ผู้เขียน หัวข้อ: วิภาษบทความของ อ.ปราโมทย์ เรื่องการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  (อ่าน 12169 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com


بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ آلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ ،،، وَبعْدُ ؛

ผมได้รับบทความของ อ.ปราโมทย์ ที่ได้ทำการวิภาษ ท่าน อ.กอเซ็ม โมฮัมมัดอะลี อย่างเผ็ดร้อนและเกินเลยมารยาทเชิงวิชาการ  โดยผ่านการแนะนำจากพี่น้องวะฮาบีย์  ซึ่งผลสืบเนื่องจากการนิยมชมชอบบทความของ อ.ปราโมทย์ จากสานุศิษย์บางส่วนของอาจารย์เอง  ก็ทำให้เกิดการด่าทอพูดจาหยาบคายและท้าทาย ท่าน อ.กอเซ็ม  จนพวกเขาลืมหรือแกล้งเป็นลืม  ซุนนะฮ์ของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม 

รายงานจากท่านอับดุลลอฮ์  อิบนุมัสอูด  ความว่า

‏قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏لَيْسَ الْمُؤْمِنُ ‏ ‏بِالطَّعَّانِ ‏ ‏وَلَا اللَّعَّانِ وَلَا ‏ ‏الْفَاحِشِ ‏ ‏وَلَا الْبَذِيءِ

"ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า  ไม่ใช่เป็นผู้ศรัทธา  ผู้ที่ชอบตำหนิ(ผู้คนทั้งหลาย) ผู้ที่ชอบสาปแช่ง ผู้ที่ด่าทออย่างน่ารังเกียจ  และผู้ที่พูดหยาบคาย" รายงานโดยท่านติรมีซีย์ 1900 ท่านอัตติรมีซีย์กล่าวว่า  ฮะดิษฮะซัน

อนึ่ง  การอ่านอัลกุรอานที่กุบุรนั้นเป็นทัศนะของปราชญ์ส่วนมาก  เหตุใดพี่น้องวะฮาบีบางส่วนถึงต้องฮุกุ่มบิดอะฮ์อุตริกรรมในศาสนา  และต้องด่าทอผู้ที่มีทัศนะอ่านอัลกุรอ่านที่กุบูรได้  ด่าทอประณามผู้ที่อ้างอิงฮะดีษฎออีฟทั้งที่ปราชญ์สะละฟุสศอลิห์แห่งอุมมะฮ์อิสลามส่วนมากหรือมีมติ(อิจญฺมาอฺ)ผ่อนปรนการรายงานและปฏิบัติฮะดีษฎออีฟได้  ดังนั้นจุดยืนเหล่าปวงปราชญ์แห่งอุมมะฮ์อิสลามดังกล่าว  มิใช่เป็นการอุตริกรรมขึ้นมาในศาสนา  เพราะพวกเขาคือทายาทของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ดังที่ซุนนะฮ์ของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวยืนยันไว้ว่า

اَلْعُلَماَءُ وَرَثَةُ الأَنْبِيَاءِ

"บรรดาอุลามาอฺนั้นเป็นทายาทของบรรดานบี" ฮะดีษซอฮิห์
     
ดังนั้น  ถ้าหากเรามีจุดยืนตามแบบฉบับของสะละฟุศศอลิห์อย่างแท้จริง  ก็ไม่ควรด่าทอหรือวิจารณ์ผู้ที่ต่างทัศนะของตนในเรื่องคิลาฟิยะฮ์เชิงฟิกห์เช่นนี้
 
ท่านอบู นุอัยม์ รายงานถึง ท่านอิมาม ซุฟยาน อัษเษารีย์ ท่านกล่าวว่า

إَذَا رَأَيْتَ الرَّجُلَ يَعْمَلُ الْعَمَلَ الَّذِىْ أُخْتُلِفَ فِيْهِ وَأَنْتَ تَرىَ غَيْرَهُ فَلاَ تَنْهِهُ

"เมื่อท่านเห็นบุรุษท่านหนึ่งได้ปฏิบัติอะมัลหนึ่งที่นักปราชญ์ฟิกห์มีความเห็นแตกต่างกัน และท่านก็มีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น ท่านจงอย่าไปห้ามเขา " หนังสือฮิลยะตุล เอาลิยาอฺ 6/367

คำพูดของท่านซุฟยาน อัษเษารรีย์นั้น สอดคล้องกับหลักของนิติศาสตร์อิสลาม  ซึ่งท่านอิบนุตัยมียะฮ์เองก็กล่าวยอมรับไว้เช่นกันว่า

إَنَّ الُعَلَمَاءَ إِنَّمَا يُنْكِرُوْنَ مَا أُجْمِعَ عَلىَ إِنْكَارِهِ ، أَمَّا الْمُخْتَلَفُ فَيِهْ فَلاَ إِنْكَارَ فِيْهِ

"แท้จริงบรรดานักปราชญ์นั้น จะตำหนิในเรื่องที่มีมติให้ทำการตำหนิ แต่สำหรับสิ่งที่ขัดแย้งกันนั้น ย่อมไม่มีการตำหนิแต่ประการใด " ดู มัจญะมั๊วะฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ 20/225

ดังนั้น  เมื่อผมได้อ่านบทความของ อ.ปราโมทย์  ท่านบอกว่าติดใจและต้องการวิเคราะห์ตรง "ข้อมูล" และ "หลักฐาน"  แต่ในขณะเดียวกัน อ.ปราโมทย์พยายามสอดแทรกฮุกุ่มเข้าไปด้วย  โดยพยายามบอกว่าการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรเป็นบิดอะฮ์และฮะรอม  ซึ่งไม่มีนักปราชญ์แห่งโลกอิสลามสะลัฟและค่อลัฟที่ทรงคุณธรรมและน่าเชื่อถือในอดีตให้การยอมรับและตัดสินเช่นนั้นเลย  ยิ่งกว่านั้น อ.ปราโมทย์พยายาม تَكَلُّفٌ  (ฝืน) ในการนำฮะดีษมาตีความเพื่อยืนยันทัศนะของตนเอง  ซึ่งไม่มีหลักฐานใดเลยมาระบุเจาะจง (ค็อซ) หรือจำกัด (มุก็อยยัด) ว่าการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรเป็นสิ่งที่ฮะรอมเลยแม้แต่น้อย

ต่อจากนี้  ผมจะทำการวิภาษบทความของ อ.ปราโมทย์ โดยพยายามให้อยู่ในกรอบของวิชาการอิสลามและสร้างความเข้าใจต่อพี่น้องวะฮาบีว่า  การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั้นเขาก็มีหลักฐานและยังเป็นความเข้าใจของปราชญ์ส่วนมากที่ให้การยอมรับเช่นกัน

วะบิลลาฮิตเตาฟีกวัลฮิดายะฮ์

บ่าวของอัลเลาะฮ์ผู้ต่ำต้อย อัลอัซฮะรีย์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 31, 2009, 12:01 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
วิภาษบทความของ อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย


1. อ.ปราโมทย์  กล่าวว่า  กุบูรไม่ใช่สถานที่ทำอิบาดะฮ์  ด้วยอ้างคำกล่าวของท่านอัลฮาฟิซ อิบนุ ฮะญัร อัลอัสกอลานีย์ที่อธิบายหะดีษที่ว่า " และพวกท่านจงอย่าทำมัน (บ้าน) ให้เป็นกุบูรฺ” .. ว่า  แท้จริงกุบูรฺนั้น มิใช่เป็นสถานที่สำหรับทำอิบาดะฮ์!  ดังนั้น การนมาซในกุบูร จึงเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ..." 

และ อ.ปราโมทย์กล่าวอธิบายด้วยตนเองว่า อิบาดะฮ์นี้หมายถึงอิบาดะฮ์ที่ปฏิบัติด้วยร่างกายโดยเฉพาะและมีความหมายกว้างมิใช่จำกัดเรื่องนมาชอย่างเดียว  แต่รวมถึงการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรด้วย  โดยพยายามนำเรื่องการมักโระฮ์ละหมาดไปกิยาส(เทียบเคียง)กับการมักโระฮ์อ่านอัลกุรอานที่กุบูร

และยังสรุปเอาเองว่า  มักโระฮ์ที่ว่านี้  คือมักโระฮ์แบบฮะรอมตามที่ทราบกันดีจากนักปราชญ์ยุคแรก  เพื่อ อ.ปราโมทย์  ต้องการจะเผยทัศนะของตนเองว่า  การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั้น ฮะรอม  ด้วยหลักกิยาสกับการละหมาดที่กุบูร

วิภาษ

1.1 อ. ปราโมทย์  ถ่ายทอดคำกล่าวของท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร  ที่ว่า "มักโระฮ์ละหมาดที่กุบูร" แล้วคิดว่าท่านอิบนุฮะญัรหมายถึงมักโระฮ์ตามทัศนะของปราชญ์ยุคก่อน โดยกล่าวว่านักปราชญ์ยุคแรกถือว่ามักโระฮ์นั้นหมายถึงมักโระฮ์แบบตะห์รีม  ซึ่งมิใช่เป้าหมายของท่านอิบนุหะญัร  แต่ถ้าหากมักโระฮ์ตามทัศนะของปราชญ์ยุคก่อนนั้น  ก็ต้องพิจารณาก่อนเพราะคำว่า ( أَكْرَهُ كَذاَ ) "ฉันรังเกียจเช่นนั้นเช่นนี้" ของสะลัฟบางส่วนนั้นดังเช่น อิมามอัชชาฟีอ์  ย่อมชี้ถึงฮะรอมเเป็นส่วนมาก ( غَالِباً ) มิใช่ทั้งหมด และการพูดแบบมุฏลัก ( مُطُلَقٌ ) แบบเฉย ๆ โดยไม่มีข้อแม้หรือข้อจำกัดความใด ๆ นั้นก็ชี้ถึงฮะรอมเป็นส่วนมาก  แต่มิใช่ทั้งหมด  ดังนั้นถ้าหากปราชญ์ยุคก่อนพูดว่า "ฉันรังเกียจเช่นนั้นเช่นนี้" โดยมีความหมายหนึ่งเป็นปัจจัยแวดล้อมที่มาผินจากฮะรอมนั้น ก็ถือว่าเป็นมักโระฮ์ธรรมดามิใช่ฮะรอมนั่นเอง
 
1.2 ถ้อยคำบ่งชี้ของตัวบทหะดีษนั้น  มิได้ห้ามการละหมาดที่กุบูร  ยิ่งกว่านั้น  ยังมิได้ห้ามการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรด้วยเช่นกัน  ส่วนนวนที่ว่า  "แท้จริงกุบูรนั้นไม่ใช่สถานที่สำหรับอิบาดะฮ์"  ในแง่มุมหนึ่งนั้นย่อมหมายถึง  สภาพความเป็นจริงตามปกติวิสัยทั่วไปนั้น  กุบูรไม่ใช่สถานที่สำหรับอิบาดะฮ์เพราะไม่ใช่สถานที่อยู่อาศัยของคนเป็น  ดังนั้นเมื่อจะทำละหมาดก็อย่า التَّحَرِّي แสวงหาตั้งใจมุ่งไปทำละหมาดที่กุบูรเป็นการเฉพาะ  เนื่องจากมีสถานที่อื่น ๆ อีกมากมายให้ทำการละหมาด เช่น มัสยิดและที่บ้าน  เป็นต้น  ดังนั้นเมื่อมีกิจจำเป็นหรือมีความประสงค์อื่นที่มีประโยชน์  เช่น  ละหมาดญะนาซะฮ์ที่กุบูร  ขอดุอา  และอ่านอัลกุรอานแก่มัยยิด  ถือว่าไม่เป็นการ التَّحَرِّي แสวงหาตั้งใจมุ่งกระทำสิ่งดังกล่าวเป็นการเฉพาะ  แต่กระทำเพื่อผลประโยชน์แก่มัยยิดนั่นเอง

ท่านอะบูอัฏฏ็อยยิบ อาบาดีย์  ได้กล่าวอธิบายฮะดีษของอะบูดาวูดว่า

قَالَ الْإِمَام اِبْن تَيْمِيَة رَحِمَهُ اللَّه مَعْنَى الْحَدِيث لَا تُعَطِّلُوا الْبُيُوت مِنْ الصَّلَاة فِيهَا وَالدُّعَاء وَالْقِرَاءَة فَتَكُون بِمَنْزِلَةِ الْقُبُور , فَأَمَرَ بِتَحَرِّي الْعِبَادَة بِالْبُيُوتِ وَنَهَى عَنْ تَحَرِّيهَا عِنْد الْقُبُور

"ท่านอิมามอิบนุตัยมียะฮ์  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  ได้กล่าวว่า  ถึงความหมายฮะดีษนี้ว่า  พวกท่านอย่าทำให้บ้านว่างเว้นจากการละหมาด  ดุอา  และอ่านอัลกุรอาน  ดังนั้นแล้วบ้านจะอยู่ในฐานะของกุบูร  ดังนั้นท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ใช้ให้เรามุ่งแสวงหาทำอิบาดะฮ์ที่บ้านและห้ามจากการมุ่งแสวงหาทำอิบาดะฮ์ที่กุบูร" หนังสือเอานุลมะอฺบูต 4/144

คำอธิบายของท่านอิบนุตัยมียะฮ์  ได้ระบุว่าการ التَّحَرِّي มุ่งเน้นหรือตั้งใจเลือกกุบูรเป็นสถานที่ทำอิบาดะฮ์โดยละทิ้งบ้านของตนเองให้ว่างเว้นจากการทำอิบาดะฮ์นั้นเป็นสิ่งที่ซุนนะฮ์ไม่ส่งเสริม  หมายถึงไม่มีเป้าหมายอื่นที่เข้าไปทำอิบาดะฮ์ เช่นดุอาในกุบูร  ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้ามแบบมักโระฮ์ตามทัศนะของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ (หนังสืออิกติฏอฮิ อัศศิรอฏิลมุสตะกีม 2/721) และที่ผมนำทัศนะของท่านอิบนุตัยมียะฮ์มาอธิบายนี้ เพราะถือว่าทัศนะของท่านอิบนุตัยมียะฮ์เกี่ยวกับอิบาดะฮ์ที่กุบูรนั้นแคบที่สุดแล้ว แต่ก็ยังแยกแยะในบางรูปแบบ ที่มีการแบ่งแยกในรูปแบบของตั้งใจไปที่กุบูรหรือไม่ตั้งใจโดยตรง  ส่วนน้ำหนักในทัศนะการอ่านอัลกุรที่กุบูรของท่านอิบนุตัยมียะฮ์จะมีมากน้อยแค่ใหนอย่างไรนั้น  ก็ต้องเปรียบเทียบกับหลักฐานและทัศนะของปราชญ์ผู้มีคุณธรรมท่านอื่น ๆ ดังที่กระผมจะนำเสนอไป อินชาอัลเลาะฮ์

1.3 อ.ปราโมทย์  สรุปว่า  การละหมาดที่กุบุรนั้นเป็นมักโระฮ์แบบฮะรอม  เพื่อบอกเป็นนัยว่าการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรฮะรอมโดยนำไปกิยาสกับการละหมาด  ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่มีน้ำหนัก

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงใคร่ขอนำเสนอฮุกุ่มการละหมาดที่กุบูรแบบสรุป  เพื่อมิให้มีความเข้าใจผิดและนำการอ่านอัลกุรอานทีกุบูรมากิยาสเทียบเคียงกับเรื่องการละหมาดที่กุบูรดังนี้ครับ

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

وَجُعِلَتْ لِي الْأَرْضُ مَسْجِدًا وَطَهُورًا

"และแผ่นดินถูกทำให้แก่ฉันเป็นมัสยิด(ที่สุยูด)และ(แผ่นดินถูกทำให้)เป็นสิ่งที่สะอาด" รายงานโดยบุคอรี (419)

ฮะดีษนี้เป็นคุณความดีงามที่ถูกมอบแด่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และประชากรของท่าน ดังนั้นไม่ว่าแผ่นดินใดก็ตาม  ก็ย่อมมีความสะอาดสำหรับการทำละหมาดตามที่ฮะดีษซอฮิห์ได้ระบุไว้  และความดีงามที่ถูกมอบให้แก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นี้  ก็จะไม่ถูกยกเลิกหรือมีกรณียกเว้น

แต่ทว่ามีรายงานจากท่านอะบูสะอีด อัลคุฎรีย์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ความว่า

‏قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏الْأَرْضُ كُلُّهَا مَسْجِدٌ إِلَّا الْمَقْبَرَةَ وَالْحَمَّامَ

"ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า แผ่นดินทั้งหมดนั้นเป็นมัสยิด(สามารถละหมาดได้)นอกจากกุบูรและห้องน้ำ" รายงานโดยอัตติรมีซีย์ (291)

ฮะดีษแรกได้ระบุว่าแผ่นดินทั้งหมดนั้นสะอาดสามารถที่ทำการละหมาดได้  แต่ฮะดีษที่สองนั้นได้ยกเว้นสถานที่กุบูรและห้องน้ำ  ซึ่งเหตุผลที่ห้ามละหมาดในสถานที่ดังกล่าวนั้น  เนื่องจากเป็นสถานที่ที่เสี่ยงต่อการมีนะยิส  ดังนั้นฮุกุ่มการไม่ให้ละหมาดในสถานที่ดังกล่าวก็เพราะว่าดินที่กุบูรและที่ห้องน้ำเสี่ยงต่อนะยิสนั่นเอง

ท่านอิมามอัชชาฟิอีย์กล่าวว่า

وَمَعْقُوْلٌ أَنَّهُ كَمَا جَاءَ فِي الْحَدِيْثِ وَلَوْ لَمْ يُبَيِّنْهُ ، لِأَنَّهُ لَيْسَ لِأَحَدٍ أَنْ يُصَلِّيَ عَلَي أَرْضٍ نَجَسَةٍ ، لِأَنَّ الْمَقْبَرَةَ مُخْتَلِطَةُ التُّرَابِ بِلُحُوْمِ المَوْتَي وَصَدِيْدِهِمْ

"ถูกคิดเหตุผลขึ้นมาได้ว่า แท้จริงมันก็เหมือนกับสิ่งที่มีมาในฮะดีษ  ถึงหากแม้ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจะไม่อธิบายมันไว้ก็ตาม  เพราะแท้จริงไม่อนุญาตให้คนหนึ่งทำการละหมาดบนผืนดินที่เป็นนะยิส , เพราะว่ากุบูรนั้นดินได้เจือปนไปด้วยเนื้อของคนตายและน้ำหนองของพวกเขา" อัลอุมมฺ 2/206 ตีพิมพ์ดารุลวะฟาอฺ

ท่านอัลบุคอรีย์  ได้กล่าวรายงานว่า

وَرَأَي عُمَرُ أَنَسَ بْنَ مَالِكٍ يُصَلِّيْ عِنْدَ قَبْرٍ، فَقَالَ : الْقَبْرَ الْقَبْرَ وَلَمْ يَأْمُرْهُ الإِعَادَةَ

"ท่านอุมัรได้เห็นท่านอะนัส บิน มาลิก ทำการละหมาดที่กุบูร  ดังนั้นท่านอุมัรจึงกล่าวว่า  (ระวัง) กุบูร  กุบูร  และท่านอุมัรก็มิได้ใช้ให้ท่านอะนัสกลับไปละหมาดใหม่" หนังสือฟัตฮุลบารีย์ 1/523

ท่านอะนัส บิน มาลิก ได้ทำการละหมาดที่กุบูร  ซึ่งบ่งชี้ว่าท่านมีทัศนะอนุญาตให้ทำละหมาดที่กุบูรได้  แต่ท่านอุมัรได้เตือนให้ระวังแต่ท่านมิได้ใช้ให้กลับไปละหมาดใหม่  ซึ่งบ่งชี้เพียงว่าการละหมาดที่กุบูรนั้นอนุญาตกระทำได้ตามทัศนะของท่านอุมัรแต่ไม่บังควร(มักโระฮ์) เนื่องจากเกรงว่าดินที่กุบูรจะเปื้อนผสมกับนะยิส

ท่านอิบนุลมุนซิร ได้กล่าวว่า

وَرَوَيْنَا أَنَّ وَاثِلَةَ بْنَ الأَسْقَعِ كَانَ يُصَلِّي فِي الْمَقْبَرَةِ غَيْرَ أَنَّهُ لاَ يَسْتَتِرُ بِقَبْرٍ

"เราได้รายงานว่า  แท้จริงวาษิละฮ์ บิน อัลอัสเกาะอ์  ได้ทำการละหมาดที่กุบูร  แต่เขามิได้นำกุบูรมาเป็นซัตเราะฮ์(สิ่งที่มากั้นมิได้คนเดินผ่าน)" หนังสืออัลเอาซัฏ 2/184

ท่านอัชชะอฺบีย์  ได้รายงานว่า

‏أَخْبَرَنِي مَنْ مَرَّ مَعَ النَّبِيِّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏عَلَى قَبْرٍ ‏ ‏مَنْبُوذٍ ‏ ‏فَأَمَّهُمْ وَصَلَّوْا خَلْفَهُ

"ได้บอกเล่าให้ฉันทราบโดย(ท่านอิบนุอับบาส)ผู้ที่เดินพร้อมกับท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  บนกุบูรที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้  ดังนั้นท่านนบีจึงเป็นอิหม่ามนำละหมาด(ญะนาซะฮ์)พวกเขา  และพวกเขาก็ทำการละหมาดตามหลังท่านนบี"  รายงานบุคอรีย์ (1250)

ท่านอัลฮาฟิซฺ  อะบู ฮาติม อิบนุ ฮิบบาน  ได้กล่าวว่า

فِيْ هَذَا الْخَبَرِ بَيَانٌ وَاضِحٌ أَنَّ صَلاَةَ الْمُصْطَفَي صَلَّي اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَلَي الْقَبرِ إِنَّمَا كَانَتْ عَلَي قَبْرٍ مَنْبُوْذٍ ، وَالْمَنْبُوْذُ نَاحِيَةٌ ، فَدَلَّتْكَ هَذِهِ اللَفْظَةُ عَلَي أَنَّ الصَّلاَةَ عَلَي الْقَبْرِ جَائِزَةٌ إِذَا كَانَ جَدِيْدًا فِيْ نَاحِيَةٍ لَمْ تُنْبَشْ ، أَوْ فِيْ وَسَطِ قُبُوْرٍ لَمْ تُنْبَشْ ، فَأَمَّا الْقُبُوْرُ الَّتْي نُبِشَتْ وَقَلْبُ تُرَابِهَا صَارَ تُرَابُهَا نَجِساً ، لاَ تَجُوْزُ الصَّلاَةُ عَلَي النَّجَاسَةِ إِلاَّ أَنْ يَقُوْمَ الإِنْسَانُ عَلَي شَيْءٍ نَظِيْفٍ ، ثُمَّ يُصَلِّي عَلَي الْقَبْرِ الْمَنْبُوْشِ دُوْنَ الْمَنْبُوْذِ الَّذِيْ لَمْ يُنْبَشْ

"ในฮะดีษนี้  ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า  การละหมาดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่กุบูรนั้น  คือการละหมาดบนกุบูรที่ถูกปล่อยทิ้งไว้  และกุบูรที่ถูกปล่อยทิ้งไว้นั้น  ก็เป็นพื้นที่ด้านหนึ่ง  ดังนั้นถ้อยคำนี้จึงบ่งชี้แก่ท่านว่า  การละหมาดที่กุบูรนั้นอนุญาตให้กระทำได้เมื่อพื้นที่อีกด้านหนึ่งเป็นกุบูรที่ฝังใหม่ ๆ โดยมิได้ถูกขุดขึ้นมา  หรือ(อนุญาตให้ละหมาด)กลางกุบูรที่ยังมิได้ถูกขุดขึ้นมา  ดังนั้นสำหรับกุบูรที่ถูกขุดขึ้นมา  แล้วดินของมันถูกพลิกกลับ  แน่นอนว่าดินที่กุบูรนั้นก็ถือว่าเป็นนะยิส  ซึ่งไม่อนุญาตให้ทำการละหมาดบนนะยิสได้  นอกจากบุคคลหนึ่งทำการยืนบนสิ่งหนึ่งที่สะอาด(เช่นมีผ้าปู)  จากนั้นก็ให้เขาทำการละหมาดบนกุบูรที่ถูกขุดขึ้นมาได้  โดยไม่ต้องละหมาดที่กุบูรร้างที่ไม่ถูกขุดขึ้นมา" หนังสืออัลอิห์ซาน บิตัรตีบซอฮิห์อิบนุฮิบบาน 7/359

สิ่งดังกล่าวนี้  บ่งชัดเจนว่าการมักโระฮ์สิ่งดังกล่าวมิใช่มักโระฮ์แบบฮะรอมตามที่ อ.ปราโมทย์ได้กล่าวไว้  แต่สะลัฟส่วนมากมีทัศนะเพียงแค่มักโระฮ์ธรรมดาเท่านั้นเอง  ยิ่งกว่านั้น  ยังมีซอฮาบะฮ์และสะละฟุศศอลิห์บางส่วน  มีทัศนะไม่ถือว่ามักโระฮ์  แต่เป็นที่อนุญาตให้ละหมาดที่กุบูรได้  ดังนั้น อ.ปราโมทย์ จะพูดแบบลอย ๆ ว่าหมายถึงมักโระฮ์ฮะรอมตามทัศนะของสะลัฟย่อมมิได้อย่างเด็ดขาด

การละหมาดที่กูบูรตามทัศนะของมัซฮับทั้งสี่

1. มัซฮับฮะนะฟีย์

ทัศนะของปราชญ์มัซฮับฮะนะฟีย์นั้น  การละหมาดที่กุบูรไม่ถือว่าฮะรอม  แต่เป็นเพียงมักโระฮ์  อนุญาตให้กระทำได้

ในหนังสืออัดดุรมัคตาร (1/254)  ได้กล่าวว่า

وَكَذَا تُكْرَهُ فِيْ أَمَاكِنَ كَفَوْقِ كَعْبَةٍ ، وَفِيْ طَرِيْقٍ، وَمَزْبَلَةٍ، وَمَجْزَرَةٍ، وَمَقْبَرَةٍ، وَمَغْتَسَلٍ

"เช่นเดียวกันนี้  ถือว่ามักโระฮ์ละหมาดในหลายสถานที่ด้วยกัน  เช่น  บนกะบะฮ์ , ตามทางเดิน , สถานที่ทิ้งขยะ , โรงเชือดสัตว์ , สถานที่กุบูร , และสถานที่อาบน้ำ"

ท่านอิมามอิบนุอาบิดีน ได้กล่าวอธิบายไว้ในหนังสือฮาชียะฮ์ของท่าน  ความว่า

وَلاَ بَأْسَ بِالصَّلاَةِ فِيْهَا إِذَا كَانَ فِيْهَا مَوْضِعٌ أُعِدَّ لِلصَّلاَةِ، وَلَيْسَ فِيْهِ قَبْرٌ وَلاَ نَجَاسَةٌ وَلاَ قِبْلَتُهُ إِلَي قَبْرٍ فَالْقَوْلُ بِالكَرَاهَةِ مُقَيَّدٌ ، وَهِيَ كَرَاهَةٌ تَنْزِيْهِيَّةٌ

"ถือว่าไม่เป็นไร  กับการละหมาดที่กุบูร  เมื่อในกุบูรนั้นมีสถานที่เตรียมไว้สำหรับละหมาด  และในสถานที่(ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับละหมาด)นั้นต้องไม่มีกุบูร(อยู่ข้างใต้)  ไม่มีนะยิส  และกิบลัตของสถานที่ละหมาดนั้นต้องไม่ผินไปทางกุบูร  ดังนั้นคำกล่าวที่ว่ามักโระฮ์  ย่อมถูกจำกัดความ(ว่าต้องไม่มีนะยิสหรือมีกุบูรอยู่ข้างใต้ผู้ละหมาด)  และมักโระฮ์นี้เป็นเพียงมักโระฮ์ธรรมดา(ไม่ใช่มักโระฮ์ฮะรอม)" ทบทวนเพิ่มเติมจากหนังสืออัลบะห์รุรรออิก 2/35 ของท่านอิบนุนุญัยม์

2. มัซฮับมาลิกีย์

การละหมาดที่กุบูรตามมัซฮับมาลิกีย์  ถือว่าอนุญาตให้กระทำได้

อิมามอันนะวาวีได้กล่าวรายงานถึงมัซฮับอิมามมาลิกว่า

عَنْ مَالِكٍ رِوَايَتَانِ أَشْهَرُهُمَا لاَ يُكْرَهُ مَا لَمْ يَعْلَمْ نَجَاسَتَهَا

"จากท่านมาลิกมีอยู่สองรายงาน  ที่เลื่องลือที่สุด คือไม่มักโระฮ์(ละหมาดที่กุบูร) ตราบใดที่ผู้ละหมาดไม่รู้ว่ามีนะยิส" มัจญ์มั๊วะอฺ 3/165

ท่านชัยค์ อะห์มัด อัดดัรดีร ได้กล่าวว่า

جَازَتِ الصَّلاَةُ بِمَقْبَرَةٍ وَلَوْ عَلَي قَبْرٍ أَوْ بِلاَ حَائِلٍ ، عَامِرَةٍ أَوْ دَارِسَةٍ أَوْ لاَ ، وَلَوْ لِمُشْرِكٍ...إِنْ أَمِنَتْ مِنَ النَّجِسِ

"อนุญาตให้ละหมาดที่กุบูรได้  หากแม้ว่าจะละหมาดที่บนกุบูร หรือละหมาดโดยไม่มีสิ่งใดมากั้น(ระหว่างเขากับกุบูร)ก็ตาม  ไม่ว่ากุบูรนั้นจะเป็นกุบูรที่ยังใช้การอยู่  หรือเป็นกุบูรที่ร้างหรือไม่ก็ตาม  และหากแม้ว่าเป็นกุบูรของพวกตั้งภาคีก็ตามที...(ทั้งนี้ทั้งนั้น) หากกุบูรปลอดจากนะยิส"  หนังสืออัชชัรหุกะบีร 1/188

ท่านชัยค์ อะห์มัด อัดดัรดีร ได้กล่าวเช่นกันว่า

وَجَازَتِ الصَّلاَةُ بِمَقْبَرَةٍ أي فِيْهَا، وَلَوْ عَلَي مَقْبَرَةٍ عَامِرَةٍ أَوْ دَارِسَةٍ وَلَوْ لِكَافِرِيْنَ...إِنْ أَمِنَتِ النَّجَاسَةَ

"และอนุญาตให้ละหมาดที่กุบูรได้ หมายถึง ละหมาดในกุบูรได้  และถ้าหากว่าละหมาดบนกุบูรที่ยังใช้การอยู่หรือทิ้งร้างแล้วก็ตาม  และถ้าหากว่าเป็นกุบูรของพวกกาเฟรก็ตามที...(ทั้งนี้ทั้งนั้น) หากกุบูรได้ปลอดภัยจากนะยิส" หนังสืออัชชัรหุศศ่อฆีร 1/267

