ผู้เขียน หัวข้อ: ยึดศ็ฮีหฺบุคอรีย์และมุสลิม เป็นเกณฑ์วัดความศ็ฮีหฺของ 4 มัฑฮับได้หรือไม่?  (อ่าน 10068 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
                       ดังนั้น ผมจึงใคร่ขอถามว่า การนำหะดีษจากศ็ฮีหฺอัลบุคอรีย์และมุสลิม มาเป็นเกณฑ์วัดถึงความถูกต้อง หรือขัดหรือไม่ขัดกับสุนนะฮ์ ของมัฑฮับทั้งสี่นั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ไหม เพราะทราบมาว่า อิมามมัฑฮับทั้งสี่นั้น เกิดก่อนอิมามทั้งสองเสียด้วยซ้ำ และอุละมาอ์อิสลามมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างครับ ช่วยชี้แจงหน่อยนะครับ อยากทราบ เพราะมันรบเร้าจิตใจมาก โดยเฉพาะช่วงที่เรียน หรือฟังบรรยายธรรมจากสถาบันที่ตนได้เรียน ซึ่งจะยึดแต่ศ็ฮีหฺบุคอรีย์ มุสลิม และอีก 6 เล่มดังกล่าวเป็นหลัก แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ส่วนใหญ่จะถูกตรวจความถูกต้องโดยเชคอัลอัลบานีย์ด้วย???
                      ฝากบังอัลอัซฮะรีย์ ชี้แจงด้วยนะครับ

วัสสลามุ อลัยกุม วะร็อหฺมะตุ้ลลอฮฺ ตอาลา วะบะร็ก้าตุฮฺ

               
 salam

เชคอัลบานีย์เป็นบุคคลที่ฎออีฟหรือครับ ถึงไม่ค่อยสบายใจเมื่อได้ยินชื่อท่าน
หรือเป็นเพราะในเว็ปนี้ ได้วิพาทน์เชคอัลบานีย์จนหมดความน่าเชื่อถือของนักหะดีษระดับโลกอิสลามไปแล้ว(เสมือนบทความวิภาทเชคอัลบานีย์ในเว็ปนี้เป็นยันต์เพื่อต่อสู้กับวะฮาบีย์ทำนองนั้น) เป็นที่ทราบดีว่าคนทุกคนย่อมมีข้อผิดพลาด แต่นำข้อผิดพลาดที่เล็กน้อยมาก มาตัดสินอุลามาอฺและวิพาทน์วิจารณ์จนเกินเหตุจนกลายเป็นบุคคลฎออีฟไปเลย เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะต่อสู้กับฝ่ายทีไม่เห็นด้วยกับตน ...

ส่วนประเด็นของกระทู้ ก็ต้องตั้งคำถามกลับว่า อะไรสำคัญกว่ากันระหว่างหะดีษที่ศอเฮียะห์กับมัสหับครับ?

วัสลาม

                ถ้าจะอ้างว่า เป็นมนุษย์ย่อมผิดพลาดเป็นธรรมดา ครับ เด็กอนุบาลก็รู้ครับว่ามนุษย์มนาธรรมดาทั่วไป ก็ผิดพลาดกันบ่อย แต่ระดับของความผิดพลาด หรือปริมาณของความผิดพลาด โดยเฉพาะผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักวิชาการนั้น ความผิดพลาดสมควรที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด เพราะเป็นที่ทราบดีกว่าในวงการนักวิชาการอิสลามจะมีหลักในการวินิจฉัยที่ชัดเจน เป็นระบบ ตรวจสอบได้ และก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีผู้เห็นความผิดพลาดนั้นตามแต่ทัศนะของแต่ละคนที่ยึดไป แต่ถึงกระนั้นก็ตาม หากเป็นนักวิชาการระดับโลกจริงๆ แม้แต่จะมีผู้ที่ไม่เห็นอย่างไรก็ตาม แต่จำนวนเหล่านั้นก็ย่อมต้องมีน้อยมาก จนบางครั้งไม่สามารถที่จะหักล้างได้ อย่างเช่น มัฑฮับทั้ง 4 เป็นต้น แต่กรณีของเชคอัลอัลบานีย์ มันต่างนะครับ กลุ่มบุคคลที่ยอมรับว่าท่านเป็นนักหะดีษสุดยอดระดับโลกแห่งยุคสมัยนี้ ก็เป็นเพียงการยอมรับของบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น แต่เมื่อเรากลับมาดูผู้ที่ไม่เห็นด้วย กลับมีจำนวนพอๆ กัน ที่สามารถหักล้างได้ ด้วยการชี้ถึงข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยหะดีษที่มีมาก จนบางครั้งมันผิดธรรมดาของการผิดพลาดทั่วๆไปของนักวิชาการ ที่ปกติจะต้องวางตัวเป็นกลางในการวินิจฉัยประเด็นหนึ่งๆ
             สรุปก็คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ผิดกันได้ทุกคนก็จริงอยู่ แต่ปริมาณนี้สิ ที่ต้องพิจารณา หากมีมากเกินไป ก็อาจจะผลักออกได้ - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 19, 2008, 05:19 PM โดย Al Fatoni »
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
                       ดังนั้น ผมจึงใคร่ขอถามว่า การนำหะดีษจากศ็ฮีหฺอัลบุคอรีย์และมุสลิม มาเป็นเกณฑ์วัดถึงความถูกต้อง หรือขัดหรือไม่ขัดกับสุนนะฮ์ ของมัฑฮับทั้งสี่นั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ไหม เพราะทราบมาว่า อิมามมัฑฮับทั้งสี่นั้น เกิดก่อนอิมามทั้งสองเสียด้วยซ้ำ และอุละมาอ์อิสลามมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างครับ ช่วยชี้แจงหน่อยนะครับ อยากทราบ เพราะมันรบเร้าจิตใจมาก โดยเฉพาะช่วงที่เรียน หรือฟังบรรยายธรรมจากสถาบันที่ตนได้เรียน ซึ่งจะยึดแต่ศ็ฮีหฺบุคอรีย์ มุสลิม และอีก 6 เล่มดังกล่าวเป็นหลัก แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ส่วนใหญ่จะถูกตรวจความถูกต้องโดยเชคอัลอัลบานีย์ด้วย???
                      ฝากบังอัลอัซฮะรีย์ ชี้แจงด้วยนะครับ

วัสสลามุ อลัยกุม วะร็อหฺมะตุ้ลลอฮฺ ตอาลา วะบะร็ก้าตุฮฺ

 salam

เชคอัลบานีย์เป็นบุคคลที่ฎออีฟหรือครับ ถึงไม่ค่อยสบายใจเมื่อได้ยินชื่อท่าน
หรือเป็นเพราะในเว็ปนี้ ได้วิพาทน์เชคอัลบานีย์จนหมดความน่าเชื่อถือของนักหะดีษระดับโลกอิสลามไปแล้ว(เสมือนบทความวิภาทเชคอัลบานีย์ในเว็ปนี้เป็นยันต์เพื่อต่อสู้กับวะฮาบีย์ทำนองนั้น) เป็นที่ทราบดีว่าคนทุกคนย่อมมีข้อผิดพลาด แต่นำข้อผิดพลาดที่เล็กน้อยมาก มาตัดสินอุลามาอฺและวิพาทน์วิจารณ์จนเกินเหตุจนกลายเป็นบุคคลฎออีฟไปเลย เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะต่อสู้กับฝ่ายทีไม่เห็นด้วยกับตน ...

