คงไม่อาจกล้า ทำความเสื่อมเสียให้กับ อิสลามโดย การไม่เอาอัลกุรอานและ อัลฮาดิษ อย่างที่มีการกล่าวหา กัน ในปัจจุบัน

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
                       เนื่องจากในปัจจุบัน ก็เป็นที่ทราบกันว่า มีการตื่นตัวและเรียกร้องให้ปฏิบัติตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮ์กันอย่างดาษดื่นในสังคมมุสลิมแทบจะทุกย่อมหญ้า และก็ปฏิเสธไม่ได้ที่สังคมมุสลิมบางสังคม ยังอาจจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับสัจธรรมตรงนี้ ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็สมควรตระหนักและรับผิดชอบตามแต่สถานการณ์นั้นๆ ไป

                       ท่ามกลางการฟื้นฟูอิสลามที่เกิดขึ้นในโลกอิสลามและมุสลิมปัจจุบันนั้น นับเป็นสิ่งที่ดีและน่าติดตามถึงการเจริญเติบโต แม้บางครั้งจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้าก็ตาม ขบวนการเหล่านั้น เป้าหมายหลักก็คือ การเรียกร้องสู่ความเป็นเอกภาพแห่งอิสลาม ภายใต้กิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮ์

มัซฮับทั้ง 4 มีมาเป็นพันปีแล้ว  และอิสลามก็รุ่งเรืองมาพร้อม ๆ กับมัซฮับ  และมัซฮับล้วนแต่ตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์  แต่ความตกต่ำที่เกิดขึ้นของมุสลิมโดยรวมนั้น  เพราะตัวบุคคลต่างหากที่ไม่อยู่ในระบอบอิสลาม  พร้อมกับศัตรูมีความเข้มแข็งทางด้านวัตถุ  ไม่ใช่เพราะมีมัซฮับถึงทำให้ตกต่ำ  เนื่องจากอัลอิสลามเคยเป็นเอกภาพนมนานภายใต้อัลกุรอานและซุนนะฮ์ในนามของมัซฮับ  ดังนั้นในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม  อาณาจักรอิสลามทั้งหลายที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนนั้น  ล้วนแต่เป็นอาณาจักรอิสลามที่มีมัซฮับ  และจอมทัพอิสลาม  ก็มีมัซฮับที่อยู่บนพื้นฐานของอัลกุรอ่านและซุนนะฮ์   ดังนั้นที่ปัจจุบันอิสลามตกต่ำ  ไม่ใช่เพราะมีคนอ่านกุนูตซุบฮิ  มีคนอ่านตัลกีน  มีคนกล่าวอุศ็อลลี  มีคนนั่งซิกิรล้อมวง  มีคนยกมือดุอาแล้วลูบหน้า  มีคนละตัสบีห์  มีคนละฮาญัต  มีคนซิกิรแล้วโยก  ซึ่งประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่ทำให้อิสลามในปัจจุบันตกต่ำ  แต่ที่ตกต่ำนั้น  คือผู้นำประเทศมุสลิมไม่นำกฏหมายอิสลามมาใช้  และมุสลิมต่างตะอัศศุบในทัศนะของตนแล้วฮุกุ่มผู้อื่นที่ต่างจากตนว่าลุ่มหลง  นี้แหละความตกต่ำ  และวะฮาบีย์บางกลุ่มในปัจจุบันกำลังสร้างความตกต่ำนี้ขึ้นมาในคาบของสโกแกนที่ว่าฉันตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ 