3. มัซฮับชาฟิอีย์

มัซฮับชาฟิอีย์นั้น  อนุญาตให้ละหมาดที่กุบูรได้  แต่มักโระฮ์เท่านั้นเอง

ท่านอิมามอัชชาฟิอีย์กล่าวว่า

فَلَوْ صَلَّي فَوْقَ قَبْرٍ، أَوْ إِليَ جَنْبِهِ وَلَمْ يُنْبَشْ أَجْزَأَهُ

"ดังนั้นถ้าหากเขาละหมาดบนกุบูร  หรือข้าง ๆ กุบูร  โดยที่มันยังไม่ถูกขุด  ถือว่าใช้ได้สำหรับเขา"  หนังสือมุคตะซ็อร อัลมุซะนีย์ 19

ท่านอิมามอันนะวาวีย์ ได้อธิบายมัซฮับของอิมามอัชชาฟิอีย์ว่า

إِنْ تَحَقَّقَ أَنَّ الْمَقْبَرَةَ مَنْبُوْشَةٌ لَمْ تَصِحَّ صَلاَتُهُ فِيْهَا بِلاَ خِلاَفٍ إِذَا لَمْ يَبْسُطْ تَحْتَهُ شَيْئاً، وَإِنْ تَحَقَّقَ عَدَمَ نَبْشِهَا صَحَّتْ بِلاَ خِلاَفٍ، وَهِيَ مَكْرُوْهَةٌ كَرَاهَةَ تَنْزِيْهٍ

"หากเขาตรวจสอบแล้วว่าแท้จริงกุบูรนั้นได้ถูกขุดขึ้น  ก็ถือว่าละหมาดของเขาที่กุบูรใช้ไม่ได้โดยไม่มีการขัดแย้งกัน (ทั้งนี้ทั้งนั้น) เมื่อเขาไม่ได้ปูสิ่งหนึ่งไว้ข้างใต้เขา , และถ้าหากเขาตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าไม่มีการขุดกุบูร  ละหมาดของเขาถือว่าใช้ได้โดยไม่มีการขัดแย้งกัน  แต่มันเป็นเพียงมักโระฮ์แบบธรรมดา(ไม่ใช่ฮะรอม)" หนังสือมัจญฺมั๊วะ 3/164

4. มัซฮับฮัมบาลีย์

ท่านอิบนุกุดามะฮ์  ได้กล่าวว่า

إِخْتَلَفَتِ الرِّوَايَةُ عَنْ أَحْمَدَ رَحِمَهُ اللهُ ‏,‏ فِي الصَّلاَةِ فِيْ هَذِهِ الْمَوَاضِعِ فَرُوِىَ أَنَّ الصَّلاَةَ لاَ تَصِحُّ فِيْهَا بِحَالٍ

"มีสายรายงานจากท่านอะห์มัด ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ ที่แตกต่างกัน ในเรื่องของละหมาดในสถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้ (เช่นสถานที่ห้องน้ำ , สถานที่กุบูร , เป็นต้น)  ดังนั้นได้ถูกรายงาน(จากท่านอะห์มัด)ว่า แท้จริงการละหมาดในกุบูรนั้นใช้ไม่ได้เลยไม่ว่าสภาพใดก็ตาม"

หลังจากนั้นท่านอิบนุกุดามะฮ์  ได้กล่าวว่า

 وَعَنْ أَحْمَدَ رِوَايَةُ أُخْرَى أَنَّ الصَّلاَةَ فِيْ هَذِهِ المَوَاضِعَ صَحِيْحَةٌ مَا لَمْ تَكُنْ نَجَسَةً وَهُوَ مَذْهَبُ مَالِكٍ وَأَبِيْ حَنِيْفَةَ وَالشَّافِعِيِّ

"และรายงานจากท่านอะห์มัดอีกการรายงานหนึ่งว่า  แท้จริงการละหมาดในบรรดาสถานที่เหล่านี้  ถือว่าใช้ได้  ตราบใดที่ไม่เป็นนะยิส  และทัศนะนี้ก็เป็นมัซฮับของท่านมาลิก , อะบูฮะนีฟะฮ์ , และอัชชาฟิอีย์ , อีกด้วย"  หนังสืออัลมุฆนีย์ 2/468

ท่านอิบนุกุดามะฮ์ ได้กล่าวสนับสนุนสายรายงานที่สองของท่านอะห์มัดว่า

وَيَحْتَمِلُ أَنَّ الْمَنْعَ فِيْ هَذِهِ الْمَوَاضِعِ مُعَلَّلٌ بِأَنَّهَا مَظَانٌّ لِلنَّجَاسَاتِ فَإِنَّ الْمَقْبَرَةَ تُنْبَشُ وَيَظْهَرُ التُّرَابُ الَّذِيْ فِيْهِ صَدِيْدُ الْمَوْتَى وَدِمَاؤُهُمْ وَلُحُوْمُهُمْ...فَنُهِىَ عَنِ الصَّلاَةِ فِيْهَا لِذَلِكَ وَتُعُلَّقَ الْحُكْمُ بِهَا وَإِنْ كَانَتْ طَاهِرَةً لِأَنَّ المَظِنَّةَ يَتَعَلَّقُ الْحُكْمُ بِهَا وَإِنْ خَفِيَتِ الحِكْمَةُ فِيْهَا‏,‏ وَمَتىَ أَمْكَنَ تَعْلِيْلُ الحُكْمِ تَعَيَّنَ تَعْلِيْلُهُ وَكَانَ أَوْلَى مِنْ قَهْرِ التَّعَبُّدِ وَمَرَارَةِ التَّحَكُّمِ

"ตีความได้ว่า  การห้าม(ละหมาด)ในสถานที่เหล่านี้  ถูกให้เหตุผลว่า  มันเป็นสถานที่เสี่ยงต่อการมีนะยิส  เพราะกุบูรอาจจุถูกขุดขึ้นมา  และปรากฏว่าเป็นดินที่มีน้ำหนองของคนตาย  มีเลือดและเนื้อของพวกเขา...ดังนั้นที่ถูกห้ามจากการละหมาดในกุบูรก็เพราะเหตุ(การมีนะยิส)ดังกล่าว  และฮุกุ่มการมีนะยิสก็จะถูกเกี่ยวพันกับเรื่องละหมาด  หากแม้ว่ากุบูรจะสะอาดก็ตาม (ก็ถือว่ามักโระฮ์ละหมาด) เพราะสถานที่(ที่เสี่ยงต่อการมีนะยิส)นั้น  ฮุกุ่มก็จะเกี่ยวข้องด้วยกับมัน  หากแม้ว่าเคล็ดลับ(การห้ามละหมาดที่กุบูร)จะไม่ชัดเจนก็ตามที  และเมื่อสามารถให้เหตุผลของฮุกุ่มได้แล้ว  ก็จะต้องเจาะจงเหตุผลของฮุกุ่มนั้น  และดังกล่าวย่อมดีเลิศยิ่งกว่าการคาดคั้นให้เป็นเรื่องของการภักดี(โดยห้ามละหมาดที่กุบูรแบบไร้เหตุผล)และดีกว่าความขมขืนจากการพูดตามอำเภอใจ(โดยไร้เหตุผล)..." หนังสืออัลมุฆนีย์ 1/718

ทัศนะของสะลัฟที่มีต่อฮุกุ่มการละหมาดที่กุบูรนั้น  ท่านอัลมุนซิรได้กล่าวว่า  "ส่วนหนึ่งจากผู้ที่รายงานจากพวกเขาว่ามักโระฮ์ละหมาดในกุบูร คือ  ท่านอะลี , ท่านอิบนุอับบาส , ท่านอิบนุอุมัร , ท่านอะฏออฺ , ท่านอันนะคะอีย์ , และผู้มีทัศนะไม่มักโระฮ์ละหมาดในกุบูรคือ ท่านอะบูฮุร็อยเราะฮ์ , ท่านวาษิละฮ์ บิน อัลอัสเกาะอฺ , และท่านอัลฮะซัน อัลบะซอรีย์"  ทบทวนจากหนังสือ  อัลเอาซัฏ 2/083

ดังนั้นซอฮาบะฮ์และสะลัฟได้ถูกรายงานจากพวกเขาที่ว่า  การละหมาดที่กุบูรเป็นมักโระฮ์เท่านั้น  เฉกเช่นเดียวกับสายรายงานหนึ่งจากท่านอะห์มัด บิน ฮัมบัล  ฉะนั้นท่านอะบูฮะนีฟะฮ์ , ท่านมาลิก , และท่านอิมามอัชชาฟิอีย์  ย่อมสอดคล้องกับทัศนะของซอฮาบะฮ์และปราชญ์สะลัฟท่านอื่น ๆ ยิ่งกว่า

ท่านอิมามอิบนุรอญับ ปราชญ์มัซฮับฮัมบาลีย์  ได้กล่าวว่า 

وَأَكْثَرُ العُلَمَاءِ عَليَ أَنَّ الكَراَهَةَ فِيْ ذَلِكَ كَراَهَةُ تَنْزِيْهٍ ، وَمِنْهُمْ مَنْ رَخَّصَ فِيْهِ

"ปราชญ์ส่วนมากมีทัศนะว่า  การมักโระฮ์ในสิ่งดังกล่าว(ละหมาดในกุบูร) นั้นเป็นมักโระฮ์แบบตันซีฮฺ(มักโระฮ์แบบธรรมดามิใช่ฮะรอม)  และนักปราชญ์บางส่วน  มีทัศนะผ่อนปรนในสิ่งดังกล่าว" ฟัตฮุลบารีย์ 3/197 ของท่านอิบนุรอญับ

สรุปคือ  บรรดาอิมามทั้งสามมัซฮับ  คืออิมามอะบูฮะนีฟะฮ์ , อิมามมาลิก , อิมามอัชชาฟิอีย์ , นั้นอนุญาตให้ทำการละหมาดที่กุบูรได้แต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าดินที่กุบูรต้องไม่มีนะยิสผสมอยู่  สำหรับมัซฮับอิมามอะห์มัดนั้น  คือห้ามละหมาด  แต่ท่านอิบนุกุดามะฮ์ได้ให้น้ำหนักว่า  สาเหตุที่ห้ามคือมีนะยิส  ซึ่งตรงนี้จึงทำให้เกิดทัศนะที่สอดคล้องต้องกันระหว่างมัซฮับทั้งสี่ที่ว่า  การละหมาดที่กุบูรอนุญาตให้กระทำได้เมื่อปราศจากนะยิส  วัลลอฮุอะลัม

ส่วนเมืองไทยบ้านเรานั้นไม่มีปัญหาในการละหมาดที่กุบูร  เพราะขนาดละหมาดที่บ้านก็ยังปูผู้สัจญาดะฮ์  และหากมีการละหมาดที่กุบูรกันขึ้นก็ต้องปูเสื่อละหมาดกันอย่างที่เราได้เห็นกัน  ซึ่งไม่มีปัญหาการยืนบนพื้นดินกุบูรที่เจอปนนะยิสอย่างแน่นอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 02, 2009, 08:01 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

1.3 อ.ปราโมทย์ พูดเหมารวมว่ากุบูรไม่ใช่สถานที่ทำอิบาดะฮ์ในความหมายกว้าง ๆ มิใช่เฉพาะแค่นมาชเท่านั้น  แต่ยังครอบคลุมถึงอิบาดะฮ์อื่น ๆ ด้วย  ซึ่งคำพูดที่ไม่แจกแจงเช่นนี้  ถือว่าขัดแย้งกับซุนนะฮ์ของท่านบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และ อ.ปราโมทย์ พยายามเอาการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรไปกิยาสกับการละหมาดที่กุบูร  ซึ่งตัวบทฮะดีษต่อไปนี้ จะบ่งชี้ถึงการทำอิบาดะฮ์ในกุบูรได้  และหากนำมากิยาสให้อนุญาตทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  ก็ย่อมมีน้ำยิ่งกว่าการกิยาสของ อ.ปราโมทย์เสียอีกครับ

ท่านอัชชะอฺบีย์  ได้รายงานว่า

‏أَخْبَرَنِي مَنْ مَرَّ مَعَ النَّبِيِّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏عَلَى قَبْرٍ ‏ ‏مَنْبُوذٍ ‏ ‏فَأَمَّهُمْ وَصَلَّوْا خَلْفَهُ

"ได้บอกเล่าให้ฉันทราบโดย(ท่านอิบนุอับบาส)ผู้ที่เดินพร้อมกับท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  บนกุบูรที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้  ดังนั้นท่านนบีจึงเป็นอิหม่ามนำละหมาด(ญะนาซะฮ์)พวกเขา  และพวกเขาก็ทำการละหมาดหลังท่าน"  รายงานบุคอรีย์ (1250)

ฮะดีษนี้บ่งชี้ชัดเจนว่า  ท่านนบีและซอฮาบะฮ์ได้ทำละหมาดญะนาซะฮ์ที่กุบูร  ซึ่งการละหมาดนั้นเป็นเรื่องของอิบาดะฮ์  ยิ่งกว่านั้นในละหมาดญะนาซะฮ์ยังมีการอ่านอัลกุรอาน(อัลฟาติฮะฮ์)  ซ่อลาวาต  และดุอาแก่มัยยิดอีกด้วย  ดังนั้นการทำอิบาดะฮ์ในกุบูรที่มีเป้าหมายยังผลประโยชน์แก่มัยยิดนั้นจึงเป็นที่อนุญาตให้กระทำ  ฉะนั้นการอ่านอัลกุรอาน  ซิกรุลลอฮ์  แล้วการขอดุอาฮะดียะฮ์ให้แก่มัยยิดที่กุบูรย่อมกระทำได้เช่นเดียวกัน

รายงานจากท่านบุร็อยดะฮ์  เขากล่าวว่า  ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้สอนบรรดาซอฮาบะฮ์เมื่อออกไปยังกุบูร  ดังนั้นคนหนึ่งจากพวกเขาได้กล่าวว่า

‏ ‏السَّلَامُ عَلَيْكُمْ أَهْلَ الدِّيَارِ مِنْ الْمُؤْمِنِينَ وَالْمُسْلِمِينَ وَإِنَّا إِنْ شَاءَ اللَّهُ لَلَاحِقُونَ أَسْأَلُ اللَّهَ لَنَا وَلَكُمْ الْعَافِيَةَ

"อัสลามุอะลัยกุ้ม  โอ้บรรดาผู้อาศัย(ในกุบูร)จากบรรดามุมินและมุสลิม  แท้จริงเราจะติดตามไป  หากพระองค์ทรงประสงค์  ฉันขอต่ออัลเลาะฮ์ให้ความสุขสบายมีแด่เราและพวกท่านด้วยเถิด"  รายงานโดยมุสลิม (975) 

ท่านอิมามอัตติรมีซีย์  ได้รายงานจากท่านอิบนุอับบาส  ความว่า

‏مَرَّ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏بِقُبُورِ ‏ ‏الْمَدِينَةِ ‏ ‏فَأَقْبَلَ عَلَيْهِمْ بِوَجْهِهِ فَقَالَ ‏ ‏السَّلَامُ عَلَيْكُمْ يَا أَهْلَ الْقُبُورِ يَغْفِرُ اللَّهُ لَنَا وَلَكُمْ

"ท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้เดินผ่านกุบูรที่นครมะดีนะฮ์  แล้วท่านก็หันไปที่พวกเขา(ชาวกุบูร)พร้อมใบหน้าของท่าน  แล้วกล่าวว่า  อัสลามุอะลัยกุ้ม  โอ้ชาวกุบูร  ขอโปรดอัลเลาะฮ์ทรงอภัยโทษให้แก่เราและพวกท่านด้วยเถิด" สุนัน อัตติรมีซีย์ (1053)   

ดังนั้น  การขอดุอาถือว่าเป็นอิบาดะฮ์และเป็นซิกรุลลอฮ์  ซึ่งซุนนะฮ์ให้ทำที่กุบูรได้  ฉะนั้นการอ่านอัลกุรอานก็เป็นอิบาดะฮ์และเป็นซิกรุลลอฮ์  ก็อนุญาตให้ทำที่กุบูรได้เช่นกัน     

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ได้กล่าวว่า

وَأَمَّا قِرَاءَةُ القُرْآنِ وَالصَّدَقَةِ وَغَيْرِهَا مِنْ أَعْمَالِ البٍرِّ فَلاَ نِزَاعَ بَيْنَ عُلَمَاءِ السُّنَّةِ وَالجَمَاعَةِ فِيْ وُصُوْلِ ثَوَابِ الْعِبَادَاتِ الْمَالِيَّةِ كاَلصَّدَقَةِ وَالْعِتْقِ كَمَا يَصِلُ إِلَيْهِ الدُّعَاءُ وَالاِسْتِغْفَارُ وَالصَّلاَةُ عَلَيْهِ صَلاةُ الجَنَازَةِ وَالدُّعَاءُ عِنْدَ قَبْرِهِ، وَتَنَازَعُوْا فِيْ وُصُوْلِ الأَعْمَالِ الْبَدَنِيَّةِ كَالصَّوْمِ وَالصَّلاَةِ وَالقِرَاءَةِ، واَلصَّواَبُ أَنَّ الجَمِيْعَ يَصِلُ إِلىَ المَيِّتِ وَهَذاَ مَذْهَبُ أَحْمَدَ وَأَبِيْ حَنِيْفَةَ وَطَائِفَةٍ مِنْ أَصْحَابِ مَالِكٍ وَالشَّافِعِيِّ، وَهُوْ يُنْتَفَعُ بِكُلِّ مَا يَصِلُ إِلَيْهِ مِنْ كُلِّ مُسْلِمٍ سَواَءٌ كَانَ مِنْ
أَقاَرِبهِ أوَ ْغَيْرِهِمْ

"สำหรับการอ่านอัลกุรอาน , การบริจาคทาน  และอื่น ๆ เป็นอะมัลที่ดีงาม  โดยไม่มีการขัดแย้งกันในเหล่านักปราชญ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ที่เกี่ยวกับเรื่องผลบุญอิบาดะฮ์ในเชิงทรัพย์สินนั้นจะถึงมัยยิด  เช่นการศ่อดะเกาะฮ์และการปล่อยทาสนั้นผลบุญก็จะถึงผู้ตาย  เช่นเดียวกันผลบุญจะถึงยังผู้ตายโดยการขอดุอาอ์ , อิสติฆฟาร , การละหมาดญะนาซะฮ์ให้แก่เขา , และการขอดุอาอ์ที่กุบูรของผู้ตาย  และบรรดานักปราชญ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ได้ขัดแย้งกันในเรื่องผลบุญถึงผู้ตายจากอะมัลที่กระทำในทางร่างกาย  เช่น  การถือศีลอด , การละหมาด , การอ่านอัลกุรอาน  และที่ถูกต้องนั้น  คือ  ทั้งหมด(จากการถือศีลอด , การละหมาด(ฮะดียะฮ์ผลบุญไปให้) , การอ่านอัลกุรอานนั้น  ผลบุญจะถึงไปยังผู้ตาย  นี้คือ มัซฮับของอิมามอะห์มัด , อบูหะนีฟะฮ์  และปราชญ์กลุ่มหนึ่งจากสานุศิษย์ของอิมามมาลิกและอิมามชาฟิอีย์  ซึ่งเป็นมัซฮับที่ผู้ตายจะได้รับประโยชน์จากทุก ๆ สิ่งที่มุสลิมทุกคนที่ได้กระทำไม่ว่าจะเป็นเครือญาติหรือไม่ใช่เครือญาติก็ตาม(ผลบุญฮะดียะฮ์ของพวกเขาจะถึง)ไปยังผู้ตาย"  มัจญ์มั๊วะอัลฟะตาวา 24/366

ดังนั้น  อ.ปราโมทย์ มิได้ต้องการจะวิเคราะห์เรื่องตัวบทฮะดีษเท่านั้น  แต่ท่านพยายามวินิจฉัยสอดใส่ฮุกุ่มตัดสินว่าการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรฮะรอมเข้ามาด้วย  ทั้งที่ไม่มีหลักฐานมาระบุเจาะจงเลย

2.  อ. ปราโมทย์  ได้หยิบยกกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของหลักพื้นฐานนิติศาสตร์อิสลาม القَواَعِدُ الأُصُوْلِيَّةُ  และบอกว่าปัญหาขัดแย้งเกือบทั้งหมด เป็นเรื่องอิบาดะฮ์ที่เกี่ยวกับบาป-บุญ .. ดังกล่าวมาแล้วซึ่งโครงสร้างของมันคือ จะต้องยึดถือตัวบทอันได้แก่คำสั่งของอัลลอฮ์และ รูปแบบจากซุนนะฮ์เป็นเกณฑ์ .. ไม่ใช่ไปยึดถือ “คำห้าม” ดังทัศนะผิดๆของ อ.กอเซ็ม ...

ต่อมาอ. ปราโมทย์  ได้อ้างอิงคำกล่าวของอิมามอะห์มัดและนักวิชาการฟิกหฺท่านอื่น ๆ  ว่า   :  แท้จริง พื้นฐานของเรื่อง “อิบาดะฮ์” ทั้งมวลก็คือ ให้ระงับ (จากการปฏิบัติ) ..

หลังจากนั้น อ. ปราโมทย์  กล่าวว่า   ถ้าจะยึดถือตามความเข้าใจของ อ.กอเซ็มที่ว่า .. แม้กระทั่งเรื่องเรื่องอิบาดะฮ์ ถ้าไม่มีหลักฐานห้ามแล้วก็ทำได้ .. มาเป็นบรรทัดฐาน  สังคมมุสลิมก็คงวุ่นวายพิลึก เพราะ ...สมมุติถ้า อ.กอเซ็มเองจะอุทิศผลบุญการทำความดีทุกชนิดของตนเอง (ขอย้ำว่า อุทิศผลบุญ มิใช่ขออภัยโทษ)ให้แก่เพื่อนฝูงที่เป็นกาฟิรฺบ้าง ก็คงเป็นเรื่องทำได้เพราะไม่มีหลักฐานห้าม ?? ...

วิภาษ

2.1  อ.ปราโมทย์  ทักท้วงหลักการที่ว่า "ไม่มีหลักฐานห้าม" เป็นทัศนะที่ผิด ๆ ของ อ.กอเซ็ม  ซึ่งความจริงแล้ว  คำพูดของ อ.กอเซ็มที่ว่า "ไม่มีหลักฐานห้าม" นั้น อ.ปราโมทย์ ไม่เข้าใจคำพูดของ อ.กอเซ็ม เอง  เนื่องจากเป้าหมายคำพูดของ อ.กอเซ็ม  ก็คือ  มีหลักฐานแบบกว้าง ๆ หรือแบบครอบคลุมมาระบุรับรองไว้แล้ว , (ผมขอกล่าวเสริมว่า) พร้อมกันนั้นก็ไม่มีหลักฐานมาระบุจำกัดหรือเจาะจงห้าม , และรูปแบบการกระทำต้องไม่ขัดกับหลักศาสนา

หลักการดังกล่าวคือคำตรัสของอัลเลาะฮ์ตะอาลาที่ว่า

وَمَا أَتَاكُمُ الرَّسُوْلُ فَخُذُوْهُ وَمَا نَهَاكُمْ عَنْهُ فَأنْتَهُوْا

"สิ่งใดที่รอซูลนำมาให้กับพวกท่านนั้นพวกท่านจงยึดมันและสิ่งใดที่ร่อซูลห้ามพวกท่านจากสิ่งนั้นพวกท่านจงก็ยุติ"อัลหัชรฺ 7

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

فَإِذَا نَهَيْتُكُمْ عَنْ شَيْءٍ فَأجْتَنِبُوْهُ ، وَإِذَا أَمَرْتُكُمْ بِأَمْرٍ فَأْتُوْا مِنْهُ مَا أسْتَطَعْتُمْ

"ดังนั้นเมื่อฉันห้ามพวกท่านจากสิ่งหนึ่งพวกท่านก็จงห่างไกลมัน(มิใช่สิ่งใดที่ฉันทิ้งหรือไม่ได้กระทำแล้วจงห่างไกล)และเมื่อฉันใช้พวกท่านด้วยกับสิ่งหนึ่งพวกท่านก็จงทำมันเท่าที่พวกท่านสามารถ"รายงานโดยบุคคอรีย์และมุสลิม

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวเช่นกันว่า

من ‏مَنْ سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ سُنَّةً حَسَنَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ لَهُ مِثْلُ أَجْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلَا يَنْقُصُ مِنْ أُجُورِهِمْ شَيْءٌ وَمَنْ سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ سُنَّةً سَيِّئَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ عَلَيْهِ مِثْلُ وِزْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلَا يَنْقُصُ مِنْ أَوْزَارِهِمْ شَيْءٌ

" ผู้ใดที่ได้ริเริ่มกระทำ(รูปแบบหนึ่ง)ขึ้นมา ในศาสนาอิสลามซึ่งแนวทางที่ดี(ที่มีพื้นฐานของศาสนามารองรับ)  แน่นอนเขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องจากผลบุญตอบแทนของพวกเขาเลย  และผู้ใดทีได้ริเริ่มกระทำ(รูปแบบหนึ่ง)ขึ้นมาในอิสลามซึ่งหนทางที่เลว(ที่ไม่มีพื้นฐานศาสนามารับรอง)  แน่นอนบาปของมันก็ตกบนเขาและบาปของผู้ที่ปฏิบัติมันหลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปจากบรรดาบาปของพวกเขา" รายงานโดยมุสลิม(1017) ทำความเข้าใจฮะดีษนี้ได้ที่นี่

ดังนั้นสิ่งใดที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้นำมาหรือสั่งใช้  ไม่ว่าจะสั่งใช้แบบเฉพาะเจาะจงหรือแบบกว้าง ๆ ก็จงกระทำให้สุดเท่าที่เรามีความสามารถ  แต่สิ่งใดที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้ห้ามไว้หรือขัดแย้งกับหลักการของศาสนา  ก็จงห่างไกล  มิใช่หมายความว่าสิ่งที่นบีทิ้งหรือไม่ได้กระทำแล้วห่างไกล  เพราะซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิได้หมายถึงนบีทิ้งการกระทำนั้นเสมอไป  และมิใช่หมายความแค่การกระทำของท่านนบีเพียงเท่านั้น แต่รวมถึงคำพูดของท่านในรูปแบบเฉพาะเจาะจงและคำพูดของท่านนบีในรูปแบบกว้าง ๆ ด้วยเช่นกัน  อาทิเช่น

ตัวอย่างที่หนึ่ง
   
คำตรัสของอัลเลาะฮ์ตะอาลาที่ใช้ให้ขอดุอา  เช่น

وَقَالَ رَبُّكُمُ ادْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ

"ผู้อภิบาลของพวกเจ้าตรัสว่า  พวกเจ้าจงขอ(ดุอา)ต่อข้าเถิด  แล้วข้าจะตอบรับให้แก่พวกเจ้า" ฆอฟิร 60

และฮะดีษของท่านนบี   ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่บอกถึงความประเสริฐของการขอดุอา เช่น

الدُّعَاءُ هُوَ العِبَادَةُ

"การขอดุอานั้นคืออิบาดะฮ์"  รายงานโดยอัตติรมีซีย์(3294) ฮะดีษฮะซันซอฮิห์

บรรดาตัวบทอัลกุรอานและฮะดีษเหล่านี้  ได้ระบุให้ทำการขอดุอาในรูปแบบกว้าง ๆ (มุฏลัก) หรือแบบครอบคลุม (อาม)  โดยไม่มีหลักฐานใดมาจำกัด(มุก็อยยัด)หรือมาทอนความหมาย(ค็อซ) ว่าห้ามหรือมักโระฮ์ในการขอดุอาที่กุบูรหรืออื่นจากกุบูร  เช่น  ขอดุอาที่บ้านหรือขอดุอาหลังละหมาด  เป็นต้น  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้ตัวบทยังคงมีข้อบ่งชี้แบบกว้าง ๆ หรือมีความหมายแบบครอบคลุมอยู่เช่นนั้นและทำการปฏิบัติตามนัยยะของหลักฐานแบบกว้าง ๆ หรือแบบครอบคลุมดังกล่าว  และต้องไม่ขัดกับหลักการของศาสนา  จนกว่าจะมีหลักฐานมาระบุเจาะจงในการห้ามขอดุอาในสถานที่นั้น ๆ หรือห้ามดุอาอย่างนั้นอย่างนี้  เช่นไม่ควรขอดุอาในห้องส้วม , ไม่ดุอากุนูตในละหมาดอัสริ , ไม่อ่านดุอาแทนการอ่านอัลฟาติฮะฮ์ขณะที่มีความสามารถ  เพราะไปขัดกับหลักการเดิมที่ศาสนาได้ระบุไว้
 
ดังนั้นผู้ใดที่คัดค้านว่า  การอ่านดุอาในสถานที่นั้น  สถานที่นี้  ฮะรอม  ก็จำเป็นบนเขาต้องเผยหรือนำหลักฐานที่มาทอนความหมายข้อบ่งชี้ของหลักฐานแบบครอบคลุมนี้  หรือต้องนำหลักฐานห้ามมาจำกัดหลักฐานที่มีข้อบ่งชี้แบบกว้าง ๆ นี้  หากมิเช่นนั้นแล้ว  เขาคือผู้ที่อุตริกรรม(กระทำบิดอะฮ์)ในการอุปโลกน์ฮุกุ่มขึ้นมาในศาสนาของอัลเลาะฮ์ด้วยสติปัญญาและอารมณ์ของเขานั่นเอง  วัลอิยาซุบิลลาฮ์!   