ส่วนประเด็นของกระทู้ ก็ต้องตั้งคำถามกลับว่า อะไรสำคัญกว่ากันระหว่างหะดีษที่ศอเฮียะห์กับมัสหับครับ?

วัสลาม

               ผมว่า มันอยู่ที่บริบทของตัวบุคคลครับ สำหรับผู้มีหน้าที่วินิจฉัย หรือสามารถวินิจฉัยได้ด้วยตัวเอง ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า สำหรับเขา หะรอมในการตามผู้อื่นในประเด็นหนึ่งๆ เพราะเขาจะต้องวินิจฉัยปัญหานั้นๆ ด้วยความสามารถที่อัลลอฮฺทรงประทานให้เขา ดังนั้น การรับหะดีษศ็ฮีหฺสำหรับย่อมสำคัญกว่า ทั้งนี้เพื่อความถูกต้องของการวินิจฉัย เพื่อให้ตรงกับสุนนะฮ์ของท่านนบีย์ ศ็อลฯ ให้มากที่สุด

            แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับบุคคลเอาวาม หะดีษศ็ฮีหฺก็ย่อมสำคัญสำหรับเขามากเช่นกัน แต่เขามิอาจรู้ได้เลยว่า หะดีษที่อยู่ต่อหน้าเขานั้น ศ็ฮีหฺหรือไม่ นอกเสียจากเขาจะรับรู้ได้ ก็ด้วยกับการถามผู้เชี่ยวชาญในการตรวจหะดีษเท่านั้น และเขาก็สามารถตามบุคคลนั้นได้ เมื่อเขาเห็นว่าบุคคลนี้เป็นที่น่าเชื่อถือได้ ดังนั้น การตามการวินิจฉัยของเขาต่อบุคคลผู้นั้น ก็คือการตักลีด และการตักลีดในมัฑฮับ โดยเฉพาะมัฑฮับทั้งสี่ ก็ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งกว่า

            ฉะนั้น ขอสรุปว่า ทุกคนจำเป็นต้องยึดหะดีษศ็ฮีหฺ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องดูบริบทของปัจเจกบุคคลเป็นสำคัญเช่นกัน หวังว่าจะเข้าใจนะครับ ผิดพลาดประการใด ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ เพื่อเป็นการเรียนรู้ไปในตัว - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อาจารย์ตัดปัญหาการทำบิดอะห์ออกจากสังคมซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความตกต่ำของอิสลามได้หรือครับ แสดงว่าอาจารย์ก็ยังสนับสนุนอยู่หรือครับ หรือคัดค้านในใจแต่ไม่กล้าพูด

ผมจุดยืนชัดเจนครับ  ตัลกีนเป็นหลักฐานจากศาสนาฮะดีษฎออีฟถึงขั้นฮะซัน , กุนูตซุบฮ์มีฮะดีษซอฮิห์ยืนยันไว้ตามทัศนะที่มีน้ำหนัก , การกล่าวอุศ็อลลี ใช้หลักฐานกิยาสไม่ขัดกับศาสนา , ซิกิรล้อมวงมีฮะดีษซอฮิห์รับรอง , ดุอาแล้วลูบหน้ามีฮะดีษฮะซันรับรอง , ละหมาดตัสบีห์มีฮะดีษซอฮิห์หรือฮะซันรับรอง , ละหมาดฮาญัดมีฮะดีษซอฮิห์รับรอง , ซิกิรโยกแบบไม่เลยเถิดมีฮะดีษซอฮิห์รับรอง , แต่วะฮาบีย์บางกลุ่มบอกว่ามันเป็นบิดอะฮ์ตกต่ำ เพราะไม่ตรงกับทัศนะของพวกเขา ความตกต่ำบังเกิด เพราะคลั่งในทัศนะของตนจนละเมิดฮุกุ่มทัศนะอื่น  ทั้งที่มีหลักฐานในกรอบของนิติศาสตร์อิสลามมารับรอง  แต่ความจริงแล้วบิดอะฮ์ที่ตกต่ำ คือบิดอะฮ์ตามหลักการอิสลามที่มีหลักฐานมายืนยันแน่นอน  มิใช่บิดอะฮ์บางอย่างตามทัศนะของวะฮาบีย์ ที่ปฏิบัติฮะดีษฎออีฟแล้วเป็นบิดอะฮ์ หรือนบีไม่ได้เจาะจงกระทำเป็นบิดอะฮ์ทั้งที่มีหลักฐานมูลรวมรับรองเอาไว้ ซึ่งถือว่าไม่ใช่หลักการที่ถูกต้องของวะฮาบีในการนำมาเป็นบรรทัดฐานฮุกุ่มบิดอะฮ์นะครับ

ส่วนหนึ่งจากอุตริกรรม ในศาสนาอันน่ารังเกียจ  ที่กลุ่มอัลวะฮาบียะฮ์ผู้ชอบอ้างว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์พูดว่าฮะดิษฏออีฟอยู่ในความหมายของสิ่งที่โกหกเหลวไหลและพยายามทำฮะดิษฏออีฟให้อยู่ใน ตำแหน่งของฮะดิษเมาฏั๊วะ  พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติด้วยกับฮะดิษฏออีฟนั้น  เป็นความโสมม  บิดอะฮ์ที่ชั่ว  และเป็นความโง่เขลา  ทั้งที่การปฏิบัติด้วยกับอะดิษฎออีฟดังกล่าวนับว่าการดำเนินตามแนวทางของสะ ละฟุศศอลิห์  เนื่องจากฮะดิษฎออีฟมีขอบเขตที่สามารถนำมาปฏิบัติได้ในศาสนา  ดังนั้นถือว่าเป็นการอธรรม(ซฺอลิม)ต่อศาสนาและวิชาความรู้  โดยการที่ทำฮะดิษฎออีฟให้อยู่ในฐานะของฮะดิษเมาฏั๊วะ  ทั้งที่ความจริงแล้วฮะดิษฎออีฟเป็นฮะดิษที่มีรากฐานที่มา  แต่ไม่ครบเงื่อนไขที่ซอฮิห์  หมายถึงในฮะดิษฎออีฟนั้นในแง่หนึ่งมีความถูกต้องและมีเงื่อนไขที่สามารถรับ มาเป็นฮะดิษได้  แต่ยังมีเงื่อนไขบางประการยังไม่สมบูรณ์เท่านั้นเอง