                      ดังนั้น ทำให้มีบางกลุ่มพยายามที่จะกำหนดมาตรฐานหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในสังคมอิสลามและมุสลิม แต่ทว่า มาตรฐานที่พวกเขาได้ตั้งขึ้นมานั้น กลับสังคมมุสลิมบางส่วนไม่เห็นด้วย ในปัจจุบัน เราจะเห็นได้ว่า มีการเรียกร้องให้ละทิ้งมัฑฮับ และให้ยึดสุนนะฮ์ของท่านนบีย์ ศ็อลฯ ซึ่งมาตรฐานที่พวกเขานำมาตั้งไว้ เพื่อกำหนดว่า การกระทำนี้ หรือการกระทำนั้น ถือว่าได้ตามสุนนะฮ์ หรือไม่ได้ตามสุนนะฮ์ เกณฑ์ที่พวกเขามักจะนำมาใช้ก็คือ หนังสือศ็ฮีหฺ อัลบุคอรีย์ มุสลิม และอื่นๆ จากทั้ง 6 เล่มหะดีษที่มีชื่อเสียง โดย 2 เล่มแรกดังกล่าวนั้น ทำให้บางกลุ่มถึงกับหุกุมอีกกุล่มหนึ่งว่า ยึดทัศนะฎ็อีฟ หรือทำขัดกับสุนนะฮ์ เป็นต้น เพียงเพราะทัศนะของคนอื่น ไม่มี หรือขัดกับหะดีษในศ็ฮีหฺบุคอรีย์ และมุสลิม

                       ดังนั้น ผมจึงใคร่ขอถามว่า การนำหะดีษจากศ็ฮีหฺอัลบุคอรีย์และมุสลิม มาเป็นเกณฑ์วัดถึงความถูกต้อง หรือขัดหรือไม่ขัดกับสุนนะฮ์ ของมัฑฮับทั้งสี่นั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ไหม เพราะทราบมาว่า อิมามมัฑฮับทั้งสี่นั้น เกิดก่อนอิมามทั้งสองเสียด้วยซ้ำ และอุละมาอ์อิสลามมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างครับ ช่วยชี้แจงหน่อยนะครับ อยากทราบ เพราะมันรบเร้าจิตใจมาก โดยเฉพาะช่วงที่เรียน หรือฟังบรรยายธรรมจากสถาบันที่ตนได้เรียน ซึ่งจะยึดแต่ศ็ฮีหฺบุคอรีย์ มุสลิม และอีก 6 เล่มดังกล่าวเป็นหลัก แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ส่วนใหญ่จะถูกตรวจความถูกต้องโดยเชคอัลอัลบานีย์ด้วย???

ตามหลักนิติศาสตร์อิสลามนั้น  วะฮาบีย์ในปัจจุบัน  ก็เสมือนกับมัซฮับหนึ่งเหมือนกัน  แต่พวกเขาไม่มีชื่อเรียกมัซฮับ  เนื่องจากจะเกิดการเปรียบกับมัซฮับทั้ง 4 ซึ่งเทียบไม่ได้แน่นอน  เนื่องจากมัซฮับทั้ง 4 นั้นมีอุลามาอฺที่ทรงคุณธรรมอยู่ทุกมัซฮับ  ดังนั้นวะฮาบีย์จึงพยายามบอกว่าตนเองตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์  ไม่ใช่ตามมัซฮับ  ซึ่งคำพูดนี้  คนเอาวามจะหลงเชื่อสโกแกนนี้  แต่ผู้ที่มีความรู้ในฮะดิษและนิติศาสตร์อิสลามนั้น  ถือว่าเป็นคำพูดของผู้ที่ไม่เข้าใจหลักการของศาสนา  มันเป็นคำพูดที่ถูกต้องแต่เป้าหมายของผู้พูดนั้นผิด