ตัวอย่างที่สอง

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า

أُذْكُرُوْا اللهَ ذِكْراً كَثِيْراً

"พวกเจ้าจงซิกรุลลอฮ์(รำลึกพระองค์)ให้มาก ๆ เถิด" อัลอะห์ซาบ 41

ท่านอิมามมุสลิม ได้รายงานว่า ได้เล่าให้เราทราบ โดยมุหัมมัด บิน หาติม บิน มัยมูน ได้เล่าให้เราทราบ โดยบะฮฺซฺ ได้กล่าวแก่เราโดยวุฮัยบฺ ได้เล่าแก่เราโดยซุฮัยล์ จากบิดาของเขา จากท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ ซึ่งได้เล่าจากท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า

‏إِنَّ لِلَّهِ تَبَارَكَ وَتَعَالَى مَلَائِكَةً سَيَّارَةً ‏ ‏فُضُلًا ‏ ‏يَتَتَبَّعُونَ ‏ ‏مَجَالِسَ الذِّكْرِ فَإِذَا وَجَدُوا مَجْلِسًا فِيهِ ذِكْرٌ قَعَدُوا مَعَهُمْ وَحَفَّ بَعْضُهُمْ بَعْضًا بِأَجْنِحَتِهِمْ حَتَّى يَمْلَئُوا مَا بَيْنَهُمْ وَبَيْنَ السَّمَاءِ الدُّنْيَا فَإِذَا تَفَرَّقُوا عَرَجُوا وَصَعِدُوا إِلَى السَّمَاءِ قَالَ فَيَسْأَلُهُمْ اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ وَهُوَ أَعْلَمُ بِهِمْ مِنْ أَيْنَ جِئْتُمْ فَيَقُولُونَ جِئْنَا مِنْ عِنْدِ عِبَادٍ لَكَ فِي الْأَرْضِ يُسَبِّحُونَكَ وَيُكَبِّرُونَكَ وَيُهَلِّلُونَكَ وَيَحْمَدُونَكَ وَيَسْأَلُونَكَ قَالَ وَمَاذَا يَسْأَلُونِي قَالُوا يَسْأَلُونَكَ جَنَّتَكَ قَالَ وَهَلْ رَأَوْا جَنَّتِي قَالُوا لَا أَيْ رَبِّ قَالَ فَكَيْفَ لَوْ رَأَوْا جَنَّتِي قَالُوا ‏ ‏وَيَسْتَجِيرُونَكَ ‏ ‏قَالَ وَمِمَّ ‏ ‏يَسْتَجِيرُونَنِي ‏ ‏قَالُوا مِنْ نَارِكَ يَا رَبِّ قَالَ وَهَلْ رَأَوْا نَارِي قَالُوا لَا قَالَ فَكَيْفَ لَوْ رَأَوْا نَارِي قَالُوا وَيَسْتَغْفِرُونَكَ قَالَ فَيَقُولُ قَدْ غَفَرْتُ لَهُمْ فَأَعْطَيْتُهُمْ مَا سَأَلُوا ‏ ‏وَأَجَرْتُهُمْ ‏ ‏مِمَّا ‏ ‏اسْتَجَارُوا ‏ ‏قَالَ فَيَقُولُونَ رَبِّ فِيهِمْ فُلَانٌ عَبْدٌ خَطَّاءٌ إِنَّمَا مَرَّ فَجَلَسَ مَعَهُمْ قَالَ فَيَقُولُ وَلَهُ غَفَرْتُ هُمْ الْقَوْمُ لَا يَشْقَى بِهِمْ جَلِيسُهُمْ

"แท้จริง อัลเลาะฮ์(ตะบาร่อกะวะตะอาลา) ทรงมีบรรดามะลาอิเกาะฮ์ที่ท่องไปในผืนแผ่นเดิน เป็นมะลาอิกะฮ์ที่เพิ่มขึ้นมา(นอกเหนือจากบรรดามะลาอิกะฮ์หะฟะเซฺาะฮ์ที่ทำ หน้าที่ปกปักษ์รักษา) ได้ทำการสืบเสาะแสวงหา สถานที่ต่าง ๆ ที่มีการซิกิร ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้เจอสถานที่หนึ่ง ที่มีการซิกิร พวกเขาก็จะนั่งร่วมพร้อมกับพวกเขา (คือบรรดาผู้ที่ทำการซิกรุลเลาะฮ์) และบรรดามะลาอิกะฮ์ต่างทำการห้อมล้อมด้วยปีกของพวกเขา จนกระทั้งพวกเขาเต็ม(เพิ่มขึ้น)ในระหว่างพวกเขาและถึงท้องฟ้า ดังนั้น เมื่อบรรดาผู้ทำการรซิกรุลเลาะฮ์ได้แยกย้าย บรรดามะลาอิกะฮ์จึงเดินทางขึ้นสู่ฟ้ากฟ้า" ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า"แล้วอัลเลาะฮ์ได้ถามพวกเขา- โดยที่พระองค์ทรงรู้ดียิ่งเกี่ยวกับพวกเขา- ว่า พวกเจ้ามาจากใหนกัน? บรรดามะลาอิกะฮ์กล่าวว่า เราได้มาจาก ณ ที่บรรดาบ่าวของพระองค์ ที่อยู่ในผืนแผ่นดิน ซึ่งที่พวกเขาได้ทำการกล่าวตัสบีหฺ(กล่าวซุบหานัลเลาะฮ์) กล่าวตักบีร(อัลเลาะฮ์อักบัร) กล่าวตะฮ์ลีล(ลาอิลาฮ่าอิลลัลลอฮ์) กล่าวตะหฺมีด(อัลหัมดุลิลลาฮ์) และทำการวอนขอต่อพระองค์" อัลเลาะฮ์ทรงตรัสถามว่า"แล้วอะไรที่พวกเขาได้วอนขอกับข้า? " บรรดามะลาอิกะฮ์ตอบว่า"พวกเขาได้ขอพระองค์ สรวงสวรรค์ของพระองค์" อัลเลาะฮ์ทรงตรัสถามว่า"แล้วพวกเขาเคยเห็นสรวงสวรรค์ของข้าหรือไม่ล่ะ?" มะลาอิกะฮ์ตอบว่า ไม่เคย โอ้ผู้อภิบาลแห่งเรา! " อัลเลาะฮ์ทรงตรัสถามต่อว่า "แล้วอย่างไรเล่า หากพวกเขาได้เห็นสรวงสวรรค์ของข้า?" มะลาอิกะฮ์กล่าวว่า"และพวกเขาก็ทำการขอความคุ้มครองกับพระองค์" พระองค์ทรงตรัสถามว่า"พวกเขาขอความคุ้มครองข้าจากอะไร? มะลาอิกะฮ์กล่าวว่า"จากไฟนรกของพระองค์ โอ้ผู้อภิบาลแห่งเรา!" อัลเลาะฮ์ทรงตรัสถามว่า"แล้วพวกเขาเคยเห็นไฟนรกของข้าหรือไม่ล่ะ?" มะลาอิกะฮ์ตอบว่า ไม่เคย" อัลเลาะฮ์ทรงตรัสถามต่อว่า "แล้วอย่างไรเล่า หากพวกเขาได้เห็นไฟนรกของข้า?" มะลาอิกะฮ์ตอบว่า"พวกเขาได้ทำการอิสติฆฟารต่อพระองค์" อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า"ข้าได้อภัยแก่พวกเขาแล้ว และข้าได้ให้สิ่งที่พวกเขาได้ขอ และจะปกป้องสิ่งที่พวกเขาได้ขอความคุ้มครอง" ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า"แล้วมะลาอิกะฮ์ได้กล่าวว่า โอ้ผู้อภิบาลแห่งเรา ในพวกเขา(ที่ทำการซิกิรุลเลาะฮ์)นั้น มีคนหนึ่งที่เป็นบ่าวผู้กระทำผิด โดยที่เขาได้เดินผ่านมา แล้วก็นั่งร่วมกับพวกเขา" ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวต่อว่า"แล้วพระองค์ทรงตรัสว่า ข้าอภัยให้แก่เขาแล้ว โดยที่บรรดาพวกที่ทำการซิกิรนั้น ผู้ที่นั่งร่วมด้วยก็จะไม่อับโชคด้วยเหตุพวกเขา(ที่ทำการนั่งซิกิร) " ซอฮิหฺมุสลิม (2689)

บรรดาตัวบทอัลกุรอานและฮะดีษนี้  ได้ระบุให้ทำการซิกรุลลอฮ์ในรูปแบบกว้าง ๆ (มุฏลัก) หรือแบบครอบคลุม (อาม)  โดยไม่มีหลักฐานใดมาจำกัด(มุก็อยยัด)หรือมาทอนความหมาย(ค็อซ) ว่าห้ามหรือมักโระฮ์ในการซิกรุลลอฮ์และขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ที่กุบูรหรืออื่นจากกุบูร  เช่น  ซิกรุลลอฮ์ที่บ้านหรือซิกรุลลอฮ์หลังละหมาด  เป็นต้น  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้ตัวบทยังคงมีข้อบ่งชี้แบบกว้าง ๆ หรือมีความหมายแบบครอบคลุมอยู่เช่นนั้นและทำการปฏิบัติตามนัยยะของหลักฐานแบบกว้าง ๆ หรือแบบครอบคลุมดังกล่าว  โดยไม่ขัดกับหลักการของศาสนา  จนกว่าจะมีหลักฐานมาระบุเจาะจงในการห้ามซิกรุลลอฮ์ในสถานที่นั้น ๆ หรือห้ามซิกรุลลอฮ์อย่างนั้นอย่างนี้  เช่นไม่ควรซิกรุลลอฮ์ในห้องส้วม , ซิกรุลลอฮ์แทนอัลฟาติฮะฮ์ขณะที่มีความสามารถ  เพราะไปขัดกับหลักการเดิม
 
ตัวอย่างที่สาม

การอ่านวิริดหลังละหมาด  โดยจัดระเบียบ  อ่าน "อัสตัฆฟิรุลลอฮัลอะซีมฯ" ก่อน  หลังจากนั้นอ่าน "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮุวะห์ดะฮูละชิรีกะละฮ์ฯ"  หลังจากนั้น "อัลลอฮุ้มอันตัสสลามฯ" หลังจากนั้น "อ่านอัลฟาติฮะฮ์" หลังจากนั้น "อ่านอายะฮ์กุรซีย์"  หลังจากนั้น  "อ่านท้ายซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์" หลังจากนั้น  "กล่าวตัสบีห์ , อัลฮัมดุลิลลาฮ์ , อัลลอฮุอักบัร 33 ครั้ง" ซึ่งการจัดเรียบเรียงเช่นนี้  นบีไม่เคยระบุเจาะจงไว้  แต่เป็นการจัดเรียบเรียงขึ้นมาเพื่อเป็นระบบระเบียบที่ไม่ขัดแย้งกับหลักการของศาสนาและไม่มีหลักฐานห้าม  แต่ทว่าเป็นการริเริ่มวางแนวทางที่ดีขึ้นมาในอิสลาม  ถือว่าเป็นการกระทำตามซุนนะฮ์ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวรับรองไว้ในฮะดีษมุสลิม (1017)  เพราะฉะนั้นหากผู้ใดกล่าวว่า  การวิริดหลังละหมาดในรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่ฮะรอมขัดกับหลักศาสนา  เขาจำเป็นต้องเผยหรือนำหลักฐานมายืนยันเจาะจงว่าขัดกับหลักศาสนาอย่างไร  มิใช่นั้นแล้ว  เขาคือผู้ที่อุตริกรรม(กระทำบิดอะฮ์)ในการอุปโลกน์ฮุกุ่มขึ้นมาในศาสนาของอัลเลาะฮ์ด้วยสติปัญญาและอารมณ์ของเขานั่นเอง  วัลอิยาซุบิลลาฮ์!

ดังนั้น  เราจะไปละหมาดวันศุกร์ 10 โมงเช้าโดยอ้างหลักฐานว่า "ไม่มีหลักฐานห้าม" นั้นไม่ได้  เพราะมันไปขัดกับหลักการเดิมที่ระบุให้ละหมาดวันศุกร์ในเวลาซุฮ์ริ ,  การอุทิศผลบุญให้แก่คนกาเฟรนั้นไม่ได้  เพราะไปขัดกับหลักการขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ให้ทรงฮะดียะฮ์ผลบุญ(ที่อยู่ในความหมายว่าเราะฮ์มะฮ์และการอภัยโทษของอัลเลาะฮ์)แก่มัยยิดนั้น  ต้องให้แก่บรรดามุสลิมีนเท่านั้น , และการจ่ายซะกาตให้แก่คนกาเฟรย่อมไม่ได้เพราะมันไปขัดกับหลักศาสนาที่ห้ามจ่ายซะกาตแก่คนกาเฟรนั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 02, 2009, 07:46 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
2.2  อ. ปราโมทย์  ได้อ้างอิงคำกล่าวของอิมามอะห์มัดและนักวิชาการฟิกหฺท่านอื่น ๆ  ว่า   :  แท้จริง พื้นฐานของเรื่อง “อิบาดะฮ์” ทั้งมวลก็คือ ให้ระงับ (จากการปฏิบัติ)...เพื่อจะบอกเป็นนัยว่า  การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรต้องมีหลักฐานเจาะจงว่าท่านนบีเคยกระทำไว้เท่านั้น!     

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า

كَانَ أَحْمَدُ وَغَيْرُهُ مِنْ فُقَهَاءِ أَهْلِ الْحَدِيْثِ يَقُوْلُوْنَ :  إِنَّ اْلأَصْلَ فِى الْعِبَادَاتِ التَّوْقِيْفُ، فَلاَ يُشْرَعُ مِنْهَا إِلاَّ مَا شَرَعَهُ اللهُ

"ท่านอิหม่ามอะห์มัดและท่านอื่นๆจากนักวิชาการฟิกฮ์ผู้เชี่ยวชาญหะดีษต่างกล่าวว่า :  แท้จริง พื้นฐานของเรื่อง “อิบาดะฮ์” ทั้งมวลก็คือ ให้ระงับ (จากการปฏิบัติ) ..ดังนั้นจะไม่มีอิบาดะฮ์ใดถูกกำหนดขึ้นมา (เพื่อปฏิบัติ) เว้นแต่ต้องเป็นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงบัญญัติ (คือสั่ง) มันเท่านั้น"มัจญฺมั๊วะอัลฟะตาวา 29/17

ท่านอิมามอัชชาฎิบีย์กล่าวเช่นกันว่า

اَلأَصْلُ فِي العِبَادَاتِ عَدَمُ الإِقْدَامِ عَلَيْهَا إِلاَّ بِدَلِيْلٍ

"พื้นฐานเดิมในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น  ไม่ให้ย่างก้าวเข้าไปกระทำมัน นอกจากด้วยหลักฐาน" หนังสืออัลมุวาฟะก็อต

เมื่อบางคนได้ยินหลักการนี้  ก็จะคิดไปว่า  อิบาดะฮ์นั้นต้องมีหลักฐานมายืนยันเจาะจง(ค็อซ)หรือจำกัด(มุก็อยยัด)ให้กระทำเท่านั้น  แต่เมื่อเราได้ยินคำว่า "เว้นแต่ต้องมีหลักฐาน" دَلِيْلٌ นั้น  เราก็สมควรต้องเข้าใจตามหลักพื้นฐานนิติศาสตร์อิสลามเกี่ยวกับประเภทของหลักฐานว่ามีอะไรบ้าง?  ซึ่งตัวอย่างของหลักฐานแบบสรุป ๆ มีดังนี้  อาทิเช่น 

1.  หลักฐานแบบมัฏลัก الدَّلِيْلُ المُطْلَقُ  คือหลักฐานที่บ่งชี้แบบกว้าง ๆ 

2.  หลักฐานแบบมุฏ็อยยัด الدَّلِيْلُ المُقَيَّدُ คือหลักฐานที่มาจำกัดหลักฐานที่มีข้อบ่งชี้แบบกว้าง ๆ

3.  หลักฐานแบบครอบคลุ  الدَّلِيْلُ العَامُّ  คือหลักฐานที่มีข้อบ่งชี้แบบครอบคลุมทุกส่วน

4.  หลักฐานแบบเจาะจง الدَّلِيْلُ الخَاصُّ คือหลักฐานที่มาเจาะจงหรือทอนความหมายหลักฐานที่มีข้อบ่งชี้แบบครอบคลุม

ดังนั้นเมื่อมีหลักฐานประเภทใดประเภทหนึ่งจากสิ่งดังกล่าวนี้มารับรอง  ก็อนุญาตให้กระทำอิบาดะฮ์ได้ตามหลักการที่กระผมได้นำเสนอมาแล้วข้างต้นนั่นเอง     

ตัวอย่างที่หนึ่ง

ท่าน อบู นุอัยม์ ได้รายงานไว้ว่า

وَكَانَ لِأَبِىْ هُرَيْرَةَ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ خَيْطٌ فِيْهِ أَلْفُ عُقْدَةٍ لاَ يَنَامُ حَتَّى يُسَبِّحُ بِهِ

"ท่านอบูหุรอยเราะฮ์(ร.ฏ.) มีเชื่อกที่มีหนึ่งพันปุ่ม เขาจะไม่นอน จนกว่าจะทำการตัสบีห์ด้วยกับมัน(พันครั้ง)" หนังสือฮิลยะตุลเอาลิยาอฺ 1/383

การตัสบีห์นั้นมีหลักฐานของศาสนาแบบกว้าง ๆ ได้รับรองไว้  แต่จะทำการตัสบีห์ 1000 ครั้งก็กระทำได้ซึ่งเป็นรูปแบบกว้าง ๆ ที่ไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ว่าท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่เคยกำหนดเจาะไว้ก็ตาม

ตัวอย่างที่สอง

ท่านอัซซะฮะบีย์ กล่าวไว้ใน หนังสือ ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ว่า

قَالَ عَبْدُ اللهِ بْنُ الِإمَامِ أَحْمَدَ بْنِ حَنْبَلَ : كَانَ أَبِىْ يُصَلِّىْ كُلَّ يَوْمٍ ثَلَاثَمِائَةِ رَكَعَةٍ ، فَلَمَّا مَرِضَ مِنْ تِلْكَ الأَسْوَاطِ أَضْعَفَتْهُ فَكَانَ يُصَلِّىْ كُلَّ يَوْمٍ وَلَيْلَةٍ مِئَةً وَخَمْسِيْنَ رَكَعَةً

"ท่านอับดุลเลาะฮ์ บุตร ท่านอิมามอะหฺมัดบินหัมบัล กล่าวว่า บิดาของฉันเคยละหมาด 300 ร่อกะอัต ในทุกวัน แต่เมื่อขณะที่ท่านป่วยจากการถูกโบยดังกล่าวนั้น  ทำให้ท่านสุขภาพอ่อนแอลง  ดังนั้นท่านจึงทำการละหมาดเพียง 150 ร่อกะอัต ในหนึ่งวันและหนึ่งคืน" ดู ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 11 หน้า 212

การละหมาดสุนัตมีหลักฐานจากศาสนามารับรองแบบกว้าง ๆ   แต่รูปแบบการละหมาดโดยกำหนดหรือจำกัด 300 ร่อกะอัต  หรือจำกัด 150 ร่อกะอัตนั้น  เป็นรูปแบบที่ไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ว่าท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่ได้เคยระบุเจาะจงไว้ก็ตาม

ตัวอย่างที่สาม

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ฟัตวาไว้ว่า

إِذَا هَلَّلَ الإِنْسَانُ هَكَذَا : سَبْعُوْنَ اَلْفاً، أَوْ أَقَلَّ أَوْ أَكْثَرَ وَأُهْدِيَتْ إِلِيْهِ نَفَعَهُ اللهُ بِذَلِكَ، وَلَيْسَ هَذَا حَدِيْثاً صَحِيْحاً وَلَا ضَعِيْفاً

"เมื่อคนหนึ่งได้ทำการกล่าว ตะฮ์ลีล(ลาอิลาฮะอิลลัลเลาะฮ์) เช่นนี้70000 ครั้ง หรือน้อยกว่านั้น หรือมากกว่านั้น แล้ว(การตะลีล)ดังกล่าวก็ถูกฮะดียะฮ์ให้แก่มัยยิด แน่นอนอัลเลาะฮ์จะทรงให้(ผลบุญการตะฮ์ลีล)ดังกล่าวมีผลประโยชน์แก่มัยยิด และหะดิษดังกล่าว(ที่มาระบุเจาะจงให้ตะฮ์ลีลเจ็ดหมื่นครั้ง)นั้น ไม่ใช่หะดิษที่ซอฮิหฺ และฏออีฟ" ดู ฟาตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม24 หน้า 301

การที่บุคคลหนึ่งกล่าวลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์นั้น  มีหลักฐานมารับรองแบบกว้าง ๆ   ส่วนจะกล่าวกี่ครั้งนั้นเป็นรูปแบบกว้าง ๆ ที่จะกล่าวเจ็ดหมื่นครั้ง  มากกว่านั้นหรือน้อยกว่านั้นก็ได้  ถือว่าไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ไม่มีตัวบทมารับรองเจาะจงก็ตาม  ดังนั้นสิ่งที่ไม่ขัดกับหลักศาสนาหรือตัวบท  ย่อมไม่เป็นสิ่งต้องห้ามแต่ประการใด 

ตัวอย่างที่สี่

ท่านอิบนุก็อยยิม  ศิษย์เอกของท่านอิบนุตัยมียะฮ์  ได้กล่าวว่า

 وَاخْتَلَفُوْا فِي العِبَادَةِ البَدَنِيَّةِ كَالصَّوْمِ وَالصَّلاَةِ وَقِرَاءَةِ القُرْآنِ وَالذِّكْرِ فَمَذْهَبُ الإِمَامِ أَحْمَدَ وَجُمْهُوْرِ السَّلَفِ وُصُوْلُهَا وَهُوَ قَوْلُ بَعْضِ أَصْحَابِ أَبِى حَنِيْفَةِ نَصَّ عَلىَ هَذَا الِإمَامُ أَحْمَدُ فِيْ رِوَايَةِ مُحَمَّدِ بْنِ يَحْيىَ الْكَحَّالِ قَالَ قِيْلَ لِأَبِىْ عَبْدِ اللهِ الرَّجُلُ يَعْمَلُ الشَّيْءَ مِنَ الخَيْرِ مِنْ صَلاَةٍ أَوْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِ ذَلِكَ فَيَجْعَلُ نِصْفَهُ لِأَبِيْهِ أَوْ لِأُمِّهِ قَالَ أَرْجُوْ أَوْ قَالَ الْمَيِّتُ يَصِلُ إِلِيْهِ كُلُّ شَيْءٍ مِنْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِهَا وَقَالَ أَيْضاً اِقْرَأْ آَيَةَ الْكُرْسِيِّ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ وَقُلْ هُوَ اللهُ أَحَدٌ وَقُلِ اللَّهُمَّ إِنْ فَضْلَهُ لِأَهْلِ المَقَابِرِ

ท่าน อิบนุก๊อยยิม  ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า  "บรรดานักปราชญ์ได้ขัดแย้งเกี่ยวกับอิบาดะฮ์ที่กระทำด้วยร่างกาย  เช่น  การถือศีลอด  การละหมาด   การอ่านอัลกุรอาน  และการซิกรุลลอฮ์   ท่านอิมามอะห์มัด  และปราชญ์สะลัฟส่วนมาก  มีทัศนะว่า  ผลบุญการถือศีลอด  การละหมาด  การอ่านอัลกุรอาน  การซิกรุลลอฮ์  นั้นถึงผู้ตาย  และมันยังเป็นทัศนะบางส่วนของสานุศิษย์อิมามอบูหะนีฟะฮ์  และท่านอิมามอะห์มัดได้กล่าวระบุไว้ในสายรายงานของมุฮัมมัด บิน อะห์มัด  อัลกะห์ฮาล  เขากล่าวว่า  "ได้กล่าวถามแก่ท่านอบีอับดิลลาฮ์ (คือท่านอิมามอะห์มัด) ว่า  ชายคนหนึ่งได้กระทำความดี  จากการละหมาด  การซอดาเกาะฮ์  และอื่น ๆ   แล้วมอบผลบุญครึ่งหนึ่งให้แก่บิดาหรือมารดาของเขา  ท่านอิมามอะห์มัดตอบว่า  "ฉันหวัง(ว่าผลบุญนั้นถึงมัยยิด)"  หรือท่านอิมามอะห์มัดกล่าวว่า "ทุก ๆ สิ่งจากการซอดาเกาะฮ์และอื่น ๆ นั้น  ผลบุญจะถึงแก่มัยยิด"  และท่านอิมามอะห์มัดกล่าวเช่นเดียวกันว่า "ท่านจงอ่านอายะฮ์กุรซีย์ 3 ครั้ง  ท่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด  และท่านจงกล่าวว่า  "โอ้ผู้อภิบาลแห่งข้า  ความดีงามของมันนั้น  มอบแด่บรรดาชาวกุบูร"    หนังสือ  อัรรั๊วะห์  ของท่านอิบนุก๊อยยิม  1/117

ท่านอิมามอะห์มัดใช้ให้ชายคนหนึ่งอ่านอัลกุรอาน  เช่น อายะฮ์อัลกุรซีย์และอ่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด เพราะมีหลักฐานเดิมที่ใช้ให้อ่านอัลกุรอาน  ส่วนรูปแบบให้อ่าน 3 ครั้ง  และขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ล่วงลับในกุบูรนั้น  ไม่ขัดกับหลักศาสนา  ยิ่งกว่านั้นยังถูกรับรองจากหลักฐานของศาสนาตามนัยยะแบบกว้าง ๆ ว่าผลบุญจะถึงบรรดาผู้ล่วงลับไปแล้ว 

ตัวอย่างที่ห้า

ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวไว้เช่นกันว่า

فَإِنْ قِيْلَ هَذَا لَمْ يَكُنْ مَعْرُوْفاً عَنِ السَّلَفِ وَلاَ أَرْشَدَهُمْ إِلَيْهِ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَالْجَوَابُ: إِنْ كَانَ مُوْرِدُ هَذَا السُّؤَالِ مَتَعَرِّفاً بِوُصُوْلِ ثَوَابِ الحَجِّ وَالصِّيَامِ وَالدُّعَاءِ، قِيْلَ لَهُ: مَا الفَرْقُ بَيْنَ ذَلِكَ وَبَيْنَ وُصُوْلِ ثَوَابِ القِرَاءَةِ؟ وَلَيْسَ كَوْنُ السَّلَفِ لَمْ يَفْعَلُوْهُ حُجَّةً فِيْ عَدَمِ الْوُصُوْلِ!! وَمِنْ أَيْنَ لَنَا هَذَا النَّفْيُ الْعَامُّ؟!

ً"หากถามว่า  การอ่านอัลกุรอานฮะดียะฮ์ผลบุญให้ผู้ตายนั้น  ไม่เป็นที่รู้กันจากสะลัฟและท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ไม่ได้แนะนำพวกเขาไว้  คำตอบก็คือ  หากผู้ที่นำคำถามนี้มา  ได้ยอมรับว่าผลบุญการทำฮัจญ์ , การถือศีลอด , และการขอดุอาอ์ , นั้นถึงไปยังผู้ตาย  ก็ขอกล่าวตอบแก่เขาว่า  อะไรคือข้อแบ่งแยก(หรือความแตกต่าง)ระหว่างสิ่งดังกล่าวกับผลบุญการอ่านอัลกุรอานถึงผู้ตาย? และการที่สะลัฟไม่เคยกระทำมันนั้นมิใช่เป็นหลักฐานว่าผลบุญไม่ถึงผู้ตาย  และแล้วจากใหนล่ะ(หลักฐาน)ที่มาปฎิเสธ(ห้าม)แบบโดยรวมต่อพวกเรา?! " หนังสืออัรรั๊วะห์ 1/143

ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวว่า  การอ่านอัลกุรอ่านฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ตายนั้น  แม้ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่เคยกระทำ  และไม่เป็นที่รู้กัน  แต่มีหลักฐานให้ทำการอ่านอัลกุรอานและยืนยันว่าผลบุญของอิบาดะฮ์นั้นถึงแก่ผู้ตาย  ก็ถือว่าไม่เป็นบิดอะฮ์แต่ประการใด  เพราะไม่มีหลักฐานมาปฏิเสธหรือห้ามแบบโดยรวม

ตัวอย่างที่หก

ท่านอิบนุก็อยยิม  กล่าวว่า

وَمِنْ تَجْرِيْبَاتِ السَّالِكِيْنَ الَّتِيْ جَرَّبُوْهَا فَأَلِفُوْهَا صَحِيْحَةٌ : أَنَّ مَنْ أَدْمَنَ يَا حَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَ إِلهَ إِلَّا أَنْتَ أَوْرَثَهُ ذَلِكَ حَيَاةَ الْقَلْبِ وَالْعَقْلِ وَكَان شَيْخُ الإِسْلاَمِ ابْنُ تَيْمِيَّةَ قَدَّسَ اللهُ رُوْحَهُ شَدِيْدَ اللَهْجِ بِهَا جِدًّا وَقَالَ لِيْ يَوْمًا : لِهَذَيْنِ الاِسْمَيْنِ وَهُمَا الَحَيُّ الْقَيُّوْمُ تَأْثِيْرٌ عَظِيْمٌ فِيْ حَيَاةِ الْقَلْبِ وَكَانَ يُشِيْرُ إِلَى أَنَّهُمَا الاِسْمُ الأَعْظَمُ وَسَمِعْتُهُ يَقُوْلُ : مَنْ وَاظَبَ عَلَى أَرْبَعِيْنَ مَرَّةً كُلَّ يَوْمٍ بَيْنَ سُنَّةِ الْفَجْرِ وَصَلاَةِ الْفَجْرِ يَاحَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَإِلَهَ إِلاَّ أَنْتَ بِرَحْمَتِكَ أَسْتَغِيْثُ حَصَلَتْ لَهُ حَيَاةُ الْقَلْبِ وَلَمْ يَمُتْ قَلْبُهُ
 
"ส่วนหนึ่งจากบรรดาการทดสอบของนักตะเซาวุฟ  ซึ่งพวกเขาได้ทดสอบมัน  แล้วพบว่ามันเป็นความถูกต้องจริง  ก็คือผู้ใดที่บากบั่นกล่าวว่า  "ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลา  อันต้า"  แน่นอนว่าดังกล่าวนั้นจะทำให้เขามีหัวใจและสติปัญญาที่มีชีวิตชีวา  และท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ์  ขออัลเลาะฮ์ทรงปลดเปลื้องวิญญาของท่านให้บริสุทธิ์  ได้กล่าวมันอย่างสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก  และวันหนึ่งท่านได้กล่าวแก่ฉันว่า  ให้กับสองพระนามนี้  คือ  อัลฮัยยุ  อัลก็อยยูม  ยังผลอันยิ่งใหญ่ต่อการทำให้หัวใจมีชีวิตชีวา  และท่านได้แนะนำว่า  ทั้งสองพระนามนั้นเป็นพระนามที่ยิ่งใหญ่สุด  และฉันได้ยินท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า  ผู้ใดได้กล่าวเป็นประจำถึง 40 ครั้งในทุกวันระหว่างละหมาดสุนัต(ก่อน)ซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์ว่า  ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลาอันต้า บิเราะห์มะติก้า อัสตะฆีษุ  การมีชีวิตชีวาของจิตใจก็จะเกิดขึ้นแก่เขาและหัวใจของเขาจะไม่ตาย" หนังสือ มะดาริจญ์ อัสสาลิกีน 1/448

เป็นที่ทราบกันดีว่า  ไม่มีซุนนะฮ์นบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ระบุสั่งเจาะจงไว้เลยว่า  ให้ทำการกล่าวพระนามของอัลเลาะฮ์ทั้งสองถึง 40 ครั้งทุกวันระหว่างละหมาดสุนัตซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์  แต่อนุญาตได้กระทำได้เพราะยึดหลักฐานแบบกว้าง ๆ (มัฏลัก) ที่ส่งเสริมให้ทำการซิกิร

จากตัวอย่างที่ผมได้หยิบยกมานั้น แม้ท่านอิมามมอะห์มัดและท่านอิบนุตัยมียะะฮ์เอง  ก็ทำอิบาดะฮ์ประเภทที่ไม่มีซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาระบุรูปแบบเจาะจงให้กระทำ แต่เมื่อมีหลักฐานแบบกว้าง ๆ มารับรองแล้ว  ก็อนุญาตให้กระทำได้นั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 31, 2009, 01:34 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
2.3  อ. ปราโมทย์  กล่าวว่า   ถ้าจะยึดถือตามความเข้าใจของ อ.กอเซ็มที่ว่า .. แม้กระทั่งเรื่องอิบาดะฮ์ ถ้าไม่มีหลักฐานห้ามแล้วก็ทำได้ .. มาเป็นบรรทัดฐาน  สังคมมุสลิมก็คงวุ่นวายพิลึก เพราะ ...สมมุติถ้า อ.กอเซ็มเองจะอุทิศผลบุญการทำความดีทุกชนิดของตนเอง (ขอย้ำว่า อุทิศผลบุญ มิใช่ขออภัยโทษ)ให้แก่เพื่อนฝูงที่เป็นกาฟิรฺบ้าง ก็คงเป็นเรื่องทำได้เพราะไม่มีหลักฐานห้าม ?? ...