ด้วย เหตุนี้บรรดาปราชญ์อิสลามจึงตอบรับฮะดิษฎออีฟโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ การปฏิบัติในเรื่องคุณงามความดี(ฟะฎออิลุลอะมาล) และนำฮะดิษฎออีฟมาใช้เกี่ยวกับฮุกุ่มที่ไม่ใช่วายิบหรือฮะรอม  ดังนั้นฮะดิษฎออีฟจึงมิใช่เป็นฮะดิษประเภทที่ถูกปฏิเสธเลยอย่างสิ้นเชิง  แต่ยิ่งกว่านั้นปราชญ์สะละฟุศศอลิห์บางส่วนยังนำมาปฏิบัติในบางสถานที่  และยกฮะดิษฎออีฟให้อยู่ในระดับฮะซันได้ด้วยเงื่อน ๆ อันที่เป็นยอมรับกัน  ดังนั้นสิ่งที่ผมได้พูดนี้อาจจะไม่ทำให้บางกลุ่มพอใจเลย  แต่ทว่าการสร้างความพึงพอใจต่ออัลเลาะฮ์นั้นย่อมมีความจำเป็น  ถึงแม้ว่าจะมีบางกลุ่มต้องไม่พอใจก็ตาม
^
^
^

หืม ฮุกุมอย่างนี้นี่เอง ชาวบ้านถึงชอบ 
อย่างว่า...ไม่มีคำว่าบิดอะห์เลยหล่ะสิ บ้านเรา เพราะอาจารย์ท่าน ขจัดข้อครหา ขยี้สิ่งสกปรกแบบที่สุดถึงที่สุดจนเนื้อผ้าสะอาดสวมใส่ได้ จากสิ่งบิดอะห์ก็มะลายหายหมดสิ้น จนปฏิบัติได้ แบบนี้ชาวบ้านชอบมากเลยนะ อะไรที่ปู่ย่าตายายทำมาก็จะอนุรักษ์กันต่อไป ส่วนใครมาขัดขวางยกหะดีษนบีมาขจัดบิดอะห์ ก็ขอแรงอาจารย์มาจัดการอีกระรอก มาขยี้หะดีษฎออีฟให้มันเป็นศอเฮียะห์ให้อีกซักทีและวิจารย์สาดใส่ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นพวกอุตริบิดอะห์ตามทัศนะของตัวเอง(ที่ดันมาวิจารย์มัสหับฉันนัก ฮึ่ม!!!อย่านะ)

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
^
^
พูดได้ดี แต่ขอเถอะครับ คราวหลังอย่าอ้างอิงให้มันยาวนักแรง กว่าผมจะลากถึงด้านล่าง ทรมานนิ้วจริงๆเล่นณ์บมือถือ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด
หืม ฮุกุมอย่างนี้นี่เอง ชาวบ้านถึงชอบ 
อย่างว่า...ไม่มีคำว่าบิดอะห์เลยหล่ะสิ บ้านเรา เพราะอาจารย์ท่าน ขจัดข้อครหา ขยี้สิ่งสกปรกแบบที่สุดถึงที่สุดจนเนื้อผ้าสะอาดสวมใส่ได้ จากสิ่งบิดอะห์ก็มะลายหายหมดสิ้น จนปฏิบัติได้ แบบนี้ชาวบ้านชอบมากเลยนะ อะไรที่ปู่ย่าตายายทำมาก็จะอนุรักษ์กันต่อไป ส่วนใครมาขัดขวางยกหะดีษนบีมาขจัดบิดอะห์ ก็ขอแรงอาจารย์มาจัดการอีกระรอก มาขยี้หะดีษฎออีฟให้มันเป็นศอเฮียะห์ให้อีกซักทีและวิจารย์สาดใส่ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นพวกอุตริบิดอะห์ตามทัศนะของตัวเอง(ที่ดันมาวิจารย์มัสหับฉันนัก ฮึ่ม!!!อย่านะ)

ฮุกุ่มอย่างนี้ผมว่าเป็นธรรมแล้วนะครับ  เพราะฮะดิษฎออีฟนั้นเราปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ใช่ฮะดิษนบี  และการปฏิบัติฮะดีษฎออีฟที่อยู่ในกรอบของเงื่อนไขถือว่าเป็นยอมรับขอปราชญ์ผู้เป็นทายาทของท่านนบีและเป็นแนวทางขอสะลัฟซอและฮ์  แต่หากฎออีฟเกินไปก็นำมาใช้ไม่ได้

ผมว่าฮุกุ่มแบบนี้วะฮาบีย์ไม่ชอบน่ะ  เพราะจะทำไม่ให้สามารถฮุกุ่มคนอื่นลงนรกได้  และสามารถขจัดความสุดโต่งของวะฮาบีไปได้นั่นเอง  และนั่นก็เป็นบิดอะฮ์ลุ่มหลงอย่างหนึ่งที่ยึดทัศนะของตนเองไปฮุกุ่มคนอื่นอย่างเมามัน 

และเว็บนี้ก็มีหลายประเด็นที่ฮุกุ่มบิดอะฮ์ในเชิงปฏิบัติและการกระทำ  เช่นต่อต้านการเชื่อเรื่องผลบุญละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร่อกะอัต  ซึ่งเว็บนี้เป็นผู้เริ่มต้นนำเสนอ  ฮุกุ่มบิดอะฮ์กับการทำบุญ 40 วันและ 100 วัน  และยังมีประเด็นอื่นๆ อีกที่เว็บนี้ไม่สนับสนุนเพราะมีหลักฐานที่ชัดเจนและมีการชี้แจงที่อยู่บนหลักฐาน ไม่ใช่เอะอะอะไรก็บัญญัติฮุกุ่มฮะรอมบิดอะฮ์ลุ่มหลงกันตามอำเภอใจ  แบบนี้ถือว่ามักง่ายในการฮุก่มเรื่องศาสนา 