ทุกมัซฮับทั้ง 4 นั้น  พวกเขามีล้วนแต่ยึดหลักฐานตามลำดับดังนี้

1. อัลกุรอาน

2. อัซซุนนะฮ์

3. อิจญฺมาอฺ

4. กิยาส

5. และอื่น ๆ ซึ่งมีหลักฐานเสริมที่จุดยืนแต่ละมัซฮับต่างกันไป

บรรดาหลักฐานที่ผมนำเสนอมานั้น  ชี้ให้เห็นว่าทุกมัซฮับ  ยึดอัลกุรอานและซุนนะฮ์  เป็นลำดับแรก  ดังนั้นผู้ใดถามว่า "ทำไมคุณยึดมัซฮับ  ทำไมไม่ยึดอัลกุรอานและซุนนะฮ์ล่ะ" ถือว่าเป็นคำถามของคนที่ขาดความเข้าใจเรื่องศาสนา  คือไม่ได้เรียนศาสนาอิสลามโดยตรง  เพราะการยึดมัซฮับก็คือการยึดอัลกุรอานและซุนนะฮ์  และการยึดอัลกุรอานและซุนนะฮ์ก็คือการยึดมัซฮับ  ประโยคหลังนี้บางกลุ่มอาจจะฉงนใจว่า  "เป็นไปได้ไงที่ยึดอัลกุรอานและซุนนะฮ์คือการยึดมัซฮับ"  คำตอบก็คือ  มัซฮับนั้นเกิดขึ้นจากการอิจญ์ฮาต(วินิจฉัย)ในตัวบท  ดังนั้นเมื่อตัวบทเดียวกันที่ซอฮิหฺ  แต่ปราชญ์วินิจฉัยแตกต่างกันออกไป  นั่นถือว่าเกิดมัซฮับขึ้นมาแล้วนั่นเอง  และการแตกต่างระหว่างการอิจญ์ฮาดในตัวบทซอฮิห์เดียวกันนั้น  ปราชญ์ทั้งสองคนก็ถือว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์แล้ว

การเรียกร้องให้ละทิ้งมัซฮับ  เป็นแค่ทฤษฏีจินตนาการ  จะมาปฏิบัติจริงไม่ได้  การที่วะฮาบีย์เรียกร้องเอกภาพให้ตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์นั้น  เบื้องหลังก็คือ  พวกเขาต้องการให้ผู้คนตามทัศนะที่ตนเองยึดถือเท่านั้นเอง 

ดูตัวของมัซฮับวะฮาบีที่มีสโลแกนว่า  ตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ 

1.  เชคบินบาซฺ  มีทัศนะว่าไม่มีการละหมาดตัสบีห์   แต่อัลบานีบอกว่าละหมาดตัสบีห์ได้

2.  เชคอุษัยมีนบอกว่าเวลายืนขึ้นจากรุกั๊วะให้เอามือกอดหน้าอก  ส่วนอัลบานีบอกว่าไม่ต้องกอดหน้าอก

3. อุลามาอฺวะฮาบีย์บางคนกระดิกนิ้วตอนอ่านตะชะฮุด  แต่บางท่านบอกว่าไม่ต้องกระดิกนิ้ว  ดูได้จากเว็บนี้  http://sulaymani.net/play.php?catsmktba=824

แล้วอะไรคือเอกภาพของวะฮาบีย์ที่ให้ตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์   พวกเขาต้องการให้มุสลิมทุกคนปฏิบัติให้เหมือนพวกเขาหมดเลยหรือ ?  ซึ่งเป็นไปไม่ได้  ขนาดอุลามาอฺมัซฮับวะฮาบีย์ยังมีทัศนะที่ขัดแย้งกันเลย  หรือว่าอุลามาอฺวะฮาบีเหล่านั้นแตกแยกกัน  หรือว่าแม้จะแตกต่างในทัศนะแต่ไม่ได้หมายถึงต้องแตกแยก!

วะฮาบีบางคนคิดว่า  ต้องปฏิบัติฮะดีษซอฮิห์จะได้ไม่ต้องขัดแย้งกันและมีเอกภาพในระหว่างพี่น้องมุสลิม  พยายามเรียกร้องเอาฮะดีษบุคอรีและมุสลิมมาเป็นตัววัดเพื่อเอกภาพในอิสลาม   ผมขอกล่าวว่า  คำพูดแบบนี้เป็นคำพูดของคนไม่เข้าใจศาสนา  เพราะหลักฐานอัลกุรอ่านและฮะดิษที่ซอฮิห์นั้น  จะมีทั้งตัวบทที่ข้อบ่งชี้ไม่ชัดเจน  ยิ่งฮะดีษซอฮิห์แล้วส่วนมากจะมีตัวบทต้องทำการวินิจฉัย  ซึ่งแน่นอนว่า  นักปราชญ์มัจญฺฮิดต้องวินิจฉัยฮะดีษซอฮิห์บทเดียวกัน  โดยมีทัศนะที่แตกต่างกันออกไป   อ้าว...ทำไมยึดฮะดิษซอฮิห์บทตัวกัน  แล้วไม่เป็นเอกภาพในทัศนะล่ะ 

อย่างเช่น  ฮะดิษบุคอรีที่ว่า

إِنَّمَا الأَعْمَالُ بِالنِيَاتِ

"แท้จริงบรรดาการกระทำนั้นด้วยการเจตนา"