ความจริงแล้ว  ส่วนหนึ่งจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคม  คือการไม่เข้าใจจุดยืนและหลักการของอีกฝ่ายหนึ่งเสียมากกว่า  การกล่าวหาฟิตนะฮ์ต่อกันจึงบังเกิดขึ้น  ความตะอัศศุบคลั่งไคล้ทัศนะของตนเท่านั้นที่ถูกมาเป็นบรรทัดฐาน  ทำให้ความวุ่นวายเกิดขึ้นในสังคมนั่นเอง  วัลอิยาซุบิลลาฮ์!

แต่ผมยังสะดุดใจคำพูดของ อ.ปราโมทย์ ที่ว่า  "อุทิศผลบุญการทำความดีทุกชนิดของตนเอง (ขอย้ำว่า อุทิศผลบุญ มิใช่ขออภัยโทษ)ให้แก่เพื่อนฝูงที่เป็นกาฟิรฺบ้าง..."  ความจริงแล้ว  การอุทิศหรือฮะดียะฮ์ผลบุญก็คือการสะสมการอภัยโทษของอัลเลาะฮ์ให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง  เพราะคำว่า "ผลบุญ" ภาษาอาหรับเรียกว่า الثَّواَبُ (อัษษะว้าบ)

ท่านอิมามอัชชะรีฟ อัลญุรญานีย์  ได้ให้คำนิยามคำว่าอัษษะว้าบ الثَّوَابُ "ผลบุญ"  ตามหลักการของศาสนา ( الشَّرْعِيُّ ) ความว่า

مَا يُسْتَحَقُّ بِهِ الرَّحْمَةُ وَالْمَغْفِرَةُ مِنَ اللهِ تَعَالىَ، وَالشَّفَاعَةُ مِنَ الرَّسُوْلِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ

"สิ่งที่เหมาะสมยิ่งที่จะได้รับความเมตตาและการอภัยโทษจากอัลเลาะฮ์ตะอาลาและการช่วยเหลือ(ชะฟาอัต)จากท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม"  หนังสือ อัตตะรีฟาต หมวด อัษษะว้าบ

กล่าวคือ  ผลบุญนั้น  คือการปฏิบัติความดีงามที่จะได้รับซึ่งผลตอบแทนในรูปแบบของความเมตตา  การอภัยโทษของอัลเลาะฮ์ตะอาลา  และการชะฟาอัตของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาจะทรงมอบสิทธิ์พิเศษให้ในวันกิยามะฮ์  ดังนั้นหากเราทำอิบาดะฮ์มาก ๆ  ผลบุญก็จะมาก  หมายถึง  ความเมตตา  การอภัยโทษของอัลเลาะฮ์  และการได้รับชะฟาอะฮ์จากท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็จะทวีคูณมากขึ้นไปด้วย  เพราะฉะนั้นการที่เราพูดว่าทำอะมัลความดีเยอะ ๆ เพื่อจะได้ผลบุญเยอะ ๆ  ย่อมหมายถึง  เราจะได้ความเมตตาและการอภัยโทษของอัลเลาะฮ์สะสมไว้เยอะ ๆ นั่นเอง  และเมื่อทำความดีเยอะ ๆ เราก็จะได้เข้าสวรรค์ด้วยผลบุญที่อยู่ในความหมายขอความเมตตา  ความโปรดปราน  และการอภัยโทษของอัลเลาะฮ์นั่นเองครับ

ดังนั้นความหมายผลบุญเช่นนี้แหละที่จะมาลบล้างความชั่วที่เราได้กระทำขึ้นได้

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า

إِنَّ الحَسَنَاتِ يُذْهِبْنَ السَّيِّئَاتِ

"แท้จริงบรรดาความดีนั้นจะมาลบล้างบรรดาความชั่ว" ฮูด : 141

ความดีที่จะมาลบล้างความชั่วก็คือความดีที่เป็นผลบุญอันอยู่ในความหมายของความเมตตาของอัลเลาะฮ์และการอภัยโทษของพระองค์และการชะฟาอัตของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั่นเอง

หากถามว่าเราจะสามารถขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ให้พระองค์ทรงประทานผลบุญที่มาจากความหมายของความเมตตา  ความโปรดปราน  การอภัยโทษของอัลเลาะฮ์  และการได้รับชะฟาอะฮ์จากของท่านนบี  มอบ(ฮะดียะฮ์)ให้แก่พี่น้องมุสลิมที่เสียชีวิตไปแล้วได้หรือไม่?   

ตอบ : ได้ครับ  เพราะอัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงบัญชาใช้ให้เรา  ทำการอิสติฆฟารขออภัยโทษจากอัลเลาะฮ์ให้แก่พี่น้องมุสลิม  ซึ่งการอภัยโทษจากอัลเลาะฮ์นั้น  ส่วนหนึ่งก็อยู่ในความหมายของผลบุญนั่นเองครับ  ดังนั้นผลบุญเราสามารถขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ให้พระองค์ทรงมอบฮะดียะฮ์ผลบุญของเราให้ แก่พี่น้องมุสลิมได้

อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

وَقَالَ رَبُّكُمُ ادْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ

"ผู้อภิบาลของพวกเจ้าตรัสว่า  พวกเจ้าจงขอ(ดุอา)ต่อข้าเถิด  แล้วข้าจะตอบรับให้แก่พวกเจ้า" ฆอฟิร 60

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า
 
فَاعْلَمْ أَنَّهُ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَاسْتَغْفِرْ لِذَنبِكَ وَلِلْمُؤْمِنِينَ وَالْمُؤْمِنَاتِ

"และเจ้าจงรู้เถิดว่า  แท้จริงพระองค์นั้น  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะฮ์  และเจ้าจงอิสติฆฟาร(ขออภัยโทษให้มี)แก่บาปของเจ้า  และ(จงขออภัยโทษให้มี)แก่บรรดาผู้ศรัทธาชนทั้งชายและหญิง"  มุฮัมมัด : 19

พระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า

وَالَّذِينَ جَاؤُوا مِن بَعْدِهِمْ يَقُولُونَ رَبَّنَا اغْفِرْ لَنَا وَلِإِخْوَانِنَا الَّذِينَ سَبَقُونَا بِالْإِيمَانِ
 
" และบรรดา (คนมุสลิม) ที่มาภายหลังจากพวกนั้นกล่าว(ขออภัยโทษให้มีแก่ผู้ศรัทธา)ว่า "โอ้องค์อภิบาลของเรา  ได้โปรดอภัยโทษแก่เรา  และแก่บรรดาพี่น้อง(มุสลิม)ของเรา  ที่ได้ล่วงหน้าเราไปแล้วในการศรัทธา" อัลฮัชรุ 10

ท่านอิบนุก็อยยิม  กล่าวว่า

فَأَثْنَى اللهُ سُبْحَانَهُ عَلَيْهِمْ بِاِسْتِغْفَارِهِمْ لِلْمُؤْمِنِيْنَ قَبْلَهُمْ فَدَلَّ عَلىَ اِنْتِفَاعِهِمْ بِاِسْتِغْفَارِ الأَحْيَاءِ

" ดังนั้น  อัลเลาะฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  ได้ทรงยกย่องสรรเสริญต่อผู้ที่ทำการอิสติฆฟาร(ขออภัยโทษให้มี)แก่บรรดามุสลิมีนที่อยู่ ก่อนหน้าพวกเขามาแล้ว  ดังนั้นหลักฐานอัลกุรอานอายะฮ์นี้  จึงชี้ให้เห็นว่า  บรรดาคนตายจะได้รับประโยชน์ด้วยการอิสติฆฟารการขออภัยโทษต่ออัลเลาะฮ์จากคน ที่มีชีวิตอยู่"  หนังสือ อัรรั๊วะห์ 1/118
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 02, 2009, 07:51 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
3.  อ.ปราโมทย์  ได้แปลคำพูดของท่าน อิมาม อัล-เกาษะรีย์  ที่ว่า

ท่านเช็คอัล-เกาษะรีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-มะกอลาต”  หน้า 185  ว่า ...

وَتَسَاهُلُ الْحَاكِمِ وَابْنِ حِبَّانٍ فِى التَّصْحِيْحِ مَشْهُوْرٌ

“ความสะเพร่าของท่านอัล-หากิมและท่านอิบนุหิบบานในการตัดสินความถูกต้องของหะดีษ เป็นที่รับรู้กันอย่างแพร่หลาย”

หลังจากนั้น  อ.ปราโมทย์  ก็ทำการวิจารณ์นักรายงานท่านหนึ่งที่ชื่อ อับดุรเราะห์มาน บิน อัลอะลาอฺ  บิน อัลลัจญฺลาจ  ว่าเป็นนักรายงานที่ฎออีฟ  และกล่าวว่า  และหะดีษเฎาะอีฟ ก็จะนำมาอ้างเป็นหลักฐานไม่ได้ ...

แล้วทำการวิจารณ์สายรายงานเกี่ยวกับหลักฐานจากการบันทึกของท่านอัล-ค็อลลาล,  จากท่านอิบนุกุดามะฮ์ อัล-เญาฮะรีย์ว่า ท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัลซึ่งเคยกล่าวว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺเป็นบิดอะฮ์ ได้ “คืนคำ” ในภายหลัง และ อ.ปราโมทย์กลับไปทบทวนรายงานที่ท่านอัล-ค็อลลาลได้บันทึกรายงานดังกล่าวในหนังสือแค่บางเล่มคือ “อัล-ญาเมี๊ยะอฺ” จากท่านอัล-หะซัน บินอะห์มัด อัล-วัรฺรอก,  จากท่านอะลีย์ บินมูซา อัล-หัดดาด,  จากท่านอิบนุกุดามะฮ์,  จากท่านมุบัชชิรฺ บินอิสมาอีล อัล-หะละบีย์,  จากท่านอับดุรฺเราะห์มาน บินอัล-อะลาอ์,  จากท่านอะลาอ์ บิน อัล-ลัจญลาจญ,  จากท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. ...สายรายงานนี้ เป็นสายรายงานที่เฎาะอีฟ  เพราะผู้รายงาน 2 ท่านแรก คือท่านอัล-หะซัน บินอะห์มัด อัล-วัรฺรอก กับท่านอะลีย์ บินมูซา อัล-หัดดาด

วิภาษ

3.1  อ. ปราโมทย์  แปลคำว่า  تَسَاهُلٌ  หมายถึง "สะเพร่า"  ไม่ว่าหนังสือหรือบทความใดที่ อ.ปราโมทย์  เช่น  บทความวิจารณ์เรื่องกุนูตซุบฮ์ , บทความยืนยันว่าพ่อแม่นบีตกนรก ,   ซึ่ง อ.ปราโมทย์  จะแปลคำว่า تَسَاهُلٌ  ให้อยู่ในความหมายว่า "สะเพร่า" อยู่เสมอ  ซึ่งถือว่าไม่ควรแปลเช่นนั้น  และยังผลซึ่งการมองในแง่ลบต่อท่านอัลฮากิมและท่านอิบนุฮิบบานในการตัสฮีห์(ฮุกุ่มฮะดีษ)ของท่านโดยรวม  ความจริงแล้ว  คำว่า  تَسَاهُلٌ  นั้น  หมายถึง  "การผ่อนปรน"  คือไม่เข้มงวดในการวิเคราะห์หรือวางเงื่อนไขที่มีต่อเหล่านักรายงานฮะดีษตามแนวทาง(มัซฮับ)ของท่านทั้งสองนั่นเอง  ดังนั้นแนวทางของท่านทั้งสองในการวิจารณ์นักรายงานฮะดีษไม่ใช่สะเพร่า  แต่ทั้งสองมีแนวทางหรือเงื่อนไขที่ผ่อนปรนต่อนักรายงานฮะดีษ  เพราะฉะนั้นการตัดสินฮะดีษจึงผ่อนปรนตามมาด้วยนั่นเอง  ซึ่งในมุมมองของนักฮะดีษรุ่นหลัง  เห็นว่าท่านทั้งสองนี้มีการผ่อนปรนในการตัดสินฮะดีษ  จึงมีนักฮะดีษยุคต่อมาทำการตรวจสอบวินิจฉัยในการตัดสินฮะดีษอีกครั้ง  เช่น  ท่านอัซซะฮะบีย์  เป็นต้น

แต่ถ้าหากตัดสินฮะดีษสะเพร่านั้น  คือผู้ชื่นชอบศึกษาวิชาฮะดีษ  แล้วทำการตัดสินฮะดีษในหนังสือเล่มหนึ่งว่าซอฮิห์  แต่เมื่อทำการตัดสินฮะดีษสายรายงานเดียวกันในหนังสือเล่มอื่นกลับบอกว่าฎออีฟ  แบบนี้ซิที่เขาเรียกว่าสะเพร่า  ดังที่มีให้เห็นกันในปัจจุบันครับ       

ในหนังสืออัลมั๊วะญัม อัลวะญีซฺ  ได้ระบุว่า

تَسَاهَلَ فُلاَنٌ : تَسَامَحَ

"คนหนึ่งได้ตะซาฮะลา (หมายถึง)  เขาได้ผ่อนปรน"  อัลมั๊วะญัม อัลวะญีซฺ หน้า 326

ท่านอะบูบักร อัรรอซีย์  กล่าวว่า

اَلتَّسَاهُلُ : التَّسَامُحُ

"อัตตะซามั๊วะห์  คือ  การผ่อนปรน" หนังสือมุคตารุศศิฮาห์ หน้า 194

ท่านอิบนุมะฮ์ดี (ปราชญ์สะลัฟ) ได้กล่าวว่า

اِذَا رَوّيْنَا عَنِ النَّبىِّ صَلَّى اللّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِى الحَلاَلِ , وَالْحَرَامِ , وَالأَحْكَامِ , شَدَّدْنَا فِى الأَسَانِيْدِ , وَانْتَقَدْنَا الرِّجَالَ , وَاِذَا روّينا فِى الفَضَائِلِ , وَالثَّوَابِ , وَالعِقَابِ , تَسَاهَلْنَا فِى الأَسَانِيْدِ , وَتَسَامَحْنَا فِى الرِّجَالِ

"เมื่อเรา(ชาวสะละฟุศศอลิห์)ได้ทำการ รายงานจากท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ในเรื่องฮะล้าล  ฮะรอม  และเรื่องฮุกุ่มต่าง ๆ (เช่นเรื่องการค้าขาย , การนิกาห์ , การหย่า เป็นต้น)นั้น  เราจะเข้มงวดในสายรายงาน  และเราก็จะทำการวิจารณ์บรรดานักรายงาน  และเมื่อเรา(ชาวสะละฟุศศอลิห์)ทำการรายงาน(ฮะดิษ)ในเรื่องคุณงามความดี  เรื่องผลบุญ  การลงโทษ  เราจะผ่อนปรนในสายรายงาน  และเราจะผ่อนปรนในบรรดานักรายงาน" หนังสือ  อัลมัดค็อล อิลา กิตาบิล อิกลีล หน้า 29 ของท่านอิมาม อะบี อับดิลลาฮ์ อัลฮากิม

ดังนั้นคำว่า تَسَاهَلْنَا فِى الأَسَانِيْدِ หมายถึง "เราจะผ่อนปรนในบรรดาสายรายงาน"  มิใช่  "เราจะทำการสะเพร่าในบรรดาสายรายงาน" นะครับ  และจากคำพูดของท่านอิบนุมะฮ์ดีนี้  ชี้ให้เห็นว่าสะละฟุศศอลิห์ได้ผ่อนปรนการรายงานฮะดีษในเรื่องการปฏิบัติคุณค่าของอะมัล  ซึ่งแน่นอนว่าหากจะทำการวิจารณ์สายรายงานที่ถูกรายงานมาแบบผ่อนปรนนั้น  ก็จะเป็นสายรายงานที่ฎออีฟเป็นส่วนมาก  ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า  สะละฟุศศอลิห์ให้การยอมรับในการนำฮะดีษฎออีฟมาปฎิบัติในเรื่องคุณค่าของอะมัล  เหตุใด อ.ปราโมทย์  ถึงไม่มีจุดยืนเยี่ยงสะละฟุศศอลิห์  โดยพยายามวิจารณ์ฮะดีษที่ไม่สอดคล้องทัศนะตนให้เป็นฎออีฟไปเกือบทั้งหมด  ทั้งที่ฮะดีษบางบทนักปราชญ์ฮะดีษมีการขัดแย้งกันในเรื่องการตัดสินฮะดีษ

ท่านอิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ กล่าวว่า

وَقَدْ اتَّفَقُوْا عَلَى أَنَّهُ لَا يُعْمَلُ بِالْمَوْضُوْعِ وَإِنَّمَا يُعْمَلُ بِالضَّعِيْفِ فِى فَضَائِلِ الأَعَمَالِ

"บรรดาปวงปราชญ์ มีทัศนะพร้องกันว่า แท้จริงจะไม่ถูกนำมาปฏิบัติกับหะดิษฏออีฟ แต่จะถูกนำมาปฏิบัติกับหะดิษฏออีฟเกี่ยวกับเรื่องคุณงามความดี" หนังสือ มิชกาฮ์ อัลมะซอบีหฺ 3/306

ด้วยเหตุดังกล่าวทั้งหมดนี้ ท่านอิมามอันนะวาวีย์จึงกล่าวไว้ในหนังสือ อัลอัษการ ของท่านว่า

وَ ذَكَرَ الفُقَهَاءُ وَ المُحَدَّثُوْنَ أَنَّهُ يَجُوْزُ وَ يُسْتَحَبُّ الْعَمَلُ فِى الفَضَائِلِ وَالتَّرْغِيْبِ وَالتَّرْهِيْبِ بِالحَدِيْثِ الضَّعِيْفِ مَا لَمْ يَكُنْ مَوْضُوْعاً

"บรรดานักปราชญ์นิติศาสตร์ อิสลามและนักปราชญ์หะดิษกล่าวว่า แท้จริง อนุญาตและสุนัตกับการปฏิบัติคุณงามความดี , ส่งเสริมให้ชอบกระทำความดี และเตือนให้เกรงกลัวด้วยกับหะดิษฏออีฟ ตราบใดที่มันไม่เมาฏั๊วะ" ดู หนังสือ อัลฟุตูฮาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อธิบาย อัลอัษการอันนะวาวียะฮ์ ของท่าน อิบนุอะลาน เล่ม 1 หน้า 82

ท่านอิบนุ อะลาน ได้กล่าวอธิบายเพิ่มเติมว่า  "ท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยษะมีย์  อัลมักกีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ฟุตหุลมุบีน อธิบายหนังสือ อัลอัรบะอีนของอิมามอันนะวาวีย์ และได้บ่งชี้ถึงการความเห็นสอดคล้องของปวงปราชญ์  ซึ่งท่านอิบนุหะญัรได้กล่าวโต้ตอบผู้คัดค้านที่ว่า  "บรรดาคุณงามความดีนั้น ต้องได้รับมาจากผู้บัญญัติศาสนา(ที่ซอฮิหฺ) เพราะการยืนยันด้วยกับหะดิษฏออีฟ  ถือเป็นการประดิษฐ์เรื่องอิบาดะฮ์ขึ้นมาและทำการบัญญัติในเรื่องศาสนาที่ อัลเลาะฮ์มิได้ทรงอนุญาต" แล้วท่านอิบนุหะญัร ได้โต้ตอบว่า "มติของปวงปราชญ์(เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟ) นี้ บางครั้งเป็นมติที่เด็ดขาดแน่นอนและบางครั้งเป็นมติที่ค่อนข้างมีน้ำหนักซึ่งไม่ควรจะถูกปฏิเสธด้วยการกล่าวอ้างเฉกเช่นสิ่งดังกล่าวเลย  หากแม้ว่าจะไม่มีคำโต้ตอบให้ก็ตาม  ดังนั้น จะอย่างไรเล่า ในเมื่อคำตอบจริง ๆ นั้น ย่อมมีความชัดเจนแล้วว่า การปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟมิใช่เป็นเรื่องของการประดิษฐ์หรือวางบทบัญญัติขึ้นมาเอง แต่ทว่าที่จริงแล้ว มันเป็นเรื่องของการแสวงหาและมุ่งหวังในความดีงามด้วยฮะดิษที่ฏออีฟโดยไม่มีผลเสียติดตามมา" หนังสือ อัลฟุตูฮาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อธิบาย อัลอัษการอันนะวาวียะฮ์ ของท่าน อิบนุอะลาน 1/83 ดูรายละเอียดจุดยืนปราชญ์สะลัฟที่มีต่อฮะดีษฎออีฟได้ที่นี่!

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า

إَنَّ الُعَلَمَاءَ إِنَّمَا يُنْكِرُوْنَ مَا أُجْمِعَ عَلىَ إِنْكَارِهِ ، أَمَّا الْمُخْتَلَفُ فَيِهْ فَلاَ إِنْكَارَ فِيْهِ

"แท้จริงบรรดานักปราชญ์นั้น จะตำหนิในเรื่องที่มีมติให้ทำการตำหนิ แต่สำหรับสิ่งที่ขัดแย้งกันนั้น ย่อมไม่มีการตำหนิแต่ประการใด " ดู ฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม 20 หน้า 225

ฉะนั้นเมื่อ  อ.กอเซ็ม  มีจุดยืนเยี่ยงสะละฟุศศอลิห์เหล่าปราชญ์อะฮ์ลุลฮะดีษ  และปราชญ์แห่งฟิกห์ทั้งหมดหรือส่วนมากในการผ่อนปรนรายงานฮะดีษ  เหตุใด อ.ปราโมทย์  ถึงยัดเยียดให้ อ.กอเซ็ม อยู่ในจุดยืนเดียวกับตน  แล้วทำการวิพากษ์วิจารณ์แบบดุเดือดตามหลักการที่ตนยึดถือ  ประหนึ่งว่าจุดยืนของ อ.ปราโมทย์เท่านั้น  ที่ถูกต้องที่สุดหนึ่งเดียวในโลก  แบบนี้เขาไม่เรียกว่าตะอัศศุบที่น่าตำหนิดอกหรือครับ? 
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 02, 2009, 07:53 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
3.2  อ.ปราโมทย์  ทำการวิจารณ์ฮะดีษของท่านอับดุรเราะห์มาน บิน อัลอะลาอฺ  บิน อัลลัจญฺลาจ  ที่ยกสายรายงานไปถึงท่านนบี (มัรฟั๊วะ) ว่าเป็นฮะดีษฎออีฟ  ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วย  จึงไม่ต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับฮะดีษมัรฟั๊วะนี้(คือฮะดีษที่ยกพาดพิงไปยังท่านนบี)  เพราะท่านอิบนุอิลาน  ได้กล่าวว่า

وَالصَّواَبُ أَنَّهُ مَوْقُوفٌ عَليَ اِبْنِ عُمَرَ رَواَهُ عَنْهُ الْبَيْهَقِيُّ وَغَيْرَهُ

"และที่ถูกต้องแล้วนั้น  แท้จริงมัน(สายรายงานที่อ่านอัลกุรอานที่กุบูร) หยุดอยู่ที่ท่านอิบนุอุมัร  ซึ่งรายงานจากท่านโดยอัลบัยฮะกีย์และคนอื่น ๆ" หนังสืออัลฟุตูฮาตอัรร็อบบานียะฮ์ ชัรห์ อัลอัซการ : 4/194

ดังนั้น  ผมจะทำการหยิบยกสายรายงานฮะดีษเมากูฟ(ฮะดีษที่รายงานถึงซอฮาบะฮ์)ซึ่งรายงานถึงท่านอิบนุอุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา ผู้เป็นซอฮาบะฮ์ของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  และทำการวิภาษการวิเคราะห์สายรายงานของ อ.ปราโมทย์ไปพร้อม ๆ กันครับ

ท่านอิมามอันนะวาวีย์  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  อัลอัซการ ของท่านว่า

وَرَوَيْنَا فِى سُنَنِ الْبَيْهَقِىِّ  بِإِسْنَادٍ حَسَنٍ أَنَّ إبْنَ عُمَرَ إِسْتَحَبَّ اَنْ يُقْرَأَ عَلىَ الْقَبْرِ بَعْدَ الدَّفْنِ أَوَّلَ سُوْرَةِ البَقَرَةِ وَخَاتِمَتَهَا

" เราได้รายงานไว้ใน สุนันอัลบัยฮะกีย์  ด้วยสายรายงานที่หะซันว่า แท้จริง ท่านอิบนุอุมัรนั้น  ชอบที่จะให้อ่านอัลกุรอานในช่วงแรกของซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ และช่วงท้ายของมันที่กุบูรหลังจากเสร็จสิ้นการฝังแล้ว" อัลฟุตูฮาด อัรร๊อบบานียะฮ์  อะลา อัลอัซการอันนะวะวียะฮ์  เล่ม 4 หน้า 194

การตัดสินฮะดีษของท่านอิมามอันนะวาวีย์  ถือว่าเป็นเพียงพอแล้วสำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติคุณค่าของอะมัลนี้

3.3  อ.ปราโมทย์  กล่าวว่า  ท่านอิหม่ามอะห์มัดได้คืนคำนั้น  เมื่อไปตรวจสอบดูที่มาของรายงานดังกล่าวจากการบันทึกของท่านอัล-ค็อลลาล ตามที่ อ.กอเซ็มนำมาอ้าง  ปรากฏว่า เป็นการรายงานที่เฎาะอีฟเช่นเดียวกัน ... แล้ว อ.ปราโมทย์  กล่าวว่า  ท่านอัล-ค็อลลาลได้บันทึกรายงานดังกล่าวในหนังสือ “อัล-ญาเมี๊ยะอฺ” จากท่านอัล-หะซัน บินอะห์มัด อัล-วัรฺรอก,  จากท่านอะลีย์ บินมูซา อัล-หัดดาด,  จากท่านอิบนุกุดามะฮ์,  จากท่านมุบัชชิรฺ บินอิสมาอีล อัล-หะละบีย์,  จากท่านอับดุรฺเราะห์มาน บินอัล-อะลาอ์,  จากท่านอะลาอ์ บิน อัล-ลัจญลาจญ,  จากท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. ...  หลังจากนั้น อ.ปราโมทย์  กล่าวย้ำว่า  สายรายงานนี้ เป็นสายรายงานที่เฎาะอีฟ

วิภาษ

ปรากฏว่า อ.ปราโมทย์  ตรวจสอบสายรายงานของท่านอัล-ค็อลลาล  ไม่ถี่ถ้วน  จึงไม่ควรรีบด่วนพิพากษาว่าฎออีฟนะครับ เพราะท่านอัลค็อลลาลได้รายงานไว้อีกสายรายงานอื่นอีก

ปราชญ์กลุ่มหนึ่งจากบรรดาสานุศิษย์ของอิมามอะหฺมัดได้รายงานว่า

أَنَّ أَحْمَدَ نَهَى ضَرِيْراً أَنْ يَقْرَأَ عَنْدَ القَبْرِ، وَقَالَ لَهُ : إِنَّ القِرَاءةَ عِنْدَ القَبْرِ بِدْعَةٌ ، فَقَالَ لَهُ مُحَمَّدٌ بْنُ قُدَامَةَ الجَوْهَرِىُّ : يَا أَبَا عَبْدَ اللهِ مَا تَقُوْلُ فِى مُبَشِّرٍ الْحَلَبِىِّ ؟ قَالَ : ثِقَةٌ ، قَالَ : فَأَخْبَرَنِى مُبَشِّرٌ ، عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ العَلاَءِ بْنِ اللجَلاَجِ، عَنْ أَبِيْهِ : أَنَّهُ أَوْصَى إِذَا دُفِنَ أَنْ يَقْرَأَ عَنْدَهُ بِفَاتِحَةِ البَقَرَةِ وَخاَتِمَتَهاَ، وَقَالَ : سَمِعْتُ ابْنَ عُمَرَ يَوْصِى بِذَلِكَ ، فَقَالَ لَهُ أَحْمَدُ : فَارْجِعْ وَقُلْ لِلرَّجُلِ يَقْرَأُ

"แท้จริง ท่านอะหฺมัด ได้ห้ามชายตาบอด ทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  ท่านอะหฺมัดกล่าวแก่เขาว่า การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั้นเป็นบิดอะฮ์  ดังนั้น มุหัมมัด บิน กุดามะฮ์ อัลเญาฮะรีย์ กล่าวกับท่านอะหฺมัดว่า  โอ้ อบูอับดุลเลาะฮ์ (คือท่านอิมามอะหฺมัด) ท่านจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับท่านมุบัชชิร อัลหะละบีย์ ? ท่านอะหฺมัดกล่าวว่า  เขานั้นเชื่อถือได้  มุหัมมัด บิน กุดามะฮ์กล่าวว่า  ท่านมุบัชชิรได้เล่าให้ฉันฟังโดยเอามา  จากท่านอับดุรเราะห์มาน บิน อัลอะลาอ์ บิน อัลลัจลาจญฺ  จากบิดาของเขาว่า  แท้จริง บิดาของเขาได้ทำการสั่งเสียว่า  เมื่อเขาได้ถูกฝังไปแล้ว  ก็ให้ทำการอ่านช่วงแรกของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์  และช่วงท้ายของมันที่สุสานของเขา  และบิดาของเขากล่าวว่า  ฉันได้ยินท่านอิบนุอุมัรได้ทำการสั่งเสียเรื่องดังกล่าวไว้  ดังนั้น ท่านอิมามอะหฺมัดจึงกล่าวแก่เขาว่า  ท่านจงกลับไปบอกชาย(ตาบอด)ผู้นั้น  ให้ทำการอ่านอัลกุรอาน(ที่กุบูร)ได้"

สายรายงานนี้  ท่าน อัลค๊อลลาล ได้รายงานการคืนคำฟัตวาของท่านอิมามอะห์มัดไว้ในหนังสือ อัลอัมรฺ บิลมะอฺรูฟ วันนะฮ์ อะนิลมุงกัร หน้า 125 - 126 จากท่านอะหฺมัด ความว่า

أَخْبَرَنَا أَبُوْ بَكْرٍ بْنُ صَدَقَة قَالَ : سَمِعْتُ عُثْمَانَ بْنَ أَحْمَدَ بْنِ إِبْرَاهِيْمَ الْمَوْصِلِىَّ قَالَ : كَانَ أَبُوْ عَبْدِ اللهِ أَحْمَدُ بْنُ حَنْبَل فِىْ جَنَازَةٍ وَمَعَهُ مُحَمَّدُ بْنُ قُدَامَة...فذكره

"ท่านอบูบักร บิน ซ่อดะเกาะฮ์ได้บอกให้เราทราบ  เขากล่าวว่า  ฉันได้ยินอุษมาน บิน อะหฺมัด บิน อิบรอฮีม อัลเมาซิลีย์  กล่าวว่า  อบูอับดุลเลาะฮ์ คือ ท่านอะห์มัด บิน หัมบัลพร้อมด้วยท่านมุฮัมมัด บิน กุดามะฮ์  แล้วเขาก็ได้ไปร่วมงานฝังศพของชายคนหนึ่ง .....(กล่าวรายงานเหมือนกับที่กล่าวมาแล้ว)"

วิเคราะห์สายรายงาน

1. أَبُوْ بَكْرٍ بْنُ صَدَقَة   ท่านอบูบักร บิน ซ่อดะเกาะฮ์นี้  คือ  อะหฺมัด บิน มุหัมมัด บิน อับดิลลาฮ์ บิน ซ่อดะเกาะฮ์  เขาเป็นนักจดจำหะดิษ  ท่านอัดดารุกุตนีย์ กล่าวว่า เขานั้น ثِقَةٌ ثِقَةٌ  "เชื่อถือได้  เชื่อถือได้" หนังสือ ตารีค บุฆดาด : 5/40

2. عُثْمَانَ بْنَ أَحْمَدَ بْنِ إِبْرَاهِيْمَ الْمَوْصِلِىَّ ท่านอุษมาน บิน อะห์มัด อัลเมาซิลีย์  ซึ่งเขานั้นเป็นหนึ่งในสานุศิษย์ของท่านอิมามอะห์มัดและได้ทำการรายงานจากอิมามอะห์มัด  (ดูหนังสือ อัลมักซ็อด อัลอัรชัด ฟีซิกริ อัศฮาบิลอิมามอะห์มัด : 2/166  ของท่านอิมามอิบนุมุฟลิห์

ดังนั้น  เหล่าสานุศิษย์ของท่านอิมามอะห์มัดที่ได้บันทึกมัซฮับของท่านนั้นย่อมรู้ยิ่งกว่าบรรดาผู้รายงานที่ไม่ใช่สานุศิษย์อิมามอะห์มัด  และปราชญ์มัซฮับอิมามอะห์มัดทั้งหมดที่ถ่ายทอดการคืนคำฟัตวามาฮุกุ่มอนุญาตให้อ่านอัลกุรอ่านที่กุบูรจากท่านอิมามอะห์มัดนั้น  ต่างก็ยึดสายรายงานที่ท่านอัล-ค็อลลาลอันนี้

ส่วนสายรายงานจากท่านอะห์มัดถึงท่านอิบนุอุมัรนั้น  ท่านอัลฮัยษะมีย์  ได้กล่าวไว้ใน  หนังสือ มัจญฺมะอ์ อัซซะวาอิดว่า

رَوَاهُ الطَّبْرَانِىُّ فِى الْكَبِيْرِ ، وَرِجَالُهُ مُوَثَّقُوْنَ

"รายงานโดยท่านอัฏฏ๊อบรอนีย์ ไว้ในหนังสือ มั๊วะญัม อัลกะบีร  และบรรดานักรายงานนั้น ได้รับการเชื่อถือ" เล่ม 3 หน้า 44

ท่านอิบนุอะลานได้กล่าวว่า ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร อัลอัสก่อลานีย์  ได้กล่าวตัดสินฮะดีษนี้ไว้ในหนังสือ อะมาลี อัลอัซการ  ความว่า

هَذَا مَوْقُوفٌ حَسَنٌ

"สายรายงานนี้  เป็นฮะดีษเมากูฟที่ฮะซัน(ดี)"  ดู  อัลฟุตูฮาด อัรร๊อบบานียะฮ์  เล่ม 4 หน้า 194

ดังนั้นการตัดสินฮะดีษของท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร ย่อมเป็นการเพียงพอแล้วที่จะนำมาปฏิบัติในเรื่องคุณค่าของอะมัลเฉกเช่นดังกล่าวนี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 31, 2009, 02:09 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
3.4  อ.ปราโมทย์  กล่าววิเคราะห์นักรายงานว่า  สำนวนที่ว่า  “رِجَالُهُ مُوَثَّقُوْنَ หรือ  رِجَالُهُ وُثِّقُوْا” .. หมายถึง “ผู้รายงานของมันขาดความเชื่อถือในทัศนะนักวิชาการส่วนใหญ่”  เพราะเป็นบุคคลมัจญฮูล คือไม่มีใครรู้จักหรือทราบประวัติ แต่ถูกเชื่อถือโดยนักวิชาการบางท่าน(เช่นท่านอิบนุหิบบาน) ... 