แต่แปลกที่วะฮาบีไม่ต่อต้านเรื่องอะกีดะฮ์ที่นับถือว่าอัลเลาะฮ์ตัวตน  อัลเลาะฮ์มีอวัยวะ  อะกีดะฮ์เสื่อมเสียที่ก่อโดยกลุ่มวะฮาบี ซึ่งเวบนี้ได้ทำหน้าที่อย่างไร  เพราะหากมีอะกีดะฮ์ที่สะอาด  อะกีดะฮ์ก็สมบูรณ์ไปด้วย  หากวะฮาบีย์อ้างว่ายึดฮะดีษซอเฮี๊ยะห์แต่อะกีดะฮ์บิดอะฮ์  ยังไงอิบาดะฮ์ก็ไม่สมบูรณ์

เป็นที่ทราบดีว่าพวกมั๊วะตะซิละฮ์นั้นทำอิบาดะฮ์กันอย่างเคร่งครัด  พวกค่อวาริจญ์ทำอะกีดะฮ์กันอย่างเคร่งครัด พวกอัรรอมียะฮ์เป็นผู้ที่ทำอิบาดะฮ์กันอย่างเคร่งครัด  บางคนก็เป็นนักฮะดิษ  แต่อะกีดะฮ์เบี่ยงเบนบิดอะฮ์  นั่นก็ทำให้อิบาดะฮ์ไม่สมบูรณ์  วะฮาบีย์ที่อะกีดะฮ์เบี่ยงเบนก็เฉกเช่นเดียวกัน

วัสลาม
วัลลอฮุอะลัม
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด
ความจริงมัซฮับนั้นก็มีจุดยืนยึดตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ที่ซอเฮี๊ยะห์เป็นอันดับแรก  หากไม่มีการฮะดิษฮะซัน  แล้วลดระดับลงไป  แม้กระทั่งอิมามอะห์มัดยังบอกว่า ฮะดิษฎออีฟยังดีกว่าความเห็น  จุดยืนท่านอะห์มัดเช่นนี้วะฮาบีคงไม่เห็นด้วยแน่มั้งครับเนี่ย

อนึ่ง  การตามฮะดิษต้องอาศัยอุลามาอฺมาอธิบายในตัวบทฮะดีษต่างๆ แม้ฮะดิษซอเฮี๊ยะห์ก็ต้องเพิ่งพาอุลามาอฺมาวินิจฉัย  ดังนั้นเมื่อเกิดการวินิจฉัยขึ้นก็ต้องมีความแตกต่างในการวินิจฉัย  นั่นย่อมหมายถึงมัซฮับ  ดังนั้นเมื่อเราไม่มีความสามารถวินิจฉัยตัวบทฮะดีษซอเฮี๊ยะห์ได้เราก็ต้องตามกมาวินิจฉัยของอุลามาอฺผู้มีความสามารถ  ฉะนั้นเราผู้ไร้ความสามารถในการเข้าไปวินิจฉัยฮุกุ่มศาสนา   คนอ่อนแออย่างเราก็ต้องตามอุลามาอฺ

เพราะการตามอุลามาอฺก็คือการตามซุนนะฮ์นบี  เนื่องจากเราไม่ได้อยู่ในสมัยนบีและเราไม่รู้อย่างทั่วถึงในเป้าหมายของคำพูดของท่านนบี  ดังนั้นเราก็ต้องตามการวินิจฉัยฮะดิษของอุลามาอฺ  เพราะนบีได้ยืนยันไว้แล้วว่าอุลามาอฺคือทายาทของท่านนบี

العلماء ورثة الأنبياء

"บรรดาอุลามาอฺคือทายาทของบรรดานบี"

หากเราที่ไร้ความสามารถในการวินิจฉัยฮุกุ่ม  อ่านอาหรับก็ยังไม่ออก  แล้วเราจะตามใครนอกจากตามทายาทของท่านนบี  เพื่อไปสู่การตามนบี  หากเราจะไปละเลงฮะดิษด้วยตนเอง  ถือว่าอันตรายและได้บาปเพราะไร้คุณสมบัติ  จะให้ใครก็ได้มาวินิจฉัยเรื่องศาสนานั้น  มันไม่ได้หรอก

แล้วเราจะตามมัซฮับทั้ง 4 ผู้เป็นทายาทของท่านนบี  หรือเราจะตามวะฮาบีย์กันครับ

วัลลอฮุอะลัม
วัสลาม
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
บางคนชอบยกบางฮาเดส เอาความหมายแบบตรงๆไม่ต้องตีความ แบบนี้จะเอายังไง
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ J.W.

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 3
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam
ผมเองเป็นคนที่ไม่มีความรู้เรื่องศาสนา  แต่ไม่เข้าใจว่าคนในยุคนี้บางกลุ่มบางพวก อาจหาญ  ไปฮุกุมอุลามาอฺคนในยุคก่อนๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านเหล่านั้นไม่ได้คิดเรื่องศาสนาขึ้นมาเอง  ถ้าเทียบกันแล้วในทุกเรื่อง กลุ่มคนที่ฮุกุม อุลามาฮฺนั้นเอาไปเทียบกันไม่ได้เลย  พื้นฐานที่สุดเชื่อว่าอุลามาฮฺสมัยก่อนนั้นมีคืออัลกุรอาน 30 ยุซ อยู่ในหัวอก แล้วเราหล่ะ  ผมเคยถามเรื่องของคนบางกลุ่มที่ชอบฮุกุม อุลามาฮฺ จากผู้รู้ในปัจจุบัน หลายท่านที่รู้จัก  พื้นฐานของผู้รู้เหล่านี้อัลกุรอาน 30 ยุซ ฮาดิษ พันๆ ฮาดิษ อยู่ในอก รู้ภาษาอย่างน้อย 3 ภาษา  ท่านจะตอบผมว่า ปล่อยเขาเหอะ  แต่มีท่านหนึ่งตอบผมว่า คนที่น่าสมเพสที่สุด คือ คนที่โง่เขลา แต่เขาไม่รู้ว่าเขานั้นโง่เขลา  ซึ่งไม่เหมือนกับคนที่โง่แล้วอวดฉลาด เพราะบุคคลหลังนี้เขารู้ว่าเขาโง่แต่ต้องการปิดบังความโง่
ขอมาอัฟด้วยถ้าผิดพลาด
วาสลาม

ออฟไลน์ yunus

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 166
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อะห์ลิซุนนะห์วัลญะมะอะห์ ===> มัซฮับ ทั้ง 4
มัซฮับ ทั้ง 4 ===> อะห์ลิซุนนะห์วัลญะมะอะห์