ฮะดิษนี้ซอฮิห์  แต่การวินิจฉัยขัดแย้งกัน  เช่น  มัซฮับชาฟิอีย์บอกว่า  วายิบต้องเหนียตในละหมาดโดยอ้างฮะดิษนี้  ส่วนมัซฮับฮะนะฟีย์บอกว่าไม่วายิบเหนียตเพราะอ้างฮะดีษนี้เหมือนกัน  แต่อิจญฺติฮาตต่างกันนั่นเอง  ซึ่งรายละเอียดนั้นผมไม่ต้องการนำมากล่าว เกรงว่าจะยืดยาว

เช่นฮะดิษบุคอรีและมุสลิมที่ว่า

لاَ صلاةَ لَمَنْ لَمْ يَقْرأ بِفَاتِحَةِ الكِتَابِ

"เป็นถือว่าเป็นละหมาด  สำหรับผู้ที่ไม่อ่านอัลฟาติฮะฮ์"

ฮะดิษซอฮิห์บทเดียวกัน  แต่นักปราชญ์วินิจฉัยต่างกัน  เช่น  มัซฮับชาฟิอีย์บอกว่าฮะดีษนี้ชี้ถึงว่า การอ่านอัลฟาติฮะฮ์เป็นรุกุ่นของละหมาด  ส่วนมัซฮับฮะนะฟีย์ถือว่าไม่ใช่รุกุ่น  ทั้งที่เข้าใจจากตัวบทฮะดีษซอฮิห์นี้เหมือนกัน

เช่นฮะดีษบุคอรีรายงานว่า

‏ ‏مَنْ تَوَضَّأَ ‏ ‏فَلْيَسْتَنْثِرْ

"ผู้ใดทำการอาบน้ำละหมาด เขาจงสูดน้ำเข้าจมูก"

ฮะดิษซอฮิห์บทเดียวกัน  แต่อุลามาอฺขัดแย้งกันในด้านฮุกุ่ม  เช่น อิมามอะห์มัดบอกว่า การสูดน้ำเข้าจมูกเป็นวายิบ  แต่อิมามชาฟิอีย์มีทัศนะว่า  เป็นวายิบแต่เป็นเพียงแต่สุนัต

และยังมีบรรดาฮะดีษซอฮิห์อีกมากมายเหลือเกิน  ที่บรรดาปราชญ์อิสลามใช้นำมาอ้างหลักฐานในบทเดียวกัน  แต่มีทัศนะที่ขัดแย้งกัน  เพราะเป็นผลมาจากการวินิจฉัยที่ต่างกัน

ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่า  การยึดฮะดิษซอฮิห์   มิได้หมายความว่าต้องมีทัศนะที่ตรงกัน  และการเรียกร้องไปมายึดฮะดิษซอฮิห์  มิได้หมายความว่ามุสลิมทั้งหมดจะปฏิบัติเหมือนกัน  นี่คือสัจธรรมที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น  ดังนั้น  การที่วะฮาบีย์เรียกร้องให้ไปยึดฮะดีษซอฮิห์  โดยอ้างว่าเพื่อเอกภาพในมุสลิมนั้น  มิใช่อื่นใดเลย  นอกจากเขาพูดไปเพื่อให้ผู้คนมายึดทัศนะของวะฮาบีย์ยึดอยู่ให้มากที่สุดเท่านั้นเอง  และแล้วความตกต่ำและความเลวร้ายเริ่มเกิดขึ้น  เมื่อมีบางกลุ่มคิดว่าของฉันเท่านั้นที่ถูก  แม้จะอ้างว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ที่ตนเองยึดมาบังหน้าก็ตาม

ดังนั้น  จะยึดมัซฮับหรือบอกว่าไม่ยึด  แต่ความวิบัติมันจะเกิด  เมื่อบุคคลหนึ่ง บ้าคลั่งในทัศนะที่ตนเองยึดอยู่โดยไม่ลืมหูลืมตานั่นเองครับ

วัลลอฮุอะลัม     
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
 salam

ดังนั้น  หากพบว่าหะดิษซอฮิหฺในบุคอรีและมุสลิมแล้ว จะนำมาปฏิบัติเลยนั้น อย่าเพิ่งประมาท เพราะหะดิษซอฮฺหฺนั้น