ท่านอับดุลลอฮ์ มุหัมมัด อัด-ดัรฺวีช ได้เขียนอธิบาย “สำนวนเฉพาะตัว” ของท่านอัล-ฮัยษะมีย์ จากหนังสือ “มัจญมะอฺ อัซ-ซะวาอิด”  เล่มที่ 1  หน้า 51 ข้อที่ 7 มีข้อความว่า ...

"إِذَا قَالَ : رِجَالُهُ وُثِّقُوْا .. فَيَعْنِىْ لَمْ يُوَثِّقْهُمْ غَيْرُ ابْنِ حِبَّانٍ،  أَوْ وَثَّقَهُمْ جَمَاعَةٌ وَضَعَّفَهُمْ أُخْرَى"

“เมื่อเขา(อัล-ฮัยษะมีย์)กล่าวว่าرِجَالُهُ وُثِّقُوْا  (ผู้รายงานของมันถูกให้ความเชื่อถือ)  ความหมายของเขาก็คือ ไม่มีผู้ใดเชื่อถือผู้รายงานเหล่านั้นนอกจากท่านอิบนุหิบบาน,  หรือมีนักวิชาการบางกลุ่มเชื่อถือพวกเขา และนักวิชาการบางกลุ่มไม่เชื่อถือพวกเขา” ..

การให้ความเชื่อถือของท่านอิบนุหิบบานเพียงผู้เดียวต่อผู้รายงานหะดีษท่านใด ตามปกติจะไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการ  เพราะมองว่า ท่านอิบนุหิบบานสะเพร่า (تَسَاهُلٌ)ในการตัดสินความถูกต้องของหะดีษหรือให้ความเชื่อถือผู้รายงานที่นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่า เป็นบุคคลมัจญฮูล คือ ไม่มีใครรู้จักหรือทราบประวัติ ...

สำหรับในสายรายงานของหะดีษบทข้างต้น ท่านอับดุรฺเราะห์มาน บุตรของท่านอัล-อะลาอ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รายงานหะดีษนี้  มีท่านอิบนุหิบบานเพียงผู้เดียวที่ให้ความเชื่อถือ  ทว่าในทัศนะนักวิชาการส่วนใหญ่แล้วถือว่า ท่านผู้นี้ เป็นผู้ที่ไม่มีใครรู้จัก (مَجْهُوْلُ الْعَيْنِ) ดังข้อมูลที่จะได้นำเสนอต่อไป ...

วิภาษ

1. คำว่า (مَجْهُوْلُ الْعَيْنِ) ตามความหมายของวิชาฮะดีษ  หมายถึง  นักรายงานที่ถูกเอ่ยนามแต่ไม่มีใครรายงานจากเขานอกจากคนเดียวเท่านั้น  ซึ่งเขาอยู่สภาพที่ไม่ถูกวิจารณ์และไม่ได้ถูกระบุการชมเชย  ดังนั้นเขาจะได้รับการเชื่อถือต่อเมื่อมีนักฮะดีษที่ไม่ได้รายงานจากเขาให้การรับรองในความเชื่อถือ  หรือผู้ที่รายงานจากเขานั้นให้การรับรองความเชื่อถือเอง  แต่ผู้รับรองนั้นต้องมีเงื่อนไขว่าเป็นปราชญ์นักวิจารณ์ผู้รายงานฮะดีษ

เป็นที่ทราบดีว่า  อับดุรเราะห์มาน บิน อัลอะลาอฺ  มิได้ถูกนำเข้าไปอยู่ในตำราที่กล่าวเกี่ยวกับบรรดานักรายงานที่ฎออีฟ  เพราะเขามิได้ถูกตำหนิวิจารณ์พร้อมกับไม่ได้ถูกชมเชยเลย  นอกจากท่านอิบนุฮิบานได้รับรองความเชื่อถือตามแนวทางของท่าน  แต่ อ.ปราโมทย์  พยายามทำให้ อับดุรเราะฮ์ บิน อัลอะลาอฺ  ฎออีฟให้ได้  โดยนำไปอยู่ในจำพวก(مَجْهُوْلُ الْعَيْنِ) ผู้ที่ไม่มีใครรู้จัก!  ซึ่งการวิเคราะห์เช่นนั้น  ต้องพิจารณาใคร่ครวญให้ครบทุกกระบวนความก่อนครับ  เพราะว่า

2. หากนักรายงานมีคุณสมบัติมัจญฺฮูล (مَجْهُوْلُ) (ไม่รู้จักถึงสถานะภาพว่าเขาได้รับการชมเชยหรือถูกตำหนิ) นั้น  ถือว่าทำให้มีน้ำหนักต่อเขาได้  หากมีนักรายงานที่เชื่อถือได้ทำการรายงานจากนักรายงานที่มัจญฺฮูลนี้

ท่านอิบนุอะบีฮาติม  ได้กล่าวบทที่ว่าด้วยเรื่อง  "การรายงานของผู้ที่เชื่อถือได้จากผู้ที่ไม่ถูกตำหนิวิจารณ์นั้นทำให้ผู้ไม่ถูกตำหนิวิจารณ์มีน้ำหนักและการรายงานของผู้ที่เชื่อถือได้รายงานจากผู้ถูกตำหนิวิจารณ์ที่ไม่ทำให้มีน้ำหนัก" ซึ่งท่านอิบนุอะบีฮาติม  ได้กล่าวว่า

سَأَلْتُ أَبِيْ عَنْ رِواَيَةِ الثِّقَاتِ عَنْ رَجُلٍ غَيْرِ ثِقَةٍ مِمَّا يُقَوِّيْهِ؟ قَالَ : إِذاَ كَانَ مَعْرُوْفاً بِالضّعْفِ لَمْ تُقَوِّهِ رِوايَتُهُ عَنْهُ ، وَإِذاَ كَانِ مَجْهُوْلاً نَفَعَهُ رِواَيَةُ الثِّقَةِ عَنْهُ...ثُمَّ سَأَلْتُ أَبَا زُرْعَةَ عَنْ رِواَيَةِ الثِّقَاتِ عَنْ رَجُلٍ مِمَّا يُقَوِّي حَدِيْثَهُ؟ قَالَ : إِيْ لَعَمْرِي. قُلْتُ : الْكَلْبِيُّ رَوَي عَنْهُ الثَّوْرِيُّ؟ قَالَ : إِنَّمَا ذَلِكَ إَذَا لَمْ يَتَكَلَّمْ فِيْهِ الْعُلَمَاءُ ، وَكَانَ الْكَلْبِي يُتَكَلَّمَ فِيْهِ

"ฉันได้ถามบิดาของฉัน (อะบีฮาติม) เรื่องการรายงานของผู้เชื่อถือได้  จากนักรายงานคนหนึ่งที่ไม่ถูกระบุความเชื่อถือ  เป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่มาให้น้ำหนักต่อ(ฮะดีษของ)เขา(ผู้ที่ไม่ได้ระบุรับรองในความเชื่อถือ)หรือไม่? เขา(อะบีฮาติม)ตอบว่า : เมื่อเขาถูกรู้กันว่าฎออีฟ  แน่นอนว่าการที่ผู้เชื่อถือได้ทำการรายงานจากเขาย่อมไม่ทำให้เขามีน้ำหนัก , และเมื่อเขาเป็นผู้ที่มัจญฺฮูล(ไม่ถูกวิจารณ์ตำหนิและชมเชย) แน่นอนการที่ผู้เชื่อถือคนหนึ่งได้ทำการรายงานจากเขานั้น  ทำให้มีประโยชน์(สนับสนุน)แก่เขา...หลังจากนั้นฉัน(คืออิบนุอะบีฮาติม)ได้ถามท่านอะบูซุรอะฮ์จากเรื่องการรายงานของผู้เชื่อถือได้จากนักรายงานคนหนึ่งนั้น  เป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่มาให้น้ำหนักต่อฮะดีษของเขาหรือไม่?  ท่านอะบูซุรอะฮ์ตอบว่า  : ขอสาบานว่า (ทำให้ฮะดีษของคนนั้นมีน้ำหนัก)แน่นอน. ฉันจึงกล่าวถามต่ออีกว่า : แล้วอัลกัลบีย์ที่ท่านอัษเษารีย์ได้รายงานจากเขาล่ะครับ?  ท่านอะบูซุรอะฮ์ตอบว่า : แท้จริง(ฮะดีษของเขาจะมีน้ำหนัก)ดังกล่าวนั้น  ต่อเมื่อบรรดาปราชญ์ไม่พูดวิจารณ์ในตัวเขา , และอัลกัลบีย์นั้น  เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์"  ดู หนังสืออัลญัรหฺ วัตตะอฺดีล : 2/36

ดังนั้นโปรดพิจารณาครับว่า ท่านอะบูฮาติม , ท่านอะบูซุรอะฮ์ , และท่านอิบนุอะบีฮาติม  ซึ่งทั้งหมดเป็นปราชญ์นักวิเคราะห์ผู้รายงานฮะดีษ  ให้การยอมรับและยืนยันว่า  การที่ผู้เชื่อถือ(ษะเกาะฮ์)คนหนึ่งได้ทำการรายงานจากนักรายงานที่มัจญฺฮูลที่เขาไม่ถูกระบุตำหนิวิจารณ์และชมเชยนั้น  ทำให้ฮะดีษของเขามีประโยชน์และมีน้ำหนัก  ด้วยเหตุนี้ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร  จึงได้ให้การยอมรับการรายงานของอับดุรเราะห์มาน บิน อัลอะลาอฺ  ซึ่งท่านมุบัชชิร(ที่ท่านอิมามอะห์มัดได้บอกว่าเขานั้น ثِقَةٌ เชื่อถือได้)ทำการรายงานจากเขา(อับดุรเราะห์มาน)  และตัดสินว่าเป็นฮะดีษของเขานั้น "ฮะซัน"  และยิ่งกว่านั้น  ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นตามหลักวิชาฮะดีษมาสนับสนุนยกระดับฮะดีษของผู้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว  ดังนี้

3. การรับรองความเชื่อถือของท่านอิบนุฮิบบานที่มีต่ออับดุรเราะห์มาน บิน อัลอะลาอฺ  ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัรให้การยอมรับ (ซึ่งน้อยมากที่ท่านอิบนุฮะญัรจะยอมรับการรับรองการเชื่อถือของท่านอิบนุฮิบบานในบางหลักการของท่าน)  จึงมีผลบังคับใช้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ถูกยอมรับและสนับสนุนค้ำจุน (تَقْوِيَةٌ) ด้วยการปฏิบัติของนักปราชญ์  นั่นคือท่านอิมามอะห์มัด อิบนุ ฮัมบัล และเหล่าปวงปราชญ์อีกมากมาย  ซึ่งหลักการพิจารณาตามหลักวิชาฮะดีษดังกล่าวมีดังนี้ 

ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์กล่าวว่า

وَالْعَمَلُ عَليَ هَذَا الْحَدِيْثِ عَنْدَ أَهْلِ الْعِلْمِ ، فَأَشَارَ بِذَلِكَ إِلَي أَنَّ الْحَدِيْثَ أُعْتُضِد بِقَوْلِ أََهْلِ الْعِلْمِ وَقَدْ خَرَّجَ غَيْرُ وَاحِدٍ بِأَنَّ مِنْ دَلِيْلِ صِحَّةِ الْحَدِيْثِ قَوْلَ أَهْلِ الْعِلْمِ بِهِ وَإِنْ لَمْ يَكُنْ لَهُ إِسْنَادٌ يُعْتَمَدُ عَليَ مِثْلِهِ

"ผลของการปฏิบัติ(หรือนำมาบังคับใช้)ต่อฮะดีษ(ฎออีฟเรื่องการห้ามรวมละหมาดโดยไม่มีอุปสรรค)นั้นเป็นทัศนะของนักปราชญ์  ดังนั้นเขา(ท่านอัตติรมีซีย์)ได้บ่งชี้ดังกล่าวว่า  แท้จริงฮะดีษจะถูกค้ำจุนสนับสนุนด้วยคำกล่าวของเหล่านักปราชญ์  และได้นำเสนอหลักการนี้ออกมาไม่ใช่เพียงแค่(นักปราชญ์ฮะดีษ)คนเดียวเลย  ที่ว่าแท้จริงส่วนหนึ่งจากหลักฐานที่บ่งถึงความซอฮิห์ของฮะดีษก็คือคำพูดของนักปราชญ์ด้วย(การปฏิบัติ)กับฮะดีษนี้  ถึงหากแม้ว่าฮะดีษจะไม่มีสายรายงานที่ได้รับความเชื่อถือเหมือน ๆ กับมันก็ตาม" อันนะกัต อัลบะดีอาต หน้า 72

ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ได้กล่าวถ่ายทอดไว้ในหนังสือตัดรีบอัรรอวีย์  ความว่า

يُحْكَمُ لِلحَدِيْثِ بِالصَحَّةِ إِذاَ تَلَقَّاهُ النَّاسُ بِالْقَبُوْلِ وَإِنْ لَمْ يَكُنْ لَهُ إِسْنَادٌ صَحِيْحٌ

"จะถูกตัดสินว่าฮะดีษซอฮิห์เมื่อเหล่าปวงปราชญ์ให้การยอมรับ  และหากแม้ว่าฮะดีษจะไม่มีสายรายงานที่ซอฮิห์ก็ตาม" ดู : 1/67

ท่านอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า

وَكَانَ عَبْدُ اللهِ بْنُ المُبَارَكِ يَفْعَلُهَا وَتَدَاوَلَهَا الصَّالِحُوْنَ بَعْضُهُمْ عَنْ بَعْضٍ وَفِيْهِ تَقْوِيَةٌ لِلحَدِيْثِ المَرْفُوْعِ

"ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อัลมุบาร็อก ได้ปฏิบัติละหมาดตัสบีห์  และบรรดาผู้มีคุณธรรมบางส่วนต่างรับมาปฏิบัติซึ่งกันและกัน  และในการปฏิบัติของท่านอิบนุ อัลมุบาร็อกและเหล่าบรรดาผู้มีคุณธรรมนั้น  ทำให้มีน้ำหนักกับฮะดีษที่ถูกยกพาดพิงไปยังท่านนบี"  อัสซุนันอัลกุบรอ 3/52

ดังนั้น  การปฏิบัติของเหล่านักปราชญ์ที่มีต่อตัวบทฮะดีษนั้น  เป็นปัจจัยแวดล้อมที่มาสนับสนุนฮะดีษได้ตามหลักพิจารณาวิชาฮะดีษนั่นเอง  และปราชญ์สะลัฟเหล่านั้น  มิได้ส่งเสริมบิดอะฮ์ด้วยการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรอย่างแน่นอน!

ท่าน อัลมัรดาวีย์  ได้กล่าวระบุไว้ในหนังสือ  อัลอินซอฟ ความว่า

وَلاَ تُكْرَهُ القِراَءَةُ عَليَ القَبْرِ فِيْ أَصَحِّ الرِّواَيَتَيْنِ . وَهَذاَ المَذْهَبُ قَالَهُ فِي الفُرُوْعِ ، وَنَصَّ عَلَيْهِ ، قَالَ الشّارِحُ : هَذَا المَشْهُوْرُ عَنْ أَحْمَدَ

"การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรไม่เป็นมักโระฮ์  ตามสายรายงานที่ชัดเจนที่สุด(ซึ่งมาจากอิมามอะหฺมัด) และ นี้ก็คือ มัซฮับ(ของอิมามอะห์มัด)  ที่(ท่านอิบนุมุฟลิหฺ) ได้กล่าวไว้ใน หนังสืออัลฟุรั๊วะอ์ และท่านอะห์มัดได้กล่าวระบุมันไว้  , อัชชาเรี๊ยะห์(คือท่านชัมชุดดีน อะบีอุมัร อัลมุก็อดดิซีย์)ได้กล่าวว่า นี้คือคำกล่าวที่เลื่องลือจากอิมามอะหฺมัด"  ดู  เล่ม 2 หน้า 532

ท่าน อิบนุมุฟลิหฺ  กล่าวไว้ในหนังสือ  อัลมุบเดี๊ยะอ์  ชัรหฺ อัลมุกเนี๊ยะอ์ ว่า

وَلاَ تُكْرَهُ القِراَءَةُ عَليَ القَبْرِ وَفِي المَقْبَرَةِ فِيْ أَصَحِّ الرِّواَيَتَيْنِ ، هَذَا المَذْهَبُ

" การอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  ไม่เป็นมักโระฮ์  ตามสองสายรายงานที่ชัดเจนที่สุดที่รายงานจากท่านอิมามอะหฺมัด และ นี้ก็คือ มัซฮับ(ของอิมามอะหฺมัด)"  ดู เล่ม 2 หน้า 281

ดังนั้น  เหล่าปราชญ์ผู้ปราดเปรื่องแห่งมัซฮับอิมามอะห์มัด  ย่อมรู้ถึงแนวทางของท่านอิมามอะห์มัดยิ่งกว่าผู้อื่น

นักปราชญ์หะดิษชั้นแนวหน้า  คือ ท่านยะหฺยา บิน มะอีน  ก็มีทัศนะว่า  อนุญาติให้อ่านอัลกุรอานที่กุบูรได้  ซึ่งก็เป็นแนวทางเดียวกับท่านอิมามอะหฺมัด

ท่าน อับบาส อัดดูรีย์  กล่าวว่า

سَأَلْتُ يَحْيَى بْنَ مَعِيْنٍ عَنِ القِرَاءَةِ عِنْدَ الْقَبْرِ فَقَالَ : حَدَّثَنَا مُبَشِّرُ بْنُ اِسْمَاعِيْلَ الْحَلَبِىُّ، عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ العَلاَءِ بْنِ اللَّجَلاَجِ، عَنْ أَبِيْهِ بِأَنَّهُ قَالَ لِبَنِيْهِ : إِذَا أَدْخَلْتُمُوْنِىْ قَبْرِىْ وَوَضَعْتُمُوْنِىْ فِى اللَحْدِ ، فَقُوْلُوْا : بِسْمِ اللهِ وَعَلىَ سُنَّةِ رَسُوْلِ اللهِ وسُنُّوْا عَلىَ التُّرَابِ سَنًّا ، وَاقْرَأُوْا عِنْدَ رَأْسِىْ أَوَّلَ الْبَقَرَةِ وَخَاتِمَتَهَا فَإِنِّىْ رَأَيْتُ ابْنَ عُمَرَ يَسْتَحِبُّ ذَلِكَ

"ฉันได้ถาม ท่านยะหฺยา บิน มะอีน  เกี่ยวกับเรื่องการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  ท่านยะหฺยากล่าวว่า  ได้บอกเล่าให้เราทราบโดย ท่านมุบัชชิร บิน อิสมาอีล อัลหะละบีย์  จากอับดุรเราะห์มาน บิน อัลอะลาอ์ บิน อัลลัจลาจญฺ  จากบิดาของเขา  ว่าแท้จริง บิดาของเขาได้กล่าว  กับบุตรของเขาว่า  เมื่อพวกท่านได้นำฉันเข้าไปในกุบูร  และพวกท่านก็ได้วางฉันลงไปในหลุม  ดังนั้น  พวกท่านจงกล่าวว่า  ด้วยพระนามของอัลเลาะฮ์  และบนแนวทางของร่อซูลุลเลาะฮ์  และพวกท่านจงปาดดินให้เรียบ  แล้วพวกท่านจงอ่าน ช่วงแรกของซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์และช่วงท้ายของมันที่กุบูรช่วงศีรษะของฉัน  เพราะแท้จริงฉันเห็นท่านอิบนุอุมัรรักชอบให้กระทำสิ่งดังกล่าว" ดู  ตารีค ยะหฺยา บิน มะอีน  เล่ม 2 หน้า 415 และท่านอัลบัยฮะกีย์ได้รายงานไว้เช่นนั้น  โดยท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร  ได้ตัดสินสายรายงานนี้ว่า هَذَا مَوْقُوفٌ حَسَنٌ "สายรายงานนี้  เป็นฮะดีษเมากูฟที่ฮะซัน(ดี)"  ดู  อัลฟุตูฮาด อัรร๊อบบานียะฮ์  เล่ม 4 หน้า 194

ท่านอิมามอันนะวาวีย์กล่าวว่า

قَالَ الشَّافِعِيُّ وَالأَصْحَابُ يُسْتَحَبُّ أَنْ يقَرَؤُوْنَ عِنْدَهُ شًيْئاً مِنَ القُرْأَنِ قَالُوْا فَإِنْ خَتَمُوْا القُرْأنَ كُلَّهُ كَانَ حَسَناً

"ท่านอิมามอัชชาฟิอีย์และเหล่าสานุศิษย์กล่าวว่า  ถือว่าชอบให้พวกเขากระทำการอ่านอัลกุรอาน ณ ที่มัยยิด(ที่ถูกฝังที่กุบูร) สักสิ่งหนึ่งจากอัลกุรอาน  เหล่าสานุศิษย์กล่าวว่า  ถ้าหากพวกเขาอ่านอัลกุรอานทั้งหมด(หนึ่งจบ)  ก็จะเป็นการดียิ่ง" หนังสืออัลฟุตูฮาตอัรร็อบบานียะฮ์ ชัรห์ อัลอัซการ : 4/194

ท่าน  อัลค๊อลลาล ได้กล่าวรายงานว่า

أَخْبَرَنِىْ رَوْحُ بْنُ الفَرَجِ قَالَ : سَمِعْتُ الحَسَنَ بْنَ الصَبَّاحِ الزَّعْفَرَانِى يَقُوْلُ : سَأَلْتُ الشَّافِعِىَّ عَنِ القِرَاءَةِ عِنْدَ القُبُوْرِ، فَقَالَ : لاَ بَأْسَ بِهِ

"ได้บอกเล่าให้ฉันทราบ โดยท่าน  เร๊าห์ บิน อัลฟะร๊อจญ์ ซึ่งได้กล่าวว่า  ฉันได้ยินท่าน อัลหุซัยน์ บิน อัศศ๊อบบาหฺ  อัซซะฟะรอนีย์ กล่าวว่า  ฉันได้ถามอิมามอัช-ชาฟิอีย์เกี่ยวกับการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  ดังนั้น  ท่านอัช-ชาฟิอีย์ตอบว่า "การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั้น ไม่เป็นไร"  ดู หนังสือ  อัลอัมรฺ บิลมะอฺรูฟ วันนะฮ์ อะนิลมุงกัร หน้า 126

และหากเรากลับไปดูหนังสืออัลอุมมฺของอิมามอัช-ชาฟิอีย์  จากเรื่อง "อัลญะนาอิซฺ"  ในบทย่อยเกี่ยวกับเรื่อง "จำนวนการห่อมัยยิด"  ซึ่งท่านอิมามอัช-ชาฟิอีย์กล่าวระบุทัศนะที่ท่านอัล-ค็อลลาลได้รายงานจากท่านไว้   ซึ่งท่านอิมามอัชชาฟิอีย์ได้กล่าวว่า

  وَأُحِبُّ لَوْ قُرِئَ عِنْدَ الْقَبْرِ، وَدُعِيَ لِلْمَيِّتِ وَلَيْسَ فِي ذَلِكَ دُعَاءٌ مُؤَقَّتٌ

"ฉันรัก หากมีการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร และมีการขอดุอาอ์ให้แก่มัยยิด(ผู้ตาย)  และในสิ่งดังกล่าวนั้น  ไม่มีการขอดุอาอ์(แก่มัยยิด)ได้ถูกกำหนดเวลาเอาไว้ตายตัว(คือขอดุอาให้ผู้ตายได้ทุกเวลา)"  หนังสืออัลอุมมฺ 1/282

ท่าน อัซฺซะฮะบีย์  ได้กล่าวประวัติของท่าน  อบูญะฟัร อัลฮาชิมีย์ อัลหัมบาลีย์  ชัยค์(ปรมาจารย์)มัซฮับอัลหะนาบิละฮ์ (เสียชีวิตปี 470) ว่า

وَدُفِنَ إِلَي جَانِبِ قَبْرِ الإِمَامِ أَحْمَدَ ، وَلَزِمَ النّاسُ قَبْرَهُ مُدَّةً حَتَّي قِيْلَ خُتِمَ عَلَي قَبْرِهِ عَشَرةُ آلاَفِ خَتْمَةٍ

"และเขาได้ถูกฝังเคียงข้างกุบูรของท่านอิมามอะหฺมัด , และบรรดาผู้คนได้ประจำอยู่ที่กุบูรของเขาเป็นระยะเวลาหนึ่ง  จนกระทั่งกล่าวกันว่า  อัลกุรอานได้ถูกอ่านจบ ที่กุบูรของเขา  ถึง 10000 (หนึ่งหมื่น) จบด้วยกัน"  ดู  หนังสือ ซิยัร อะลาม อัลนะบะลาอ์ เล่ม 18 หน้า 547

ท่านอัซฺซะฮะบีย์กล่าวถึงประวัติของ  ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ อัลคอซิบะฮ์  ว่า "  เขาคือ ชัยค์  อิมาม  นักหะดิษ  นักจำหะดิษ  เป็นผู้ที่พูดจริง  เป็นแบบอย่าง  และเป็นความศิริมงคลแก่บรรดานักหะดิษ...เขาได้เสียชีวิตในวันที่ 2 เดือนรอบิอุลเอาวัล ปี 489 ฮ.ศ. ญะนาซะฮ์ของเขานั้นเป็นที่โดดเด่น (และท่านอัซซะฮะบีย์กล่าวต่อไปว่า)

وَخُتِمَ عَلَي قِبْرِهِ عَدَّةُ خَتَمَاتٍ

และอัลกุรอานได้ถูกอ่านจบที่กุบูรของเขา(คือท่านอัลฮาฟิซฺอัลคอซิละฮ์)นั้น หลายจบด้วยกัน"  ดู หนังสือ ซิยัร อะลาม อัลนะบะลาอ์ เล่ม 14 หน้า 176

ท่านอัซฺซะฮะบีย์ ได้กล่าวไว้ใน  หนังสือ ตารีค อัลอิสลาม ว่า "ท่านอัศศิละฟีย์กล่าวว่า  ท่านอัลมุตะมิน อัศศาญีย์ได้บอกเล่าแก่ฉันว่า ในวันศุกร์ที่ 2 หลังจากการเสียชีวิตของ ท่านอบูมันซูร - คือ ท่านมุฮัมมัด บิน อะหฺมัด บิน อะลี อัลคอยยาฏ (เสียชีวิตปีที่ 499) -  ว่า :

اَلْيَوْمَ خَتَمُوْا عَليَ رَأْسِ قَبْرِهِ مِائَتَيْنِ وَإِحْدَي وَعِشْرِيْنَ خَتْمَةً ، يَعْنِي أَنَّهُمْ كَانُوْا قَرَأُوْا الْخَتْمَ قَبْلَ ذَلِكَ إِلَي سُوْرَةِ الإِخْلاَصِ فَاجْتَمَعُوْا هَنَاكَ وَدَعُوْا عُقَيْبَ كُلِّ خَتْمَةٍ

"ในวันนั้น  บรรดาผู้คนได้ทำการอ่านอัลกุรอานจบ ที่กุบูรของเขาถึง 221 จบ  กล่าวคือ พวกเขาได้ทำการอ่านอัลกุรอานจนจบซูเราะฮ์ อัลอิลาศ (กุลฮุวัลลอฮ์)  เพราะพวกเขาก็จะทำการรวมตัวกัน แล้วทำการขอดุอาอ์ถัดจากทุก ๆ การอ่านจบเล็กน้อย"  ถ่ายทอดจากหนังสือกัชฟุสซุตูร  หน้า 234 ของชัยค์มะห์มูด สะอีด มัมดั๊วะหฺ