ใครไม่เข้าใจไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยใจที่เป็นธรรม
อย่ายึดติดแต่ว่าของข้านี่ถูก  อย่าเอาแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ 
สิ่งไหนไม่ตรงกับความรู้สึกแล้วคิดว่าของคนอื่นผิด
ถ้าไม่มีชนรุ่นก่อน พวกเราจะเอาความรู้มาจากที่ไหน
อุลามาอ์สมัยนี้เค้าไปเอาความรู้มาจากที่ไหน?
อุลามาอ์สมัยก่อนเค้าไปเอาความรู้มาจากที่ไหน?
ผมคนนึงครับที่จะตามแต่หะดิษและอัลกรุอาน แต่ติดตรงที่วินิจฉัยไม่ถูก
และไม่รู้ด้วยว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม  อายะห์ไหนยกเลิกไปแล้วบ้าง
ไม่ใช่มาแปลกันตามตัวอักษร พูดอรับได้ใช่ว่าจะมีความรู้ไปซะทุกเรื่อง


ตัวอย่าง
กรุอานมี 2 ฮูกุ่ม
1.   ฮูกุ่มความหมาย
2.   ฮูกุ่มลาฝัส(คำของกรุอาน)

ในกรุอานนั้นมีการยกเลิกอยู่ 3 อย่างด้วยกัน
1.   ยกเลิกฮูกุ่มลาฝัสและฮูกุ่มความหมาย
2.   ยกเลิกฮูกุ่มลาฝัสอย่างเดียว  แต่ฮูกุ่มความหมายยังมีอยู่
3.   ฮูกุ่มลาฝัสยังมีอยู่แต่ฮูกุ่มความหมายยกเลิกแล้ว

เอาละสิจะไปเอาความรู้มาจากไหนมาวินิจฉัยละคราวนี้  ฉะนั้นตักลีดตามมัซฮับใดมัซฮับนึงดีกว่า เพราะท่านรับรองไว้ให้แล้ว
ขอเอกองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ)ทรงตอบแทนความดีแก่พวกเขาเหล่านั้นด้วย ที่ได้เสียสละ ศึกษาหาความรู้จากมหาสมุทร
ของท่านรอซุลุลลอฮ์ และถ่ายทอดมาให้ชนรุ่นหลัง

อะห์ลิซุนนะห์วัลญะมะอะห์ ===> มัซฮับ ทั้ง 4
มัซฮับ ทั้ง 4 ===> อะห์ลิซุนนะห์วัลญะมะอะห์




ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
จะว่าไป พวกเขาก็ตักลีดเหมือนกันนะ ตามมัสฮับที่บอกออกจากปากของม.ร.ฟ.ฯลฯ แต่ยังบอกว่าไม่ได้สังกัดมัสฮับ ตามกุรอานฮาเดสเท่านั้น พูดเหมือนกับเราไม่ได้ตามอย่างนั้นแหละ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
จะว่าไป พวกเขาก็ตักลีดเหมือนกันนะ ตามมัสฮับที่บอกออกจากปากของม.ร.ฟ.ฯลฯ แต่ยังบอกว่าไม่ได้สังกัดมัสฮับ ตามกุรอานฮาเดสเท่านั้น พูดเหมือนกับเราไม่ได้ตามอย่างนั้นแหละ

คืออย่างนี้น่ะ..มัซฮับคือคำวินิจฉัยต่างๆ ตามอัลกุรอ่านและซุนนะฮ์...เมื่อคนเอาวามอย่างเราวินิจฉัยอัลกุรอานและซุนนะฮ์ไม่ได้...เพราะอ่านอาหรับยังไม่เป็น...ไวยากรณ์(นาฮู)ก็ไม่รู้เรื่อง...เลยวินิจฉัยอัลกุรอานและซุนนะฮ์ไม่ได้...ก็เลยต้องตามคำนิจฉัยของมัซอับอุลามาอฺทีมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์....กลุ่มวะฮาบีที่พูดว่าฉันตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์...ทำเหมือนว่าตนเองเข้าไปวินิจฉัยอัลกุรอานและซุนนะฮ์ด้วยตนเองได้เสียอย่างงั้น...แต่เมื่อไปตรวจสอบธาตุแท้สรุปว่าอ่านอัลกุรอานก็ไม่ค่อยถูก...แปลอาหรับก็ไม่ได้...ฮะดีษก็อ่านไม่ถูกแปลไม่เป็น....แล้วจะไปตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์โดยตรงได้ยังไง...วะฮาบีย์ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้...ต้องพึ่งพาคนอื่นมาบอกเรื่องศาสนาที...

พอเราถามว่าหลักฮุกุ่มนี้ใครบอกมา...วะฮาบีบางคนก็บอกว่า...มุรีดบอกมา...ฟาริดบอกมา..ริฎอบอกมา..หากจะเอาให้เทห์หน่อยก็คือ...เชคบินบาซฺวินิจฉัยมา...เชคอุษมันมีนฟัตวินิจฉัยมา...เชคเฟาซานฟัตวาวินิจฉัยมา...ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็มีถูกมีผิดกันทั้งเพ

แล้วจะแปลกอะไรที่คนเอาวามอย่างเรามัซฮับชาฟิอีย์จะบอกว่า...ฮุกุ่มนี้ฉันตามการวินิจฉัยจากตัวบทของอิมามชาฟิอีย์...ตามการวินิจฉัยจากตัวบทอัลกุรอานซุนนะฮ์จากอิมามนะวาวี...ตามการวินิจฉัยของอิบนุฮะญัรอัลฮัยตะมีย์...ฮุกุ่มนี้ตามการวินิจฉัยตัวบทอัลกุรอานซุนนะฮ์จากชัยคุลอิสลามซะการียาอัลอันซอรี...