1. บางครั้งมีความหมายแบบกว้าง ๆ ซึ่งจะนำมาใช้โดยตรงไม่ได้หากว่ามีหะดิษซอฮิหฺอีกหะดิษหนึ่งที่มาจำกัดความ หมายของมัน ซึ่งหะดิษที่มาจำกัดความหมายต้องมาอยู่ก่อน

2. หากหะดิษซอฮิหฺหนึ่งมีความหมายแบบครอบคลุมก็ย่อมจะนำมาใช้อย่างพละการไม่ได้ หากว่ามีหะดิษซอฮิหฺอื่นอีกที่มาทอนความหมายของมัน ซึ่งหะดิษที่มาทอนความหมายนั้นต้องนำมาอยู่ก่อน

3. หากหะดิษซอฮิหฺที่ถูกยกเลิกไปแล้ว ก็จะนำมาใช้ไม่ได้อย่างแน่นอนโดยต้องทิ้งการปฏิบัติมันไป

4. บางครั้งมีตัวบทหะดิษซอฮิหฺที่ความหมายคลุมเครือและมีความหมายหลายนัย ก็อย่าเพิ่งนำมาปฏิบัติโดยพละการ เพราะต้องตรวจดูหลักวินิจฉัยของปราชญ์มุจญฮิดเสียก่อน

5. บางครั้งตัวบทหะดิษซอฮิหฺที่บ่งถึงการห้ามนั้นจะนำมาใช้ปฏิบัติและหุกุ่มผู้ อื่นเลยยังไม่ได้ เพราะต้องตรวจสอบดูหะดิษซอฮิหฺบทอื่นเสียก่อนที่อาจจะเป็น(กอรีนะฮ์)ที่มี ข้อบ่งชี้แวดล้อมที่มาผินความหมายของหะดิษซอฮิหฺบทแรกให้อยู่ในความหมายการ ห้ามในรูปแบบอื่นที่ไม่เด็ดขาด  เช่นเป็นมักโระฮ์

6. บางครั้งมีหะดิษซอฮิหฺบทหนึ่งมาระบุแต่ปรากฏว่ามีหะดิษซอฮิหฺอีกหะดิษหนึ่ง ที่มาค้านกัน ก็ต้องใช้หลักการรวมหลักฐานหากเป็นได้ หรือต้องละทิ้งหะดิษซอฮิหฺอีกบทหนึ่ง เช่นด้วยหลักการที่ว่า หะดิษที่มายืนยันย่อมอยู่ก่อนหะดิษที่มาปฏิเสธ

ดัง นั้น หลักนิติศาสตร์อิสลาม มีหลักการที่ละเอียดละออและรัดกุม ไม่ใช่ว่าผู้ใดจะมาศึกษาเอาเองหรือเจอหะดิษในเชิงนิติศาสตร์แล้วก็จะนำมาใช้ ปฏิบัติเลยนั้น ไม่ได้  แต่ต้องเพิ่งพาอุลามาอฺวินิจฉัย  ซึ่งทัศนะก็ต้องแตกต่างกันไปทั้งที่ยึดฮะดีษบทเดียวกัน
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