ท่าน อัซฺซะฮะบีย์  ได้กล่าวถึงท่าน อัลค่อฏีบ อัลบุฆดาดีย์ ว่า "ท่านอัลคอฏีบ  เป็นอิมามที่โดดเด่น  เป็นอัลลามะฮ์  เป็นมุฟตี  เป็นนักจำหะดิษผู้เชี่ยวชาญ  เป็นนักหะดิษแห่งยุคสมัยนั้น.....ท่านอิบนุ ค๊อยรูน กล่าวว่า  ท่านอัลคอฏีบได้เสียชีวิตในช่วงสาย....ได้มีบรรดานักปราชญ์ฟิกห์และบรรดาผู้คนมากมาย ได้ทำการติดตามส่งญะนาซะฮ์ท่านอัลค่อฏีบ และแบกไปยัง ญาเมี๊ยะอ์ อัลมันซูร  โดยที่มีผู้คนกล่าวประกาศก้องว่า นี้คือผู้ที่ปกป้องการโกหกต่อท่านนบี(ซ.ล.)  และนี้คือผู้ที่จำหะดิษของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม (ท่านอัซซะฮะบีย์กล่าวต่อไปว่า)

وَخُتِمَ عِنْدَ قَبْرِهِ عِدَّةُ خَتَمَاتٍ

"และได้ถูกอ่านอัลกุรอานหลายจบด้วยกันที่กุบูรของท่านอัลค่อฏีบ"  ดู หนังสือ ซิยัร อะลาม อัลนะบะลาอ์ เล่ม 13 หน้า 584

ท่านชัยค์  อัลอุษมานีย์ อัช-ชาฟิอีย์กล่าวว่า

وَأَجْمَعُوْا عَلىَ أَنَّ الاِسْتِغْفَارَ وَالدُّعَاءَ وَالصَّدَقَةَ وَالحَجَّ وَالْعِتْقَ تَنْفَعُ الْمَيِّتَ وَيَصِلُ إِلِيْهِ ثَوَابَهُ ، وَقِرَاءَةُ القُرْآن ِعِنْدَ الْقَبْرِ مُسْتَحَبَّةٌ

"บรรดาอุลามาอ์ได้ลงมติเห็นพร้องว่า  การอิสติฆฟาร  การขอดุอาอ์  การทำทาน  การทำฮัจญฺ  การปล่อยทาสนั้น  เป็นผลประโยชน์แก่มัยยิด และผลบุญจะไปถึงเขา , และการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั้นเป็นสุนัต" หนังสือเราะหฺมะตุลอุมมะฮ์ ฟี อิคติลาฟ อัลอุมมะฮ์ หน้า 92

ท่านอิบนุกุดามะฮ์กล่าอีกว่า

وَأَنَّهُ إِجْمَاعُ الْمُسْلِمِيْنَ ; فَإِنَّهُمْ فِيْ كُلِّ عَصْرٍ وَمِصْرٍ يَجْتَمِعُوْنَ وَيَقْرَءُوْنَ القُرْآنَ , وَيَهْدُوْنَ ثَوَابَهُ إِلىَ مَوْتَاهُمْ مِنْ غَيْرِ نَكَيْرٍ

"แท้จริง มันเป็นมติของบรรดามุสลิมีน เนื่องจากแท้จริง พวกเขาเหล่านั้น ในทุกสมัยและทุกเมือง ได้รวมตัวกัน และทำการอ่านอัลกุรอานกัน และทำการฮาดิยะฮ์ผลบุญการอ่านอัลกุรอาน ให้แก่บรรดาผู้ตายของพวกเขา โดยที่ไม่มีผู้ใดมาตำหนิ" หนังสือ อัลมุฆนีย์ เล่ม 3 หน้า373

ท่านค๊อลลาลได้รายงานว่า

كَانَتِ الأَنْصَارُ إِذَا مَاتَ لَهُمْ مَيِّتٌ اِخْتَلَفُوْا عَلىَ قَبْرِهِ يَقْرَأُوْنَ عِنْدَهُ القُرْأَنَ                                     

"บรรดาชาวอันซอรนั้น  เมื่อมีผู้ตายคนหนึ่งของพวกเขาเสียชีวิตลง  พวกเขาก็จะทำการสลับกันไปที่กุบูรของผู้นั้น  โดยที่พวกเขาจะทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรของมัยยิดนั้น" ดู  หนังสือ  อัลอัมรฺ บิลมะอฺรูฟ วันนะฮ์ อะนิลมุงกัร หน้า 126

ในสายรายงานดังกล่าวนี้นักปราชญ์ได้ผ่อนปรนในการหยิบยกมารายงาน  และในสายรายงานนี้มีท่าน "มุญาลิด บิน สะอีด"  ซึ่งเขาผู้นี้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควรแก่การได้รับการสนับสนุนยกระดับ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสายรายงานที่ฮะซันจากการกระทำของซอฮาบะฮ์  ตาบิอีน  และอัตบาอุตตาบิอีน  และท่านมุสลิมได้นำ "มุญาลิด บิน สะอีด"  มาเป็นผู้รายงานหะดิษไว้ในซอฮิหฺของท่านมุสลิมด้วย  โดยรายงานพร้อมกับคนอื่น ไว้ใน  เรื่อง  ฏอล๊าก  บทว่าด้วยเรื่อง  ผู้หญิงที่ถูกหย่าขาด  ที่ไม่ต้องมีค่าเลี้ยงดูให้แก่นาง

ท่านอิบนุอะลานได้ถ่ายทอดคำพูดของท่าน อัลฮาฟิซฺ  อิบนุ  ฮะญัร  อัลอัสกอลานีย์  ไว้ความว่า

وَصَفَهُ مُسْلِمٌ بِالصِّدْقِ وَأَخْرَجَ لَهُ فِي المُتَابَعَاتِ والّذِيْنَ أَشَارَ إِلَيْهِمْ الشّعْبِيُّ يَحْتَمِلُ أَنْ يَكُوْنُوْا مِنَ الصَحَابَةِ وَمِنَ التَّابِعِيْنَ قَالَهُ الحَافِظُ

"ท่านอิมามมุสลิมได้พรรณาถึงท่านมุญาลิดว่าเขาเป็นคนที่พูดจริง(ไม่เคยถูกกล่าวหาว่าโกหก)  และท่านมุสลิมได้นำเสนอรายงานของเขาไว้ในบรรดาฮะดีษที่ถูกสนับสนุน(ยกระดับได้)  และสิ่งที่ท่านอัชชะอฺบีย์ได้บ่งชี้ยังพวกเขานั้น  ตีความได้ว่า  พวกเขาคือเหล่าซอฮาบะฮ์และตาบิอีน(ที่ทำการอ่านอัลกุรอ่านที่กุบูร) ดังที่ท่านอัลฮาฟิซฺ(อิบนุฮะญัร)ได้กล่าวไว้" หนังสืออัลฟุตูฮาตอัรร็อบบานียะฮ์ ชัรห์ อัลอัซการ : 4/119
 
ดังนั้นเมื่อพิจารณาปัจจัยแวดล้อมทั้งหลายตามหลักพิจารณาฮะดีษ  ท่านอิมามอันนะวาวีย์ , ท่านอัลฮาฟิซฺนูรุดดีนอัลฮัยตะมีย์ , และท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร อัลอัสเกาะลานีย์  ได้ตัดสินว่าฮะดีษนี้  "ฮะซัน"  ซึ่งเป็นการตัดสินของเหล่าปราชญ์นักจำฮะดีษ

ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์กล่าวไว้ในหนังสืออัลฟียะฮ์มุศเฏาะละห์ฮะดีษว่า

وَخُذْهُ حَيْثُ حَافِظٌ عَلَيْهِ نَصْ    أَوْ مِنْ مُصَنَّفٍ بِجَمْعِهِ يُخَصْ
 
"ท่านจงยึดเอา(การตัดสิน)ฮะดีษ  ที่ปราชญ์นักจำฮะดีษได้ระบุ(ตัดสินไว้)  หรือยึดเอาจากตำราที่รวบรวมฮะดีษ(ซอฮิห์)ไว้เป็นการเฉพาะ"

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 31, 2009, 02:59 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
4. อ.ปราโมทย์  กล่าวว่า  ข้อความตอนท้ายของหะดีษบทนั้น ก็มีคำพูดของท่านศาสดา ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ...

إِنَّ هَذِهِ الْقُبُوْرَ مَمْلُوْءَةٌ ظُلْمًا عَلَى أَهْلِهَا،  وَإِنَّ اللهَ عَزَّ وَجَلَّ يُنَوِّرُهَا لَهُمْ بِصَلاَتِىْ عَلَيْهِمْ 

“แท้จริงกุบูรเหล่านี้  เต็มไปความมืดต่อผู้ที่อยู่ในหลุม  และแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงทำให้หลุมศพสว่างสำหรับพวกเขาด้วยการ “เศาะลาฮ์” ของฉัน ให้แก่พวกเขา”(จาก “มุสลิม”  หะดีษที่  956/17)

คำว่า “เศาะลาฮ์” ที่ท่านนบีย์ทำให้ชาวกุบูรฺในหะดีษบทนี้ อ.กอเซ็มเองก็อธิบายแล้วว่า  หมายถึง “การนมาซ” ของท่านนบีย์ก็ได้,  หมายถึง “ดุอา” ของท่านนบีย์ก็ได้ ...อ.กอเซ็ม ไม่กล้าอธิบายคำว่า “เศาะลาฮ์” ว่าหมายถึง “การอ่านอัล-กุรฺอ่าน” ด้วย เพราะรู้ดีว่า ไม่มีปรากฏความหมายลักษณะนี้ในปทานุกรมภาษาอาหรับเล่มใดทั้งสิ้น ...

อยากถาม อ. กอเซ็ม -- หรือผู้ที่มีทัศนะสอดคล้องกับ อ.กอเซ็ม -- ว่า เคยเจอนักวิชาการท่านใดในอดีต – ไม่ว่าระดับมุก็อลลิดหรือมุจญตะฮิด, และไม่ว่าของมัษฮับใด .. มีบ้างไหมที่อ้างเอาหะดีษเรื่องการที่ท่านนบีย์อ่านฟาติหะฮ์ในนมาซมัยยิตที่กุบูรฺ มาเป็นหลักฐานเรื่อง “อนุญาตให้อ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ” .. ดังการอ้างของ อ.กอเซ็ม ? ...

ถ้าไม่มี ก็แสดงว่า อ.กอเซ็ม คือ “มุจญตะฮิด” ท่านแรก ที่เข้าใจหะดีษบทนี้, ..ในลักษณะอย่างนี้ ...

วิภาษ

การที่ อ.กอเซ็ม ไม่อธิบายคำว่า "เศาะลาฮ์"  หมายถึง "การอ่านอัลกุรอาน" ไปเลยนั้น  เพราะ อ.กอเซ็ม ไม่ได้เข้าใจตัวบทฮะดีษในแง่ของ ( المَنْطُوْقُ ) คือไม่ได้เข้าใจฮุกุ่มตามตัวบทแบบความหมายคำตรงที่ถ้อยคำได้ระบุไว้ว่าให้ทำ "ละหมาด"  แต่ อ.กอเซ็ม  เข้าใจตัวบทฮะดีษในแง่ของ ( المَفْهُوْمُ ) ความเข้าใจสิ่งที่ได้รับมาจากถ้อยคำ(เศาะลาฮ์)  คือการละหมาดญะนาซะฮ์ที่กุบูรนั้น  เข้าใจว่า  ส่วนประกอบต่าง ๆ ของการละหมาด  ก็คือการซิกิร , ศ่อลาวาต , อ่านอัลกุรอาน(อัลฟาติฮะฮ์) , และขอดุอาแก่มัยยิดที่กุบูร , ดังนั้น  การซิกิร  , ศ่อลาวาต , อ่านอัลกุรอาน(อัลฟาติฮะฮ์) , และขอดุอาแก่มัยยิดในกุบูร , จึงเป็นสิ่งที่อนุญาตให้กระทำได้นั่นเอง   

ฮะดีษมุสลิมดังกล่าวนี้  ชี้ถึงอนุญาตให้ทำอ่านอัลกุรอานที่กุบูรได้นั้น  ใช่แล้วครับ  แค่บ่งชี้ว่าอนุญาต ( جَائِزَةٌ )  หากทำการมองฮะดีษอย่างใคร่ควรญแล้ว  สัจจะธรรมไม่ออกไปจากบทสรุปของ ท่าน อ.กอเซ็ม  เพราะฮะดีษดังกล่าวนี้   ไม่ได้ห้ามการอ่านอัลกุรอ่านกุบูร  ไม่ได้บอกว่ามักโระฮ์อ่านอัลกุรอานที่กุบูร  ดังนั้นเมื่อไม่ได้ห้ามก็ยังคงเหลือในเรื่องการอนุญาต 

หากเราพิจารณาตัวบทโดยเอาพันธนาการแห่งความตะอัศศุบในทัศนะของตนเองออกไป  ก็จะประจักษ์เห็นว่า  การที่ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ละหมาดญะนาซะฮ์ที่กุบูรให้แก่มัยยิดที่ถูกละหมาดเรียบร้อยแล้วนั้น  ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดแล้วที่จะต้องไปละหมาดให้อีก  แต่เพียงแค่สุนัตเท่านั้นเอง  และเมื่อท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เห็นว่าในกุบูรนั้นเต็มไปด้วยความมืด  ท่านจึงต้องการอนุเคราะห์ให้ความช่วยเหลือ  ด้วยการละหมาดญะนาซะฮ์เพื่อเป็นประโยชน์แก่มัยยิดนั่นเอง 

ดังนั้น  การละหมาดญะนาซะฮ์ที่กุบูร  ชี้ให้เห็นว่าอิบาดะฮ์บางอย่างที่มีประโยชน์แก่มัยยิดนั้น  สามารถกระทำที่กุบูรได้  เพราะถ้าหากทำอิบาดะฮ์ในกุบูรเป็นสิ่งฮะรอม(ตามที่ อ.ปราโมทย์ เคยกล่าวไปแล้วข้างต้น) แน่นอนว่า  ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็ต้องทำการละหมาดฆออิบที่มัสยิดหรือที่บ้านแล้วขอดุอาให้แก่มัยยิดที่เสียชีวิตไปแล้ว  แต่ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กลับทำละหมาดญะนาซะฮ์ที่กุบูร  เพราะว่าอิบาดะฮ์บางอย่างที่มีประโยชน์แก่ผู้ตายนั้น  กระทำที่กุบูรได้นั่นเอง

เมื่อเราพิจารณาการละหมาดญะนาซะฮ์ของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่กุบูร  เราก็คิดได้เลยว่า  การละหมาดที่กุบูรนั้น  ครอบคลุมถึงการ ซิกิร , อ่านอัลกุรอ่าน(ฟาติฮะฮ์) , และขอดุอาแก่มัยยิด ,  ซึ่งบ่งชี้ว่า  การซิกิร , การอ่านอัลกุรอาน(อัลฟาติฮะฮ์) , การขอดุอามัยยิด , ในกุบูรนั้น  อนุญาตให้กระทำได้  ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของละหมาดหรือไม่ก็ตาม  ดังนั้นผู้ใดกล่าวว่า  อันใดอันหนึ่งจากการซิกิร , หรือการอ่านอัลกุรอาน(อัลฟาติฮะฮ์) , หรือการขอดุอาแก่มัยยิด , ที่กุบูรเป็นสิ่งที่ฮะรอม  ถือว่าเขากำลังพูดตามอำเภอใจในฮุกุ่มของศาสนา  เพราะฮะดีษที่ว่า "และแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงทำให้หลุมศพสว่างสำหรับพวกเขาด้วยการ “เศาะลาฮ์” ของฉัน ให้แก่พวกเขา" นั้น  ได้บ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า  การละหมาดเป็นสาเหตุให้กุบูรมีรัศมีและผู้อยู่ในกุบูรได้รับความเมตตา  ดังนั้นทุก ๆ องค์ประกอบในละหมาดญะนาซะฮ์  ที่มาจาก  การซิกิร , ศ่อลาวาต , การอ่านอัลกุรอาน(อัลฟาติฮะฮ์) , และการขอดุอาให้แก่มัยยิดนั้น  เป็นส่วนหนึ่งจากสาเหตุที่ทำให้กุบูรมีรัศมีและผู้ที่อยู่ในกุบูรได้รับความเมตตาจากอัลเลาะฮ์นั่นเองหรือว่าไม่จริง?

ดังนั้นความเข้าใจต่าง ๆ ที่ได้รับจากฮะดีษนี้  ไม่จำเป็นต้องถามหรอกว่า  ไปเอามาจากคำพูดของอุลามาอฺคนใหน  เพราะการซิกิร , การศ่อลาวาต , การอ่านอัลกุรอาน , แล้วขอดุอาฮะดียะฮ์ผลบุญแก่มัยยิด , เป็นหลักการที่ไม่ขัดกับซุนนะฮ์นบีและไม่ขัดกับหลักการในศาสนาเลย  แต่สมมุติว่า อ.ปราโมทย์  บอกว่าฮะดีษมุสลิมบทนี้ชี้ถึงว่านบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามการอ่านอัลกุรอ่านที่กุบูร  แบบนี้ต้องสมควรถามครับว่า  อุลามาอฺคนใหนได้บอกเอาไว้อย่างนั้น? เนื่องจากมีปราชญ์แห่งโลกอิสลามมากมายมีหลักการว่าอ่านอัลกุรอานที่กุบูรได้ไม่ฮะรอม

แต่บางทีคนเรานั้นก็แปลก  เมื่อผู้อื่นพยายามหาฮะดีษมายืนยัน  ก็บอกว่าอุลามาอฺคนใหนเอามาอ้าง  แต่เมื่อเเขาตามการวินิจฉัยของอุลามาอฺจากทัศนะที่เขาไม่ชอบ  ก็จะบอกว่าไม่ตามอุลามาอฺแต่จะเอาฮะดีษนบีเท่านั้น!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 31, 2009, 03:12 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
5. อ.ปราโมทย์  กล่าวว่า อ.กอเซ็มยังได้อ้างหลักฐานเรื่องอ่านอัล-กุรฺอ่านให้ผู้ตาย ด้วยหะดีษของท่านมะอฺกิล บินยะซารฺ ร.ฎ. ซึ่งอ้างรายงานมาจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมว่า 

يس قَلْبُ الْقُرْآنِ، لاَ يَقْرَؤُهَارَجُلٌ يُرِيْدُ اللهَ تَبَارَكَ وَتَعَالَى وَالدَّارَ اْلآخِرَةَ إِلاَّ غَفَرَلَهُ، وَاقْرَؤُوْهَا عَلَى مَوْتَاكُمْ

“ยาซีน คือหัวใจอัล-กุรฺอ่าน! .. ไม่มีผู้ใดที่มุ่งหวังต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะฮ์อ่านมัน  เว้นแต่พระองค์จะอภัยโทษให้เขา,  และพวกท่านจงอ่านมัน (ยาซีน) ให้แก่ “เมาตา”ของพวกท่าน” ... แล้ว อ.กอเซ็มก็อธิบายว่า ท่านอิหม่ามอัส-สะยูฏีย์ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-ญาเมี๊ยะอฺ อัศ-เศาะฆีรฺ” (หะดีษที่ 1344) ว่าหะดีษบทนี้เป็นหะดีษหะซัน

แล้ว อ.ปราโมทย์  กล่าวอีกว่า สายรายงานของหะดีษข้างต้น เป็นสายรายงานที่เฎาะอีฟ  เพราะมี 2 เป็นคนมัจญฮูล  คือไม่มีใครรู้จักหรือทราบประวัติแม้ในบันทึกของท่านอบูดาวูดและท่านอิบนุมาญะฮ์จะมีการระบุนาม “ชายผู้หนึ่ง” คนนั้นว่า ชื่อ “อบีย์ อุษมาน” แต่ก็ไม่มีนักวิชาการหะดีษท่านใดทราบอีกว่า อบีย์อุษมานผู้นี้และบิดาของเขา เป็นใคร, มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ? ...และ อ.ปราโมทย์สรุปส่งท้ายโดยถาม อ.กอเซ็มว่า  สายรายงานลักษณะนี้หรือครับ คือสายรายงานหะดีษหะซัน? .. แม้ผู้อ้างจะเป็นท่านอิหม่ามอัส-สะยูฏีย์หรือใครก็ตาม??..

แต่ประเด็นความขัดแย้งของความหมาย “เมาตากุม” หมายถึงคนตายหรือคนใกล้ตาย ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลยตราบใดก็ตามที่หะดีษเรื่องการอ่าน“ยาซีน”ให้แก่ “เมาตา” ทุกบทเป็นหะดีษเฎาะอีฟ  เพราะ .. นักวิชาการ “จริงๆ” นั้น เขาจะไม่ส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ชาวบ้าน นำ “หะดีษเฎาะอีฟ” มาปฏิบัติกันหรอก  นอกจากภายใต้เงื่อนไขบางอย่างเท่านั้น ...

วิภาษ

5.1 ฮะดีษของมะกิล บิน ยะซาร นั้น  หากพิจารณาในแง่ของสายรายงานเพียงอย่างเดียวก็ถือว่า ฎออีฟแน่นอน  ตามที่อิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวไว้  เพราะผู้รายงานที่อยู่ยุคตาบิอีนและตาบิอิตาบิอีนมีปัญหาเนื่องจากอยู่ในฐานะ "มัจญฺฮูล" (ไม่รู้สถานะภาพว่าเป็นอย่างไร)   

ท่านอะบูดาวูด  ได้รายงานว่า

 ‏ ‏عَنْ ‏ ‏مَعْقِلِ بْنِ يَسَارٍ‏ ‏قَالَ‏ قَالَ النَّبِيُّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏اقْرَءُوا ‏يس ‏عَلَى مَوْتَاكُمْ‏
 
"จากมะกิล บิน ยาซาร  เขากล่าวว่า  ท่านนบี   ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า  พวกท่านจงอ่านยาซีนแก่ผู้ตายของพวกท่าน"  สุนันอะบีดาวูด (3121) , อิบนุมาญะฮ์ (1448) , อิบนุฮิบาน ซอฮิห์อิบนุฮิบาน (3002 ) ท่านอัลฮากิม  หนังสือมุสตัดร็อก 1/565 , ท่านอะห์มัด ไว้ในมุสนัด 5/26 , ท่านอัสสะยูฏีย์ อัลญะเมี๊ยะอฺอัศศ่อฆีร (1344)

ระดับของฮะดีษ

1. ท่านอิบนุฮิบบาน  กล่าวว่า  เป็นฮะดีษซอฮิห์  ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าท่านอิบนุฮิบบานได้มีแนวทางเฉพาะของท่านในการผ่อนปรนต่อการวิเคราะห์ผู้รายงานฮะดีษ

2. ท่านอัลฮากิม ตัดสินว่า เป็นฮะดีษซอฮิห์ ซึ่งเป็นที่ทราบดีกว่าท่านฮากิม  ผ่อนปรนในการตัดสินฮะดีษเป็นอย่างมาก  และผ่อนปรนยิ่งกว่าท่านอิบนุฮิบบาน  อันเนื่องมาจาก(มัซฮับ)แนวทางวินิจฉัยของท่านที่มีต่อตัวผู้รายงานไม่เข้มงวด  ท่านจึงผ่อนปรนในการรายงานฮะดีษนี้เพราะอยู่ในเรื่องของคุณค่าของอะมัล (ฟะฎออิลุลอะมาล) นั่นเอง

3. ท่านอะบีดาวูดได้นิ่งจากการตัดสินฮะดีษ  ซึ่งท่าน อัลมุฮัดดิษ  อัลลามะฮ์  อัซซัยยิด มุฮัมมัด อะละวีย์ อัลฮะซะนีย์  ได้กล่าวว่า

فَسُكُوْتُ الإِمَامِ أَبِيْ دَاوُدَ عَنْ تَضْعِيْفِهِ يَدُلُّ عَلَي أَنَّهُ صَالِحٌ وَأَنَّهُ لاَ يَبْعُدُ عَنْ دَرَجَةِ الحَسَنِ لَغَيْرِهِ

"ดังนั้น การนิ่งของอิมามอะบูดาวูดจากการตัดสินฎออีฟกับฮะดีษนั้น  บ่งชี้ว่า  ฮะดีษนั้นเหมาะสมที่จะได้รับการสนับสนุน  และไม่ห่างไกลจากระดับฮะดีษฮะซันลิฆ็อยริฮฺ(คือมีสายรายงานอื่นมาสนับสนุนยกระดับ)" หนังสือฮะดายา อัลอะห์ยาอฺ ลิลอัมวาต หน้า 23

4.. ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์  ได้ตัดสินว่า ฮะดีษมะกิล บิน ยะซาร นั้น "ฮะซัน" (ฮะดีษดี)

ดังนั้นจุดยืนของนักปราชญ์ฮะดีษที่มีต่อฮะดีษนี้  ถือว่าเพียงพอแล้วที่จะนำมาปฏิบัติในเรื่องของคุณค่าอะมัล

5.2  อ.ปราโมทย์สรุปส่งท้ายโดยถาม อ.กอเซ็มว่า  สายรายงานลักษณะนี้หรือครับ คือสายรายงานหะดีษหะซัน? .. แม้ผู้อ้างจะเป็นท่านอิหม่ามอัส-สะยูฏีย์หรือใครก็ตาม??..

บ่าวของอัลเลาะฮ์ผู้ต่ำต้อยขอตอบว่า เป็นฮะดีษ "ฮะซัน" ได้ครับ  ถ้าหากทำการวิเคราะห์ฮะดีษให้ครบทุกกระบวนความ  โดยนำสายรายงานของตาบิอิตตาบิอีน จากตาบิอีน จากซอฮาบะฮ์มาสนับสนุนยกระดับ  ตามหลักการพิจารณาฮะดีษ

ท่านอิมาม อัลฮาฟิซฺ  อิบนุ  ฮะญัร  ได้กล่าวหลักการพิจารณาฮะดีษของ มะกิล บิน ยะซาร  ความว่า

وَجَدْتُ لِحَدِيْثِ مَعْقِلٍ شَاهِداً عَنْ صَفْوَانَ بْنِ عَمْروٍ عَنْ المَشْيَخَةِ أَنَّهُمْ حَضَرُوْا غُضَيْفَ بْنِ الحَارِثِ حِيْنَ أشْتَدَّ سُوْقُهُ فَقَالَ هَلْ فِيْكُمْ أَحَدٌ يَقْرَأُ يَس قَالَ فَقَرَأَهَا صَالِحُ بْنُ شُرَيْحٍ السُّكُوْنِيُّ فَلَمَّا بَلَغَ أَرْبَعِيْنَ آيَةً مِنْهَا قَبِضَ فَكَانَ الْمَشْيَخَةُ يَقُوْلُوْنَ إِذَا قُرِئَتْ عِنْدَ الْمَوْتِ خُفِّفَ عَنْهُ بِهَا وَهَذاَ مَوْقُوْفٌ حَسَنُ الإِسْنَادِ وَغُضَيْفٌ صَحَابِيٌّ عِنْدَ الجُمْهُوْرِ وَالْمَشْيَخَةُ الَّذِيْنَ نُقِلَ عَنْهُمْ لَمْ يُسَمُّوْا ،لَكِنَّهُمْ مَا بَيْنَ صَحَابِيٍّ أَوْ تَابِعِيٍّ كَبِيْرٍ وَمِثْلُهُ لاَ يُقَالُ بِالرَّأْيِ فَلَهُ حُكْمُ الرَّفْعِ إِلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
 
"ฉันได้พบว่า ให้กับฮะดีษของมะกิล (บิน ยะซาร) นั้น  มีตัวบทสายรายงานมาสนับสนุน( الشَّاهِدُ ) จากซ็อฟวาน บิน อัมรฺ  จากบรรดาอาจารย์ผู้อาวุโส (ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ้ม) ซึ่งแท้จริงพวกเขาได้มา(เยี่ยม) ฆู่ฎัยฟ์ บิน อัลฮาริษ ในขณะที่เขาอยู่ใน(การป่วย)ขั้นวิกฤติ  ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า  "ในหมู่พวกท่านนั้นมีใครสักคนจะอ่านยาซีนไหม?"  - ซ็อฟวาน บิน อัมร์ - กล่าวว่า  ดังนั้นซอลิห์ บิน ชุรัยห์ อัสสุกูนีย์  จึงทำการอ่านยาซีน  ในขณะที่เขาได้อ่านถึงอายะฮ์ที่ 40 จากซูเราะฮ์ยาซีน  ท่านฆู่ฎัยฟ์  จึงสิ้นลม  แล้วบรรดาอาจารย์ผู้อาวุโสจึงกล่าวว่า  เมื่อยาซีนถูกอ่านในขณะ(ใกล้)เสียชีวิต  เขาจะได้รับการบรรเทาด้วยซูเราะฮ์ยาซีน"  สายรายงานนี้ ฮะซัน (ดี) และท่านฆู่ฏัยฟ์นั้น  เป็นซอฮาบะฮ์  ตามทัศนะของปราชญ์ส่วนมาก  และบรรดาคณาจารย์ที่ซ็อฟวาน บิน อัมร์ ได้ถ่ายทอดรายงานจากพวกเขานั้น  ไม่ถูกเอ่ยนาม (ซึ่งไม่มีผลต่อฮะดีษ)  แต่ทว่าพวกเขาก็อยู่ในกลุ่มซอฮาบะฮ์หรือตาบิอีนรุ่นอาวุโส  และสายรายงานเฉกเช่นนี้  ย่อมไม่ถูกกล่าวขึ้นมาด้วยความเห็นอย่างแน่นอน  ดังนั้นสายรายงานของซ็อฟวาน บิน อัมร์ จึงอยู่ในฮุกุ่ม มัรฟั๊วะอฺ  ยกอ้างไปยังท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม" หนังสืออัลฟุตูฮาด อัรร๊อบบานียะฮ์  อะลา อัลอัซการอันนะวะวียะฮ์ : 4/120 และในหนังสือ ตัมยีซฺ อัศศ่อฮาบะฮ์ ของท่านอิบนุฮะญัร : 5/324

ไม่สงสัยเลยว่า  สายรายงานของซ็อฟวาน  จากเหล่าซอฮาบะฮ์หรือตาบิอีนรุ่นอาวุโส  จากท่านฆุฎัยฟ์นี้  ย่อมนำมาสนับสนุนฮะดีษของท่านมะกิล บิน ยาซาร ให้อยู่ในระดับฮะซันได้อย่างแน่นอนตามหลักการพิจารณาฮะดีษ

ดังนั้น  คำพูดของ อ.ปราโมทย์ที่ว่า  "ด้วยเหตุนี้ ท่านอัล-อัลบานีย์จึงได้กล่าวในหนังสือ “อะห์กาม อัล-ญะนาอิซ”  หน้า 243 ว่า ..  การอ่าน “ยาซีน” ให้คนใกล้จะตาย เป็นบิดอะฮ์ ..." ซึ่งคำกล่าวของอัลบานีย์นี้  ถือว่าเป็นทัศนะที่ไร้น้ำหนักและผู้ที่ยึดความเห็นของอัลบานีย์ก็ไม่ควรนำมาตัดสินบิดอะฮ์ต่อผู้อื่นนะครับ