ดังนั้นเมื่อเอาอุลามาอฺของวะฮาบีที่พวกเขายึด...แล้วนำมาเทียบกับอุลามาอฺมัซฮับชาฟิอีย์...ถือว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน...เมื่อเป็นเช่นนี้วะฮาบีย์จึงปัดบอกไปว่า...ฉันตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์...(พูดเหมือนกับว่าตนเองวินิจฉัยเองได้ทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไร)  ดังนั้นการแอบอ้างของวะฮาบีเช่นนี้...เพื่อเป็นสโกแกนสวนหรูและหลอกลวงคนเอาวามที่ไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนาสักเท่าไหร่นั่นเอง...วัสลาม...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 22, 2008, 01:35 AM โดย อับดุลกอวี »

ออฟไลน์ al-toorab

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 172
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam

 loveit:



الله اكبر الله اكبر الله اكبر لا اله الا الله
الله اكبر الله اكبر ولله الحمد
يقول -صلى الله عليه وسلم-: هلك المتنطعون، هلك المتنطعون، هلك المتنطعون

"บรรดาผู้มุตะนัตติอูน(ผู้ที่คิดลึกเกินเลยขอบเขต)ได้มีความวิบัติแล้ว"

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏لَيْسَ الْمُؤْمِنُ ‏ ‏بِالطَّعَّانِ ‏ ‏وَلَا اللَّعَّانِ وَلَا ‏ ‏الْفَاحِشِ ‏ ‏وَلَا الْبَذِيءِ

"ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า  ไม่ใช่เป็นผู้ศรัทธา  ผู้ที่ชอบตำหนิ(ผู้คนทั้งหลาย) ผู้ที่ชอบสาปแช่ง ผู้ที่ด่าทออย่างน่ารังเกียจ  และผู้ที่พูดหยาบคาย" รายงานโดยท่านติรมีซีย์ 1900 ท่านอัตติรมีซีย์กล่าวว่า  ฮะดิษฮะซัน

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
มันก็พูดลำบากนะครับ กับคนที่มีตาข้างเดียว ทำให้เวลามองอะไรก็มองข้างเดียว หรือบางคนก็มีตาสองข้าง แต่ก็ดันชอบปิดตาอีกข้าง - อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ

           เท่าที่ผมศึกษามานั้น หากเราจะเอามาตรฐานหะดีษ "ศ็ฮีหฺ" ของอิมามบุคอรีย์และมุสลิมมาวัดความ "ศ็ฮีห" ในการวินิจฉัยของบรรดาอิมามทั้งสี่นั้น ท่านทั้งสองก็จะต้องเกิดก่อนอิมามทั้งสี่ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้เป็นที่รู้กันว่า การวินิจฉัยจากหะดีษใดๆ เพื่อกำหนดเป็นผลชี้ขาดทางศาสนา สมควรที่จะสอดคล้องกับความศ็ฮีหฺของท่านอิมามทั้งสอง ทีนี้มาดูปีที่แต่ละอิมามจากทั้งสี่ได้เสียชีวิตกัน

                                                เกิด/ฮ.ศ.                   เสียชีวิต/ฮ.ศ.
           อิมามอบูหะนีฟะฮ์                 80                               150
               อิมามมาลิก                        93                               179
               อิมามอัชชาฟิอีย์              150                               204
           อิมามอะหฺมัด                        164                               241

           อิมามบุคอรีย์                      194                               256
           อิมามมุสลิม                        204                               261

              หากเทียบปีแล้ว อิมามบุคอรีย์จะไม่ทันกับสองอิมามแรกแม้แต่เพียงเดียวคือ อิมามอบูหะนีฟะฮ์และอิมามมาลิก แต่จะทันกับอิมามชาฟิอีย์ 10 ปี และถือว่าร่วมสมัยกับอิมามอะหฺมัดเป็นระยะเวลาถึง 47 ปี
           ส่วนอิมามมุสลิมนั้นไม่ทันกับสามอิมามแรกคือ อิมามอบูหะนีฟะฮ์, อิมามมาลิก และอิมามอัชชาฟิอีย์ แต่จะทันและถือว่าร่วมสมัยกับอิมามอะหฺมัดเป็นระยะเวลาถึง 37 ปีและอิมามบุคอรีย์กับอิมามมุสลิมทันสมัยกัน 52 ปี