มัซฮับทั้ง 4 มีมาเป็นพันปีแล้ว  และอิสลามก็รุ่งเรืองมาพร้อม ๆ กับมัซฮับ  และมัซฮับล้วนแต่ตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์  แต่ความตกต่ำที่เกิดขึ้นของมุสลิมโดยรวมนั้น  เพราะตัวบุคคลต่างหากที่ไม่อยู่ในระบอบอิสลาม  พร้อมกับศัตรูมีความเข้มแข็งทางด้านวัตถุ  ไม่ใช่เพราะมีมัซฮับถึงทำให้ตกต่ำ  เนื่องจากอัลอิสลามเคยเป็นเอกภาพนมนานภายใต้อัลกุรอานและซุนนะฮ์ในนามของมัซฮับ  ดังนั้นในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม  อาณาจักรอิสลามทั้งหลายที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนนั้น  ล้วนแต่เป็นอาณาจักรอิสลามที่มีมัซฮับ  และจอมทัพอิสลาม  ก็มีมัซฮับที่อยู่บนพื้นฐานของอัลกุรอ่านและซุนนะฮ์   ดังนั้นที่ปัจจุบันอิสลามตกต่ำ  ไม่ใช่เพราะมีคนอ่านกุนูตซุบฮิ  มีคนอ่านตัลกีน  มีคนกล่าวอุศ็อลลี  มีคนนั่งซิกิรล้อมวง  มีคนยกมือดุอาแล้วลูบหน้า  มีคนละตัสบีห์  มีคนละฮาญัต  มีคนซิกิรแล้วโยก  ซึ่งประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่ทำให้อิสลามในปัจจุบันตกต่ำ  แต่ที่ตกต่ำนั้น  คือผู้นำประเทศมุสลิมไม่นำกฏหมายอิสลามมาใช้  และมุสลิมต่างตะอัศศุบในทัศนะของตนแล้วฮุกุ่มผู้อื่นที่ต่างจากตนว่าลุ่มหลง  นี้แหละความตกต่ำ  และวะฮาบีย์บางกลุ่มในปัจจุบันกำลังสร้างความตกต่ำนี้ขึ้นมาในคาบของสโกแกนที่ว่าฉันตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ 


อาจารย์ตัดปัญหาการทำบิดอะห์ออกจากสังคมซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความตกต่ำของอิสลามได้หรือครับ แสดงว่าอาจารย์ก็ยังสนับสนุนอยู่หรือครับ หรือคัดค้านในใจแต่ไม่กล้าพูด

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อาจารย์ตัดปัญหาการทำบิดอะห์ออกจากสังคมซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความตกต่ำของอิสลามได้หรือครับ แสดงว่าอาจารย์ก็ยังสนับสนุนอยู่หรือครับ หรือคัดค้านในใจแต่ไม่กล้าพูด

ผมจุดยืนชัดเจนครับ  ตัลกีนเป็นหลักฐานจากศาสนาฮะดีษฎออีฟถึงขั้นฮะซัน , กุนูตซุบฮ์มีฮะดีษซอฮิห์ยืนยันไว้ตามทัศนะที่มีน้ำหนัก , การกล่าวอุศ็อลลี ใช้หลักฐานกิยาสไม่ขัดกับศาสนา , ซิกิรล้อมวงมีฮะดีษซอฮิห์รับรอง , ดุอาแล้วลูบหน้ามีฮะดีษฮะซันรับรอง , ละหมาดตัสบีห์มีฮะดีษซอฮิห์หรือฮะซันรับรอง , ละหมาดฮาญัดมีฮะดีษซอฮิห์รับรอง , ซิกิรโยกแบบไม่เลยเถิดมีฮะดีษซอฮิห์รับรอง , แต่วะฮาบีย์บางกลุ่มบอกว่ามันเป็นบิดอะฮ์ตกต่ำ เพราะไม่ตรงกับทัศนะของพวกเขา ความตกต่ำบังเกิด เพราะคลั่งในทัศนะของตนจนละเมิดฮุกุ่มทัศนะอื่น  ทั้งที่มีหลักฐานในกรอบของนิติศาสตร์อิสลามมารับรอง 

แต่ความจริงแล้วบิดอะฮ์ที่ตกต่ำ คือบิดอะฮ์ตามหลักการอิสลามที่มีหลักฐานมายืนยันแน่นอน  มิใช่บิดอะฮ์บางอย่างตามทัศนะของวะฮาบีย์ ที่ปฏิบัติฮะดีษฎออีฟแล้วเป็นบิดอะฮ์ หรือนบีไม่ได้เจาะจงกระทำเป็นบิดอะฮ์ทั้งที่มีหลักฐานมูลรวมรับรองเอาไว้ ซึ่งถือว่าไม่ใช่หลักการที่ถูกต้องของวะฮาบีในการนำมาเป็นบรรทัดฐานฮุกุ่มบิดอะฮ์นะครับ