และยิ่งกว่านั้นยังมีสายรายงานอื่น ๆ ของสะละฟุศศอลิห์ที่มาค้านความเห็นของอัลบานีย์อีกดังนี้  ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร  กล่าวว่า

وَأَخْرَجَ ابْنُ أبِيْ شَيْبَةَ مَنْ طَرِيْقِ أَبِيْ الشَعْشَاءِ جَابِرِ بْنِ زَيْدٍ وَهُوَ مِنْ ثِقَاتِ التَّابِعِيْنَ أَنَّهُ يَقْرَأُ عَنْدَ المَيِّتِ سُوْرَةِ الرَّعْدِ وَسَنَدُهُ صَحِيْحٌ

"ท่านอิบนุอะบีชัยบะฮ์  ได้นำเสนอรายงานจากสายสืบของ อะบี อัชชะชาอฺ (นาม) ญาบิร บิน ซัยด์  และเขาเป็นหนึ่งจากตาบิอีนที่เชื่อถือได้  ซึ่งแท้จริงเขาได้ทำการอ่านซูเราะฮ์อัรเราะอฺ ณ ที่มัยยิด , สายรายงานนี้ซอฮิห์"  อัลฟุตูฮาด อัรร๊อบบานียะฮ์  อะลา อัลอัซการอันนะวะวียะฮ์ : 4/120

ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร ได้นำเสนอรายงานเช่นกันว่า

عَنْ طَلْحَةَ بْنِ مُصَرِّفٍ قَالَ دَخَلْتُ عَلَي أَبِيْ خَيْثَمَةَ يَعْنِي ابْنَ عَبْدِ الرَّحْمَنِ وَهُوَ مَرِيْضٌ فَقُلْتُ إِنِّي أَرَاكَ الْيَوْمَ صَالِحاً قَال نَعَمْ قُرِئَ عِنْدِيْ القُرآن وَكَانَ يَقُوْلُ إِذاَ قُرِئَ عِنْدَ مَرِيْضٍ القُرْآنُ وَجَدَ بِذَلِكَ خِفَّةً ، هَذَا أَثَرٌ صَحِيْحٌ وَخَيْثَمَةُ تَابِعِيٌّ كَبِيْرٌ وَطَلْحَةُ تَابَعِيٌّ صَغَيْرٌ أَخْرَجَهُ اِبْنُ أَبِي داَودَ

"รายงานจากฏ็อลหะฮ์ บิน มุซ็อรริฟ  เขากล่าวว่า  ฉันได้เข้าไปหาท่านอะบี ค็อยษะมะฮ์  คือ อิบนุ อับดิรเราะห์มาน  ซึ่งเขาป่วยอยู่  ฉันจึงกล่าวแก่เขาว่า  "วันนี้ฉันเห็นท่านอาการดีขึ้น" ท่านค็อยษะมะฮ์กล่าวว่า "ใช่แล้ว (เพราะ) อัลกุรอานได้ถูกอ่านแก่ฉัน"  และเขากล่าวอีกว่า  "เมื่ออัลกุรอานได้ถูกอ่านขึ้นที่ผู้ป่วย  เขาจะพบการบรรเทาด้วยการอ่านอัลกุรอานนั้น"  สายรายงานนี้ซอฮิห์  และท่านค็อยษะมะฮ์  คือตาบิอีนรุ่นอาวุโส  ส่วนฏ็อลหะฮ์เป็นตาบิอีนรุ่นผู้น้อย , ซึ่งอิบนุอะบี ดาวูด ได้นำเสนอรายงานนี้"  อัลฟุตูฮาด อัรร๊อบบานียะฮ์  อะลา อัลอัซการอันนะวะวียะฮ์ : 4/119-120

ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร ได้นำเสนอรายงานอีกว่า

أَخْرَجَ اِبْنُ أَبِيْ دَاوُدَ أَيْضاً مِنْ طَرِيْقِ خَالِد بْنِ مَعْدَانٍ وَهُوَ مِنَ ثِقَاتِ التّابِعِيْنَ أَنَّه كَانَ يَقْرَأُ عِنْدَ المَيِّتِ إِذَا كَانَ فِي النَّزْعِ آخِرِ الصّافّاتِ

"อิบนุ อะบี ดาวูด ได้นำเสนอรายงานเช่นกัน จากสายรายงานของ คอลิด บิน มะดาน  และเขาเป็นหนึ่งจากตาบิอีนที่เชื่อถือได้  ซึ่งเขาได้อ่านท้ายซูเราะฮ์อัศศอฟฟาตแก่มัยยิดเมื่ออยู่ในช่วงเฮือกหายใจสุดท้าย" อัลฟุตูฮาด อัรร๊อบบานียะฮ์  อะลา อัลอัซการอันนะวะวียะฮ์ : 4/120

ดังนั้น  สะละฟุศศอลิห์ได้ทำการอ่านอัลกุรอานแก่ผู้ป่วยใกล้ตาย  ย่อมไม่เป็นบิดอะฮ์ในศาสนาอย่างแน่นอน  เพราะคนใกล้ตายนั้นบางครั้งลิ้นของเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะพูด  อวัยวะก็หมดเรี่ยวแรง  แต่ทว่าหัวใจของเขากำลังมุ่งต่ออัลเลาะฮ์  เมื่ออัลกุรอานได้ถูกอ่านขึ้น  หัวใจของเขาก็มีพลังในการอีหม่านต่ออัลเลาะฮ์เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในช่วงท้ายชีวิตนั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 31, 2009, 03:34 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

5.3 อ.ปราโมทย์  กล่าวว่า  ประเด็นความขัดแย้งของความหมาย “เมาตากุม” หมายถึงคนตายหรือคนใกล้ตาย ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลยตราบใดก็ตามที่หะดีษเรื่องการอ่าน“ยาซีน”ให้แก่ “เมาตา” ทุกบทเป็นหะดีษเฎาะอีฟ  เพราะ .. นักวิชาการ “จริงๆ” นั้น เขาจะไม่ส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ชาวบ้าน นำ “หะดีษเฎาะอีฟ” มาปฏิบัติกันหรอก  นอกจากภายใต้เงื่อนไขบางอย่างเท่านั้น ...

เป็นที่ทราบกันดีว่า  บรรดาตัวบทอัลกุรอาน และฮะดีษ  ได้ระบุให้ทำการอ่านอัลกุรอานในรูปแบบกว้าง ๆ (มุฏลัก) หรือแบบครอบคลุม (อาม)  โดยไม่มีหลักฐานใดมาจำกัด(มุก็อยยัด)หรือมาทอนความหมาย(ค็อซ) ว่าห้ามหรือมักโระฮ์ในการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรหรืออื่นจากกุบูร  เช่น อ่านอัลกุรอานที่บ้านหรืออ่านหลังละหมาด  อ่านที่กลางลานหน้าบ้าน  อ่านที่เต้นท์ในสนามตอนเข้าค่าย  อ่านริมแม่น้ำท่ามกลางธรรมชาติ  อ่านบนรถ  อ่านบนเครื่องบิน  เป็นต้น  ดังนั้นจำเป็นต้องทำให้ตัวบทยังคงมีข้อบ่งชี้แบบกว้าง ๆ หรือมีความหมายแบบครอบคลุมอยู่เช่นนั้นและทำการปฏิบัติตามนัยยะของหลักฐาน แบบกว้าง ๆ หรือครอบคลุมดังกล่าว  โดยต้องไม่ขัดกับหลักการของศาสนา  จนกว่ามีหลักฐานมาระบุเจาะจงในการห้ามขอดุอาในสถานที่นั้น ๆ หรือห้ามอ่านอัลกุรอานรูปแบบอย่างนั้นอย่างนี้  เช่นไม่ควรอ่านในห้องน้ำ , อ่านในขณะก้มร่อกั๊วะและสุยูด , เพราะไปขัดกับหลักฐานเดิมที่ระบุห้ามไว้  ดังนั้นถ้าหากผู้คัดค้านถามว่า มีฮะดีษระบุเจาะจงไหมว่า  อนุญาตให้อ่านอัลกุรอานที่กุบูร , มีไหมหลักฐานที่เจาะจงให้อ่านที่เต้นในสนาม , มีไหมหลักฐานเจาะจงให้อ่านอัลกุรอานที่ชายแม่น้ำท่ามกลางหมู่ไม้ , มีไหมหลักฐานที่เจาะจงให้อ่านอัลกุรอานที่ลานหน้าบ้าน , อ่านบนรถ , อ่านบนเครื่องบิน ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่ถูกต้อง  เพราะตราบใดที่มีหลักฐานแบบกว้าง ๆ รับรองอยู่  ก็อนุญาตให้อ่านอัลกุรอานในสถานี่ใดก็ได้หากไม่ไปขัดกับหลักฐานที่มาเจาะจงห้ามอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั่นเอง

ฟัตวาแห่งประเทศอียิปต์  ได้ฟัตวาไว้ความว่า

جَاءَ الأَمْرُ الشََّرْعِيُّ بِقِرَاءَةِ القُرْآنِ الْكَرِيْمِ عَلىَ جِهَةِ الإِطْلاَقِ ، وَمِنَ الْمُقَرَّرِ أَنَّ الأَمْرَ الْمُطْلَقَ يَقْتَضِيْ عُمُوْمَ الأَمْكِنَةِ وَالأَزْمِنَةِ وَالأَشْخَاصِ وَالأَحْوَالِ ؛ فَلاَ يَجُوْزُ تَقْيِيْدُ هَذَا الإِطْلاِقِ إِلاَّ بِدَلِيْلٍ ، وَإِلاَّ كَانَ ذَلِكَ اِبْتِدَاعًا فِي الدِّيْنِ بِتَضْيِيْقِ مَا وَسَّعَهُ اللهُ وَرَسُوْلُهُ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ وَسَلَّمَ . وَعَلىَ ذَلِكَ فَقِرَاءَةُ القُرْآنِ الْكَرِيْمِ عِنَدِ القَبْرِ حَالَةَ الدَّفْنِ وَبَعَْدَهُ مَشْرُوْعِةٌ اِبْتِدَاءً بِعُمُوْمِ النُّصُوْصِ الدَّالَّةِ عَلىَ مَشْرُوْعِيَّةِ قِرَاءَةِ الْقُرْآنِ الْكَرِيْمِ

"คำสั่งใช้ตามบทบัญญัติศาสนานั้นได้มีระบุให้อ่านอัลกุรอานได้ตามนัยยะแบบเปิดกว้าง (มุฏลัก) และตามหลักการที่ถูกกำหนดไว้นั้นก็คือ  คำสั่งแบบเปิดกว้างที่ให้ความหมายนัยยะแบบครอบคลุมถึงสถานที่ , เวลา , บุคคล , และสภาพการนั้น  ถือว่าไม่อนุญาตให้จำกัด(ฮะรอม)หลักการกว้าง ๆ นี้(ว่าที่นั่นที่นี่ฮะรอมอ่านอัลกุรอาน)  นอกจากต้องมีหลักฐานมายืนยัน  ซึ่งถ้าหากมิเป็นเช่นนั้น(คือไม่มีหลักฐานมาจำกัดยืนยัน)สิ่งดังกล่าวย่อมเป็นการอุตริกรรม(บิดอะฮ์)ใน(การอุปโลกน์ฮุกุ่มใน)เรื่องของศาสนา  ด้วยการทำให้คับแคบกับสิ่งที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ได้มอบความกว้างขวางไว้ให้  และเมื่อเราได้ดำเนินตามหลักการดังกล่าวนี้  การอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  ไม่ว่าจะในขณะที่ฝังหรือหลังจากฝังแล้วก็ตาม  ถือว่าให้กระทำได้ตามนัยยะของบทญัติศาสนา  โดยเริ่มต้นด้วยบรรดาตัวบทหลักฐานที่บ่งชี้ถึงบทบัญญัติในการให้อ่านอัลกุรอานตามนัยยะความหมายแบบครอบคลุม(กว้างๆ)"  สถาบันฟัตวาแห่งประเทศอียิปต์ : ฟัตวาหมายเลขที่ 4228 - 3/6/2005
 
ดังนั้นผู้ใดที่คัดค้านว่า  การอ่านดุอาในสถานที่นั้น  สถานที่นี้  ฮะรอม   ก็จำเป็นบนเขาต้องเผยหรือนำหลักฐานอันชัดเจนพอที่จะมาทอนความหมายข้อบ่งชี้ของหลักฐานที่ครอบคลุมและเด็ดขาดนี้  หรือต้องนำหลักฐานห้ามที่ชัดเจนพอ  มาจำกัดหลักฐานที่มีข้อบ่งชี้แบบกว้าง ๆ นี้  หากมิเช่นนั้นแล้ว  เขาคือผู้ที่อุตริกรรม(กระทำบิดอะฮ์)ในการอุปโลกน์ฮุกุ่มขึ้นมาในศาสนาของอัลเลาะฮ์ด้วยสติปัญญาและอารมณ์ของเขานั่นเอง  วัลอิยาซุบิลลาฮ์!   

แต่เมื่อความจริงปรากฏแล้วว่า  ฮะดีษมะกิล บิน ยาซาร  ได้รับการสนับสนุนตามหลักพิจารณาฮะดีษว่าเป็นฮะดีษฮะซัน  สะละฟุศศอลิห์ได้นำมาปฏิบัติ  และเหล่าปวงปราชญ์มากมายให้การยอมรับและนำมาปฏิบัติ  อยากถามว่าฮะดีษของมะกิล บิน ยาซาร ยังจะนำมาปฏิบัติในเรื่องคุณค่าอะมัลได้อีกหรือ?

แล้ว อ.ปราโมทย์ไม่ถาม อ.กอเซ็มอีกหรือครับว่า ฮะดีษนี้อุลามาอฺท่านใดนำมาเป็นหลักฐานอ้างการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร? หรือว่าไม่ต้องการถามเสียแล้ว เพราะรู้ว่ามีอุลามาอฺบางส่วนนำมาเป็นหลักฐานอ่านอัลกุรอานแก่ผู้ตายที่กุบูร?!

ท่านอิมาม อัลฮาฟิซฺ อัสสะยูฏีย์  กล่าวว่า

قَالَ الْقُرْطُبِيُّ فِيْ حَدِيْثِ {اِقْرَؤُوْا عَلَي مَوْتَاكُمْ يَس} هَذَا : يَحْتَمِلُ أَنْ تَكُوْنَ هَذِهِ القِرَاءَةُ عِنْدَ الْمَيِّتِ فِيْ حَالِ مَوْتِهِ ، وَيَحْتَمِلُ أَنْ تَكُوْنَ عِنْدَ قَبْرِهِ . قُلْتُ : وَبِالأَوَّلِ قَالَ الْجُمْهُوْرُ...وَبِالثَّانِي اِبْنُ عَبْدِ الوَاحِدِ الْمُقَدِّسِيُّ...وَبالتَّعْمِيْمِ فِي الْحَالَيْنِ قَالَ الْمُحِبُّ الطَّبَرِيُّ مِنْ مُتَأَخِّرِيْ أَصْحَابِنَا

"ท่านอัลกุรตุบีย์ได้กล่าว ในฮะดีษที่ว่า "พวกท่านจงอ่านยาซีนแก่ผู้ตายของพวกท่าน" นี้  ตีความได้ว่าการอ่านนั้น คืออ่าน ณ ที่มัยยิดซึ่งอยู่ในขณะ(ใกล้)ตาย , และตีความได้อีกว่าให้อ่าน ณ ที่กุบูรของเขา . ฉัน(คือท่านอัสสะยูฏีย์)ขอกล่าวว่า : ด้วยทัศนะแรก(อ่านยาซีนขณะผู้ป่วยใกล้ตาย)นั้น  เป็นทัศนะของปราชญ์ส่วนมาก...  ส่วนทัศนะที่สอง(อ่านยาซีนที่กุบูรผู้ตาย) เป็นทัศนะของอิบนุอับดุลวาฮิด อัลมุก็อดดิซีย์...ส่วนทัศนะที่ครอบคลุมทั้งสองอย่างเลยนั้น(คืออ่านยาซีนทั้งขณะที่ใกล้เสียชีวิตและมัยยิดเสียชีวิตแล้ว) คือทัศนะของท่าน อัลมุฮิบ อัฏเฏาะบะรีย์ และเหล่าปราชญ์ในยุคหลัง" หนังสือชัรหุศุดู๊ร 418-419   

บ่าวของอัลเลาะฮ์ผู้ต่ำต้อยขอกล่าวว่า คำว่า "เมาตา" นั้น  ตามความหมาย อะกีกัต(คำแท้) หมายถึง "ผู้ที่ตายแล้ว" ส่วนคำว่า "เมาตา" ที่หมายถึง "คนใกล้ตาย" นั้น  ใช้ในแง่ของคำอ้อม "มะญาซฺ" ดังนั้นการอ่านยาซีนในทั้งสองสภาพการณ์  คืออ่านแก่ผู้ที่ใกล้เสียชีวิตและผู้ที่เสียชีวิตแล้วนั้น  ย่อมดียิ่งกว่าเพื่อผู้ตายจะได้รับประโยชน์จากอัลกุรอานในขณะที่ใกล้เสียชีวิตและเสียชีวิตไปแล้วพร้อมกัน  วัลลอฮุอะลัม

ท่านอิบนุ มุฟลิห์  กล่าวว่า

وَاحْتَجَّ بَعْضُهُمْ بِقَوْلِهِ عَلَيْهِ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ : {اِقْرَؤُوْا يَس عَليَ مَوْتَاكُمْ} وَبِأَنَّ الْمَيِّتَ أَوْلَي مِنَ الْمُحْتَضَرِ

"ปราชญ์บางส่วนได้อ้างหลักฐาน - การอ่านอัลกุรอานที่กุบูร -  ด้วยคำกล่าวของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่ว่า "พวกท่านจงอ่านยาซีนแก่บรรดาผู้ตายของพวกท่าน และแท้จริงผู้ที่ตายแล้วนั้น  ย่อมสมควร(ถูกอ่าน)ยิ่งกว่าผู้ที่ใกล้ตาย"  อัลฟุรั๊วะอฺ 2/309

ท่านอัศศ็อนอานีย์  ได้กล่าวว่า

وَهُوَ شَامِلٌ لِلمَيِّتِ بَلْ هُوَ الحَقَيْقَةُ فَيْهِ

"ฮะดีษนี้ครอบคลุมถึงผู้ตายไปแล้ว  ยิ่งกว่านั้น  ฮะดีษนี้มีความหมายคำแท้ในผู้ตาย(หมายถึงผู้ที่ตายแล้ว)" หนังสือสุบุลุสสะลาม 2/244

ท่านอิบนุฮะญัร อัลฮัยตะมีย์  ได้กล่าวว่า

أَخَذَ ابْنُ الرِّفْعَةِ وَغَيْرُهُ بِظَاهِرِ الْخَبَرِ وَتَبِعَ هَؤُلاَءِ الزَّرْكَشِي فَقَالَ لاَ يَبْعُدُ عَلَي الْقَوْلِ بِاسْتِعْمَالِ الّلَفْظِ فِيْ حَقِيْقَتِهِ وَمَجَازِهِ أَنَّهُ يُنْدَبُ قِرَاءَتُهَا فِي الْمَوْضِعَيْنِ

"ท่านอิบนุริฟอะฮ์และปราชญ์ท่านอื่น ๆ ได้ยึดเอาความหมายผิวเผินของฮะดีษ(คือในความหมายคนที่ตายแล้ว)  และท่านอัซซัรกะชีย์ได้มีทัศนะคล้อยตามพวกเขาเหล่านั้น  และกล่าวว่า  ทัศนะคำกล่าวที่ใช้ถ้อยคำแบบความหมายคำแท้(คนที่ตายแล้ว)และความหมายคำอ้อม(คนใกล้ตาย)นั้น  ไม่ห่างไกล(ความถูกต้องเลยที่จะกล่าวว่า) แท้จริงสุนัตให้ทำการอ่านยาซีรทั้งในสองสถานที่(คือตอนใกล้ตายและตายแล้ว)" อัลฟะตาวา อัลกุบรอ อัลฮะดีษียะฮ์ 2/28

นั่นคือหลักฐานต่าง ๆ ของเรา  ซึ่งซอฮาบะฮ์  สะละฟุศศอลิห์  และเหล่าปวงปราชญ์  ให้การยอมรับและนำมาปฏิบัติ  ก็คงจะเพียงพอแล้วที่ผมจะขอกล่าวว่า  เรื่องการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั้น  ผู้ที่ไม่ทำก็ไม่ควรไปตำหนิต่อผู้ที่มีทัศนะอื่นจากตน  และผู้ที่มีทัศนะอ่านอัลกุรอานที่กุบูรได้ก็ไม่ควรไปตำหนิผู้ที่ไม่กระทำนั่นเองครับ ปัญหาย่อมไม่เกิดอย่างแน่นอน  ทั้งยังมีจุดยืนเยี่ยงสะละฟุศศอลิห์อีกด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 31, 2009, 03:45 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
6. อ.ปราโมทย์  ได้วิจารณ์เรื่องการปักกิ่งอินทผาลัมบนหลุมฝังศพ  โดยพยายามยกทัศนะของอุลามาอฺที่ อ.ปราโมทย์ นับถือ  เช่น เชคบินบาซฺ และท่านอื่น ๆ   มาอธิบายฮะดีษเรื่องการปักกิ่งอินทผาลัม  เพื่อสรุปว่า  การปักกิ่งอินทผาลัมนั้นเป็นเรื่องเฉพาะหรือเป็นกรณีพิเศษเฉพาะท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เท่านั้น
 
หลังจากนั้น  อ.ปราโมทย์  ก็วิเคราะห์ในเรื่องของการตัสบีห์ของกิ่งอินทผาลัมหรือสรรพสิ่งทั้งหลาย  แล้วสรุปว่าการผ่อนปรนการทรมารของผู้ตายในกุบูรนั้น  ด้วยเหตุการขอดุอาและการชะฟาอะฮ์(การอนุเคราะห์ช่วยเหลือ)ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เท่านั้น  ไม่ใช่เพราะการตัสบีห์ของกิ่งอินทผาลัมสด

แล้ว อ.ปราโมทย์  กล่าวว่า  เรื่องการปักกิ่งอิทผาลัมที่กุบูรนั้นว่า  "ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมเป็นรอซู้ลของอัลลอฮ์, ได้รับมุอฺญิซัตต่างๆซึ่งสามัญชนอย่างเราไม่ได้รับ  เพราะฉะนั้น ท่านจึงรู้ดีที่สุดว่า อะไรบ้างที่ท่านควรทำ, .. และเมื่อจะทำ ท่านควรจะทำอย่างไร..สามัญชนอย่างเราจึงไม่ควรไป “สู่รู้” หรือ “อวดรู้” ด้วยการกล่าววิจารณ์หรือแนะนำท่านนบีย์หรอกว่า ท่านควรทำอะไรและให้ทำอย่างไร ..."

หลังจากนั้น อ.ปราโมทย์ ก็นำเสนอสิ่งที่ท่านบุคอรีย์ได้รายงานจากท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. ไว้ในหนัง “เศาะเหี๊ยะฮ์” ของท่านในบาบที่ 81 จากกิตาบ อัล-ญะนาอิซ มีข้อความว่า ...“ท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. ได้เห็นกระโจมหลังหนึ่งบนหลุมศพของท่านอับดุรฺเราะห์มาน ท่านจึงกล่าว (แก่เด็กคนหนึ่ง) ว่า .. นี่แน่ะไอ้หนู! รื้อมันออกไปซะ  เพราะไม่มีสิ่งใดให้ร่มเงาแก่เขาได้นอกจากอะมั้ลของเขาเท่านั้น” 

แต่ก็แปลกที่ก่อนคำพูดของท่านอิบนุอุมัรนี้  ท่านบุคอรีก็ได้นำเสนอรายงานของท่านบุร็อยดะฮ์ในการยอมรับถึงการปักกิ่งอินทผาลัม! แต่ อ.ปราโมทย์ กลับไม่นำมาเสนอ

วิภาษ

ดูเหมือนว่า อ.ปราโมทย์  อ้างอิงการอธิบายฮะดีษนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  โดยยกทัศนะของปราชญ์บางส่วนมาอธิบายทัศนะของตน  โดยพยายามปิดบังการอธิบายและความเข้าใจในเชิงการกระทำของซอฮาบะฮ์ที่มีต่อฮะดีษของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม!  แม้กระทั่ง อ.ปราโมทย์  ต้องอ้างอิงความเห็นของ เชค บินบาซฺ  มาสนับสนุนแบบไม่สมบูรณ์  เนื่องจากจะเป็นการเปิดเผยความจริงทัศนะของซอฮาบะฮ์ออกมานั่นเอง

ก่อนอื่น  ผมขอหยิบยกคุณลักษณะพิเศษของต้นอินทผาลัม  ที่ได้กล่าวเอาไว้ในอัลกุรอานและซุนนะฮ์แบบพอสังเขป  เผื่อบางทีจะเป็นคำตอบสำหรับผู้ที่ตั้งคำถามในใจของเขาขึ้นมาว่า  ทำไมท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ถึงต้องใช้กิ่งอินทผาลัมมาปักบนกุบูร?

อัลเลาะฮ์ตะอาลา ทรงตรัสความว่า

أَلَمْ تَرَ كَيْفَ ضَرَبَ اللَّهُ مَثَلًا كَلِمَةً طَيِّبَةً كَشَجَرَةٍ طَيِّبَةٍ أَصْلُهَا ثَابِتٌ وَفَرْعُهَا فِي السَّمَاءِ

"เจ้าไม่สังเกตดอกหรือ  อัลเลาะฮ์ได้ยกอุทาหรณ์เป็นถ้อยคำอันดีเยี่ยม  ประหนึ่งต้นไม้ที่ดี  ซึ่งโคนของมันมั่นคง(อยู่ในดิน) และกิ่งของมันชูขึ้นสู่ท้องฟ้า" อิบรอฮีม 24

ในตัฟซีร ญะลาลัยน์  ได้อธิบายว่า

كَشَجَرَةٍ طَيِّبَة هِيَ النَّخْلَة

"ประหนึ่งต้นไม้ที่ดี  มันก็คือต้นอินทผาลัม"

ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร ได้กล่าวว่า

قَالَ النَّبِيُّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏مَثَلُ الْمُؤْمِنِ كَمَثَلِ شَجَرَةٍ خَضْرَاءَ لَا يَسْقُطُ وَرَقُهَا وَلَا ‏ ‏يَتَحَاتُّ ‏ ‏فَقَالَ الْقَوْمُ هِيَ شَجَرَةُ كَذَا هِيَ شَجَرَةُ كَذَا فَأَرَدْتُ أَنْ أَقُولَ هِيَ النَّخْلَةُ وَأَنَا غُلَامٌ شَابٌّ فَاسْتَحْيَيْتُ فَقَالَ هِيَ النَّخْلَةُ

"ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า  อุปมาอฺผู้ศรัทธา ประหนึ่งต้นไม้สดสีเขียว  ใบของมันจะไม่ร่วงหล่น? พวกเขากล่าวว่า  มันคือต้นไม้นั้น  ต้นไม้นี้  ดังนั้นฉันต้องการที่จะกล่าวว่า มันคือต้นอินทผาลัม ซึ่งตอนนั้นฉันยังเยาว์วัยอยู่  ฉันจึงอายที่จะตอบ  ดังนั้นท่านนบี จึงตอบว่า มันคือต้นอินทผาลัม"  รายงานบุคอรี (5657)

ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร  ได้อธิบายฮะดีษนี้ไว้ในหนังสือฟัตฮุลบารีย์ของท่านว่า

وَفِيْهِ دَلِيْلٌ عَلَى بَرَكَةِ النَّخْلَةِ وَمَا يُثْمِرُهُ

"ในฮะดีษนี้  เป็นหลักฐานบ่งถึง ความมีบะรอกัต(สิริมงคล)ของต้นอินทผาลัมและสิ่งที่มันได้ออกผล"

ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร ได้กล่าวรายงานอีกเช่นกันว่า

‏قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏إِنَّ مِنْ الشَّجَرِ شَجَرَةً لَا يَسْقُطُ وَرَقُهَا وَإِنَّهَا مَثَلُ الْمُسْلِمِ فَحَدِّثُونِي مَا هِيَ فَوَقَعَ النَّاسُ فِي شَجَرِ الْبَوَادِي قَالَ ‏ ‏عَبْدُ اللَّهِ ‏ ‏وَوَقَعَ فِي نَفْسِي أَنَّهَا النَّخْلَةُ فَاسْتَحْيَيْتُ ثُمَّ قَالُوا حَدِّثْنَا مَا هِيَ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ فَقَالَ هِيَ النَّخْلَةُ

"ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า  แท้จริงส่วนหนึ่งจากต้นไม้นั้น  จะมีต้นไม้หนึ่งที่ใบของมันจะไม่ร่วง  มันเปรียบเสมือนมุสลิม(ผู้ศรัทธา) ดังนั้นพวกท่านจงบอกฉันมาได้ไหมว่า  ต้นไม้นั้นคืออะไร?  บรรดาผู้คนก็คิดว่าเป็นต้นไม้ตามทุ่งกว้าง  ท่านอับดุลลอฮ์ (อิบนุ อุมัร) กล่าวว่า  ในใจฉันคิดว่า มันคือ ต้นอินทผาลัม  แต่ทว่าฉันละอาย(ที่จะตอบ) ดังนั้นผู้คนจึงกล่าวว่า  ท่านจงบอกเรามาเถิด โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ว่ามันคืออะไร?  ท่านร่อซูลุลลอฮ์ตอบว่า  "มันคือต้นอินทผาลัม" รายงานโดยมุสลิม (5027)

ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้  อธิบายฮะดีษนี้  ไว้ในหนังสือชัรห์ซอฮิห์มุสลิม  ความว่า

وَفِيْهِ : فَضْلُ النَّخْلِ

"ในฮะดีษนี้  ชี้ถึงความประเสริฐของต้นอินทผาลัม" 

จากอัลกุรอานและฮะดีษเหล่านี้  บ่งชี้ว่าต้นอินทผาลัมมีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะยิ่งกว่าต้นไม้อื่น ๆ จนกระทั่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นำมาเปรียบเทียบกับผู้ศรัทธา

ดังนั้นเราโปรดเข้ามาวิเคราะห์ในเนื้อเรื่องของประเด็นนี้กันครับ

บันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 216,  ท่านมุสลิม หะดีษที่ 299  และท่านอื่นๆ จากท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ซึ่งมีข้อความว่า ...