           เราจะเห็นได้ว่า อิมามบุคอรีย์และมุสลิมนั้น ถือว่า หากพิจารณากันในเรื่องของอายุที่ถือได้ว่าเป็นนักวิชาการอย่างเต็มตัว หรือเป็นที่ยอมรับนั้นถือว่า ทั้งสองท่านทันกับอิมามอะหฺมัดเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ทัศนะหนึ่งของอิมามอะหฺมัด ในการนำหลักฐานมาประกอบการวินิจฉัยประเด็นปัญหาหนึ่งๆ นั้น ตามทัศนะของท่าน ท่านจะเอาหะดีษฎ็อีฟไว้ก่อนการกิยาส เพราะท่านให้เหตุผลว่า การกิยาสนั้นมีการใช้สติปัญญาเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นหะดีษย่อมดีกว่าการใช้สติปัญญา แม้มันจะฎ็อีฟก็ตาม แต่ก็ถือว่ายังเป็นหะดีษของท่านนบี ศ็อลฯ อยู่ และท่านก็เองก็เป็นทั้งนักนิติศาสตร์อิสลามและนักการหะดีษควบในตัวด้วย แต่เรากลับทราบมาว่า อิมามบุคอรีย์และมุสลิมนั้น ท่านทั้งสองจะเป็นที่รู้จักในนามมุหัดดิษ (นักการหะดีษ) เราไม่เคยทราบว่า ท่านถูกรู้จักในนามของนักนิติศาสตร์อิสลาม
           และเป็นที่รู้กันในวงการนิติศาสตร์อิสลามว่า ผู้ที่จะทำการวินิจฉัยประเด็นปัญหาหนึ่งๆ ทางศาสนาได้นั้น เขาจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยตัวบทเพื่อใช้ในการหาข้อสรุปของปัญหา เพื่อให้ได้มาซึ่งผลชี้ขาดต่อประเด็นนั้นๆ ไป แม้ว่าเขาจะท่องจำหะดีษศ็ฮีหฺเป็นแสนะหดีษ หากเขาไม่มีคุณสมบัติ หรือความเชี่ยวชาญในการวินิจฉัย แน่นอน การวินิจฉัยนั้นย่อมเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา
            ฉะนั้น นักการหะดีษ จึงเป็นแต่เพียงผู้รายงาน วิเคราะห์ถึงสถานภาพของหะดีษและตัวผู้รายงานแต่ละบท แต่ละคนที่ตนได้รับมาเท่านั้น แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการวินิจฉัยประเด็นหนึ่งๆ ทางศาสนาได้ นอกเสียจากว่า เขาจะรู้ถึงกฎเกณฑ์เหล่านั้นอย่างดี
            หากเราศึกษาแหล่งข้อมูลของบรรดาอิมามทั้งสี่ โดยเฉพาะที่ได้จากหะดีษนั้น อิมามแต่ละท่านก็จะมีมาตรฐาน หรือเกณฑ์ในการรับหะดีษที่แตกต่างกันไป ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่หะดีษบทเดียวกัน สำหรับอิมามท่านหนึ่งคือเป็นศ็ฮีหฺ สำหรับอีกท่านหนึ่งคือหะดีษฎ็อีฟ และผลของการวินิจฉัยก็ต้องออกมาแตกแยกเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งแต่ละท่าน ต่างก็ยึดแหล่งที่มาทางกฎหมายอิสลามเหมือนๆ กัน คืออัลกุรฺอาน สุนนะฮ์ อิจฺญ์มาอฺ และกิยาส เป็นหลัก และอื่นๆ ตามแต่ทัศนะของแต่ละท่านที่ถือว่าเป็นแหล่งที่มาทางกฎหมายด้วย
            ยิ่งเมื่อศึกษาหลักนิติศาสตร์อิสลามลึกเข้าไปอีก เราจะพบว่า บางหะดีษแม้เป็นทราบกันดีว่า ศ็ฮีหฺ แต่บางครั้งก้จะถูกละไว้ก่อน ทั้งนี้ โดยพิจารณาถึงเจตนารมณ์โดยรวมของบทบัญญัติ ซึ่งบางครั้งการใช้หะดีษดังกล่าว ฯ เวลานั้น อาจจะสร้างความลำบากให้เกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น
            ในสมัยของท่านเคาะลีฟะฮ์อุมัรฺ บิน ค็อฏฏ๊อบ นั้น ท่านได้ละการตัดมือของชายขโมยคนหนึ่ง ซึ่งหากตามหลักฐานที่ศ็ฮีหฺนั้น ระบุว่าผู้ขโมยไม่ว่าชายหรือหญิง จะต้องถูกลงโทษด้วยการตัดมือ แต่สาเหตุที่ท่านละไว้ โดยไม่ได้ทำการลงโทษ เพราะท่านดูจากสภาพการณ์ ณ ตอนนั้น ท่านเห็นว่ามันสมเหตุสมผลแล้วที่ชายคนนั้นต้องขโมย เพราะชายคนนั้น หากเขาไม่ขโมย เขาอาจจะไม่มีชีวิตรอดอีกต่อไปก็ได้ และเขาก็มิได้มีเจตนาจะเป็นขโมย แต่ด้วยสภาพการณ์ทำให้จำเป็นต้องขโมย เนื่องจากความอดอยากข้นแค้น ดังนั้น ท่านจึงละไว้ ไม่ได้ทำการตัดมือชายขโมยผู้นั้นแต่อย่างใด จากกรณีนี้ เราจะกล่าวไม่ได้ว่า ท่านอุมัรฺละเว้นการปฏิบัติตามนัศฺ ทั้งๆ ที่มันมีอยู่อย่างชัดเจนแล้ว ท่านเป็นการฝ่าฝืนโดยการละปฏิบัติ ย่อมไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะความเข้าใจเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของอิสลามนั้น ท่านอุมัรฺย่อมเหนือกว่าเราหลายเท่านัก แล้วทำไมท่านยังคงละการปฏิบัตินั้นหละ ก็เพราะเป้าหมายของอิสลาม นั้นคือการรักษาสิทธิ ชีวิต วงศ์ตระกูล และศาสนาของบุคคลหนึ่งๆ ไว้ แต่หากเป็นการขโมย การซินาโดยที่แต่งงานแล้วที่เกิดจากตัณหานั้น ก็ย่อมไม่มีการละเว้น และอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน หวังว่าพี่น้องคงจะจับประเด็นที่ผมต้องการสื่อได้นะครับ
              ดังนั้น การที่จะนำความ "ศ็ฮีหฺ" ทางหะดีษของอิมามทั้งสอง มาวัดเป็นมาตรฐานต่อประเด็นการวินิจฉัยหนึ่งๆ ของบรรดาอิมามทั้งสี่ ย่อมไม่ได้เสมอไป และดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่เข้ากันและขัดแย้งในตัวกันพอสมควร เนื่องจากมาตรฐานสำหรับเรื่องหนึ่งๆ นั้น ตัวมาตรฐานเอง สมควรที่จะเกิดขึ้นก่อนกรณี หรือประเด็นหนึ่งๆ เพื่อจะได้ทำการเปรียบเทียบ และคัดออกซึ่งสิ่งที่ไม่ใช่มาตรฐาน แต่เรากลับพบว่า บางกลุ่มกลับเอาสิ่งที่เกิดขึ้นทีหลัง มาเป็นมาตรฐานวัดสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น มันย่อมขัดแย้งกันในตัว
              ทั้งหมดนี้ ผมอธิบายตามความเข้าใจ และความเห็นส่วนตัวของผม ย่อมมีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน ผมขอถือโอกาสในการตรวจสอบความเข้าใจของตัวเองด้วย ดังนั้น เชิญพี่น้องท้วงติงได้หากพบข้อผิดพลาด - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุ อลัยกุม

            
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ yunus

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 166
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อืม ชัดเจนดีครับ
เพราะอิมามทั้ง 4 ท่านนั้นท่านวินิจฉัยจากความรู้ของท่านซึ่งมีหลักฐานทั้งสิ้น
ไม่ได้วินิจฉัยตามอารมณ์ ซึ่งบางครั้งเข้าใจในอัลกรุอานและหะดิษไม่เหมือนกัน
ตัวอย่าง
    หมูกับหมานั้นเป็นน่ายิสหนักแต่ไม่มีหลักฐานว่าสัตว์ทั้งสองนี้ในขณะมันยังมีชีวิตอยู่จะน่ายิสหรือไม่ทั้งจากอัลกรุอานและฮาดิษ   ดังนั้นมัซฮับฮันนาฟีจึงเลี้ยงหมาในบ้านได้  ส่วนของมัซฮับชาฟีอีนั้นเป็นน่ายิสทั้งที่มันมีชีวิต และที่มันตายไปแล้วก็เป็นน่ายิสเหมือนกัน         ฮาดิษท่านนาบีบอกว่า “ เมื่อหนึ่งเมื่อใดหมาได้เลียที่ภาชนะของท่าน   จงล้างภาชนะนั้น 7 ครั้ง            ใน 7 ครั้งนี้มีน้ำดินเหนียว  1  ครั้ง”     ดังนั้นถามว่าจะเป็นน่ายิสหรือไม่       ถ้าเป็นน่ายิสต้องไม่ใช้น้ำดินเหนียวล้าง       เพราะน้ำดินเหนียวไม่ใช่เครื่องล้างน่ายิส  ล้างกับน้ำก็พอแล้ว    มัซฮับชาฟีอีว่าเป็นน่ายิสเพราะใช้ให้ล้าง   แต่บางอุลามาอ์ว่าไม่เป็นน่ายิส   ถ้าเป็นน่ายิสไม่ต้องใช่ให้ล้างด้วยดินเหนียว  แต่ดินเหนียวที่ใช้นี้ก็เพื่อใช้ฆ่าเชื้อโรคในน้ำลายของหมา     เพราะความร้อนไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคในน้ำลายหมาได้      ดังนั้นมัซฮับมาลิกีจึงถูกหมาได้ไม่ต้องล้าง   ละหมาดได้ 
      สาเหตุที่ฮูกุ่มต้องให้ล้างนั้นมี  2  อย่าง 1. เพราะเป็นน่ายิส
                                                            2. เพราะให้เกียรติ  เช่น  อาบน้ำคนตาย
     