ส่วนหนึ่งจากอุตริกรรม ในศาสนาอันน่ารังเกียจ  ที่กลุ่มอัลวะฮาบียะฮ์ผู้ชอบอ้างว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์พูดว่าฮะดิษฏออีฟอยู่ในความหมายของสิ่งที่โกหกเหลวไหลและพยายามทำฮะดิษฏออีฟให้อยู่ใน ตำแหน่งของฮะดิษเมาฏั๊วะ  พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติด้วยกับฮะดิษฏออีฟนั้น  เป็นความโสมม  บิดอะฮ์ที่ชั่ว  และเป็นความโง่เขลา  ทั้งที่การปฏิบัติด้วยกับอะดิษฎออีฟดังกล่าวนับว่าการดำเนินตามแนวทางของสะ ละฟุศศอลิห์  เนื่องจากฮะดิษฎออีฟมีขอบเขตที่สามารถนำมาปฏิบัติได้ในศาสนา  ดังนั้นถือว่าเป็นการอธรรม(ซฺอลิม)ต่อศาสนาและวิชาความรู้  โดยการที่ทำฮะดิษฎออีฟให้อยู่ในฐานะของฮะดิษเมาฏั๊วะ  ทั้งที่ความจริงแล้วฮะดิษฎออีฟเป็นฮะดิษที่มีรากฐานที่มา  แต่ไม่ครบเงื่อนไขที่ซอฮิห์  หมายถึงในฮะดิษฎออีฟนั้นในแง่หนึ่งมีความถูกต้องและมีเงื่อนไขที่สามารถรับ มาเป็นฮะดิษได้  แต่ยังมีเงื่อนไขบางประการยังไม่สมบูรณ์เท่านั้นเอง

ด้วย เหตุนี้บรรดาปราชญ์อิสลามจึงตอบรับฮะดิษฎออีฟโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ การปฏิบัติในเรื่องคุณงามความดี(ฟะฎออิลุลอะมาล) และนำฮะดิษฎออีฟมาใช้เกี่ยวกับฮุกุ่มที่ไม่ใช่วายิบหรือฮะรอม  ดังนั้นฮะดิษฎออีฟจึงมิใช่เป็นฮะดิษประเภทที่ถูกปฏิเสธเลยอย่างสิ้นเชิง  แต่ยิ่งกว่านั้นปราชญ์สะละฟุศศอลิห์บางส่วนยังนำมาปฏิบัติในบางสถานที่  และยกฮะดิษฎออีฟให้อยู่ในระดับฮะซันได้ด้วยเงื่อน ๆ อันที่เป็นยอมรับกัน  ดังนั้นสิ่งที่ผมได้พูดนี้อาจจะไม่ทำให้บางกลุ่มพอใจเลย  แต่ทว่าการสร้างความพึงพอใจต่ออัลเลาะฮ์นั้นย่อมมีความจำเป็น  ถึงแม้ว่าจะมีบางกลุ่มต้องไม่พอใจก็ตาม
^
^
^
แต่เป็นที่น่าเสียใจ  ที่ปรากฏว่าปัจจุบันยังมีบางกลุ่มพยายามนำประเด็นเรื่องฮะดิษฎออีฟมาเป็น ปัจจัยในการฮุกุ่มพี่น้องมุสลิมที่ปฏิบัติฮะดิษฎออีฟในเรื่องคุณความดีตาม เงื่อนไขที่ระบุไว้  ว่าเป็นผู้กระทำบิดอะฮ์  เป็นคนชั่ว  และลุ่มหลงตกนรก  ทั้งที่การปฏิบัติฮะดิษฎออีฟเป็นแนวทางของสะละฟุศศอลิห์  ดังนั้นพฤติกรรมของบางกลุ่มที่อ้างว่าไม่ยึดฮะดิษฎออีฟ  แล้วทำการฮุกุ่มต่อผู้อื่นที่ทัศนะต่างกับตนในเรื่องการปฏิบัติฮะดิษฎออีฟตามเงื่อนไขนั้น  ถือว่าพวกเขากำลังก่ออุตริกรรมบิดอะฮ์ในศาสนาที่น่ารังเกียจ  ฉะนั้นพวกเขากล้าพูดไหมล่ะครับว่า  บรรดาฮะดิษฎออีฟตามหลักการดังกล่าวไม่เรียกว่าฮะดิษนบี?!
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 19, 2008, 07:13 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ชอบจริง ประโยคสุดท้าย ขอยืมใช้คงไม่สงวนสิทธิ์นะบัง
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

GoogleTagged