                  อิมามชาฟีอีกล่าวว่า  ดังนั้น  ท่านนาบีใช้ให้ล้างนั้นน้ำลายหมาไม่ใช่ของที่มีเกียรติก็ต้องเป็นน่ายิส        แต่อิมามมาลิกีกล่าวว่า  ที่ใช้ให้ล้างนั้นเพราะต้องการฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำลายของหมา
                   อิมามมาลิกีกล่าวว่าหมานั้นเลี้ยงได้ถูกได้ ไม่ว่าจะเปียกหรือไม่ก็ตาม  แต่อิมามชาฟีอีว่าถ้าถูกตอนเปียกเป็นน่ายิสถ้าถูกตอนแห้งไม่เป็นอะไร

เหล่านี้แหละ คือ ความรู้อันทรงคุณค่าของบรรดาปราชญ์ทั้งหลายของเรา ที่ทำให้เราสะดวกในการที่จะปฏิบัติตาม
พวกเรายังจะไม่เอาอีกเหรอ ถ้ายังดื้อดึงอยู่อีก ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว 

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
อีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้คำพูดที่ว่า "ความขัดแย้งทางการวินิจฉัยนั้น ถือเป็นร็อหฺมะฮ์ (ความโปรดปราน)" นั้น

              เราลองมาพิจารณาด้วยกันว่า หากมาตรฐานทางนิติศาสตร์ หรือกฎหมายอิสลามมีเพียงหนึ่งเดียวแล้ว อันเกิดจากการนำอัลกุรฺอาน หรือศ็ฮีหฺศ็ฮีหฺมาเป็นบรรทัดฐาน ให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งหมด กล่าวคือการปฏิบัติทางฟิกฮฺ ที่ต้องกระทำเหมือนกันทั้งหมดทั้งโลก แน่นอน เราจะพบปัญหาต่างๆ มากมาย กล่าวคือ ในขณะที่อิมามท่านหนึ่งวินิจฉัยว่า การทำวุฎูอ์ในส่วนของศีรษะนั้นจะถือว่าใช้ได้ก็ต่อเมื่อต้องเช็ดทั้งศีรษะ ในขณะเดียวกันอิมามอีกท่านหนึ่งวินิจฉัยว่า เป็นอันใช้ได้แล้วเพียงแค่เช็ดสามเส้นจากเส้นผมของศีรษะทั้งหมด ทั้งหลายแหล่นั้น ก็มาจากความเข้าใจจากอายะฮ์กุรฺอานอายะฮ์เดียวกันทั้งนั้น ซึ่งมีใจความว่า "...สูเจ้าจงเช็ดศีรษะของสูเจ้าเถิด..."

                    ปัญหาที่กล่าวถึงข้างต้นก็คือ สมมติว่า อุละมาอฺทั่วทั่งโลกมีมติว่า ต้องเช็ดศีรษทั้งหมด จึงจะถือว่าใช้ได้เท่านั้น แน่นอนอิสลามเป็นศาสนาที่เหมาะกับทุกสภาพการณ์ เวลาและสถานที่ แต่การลงมติเช่นนั้น อาจจะทำให้มุสลิมที่แถบเมืองหนาว หรืออยู่ฤดูกาลที่หนาวจัดมีหิมะ ในเมื่อเขาไม่มีทางเลือกอื่นในการทำวุฎูอ์ตรงส่วนศีรษะ นอกเสียจากจะต้องล้างทั้งหมด การกระทำเช่นนั้น อาจจะทำให้เขาเกิดความลำบากได้ กล่าวคือ อาจจะทำให้ไม่สบาย และเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา แต่อิสลามเป็นศาสนาที่ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว การปฏิบัติตามอิสลามย่อมต้องเกิดประโยชน์ ไม่ใช่โทษ และเราจะเห็นได้ว่า ตัวบทหลักฐานที่ศ็ฮีหฺส่วนใหญ่ที่เราพบนั้น มักจะอยู่ในลักษณะของความหมายแบบกว้างๆ หรือไม่ก็ต้องอาศัยการตีความเสริมเข้าไปอีก ซึ่งแน่นอน มันการตีความตัวบทก็ย่อมต้องอาศัยสติปัญญา และก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า การคิดของมนุษย์จะเหมือนกันหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้มันเหมือนกัน

                ดังนั้น บนความแตกต่างทางความคิด ที่ทำให้เกิดแนวความคิดเป็นสำนักต่างๆ หลากหลายสำนักนั้น ถือว่าเป็นความโปรดปรานจากพระองค์อัลลอฮฺ สุบฺห์ฯ อย่างแท้จริง เพราะถ้าหากบุคคลหนึ่งๆ ไม่สามารถปฏิบัติตามบางบัญญัติได้ หากมีอีกข้อชี้ขาดหนึ่งที่วินิจฉัยว่า สามารถทำอย่างนี้ได้ อย่างน้อยก็จะเป็นข้อผ่อนปรนให้แก่บุคคลๆ นั้นได้ และสิ่งที่เราต้องระลึกไว้เสมอว่า หะดีษที่ศ็ฮีหฺนั้น มิได้มีแต่เพียงในศ็ฮีหฺบุคอรีย์ มุสลิม และอีก 4 เล่มหนังสือหะดีษที่มีชื่อเสียง หากแต่ผู้ที่เรียนและเข้าใจถึงนิติศาสตร์อิสลามอย่างลึกซึ้งนั้น เขาจะพบว่า บางหะดีษที่บรรดาอิมามมัฑฮับรายงาน อาจจะศ็ฮีหฺกว่าที่ปรากฏในศ็ฮีหฺบุคคลและมุสลิมเสียอีก ตามทัศนะของแต่ละอิมามไป ดังนั้น อิสลามคือ ศาสนาและกฎหมายที่ยืดหยุ่นได้บนความพอดีและมีระบบระเบียบของมัน หากแต่ผู้ที่ศึกษาและเปิดใจกว้างเท่านั้น ที่จะได้ดื่มด่ำในความน่าทึ่งของวิทยาการอิสลาม - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลาม (ฝากท้วงด้วยหากผิดพลาด)
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

 

GoogleTagged