مَرَّالنَّبِىُّ صَلَّي للهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِقَبْرَيْنِ،  فَقَالَ : إِنَّهُمَا لَيُعَذَّبَانِ!  وَمَا يُعَذَّبَانِ فِىْ كَبِيْرٍ،  أَمَّا أَحَدُهُمَا فَكَانَ لاَ يَسْتَتِرُ مِنَ الْبَوْلِ، وَأَمَّا اْلآخَرُ فَكاَنَ يَمْشِىْ بِالنَّمِيْمَةِ، ثُمَّ أَخَذَ جَرِيْدَةً رَطْبَةً فَشَقَّهَا نِصْفَيْنِ،  فَغَرَزَ فِىْ كُلِّ قَبْرٍ وَاحِدَةً،  قَالُوْا :  يَارَسُوْلَ اللهِ  لِمَ فَعَلْتَ هَذَا ؟  قَالَ : لَعَلَّهُ يُخَفَّفُ عَنْهُمَا مَالَمْ يَيْبَسَا

“ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ผ่านกุบูรฺ 2 หลุม แล้วท่านก็กล่าวว่า  ทั้งสองนี้ กำลังถูกทรมาน, และใช่ว่าทั้งสองจะถูกทรมานเพราะเรื่องใหญ่โตก็หาไม่,  (คือ) หนึ่งจากสอง เพราะเขาปัสสาวะไม่สะเด็ด อีกคนหนึ่งเพราะชอบยุแหย่ให้คนทะเลาะกัน,  แล้วท่านนบีย์ก็เอากิ่งอินทผาลัมสดมากิ่งหนึ่งแล้วแบ่งมันออกเป็น 2 ซีก แล้วท่านก็ปักแต่ละซีกในแต่ละหลุม  พวกเขา (เศาะหาบะฮ์) ถามว่า .. โอ้ ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ทำไมท่านจึงทำอย่างนี้?  ท่านนบีย์ก็ตอบว่า .. เพื่อว่าการลงโทษจะได้รับการผ่อนปรนจากทั้งสอง  ตราบใดที่ทั้งสองกิ่งนี้ยังไม่แห้ง”

ส่วนการที่ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้วางสองกิ่งอินทผาลัมบนกุบูรนั้น  ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวการตีความของอุลามาอ์ไว้ดังนี้ :

ทัศนะที่หนึ่ง :

مَحْمُول عَلَى أَنَّهُ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سَأَلَ الشَّفَاعَة لَهُمَا فَأُجِيبَتْ شَفَاعَته صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِالتَّخْفِيفِ عَنْهُمَا إِلَى أَنْ يَيْبَسَا

"ถูกตีความว่า  ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ขอการชะฟาอะฮ์ต่อทั้งสอง(ที่อยู่ในกุบูร) ดังนั้นการชะฟาอะฮ์ของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  จึงถูกตอบรับ  ด้วยการเบาเทาการลงโทษจากทั้งสองจนกระทั่งสองกิ่งอินทผาลัมแห้ง"

ทัศนะที่สอง :

وَقِيلَ : يَحْتَمِل أَنَّهُ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يَدْعُو لَهُمَا تِلْكَ الْمُدَّة

"บ้างก็กล่าวตีความว่า  ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ขอดุอาให้แก่ทั้งสองในช่วงเวลานั้น"

ทัศนะที่สาม :

وَقِيلَ : لِكَوْنِهِمَا يُسَبِّحَانِ مَا دَامَا رَطْبَيْنِ , وَلَيْسَ لِلْيَابِسِ تَسْبِيح , وَهَذَا مَذْهَب كَثِيرِينَ أَوْ الْأَكْثَرِينَ مِنْ الْمُفَسِّرِينَ

"ถูกกล่าวว่า  เพราะกิ่งอินทผาลัมทั้งสองได้ทำการตัสบีห์  ตราบที่มันทั้งสองนั้นสดอยู่  และให้กับสิ่งที่แห้งนั้นไม่มีการตัสบีห์ นี่คือแนวทางของนักตัฟซีรมากมายหรือส่วนมาก" ชัรห์ซอฮิห์มุสลิม 3/192

แต่ยังมีนักตีฟซีรอีกกลุ่มหนึ่งมีทัศนะว่า  ไม่ว่าจะสดหรือแห้งล้วนแต่ทำการตัสบีห์  แต่กระนั้นก็ตาม  การตัสบีห์ของอินทผาลัมสดย่อมยังมีคุณลักษณะที่สุมบูรณ์กว่าและพิเศษมากกว่า  เนื่องจากผู้ศรัทธานั้นถูกเปรียบเทียบดั่งต้นอินทผาลัมเขียวสดซึ่งมีประโยชน์ตามที่ฮะดีษบุคอรี (5657) ข้างต้นได้ระบุไว้

ท่านอัลลามะฮ์ อัซซัยิด  อิบนุ  อาบิดีน ปราชญ์มัซฮับฮะนะฟีย์  ได้กล่าวว่า

وَتَعْلِيْلُ النَّبِيِّ صَلَّي اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِِالتَّخْفِيْفِ عَنْهُمَا مَا لَمْ يَيْبَسَا، أَي يُخَفَّفُ عَنْهُمَا بِبَرَكَةِ تَسْبِيْحِهَمَا، لِأَنَّ تَسْبِيْحَ الأَخْضَرِ أَكْمَلُ مِنْ تَسْبِيْحِ الْيَابِسِ لِمَا فِيْهِ مِنْ نَوْعِ الْحَيَاةِ

"การให้เหตุผลของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ด้วยการบรรเทาการทรมารจากทั้งสอง(ที่อยู่ในกุบูร)นั้น  ตราบเท่าที่สองกิ่งอินทผาลัมยังไม่แห้ง  หมายถึง  จะถูกบรรเทาจากทั้งสองด้วยบะรอกัตการตัสบีห์ของสองกิ่งอินทผาลัม  เพราะว่าการตัสบีห์ของสิ่งที่เขียวสดนั้นย่อมสมบูรณ์ยิ่งกว่าการตัสบีห์ของสิ่งที่แห้ง  เนื่องจากในความเขียวสดนั้นเป็นประเภทหนึ่งจากการมีชีวิต" ฮาชียะฮ์ อิบนุ อาบิดีน 1/606

ถ้ากระผมจะบอกว่าฮะดีษปักกิ่งอินทผาลัมนี้  เป็นหลักฐานอนุญาตให้อ่านอัลกุรอานที่กุบูร  อ.ปราโมทย์จะถามไหมเหมือนกับฮะดีษท่านนบีละหมาดญะนาซะฮ์ที่กุบูรอีกไหมว่า อุลามาอฺท่านใดที่วินิจฉัยตัวบทฮะดีษเช่นนั้น? 

อิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวว่า

وَاسْتَحَبَّ الْعُلَمَاء قِرَاءَة الْقُرْآن عِنْد الْقَبْر لِهَذَا الْحَدِيث ; لِأَنَّهُ إِذَا كَانَ يُرْجَى التَّخْفِيف بِتَسْبِيحِ الْجَرِيد فَتِلَاوَة الْقُرْآن أَوْلَى . وَاللَّهُ أَعْلَم

"เหล่าปวงปราชญ์ถือว่ามุสตะฮับให้ทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรเพราะฮะดีษนี้  เนื่องจากว่าเมื่อถูกหวังให้มีการบรรเทาการทรมานด้วยการตัสบีห์ของกิ่งอินทผาลัมสด  แน่นอนว่าการอ่านอัลกุรอานย่อมดีเลิศยิ่งกว่า วัลลอฮุอะลัม" ชัรห์ซอฮิห์มุสลิม 3/193 

เมื่อเราหวนกลับมาพิจารณาทัศนะทั้งสามของอุลามาอฺที่อิมามอันนะวาวีย์ถ่ายทอดไว้นั้น  ก็ยังคงถกเถียงในข้ออนุมานอยู่  แต่การอ้างว่าเป็นหลักเฉพาะพิเศษของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เท่านั้น  ก็ยังต้องพิจารณาก่อน

เพราะท่านอิบนุฮิบบาน  ได้กล่าวรายงานอีกเหตุการณ์หนึ่งไว้ในซอฮิห์ของท่าน  จากท่านอะบูฮุร็อยเราะฮ์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ความว่า

دَعَا بِجَرِيْدَتَيْنِ مِنْ جَرَائِدِ النَّخْلِ، فَجَعَلَ فِيْ كُلِّ قَبْرٍ وَاحِدَةً، قُلْنَا : وَهَلْ يَنْفَعُهُمَا ذَلِكَ يَا رَسْوَلَ اللهِ؟ قَالَ : نَعَمْ يُخَفَّفُ عَنْهُمَا مَا دَامَا رَطبَتَيْنِ

"ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ขอกิ่งอินทผาลัมสองกิ่งจากบรรดากิ่งต้นอินทผาลัม  แล้วท่านนบีก็ทำการ(ปัก)ลงทุก ๆ กุบูรหนึ่งกิ่ง  เรากล่าวถามว่า  สิ่งดังกล่าวทำให้มีประโยชน์แก่ทั้งสองหรือครับโอ้ท่านร่อซูลัลลอฮ์?  ท่านนบีตอบว่า "ใช่แล้ว" จะได้รับการบรรเทาจากทั้งสองตราบใดที่อินทผาลัมสองกิ่งนั้นสดอยู่" ซอฮิห์อิบนุฮิบบาน (824) 

คำว่า  "สิ่งดังกล่าว" ( ذَلِكَ )  (อีเซมอิชาเราะฮ์) เป็นนามชี้เฉพาะหรือนิยมสรรพนามเอกพจน์  ซึ่งย่อมชี้กลับไปยังประโยคที่ใกล้ที่สุด  นั่นก็คือ  "กระทำการปักกิ่งอินทผาลัม..."  เพราะฉะนั้นการปักกิ่งอินทผาลัมย่อมมีประโยชน์ตราบใดที่มันยังคงสดอยู่ตามนัยยะของฮะดีษนั้นเอง  ดังนั้นฮะดีษดังกล่าวได้ยืนยันแล้วว่า  ต้นอินทผาลัมหรือกิ่งอินทผาลัมนั้น  มีคุณลักษณะพิเศษที่ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ล่วงรู้  เพราะการปักกิ่งอินทผาลัมที่กุบูรนั้น  มีหลายเหตุการณ์และต่างสถานที่กัน  ซึ่งท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  จะเลือกเอากิ่งอินทผาลัมเสมอ  โดยไม่เลือกกิ่งต้นไม้อื่น ๆ ทั้งที่มันก็ตัสบีห์เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม  ถึงแม้จะมีบางฮะดีษบางกระแสระบุว่า "การชะฟาอัตของฉันถูกตอบรับ" อันเนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทราบถึงสภาพของผู้ที่อยู่ในกุบูรทั้งสองนั้น  ก็มิได้ความหมายว่า  เจาะจงพิเศษเพียงแค่ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  แต่ทว่านบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ต้องการกระทำเป็นแบบฉบับเอาไว้  ซึ่งตามที่เราได้ทราบมาแล้วจากฮะดีษของท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า “แท้จริงกุบูร เหล่านี้  เต็มไปความมืดต่อผู้ที่อยู่ในหลุม  และแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงทำให้หลุมศพสว่างสำหรับพวกเขาด้วยการ “เศาะลาฮ์” ของฉัน ให้แก่พวกเขา”(จาก “มุสลิม”  หะดีษที่  956/17)  ดังอัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงให้ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม รู้ถึงความมืดที่มีอยู่เต็มหลุมกุบูร  แล้วอัลเลาะฮ์ตะอาลา  ก็ทรงอนุญาตให้ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ทำการชะฟาอัต(ช่วยเหลืออนุเคราะห์)มัยยิดที่ถูกฝัง  ด้วยการ "ศ่อลาห์" (ละหมาดญะนาซะฮ์)  ซึ่งการชะฟาอะฮ์ของท่านนบีด้วยการละหมาดญะนาซะฮ์ดังกล่าวนี้  จึงเป็นแบบฉบับสำหรับผู้ที่ยังไม่ละหมาดญะนาซะฮ์  ให้ทำการละหมาดที่หลุมฝังศพได้  แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ากุบูรนั้นจะมีความสว่างหรือความมืดมนก็ตาม  ดังนั้นการที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาให้ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ทราบว่าในสองกุบูรกำลังถูกทรมานอยู่  แล้วอัลเลาะฮ์ก็อนุญาตให้นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ทำการชะฟาอะฮ์ด้วยการปักกิ่งอินทผาลัมสด  ก็ย่อมเป็นแบบอย่างให้แก่อุมมะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เช่นเดียวกัน  แม้มุสลิมที่ทำการปักกิ่งอินทผาลัมจะไม่รู้ว่ากุบูรนั้นจะถูกลงโทษหรือไม่ก็ตาม  ฉันใดก็ฉันนั้นครับ

แต่เมื่อเรากลับไปดูหนังสือฟัตฮุลบารีย์  ท่านอัลฮาฟิซฺ  อิบนุ  ฮะญัร  ก็ได้นำเสนอการตีความต่าง ๆ ของอุลามาอฺคล้ายคลึงทัศนะต่าง ๆ ที่การอนุมานยังคงอยู่ตามที่ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวมาข้างต้น  ซึ่งท่าน อัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร ได้กล่าวให้น้ำหนักในฮะดีษบุคอรีที่ (216) ความว่า

‏وَقَدْ تَأَسَّى بُرَيْدَة بْن الْحُصَيْب الصَّحَابِيّ بِذَلِكَ فَأَوْصَى أَنْ يُوضَع عَلَى قَبْره جَرِيدَتَانِ كَمَا سَيَأْتِي فِي الْجَنَائِز مِنْ هَذَا الْكِتَاب , وَهُوَ أَوْلَى أَنْ يُتَّبَع مِنْ غَيْره

"แท้จริง  ท่านบุร็อยดะฮ์ อัลหุศัยบ์ ผู้เป็นซอฮาบะฮ์ ได้เจริญรอยตามท่านนบีด้วยกับสิ่งดังกล่าว  ดังนั้นท่านบุร็อยดะฮ์ได้ทำการสั่งเสียให้(ปัก)วางสองกิ่งอินทผาลัมบนกุบูรของเขา  ดังที่จะนำมากล่าวในเรื่องอัลญะนาซะฮ์จากหนังสือนี้  และ(การเจริญรอยตามท่านนบีของ)ท่านบะร็อยดะฮ์นั้น  ย่อมเป็นสิ่งที่ดีเลิศยิ่งกว่าจากการเจริญรอยตามผู้อื่น(จากบรรดาอุลามาอฺทั้งตีความกันหลายแง่มุม)"

ดังนั้นสิ่งที่มาสนับสนุนความถูกต้องในการปฏิเสธการเจาะจงแก่ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  นั้นก็คือการกระทำของซอฮาบะฮ์ของท่านนบีเอง

ท่านอัลบุคอรีย์ได้รายงานไว้ในซอฮิห์ของท่าน จากบทที่ว่าด้วยเรื่อง "อัลญะนาอิซฺ" ความว่า

وَأَوْصَي بُرَيْدةُ الأَسْلَمِيُّ أَنْ يُجْعَلَ فِيْ قِبْرِهِ جَرْيْدَتَانِ

"ท่านบุร็อยดะฮ์ อัลอัสละมีย์ ได้สั่งเสียให้ทำ(วาง)สองกิ่งอินทผาลัมที่กุบูรของเขา" ฟัตฮุลบารีย์ 3/22

ท่านอิบนุสะอัด ได้กล่าวรายงานว่า

أَخْبَرَنَا عَفَّانُ بْنُ مُسْلِمٍ ، قَالَ : حَدَّثَنَا حَمَّادُ بْنُ سَلَمَةَ ، قَالَ أَخْبَرَنَا عَاصِمُ الأَحْوَلِ ، قَالَ مُوَرِّقٌ : أَوْصَي بُرَيْدَةُ الأَسْلَمِيُّ أَنْ تُوْضَعَ فِيْ قَبْرِهِ جَرِيْدَتَانِ فَكَانَ مَاتَ بِأَدْنَي خُرَاسَانَ

"ได้บอกให้เราทราบโดยอัฟฟาน บิน มุสลิม , เขากล่าวว่า  ได้บอกเล่าให้เราทราบโดยฮัมมาด บิน สะละมะฮ์ , เขากล่าวว่า  ได้บอกให้เราทราบโดยอาซิม อัลอะห์วัลว่า ,  มุวัรร็อก  ได้กล่าวว่า :  ท่านบุร็อยดะฮ์ อัลอัสละมีย์ ได้สั่งเสียให้นำสองกิ่งอินทผาลัมวางที่กุบูรของเขา  ดังนั้นเขาได้เสียชีวิตที่ราบต่ำของเมืองคุรอซาน" อัฏเฏาะบะก็อต อัลกุบรอ 8/7

ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร ได้กล่าวยอมรับว่า

قَالَ اِبْن الْمُرَابِط وَغَيْره : يَحْتَمِل أَنْ يَكُون بُرَيْدَة أَمَرَ أَنْ يُغْرَزَا فِي ظَاهِر الْقَبْر اِقْتِدَاء بِالنَّبِيِّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي وَضْعه الْجَرِيدَتَيْنِ فِي الْقَبْرَيْنِ ..... وَالْأَوَّل أَظْهَر

"ท่านอิบนุมุรอบิฏและท่านอื่น ๆ กล่าวว่า อนุมานได้ว่าท่านบุร็อยดะฮ์ได้ใช้ให้ปักกิ่งอินทผาลัมทั้งสองที่บนกุบูรนั้น  เพื่อที่จะเจริญรอยตามท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในการวางกิ่งอินทผาลัมที่กุบูรทั้งสอง...(ท่านอิบนุฮะญัรกล่าวว่า)ทัศนะนี้ชัดเจนที่สุด" ฟัตฮุลบารีย์ 3/22

ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร กล่าวต่อไปอีกว่า

وَهِيَ الْإِشَارَة إِلَى أَنَّ ضَرْب الْفُسْطَاط إِنْ كَانَ لِغَرَضٍ صَحِيح كَالتَّسَتُّرِ مِنْ الشَّمْس مَثَلًا لِلْحَيِّ لَا لِإِظْلَالِ الْمَيِّت فَقَطْ جَازَ......وَذَلِكَ أَنَّهُ لَمْ يَذْكُر حُكْم وَضْع الْجَرِيدَة , وَذَكَرَ أَثَر بُرَيْدَة وَهُوَ يُؤْذِن بِمَشْرُوعِيَّتِهَا , ثُمَّ أَثَر اِبْن عُمَر الْمُشْعِر بِأَنَّهُ لَا تَأْثِير لِمَا يُوضَع عَلَى الْقَبْر , بَلْ التَّأْثِير لِلْعَمَلِ الصَّالِح , وَظَاهِرهمَا التَّعَارُض فَلِذَلِكَ أَبْهَمَ حُكْم وَضْع الْجَرِيدَة , قَالَ الزَّيْن بْن الْمُنِير . وَاَلَّذِي يَظْهَر مِنْ تَصَرُّفه تَرْجِيح الْوَضْع , وَيُجَاب عَنْ أَثَر اِبْن عُمَر بِأَنَّ ضَرْب الْفُسْطَاط عَلَى الْقَبْر لَمْ يَرِد فِيهِ مَا يَنْتَفِع بِهِ الْمَيِّت بِخِلَافِ وَضْع الْجَرِيدَة لِأَنَّ مَشْرُوعِيَّتهَا ثَبَتَتْ بِفِعْلِهِ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ

"มันเป็นการบ่งชี้ถึงว่า  การที่กางเต้นท์กระโจมนั้น  ถ้าหากมีเป้าหมายที่ถูกต้อง  เช่นบดบังแสงดวงอาทิตย์(เพื่อเป็นร่มเงา)สำหรับคนเป็น  เป็นต้น  มิใช่ทำเพื่อเป็นร่มเงาแก่มัยยิดเท่านั้น  ก็ถือว่าอนุญาตกระทำได้....และดังกล่าวที่ท่านบุคอรีย์มิได้กล่าวถึงฮุกุ่มการวางกิ่งอินทผาลัม แต่ทำการกล่าวร่องรอยการรายงานจากท่านบุรอยดะฮ์นั้น  ก็คือท่านบุคอรีพยายามบอกให้ทราบถึงการวางกิ่งอินทผาลัมนั้นถูกบัญญัติตามหลักของศาสนา  หลังจากนั้นท่านบุคอรีก็ยกอ้างร่องรอยการรายงานของท่านอุมัรที่บ่งชี้ถึงว่า แท้จริงไม่ทำให้บังเกิดผลใด ๆ ให้กับสิ่งที่ถูกวางบนกุบูร แต่ทว่าสิ่งที่บังเกิดผลนั้นก็คืออะมัลที่ดีงาม  ทั้งที่รูปการณ์ผิวเผินแล้วทั้งสองตัวบท(คำสั่งเสียของท่านบุร็อยดะฮ์และคำพูดของท่านอุมัร)จะค้านกัน ซึ่งด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีความคลุมเครือในฮุกุ่มการวางกิ่งอินทผาลัม, แต่ท่านอัซซัยน์ บิน อัลมุนัยยิร ได้กล่าวว่า  ส่งที่ได้ปรากฏตามรูปการณ์ของท่านบุคอรีย์นั้น  คือให้น้ำหนักการวางกิ่งอินทผาลัม และถูกตอบชี้แจงจากร่องรอยที่รายงานจากท่านอิบนุอุมัรว่า การยกกางเต้นท์กระโจมขึ้นบนกุบูรนั้นไม่ทำให้มัยยิดได้รับประโยชน์  ซึ่งต่างจากการวางกิ่งอินทผาลัม เพราะบทบัญญัติการวางกิ่งอินทผาลัมนั้น ได้ยืนยันจากการกระทำของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุะลัยฮิวะซัลลัม" ฟัตฮุลบารีย์ 3/23

นี่คือทัศนะของซอฮาบะฮ์  ที่มีต่อเรื่องการปักกิ่งอินทผาลัม ที่ อ.ปราโมทย์พยายามปกปิดซ่อนเร้นมันเอาไว้  อนึ่ง ท่านบุร็อยดะฮ์ได้เข้ารับอิสลามในยุคต้นแห่งการฮิจญฺเราะฮ์ขอท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ท่านบุร็อยดะฮ์ได้ร่วมรบกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมถึง 16 ครั้ง  ท่านเสียชีวิตในปีที่ 63 และยังเป็นซอฮาบะฮ์ที่มีเกียรติ  ติดตามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน

ดังนั้นทัศนะความเข้าใจอันลึกซึ้งของท่านบุร็อยดะฮ์ผู้เป็นซอฮาบะฮ์ต่อการกระทำของท่านนบีนั้น  ย่อมบังควรในการนำมายึดถือยิ่งกว่าความเข้าใจเชคบินบาซฺ  อย่างแน่นอน  วัลลอฮุอะลัม
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 31, 2009, 04:14 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
7. อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า  ท่านอิบนุกะษีรฺ ได้อรรถาธิบายโองการนี้ในหนังสือ “ตัฟซีรฺ อิบนุกะษีรฺ” ของท่าน  เล่มที่ 4  หน้า 276 ว่า ...“จากโองการอันทรงเกียรติบทนี้ ท่านอิหม่ามชาฟีอีย์และสานุศิษย์ของท่านจึงได้วิเคราะห์ออกมาว่า ผลบุญการอ่านอัล-กุรฺอ่านนั้น อุทิศไม่ถึงผู้ตาย!  เนื่องจามันมิใช่เป็นผลงานของเขาและความอุตสาหะของเขา, .. ด้วยเหตุนี้ ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมจึงไม่เคยส่งเสริมเรื่องนี้แก่อุมมะฮ์ของท่าน  อีกทั้งท่านยังไม่เคยกำชับหรือชี้แนะพวกเขาในเรื่องนี้แต่อย่างใด  ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม .......” 

ผมจึงเพิ่งจะมารับทราบจาก อ.กอเซ็มนี่เองว่า การที่ท่านอิหม่ามชาฟิอีย์อ้างโองการที่ 39 จากซูเราะฮ์อัน-นัจญม์ที่ว่า .. وأن ليس للإنسان إلا ما سعى  .. เป็นหลักฐานเรื่อง การอุทิศผลบุญการอ่านอัล-กุรฺอ่านไม่ถึงผู้ตาย .. แสดงว่า ท่านอิหม่ามชาฟิอีย์เป็นผู้หนึ่งที่ไม่เข้าใจความหมายอัล-กุรฺอ่านบทนี้ !...

วิภาษ

เรื่องการอุทิศผลบุญตามทัศนะของอิมามอัชชาฟิอีย์นั้น ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคทาน  การขอดุอา  ถือศีลอด  ย่อมมีประโยชน์และผลบุญถึงผู้ตาย  ส่วนกรณีการอ่านอัลกุรอานนั้น  หากอ่านอัลกุรอานแล้วเหนียตอุทิศให้แก่ผู้ตาย  ก็ไม่ถึงตามทัศนะของอิมามอัชชาฟิอีย์  แต่ถ้าหากอ่านอัลกุรอานแล้วทำการขอดุอาให้แก่ผู้ตาย  ก็จะมีประโยชน์แก่ผู้ตาย  และอนุญาตให้ขอดุอาแก่มัยยิดด้วยกับสิ่งใดก็ได้ที่ยังคุณประโยชน์แก่มัยยิด  ดังนั้นถ้าหากเขาได้ขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ให้ผลบุญการอ่านกุรอานมอบแด่มัยยิด  พระองค์ก็จะทรงตอบรับการวอนขอ  และยังผลประโยชน์แก่มัยยิดนั่นเอง

ท่านอิมามอัชชาฟิอีย์ได้กล่าวว่า

وَأُحِبُّ لَوْ قُرِئَ عِنْدَ الْقَبْرِ، وَدُعِيَ لِلْمَيِّتِ

"ฉันรัก หากมีการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร และมีการขอดุอาอ์ให้แก่มัยยิด(ผู้ตาย)" หนังสืออัลอุมมฺ 1/282

ท่านอิมาม อันนะวาวีย์  ได้กล่าวอธิบายไว้ในหนังสือ  อัล-มัจญฺมั๊วะ  ของท่านว่า

يُسْتَحَبُّ لِزَائِرِ القُبُوْرِ أَنْ يَقْرَأَ مَا تَيَسَّرَ مِنَ القُرْآنِ وَيَدْعُوْ لَهُمْ عَقِبَهَا نَصَّ عَلَيْهِ الشَّافِعِيُّ وَاتَّفَقَ عَلَيْهِ الأَصْحَابُ وَزَادَ فِيْ مَوْضِعٍ آخَرَ: وَإِنْ خَتَمُوْا القُرْآنَ عَلَى القَبْرِ كَانَ أَفْضَلَ

"และสุนัตให้ผู้ไปเยี่ยมกุบูร ทำการอ่านสิ่งที่ง่าย ๆ จากอัลกุรอานและทำการขอดุอาอ์ให้แก่เขาหลังจากเสร็จสิ้นการอ่าน  ซึ่งอิมามอัช-ชาฟิอีย์ได้ระบุมันไว้(ในหนังสืออุมมฺ)  และบรรดาสานุศิษย์ก็มีความเห็นพร้องกันต้องกันและอิมามอัชชาฟิอีย์ได้กล่าวเพิ่มในตำราเล่มอื่นอีกว่า หากพวกเขาได้อ่านจบหนึ่งจบที่กุบูร ก็จะเป็นการดียิ่ง"  ดู เล่ม 5 หน้า 276

ท่านอิมามอันนะวาวีย์  ได้กล่าวไว้ใน หนังสืออัลอัซฺการของท่านเช่นกันว่า

أَجْمَعَ الْعُلَمَاءُ عَلَى أَنَّ الدُّعَاءَ لِلأَمْوَاتِ يَنْفَعُهُمْ وَيَصِلُهُمْ ثَوَابُهُ...وَاخْتَلَفَ الْعُلَمَاءُ فِيْ وُصْوِلِ ثَوَابِ قِرَاءَةِ القُرْآنِ، فَالْمَشْهُوْرُ مِنْ مَذْهَبِ الشَّافِعِيِّ وَجَمَاعَةٍ أَنَّهُ لاَ يَصِلُ‏.‏ وَذَهَبَ أَحْمَدُ بْنُ حَنْبَل وَجَمَاعَةٌ مِنَ العُلَمَاءِ وَجَمَاعَةٌ مِنْ أَصْحَابِ الشَّافِعِيِّ إِلَى أَنَّهُ يَصِلُ، وَالاِخْتِيَارُ أَنْ يَقُوْلَ القَارِئُ بَعْدَ فَرَاغِهِ‏:‏ ‏اللَّهُمّ أَوْصِلْ ثَوَابَ مَا قَرَأْتُهُ إِلَى فُلاَنٍ، وَاللّهُ أَعْلَمُ‏

"บรรดาปวงปราชญ์ได้(อิจญฺมาอฺ)ลงมติเห็นพร้องว่า  แท้จริงการขอดุอาอ์ให้แก่บรรดาผู้ตายนั้น  มันเป็นผลประโยชน์แก่พวกเขาและผลบุญการขอดุอาก็ถึงไปยังพวกเขา.....และบรรดาอุลามาอ์ได้ขัดแย้งกันเกี่ยวกับเรื่อง  ผลบุญการอ่านอัลกุรอานถึงผู้ตาย  ดังนั้น  คำกล่าวที่เลื่องลือ จากมัซฮับอิมามอัช-ชาฟิอีย์และปราชญ์กลุ่มหนึ่งนั้น คือ ผลบุญไม่ถึงผู้ตาย(กล่าวคือหากอ่านอัลกุรอานเพียงอย่างเดียวโดยไม่ขอดุอาตามท้าย)  และท่านอิมามอะหฺมัด บิน หัมบัล พร้อมด้วยปวงปราชญ์กลุ่มใหญ่  และกลุ่มหนึ่งจากบรรดาสานุศิษย์ของอิมามอัช-ชาฟิอีย์ได้  กล่าวว่า แท้จริง ผลบุญดังกล่าวถึงผู้ตาย  และทัศนะที่ได้รับการแฟ้นแล้ว  คือให้ผู้อ่านกล่าวดุอาอ์หลังจากเสร็จสิ้นจากการอ่านอัลกุรอานว่า "โอ้อัลเลาะฮ์  ขอได้โปรดทำให้ผลบุญจากสิ่งที่ฉันได้อ่านมันไปแล้วนั้น  ไปถึงคนนั้นๆ (..........) ด้วยเทอญ (ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างปราชญ์) วัลลอฮุอะลัม "  ดู  อัลฟุตูฮาด อัรร๊อบบานียะฮ์  อะลา อัลอัซการอันนะวะวียะฮ์  เล่ม 4 หน้า 194

ดังนั้นท่านอิบนุอะลาน  ได้กล่าวว่า

قَوْلُهُ اَلْمَشْهُوْرُ مِنْ مَذْهَبِ الشَّافِعِيِّ إلخ. فِيْ شَرْحِ الرَّوْضِ هَذَا مَحْمُوْلٌ عَلَي مَا إِذَا أَهْديَ قِرَاءَتَهُ لَهُ أَوْ نَوَي وَلَمْ يَدْعُ لَهُ بِهِ اهـ وَنَقَلَ هَذَا الْحَمْلَ فِي التُّحْفَةِ عَنْ جَمْعٍ

"คำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ที่ว่า  "ทัศนะที่เลื่องลือจากอิมามอัชชาฟิอีย์..." นั้น  ในหนังสือชัรห์ อัรเราฎฺ (กล่าวว่า) คำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์นี้  ถูกตีความว่า  เมื่อเขาได้อ่านอัลกุรอานให้แก่ผู้ตายหรือเหนียตโดยไม่ได้ทำการขอดุอาแก่ผู้ตาย(แต่ถ้าอ่านอัลกุรอานและดุอาให้แก่มัยยิด ก็จะยังประโยชน์และผลบุญถึงผู้ตายด้วยสื่อของดุอานั้น)...และท่านอิบนุฮะญัรได้ถ่ายทอดการตีความนี้ไว้ในหนังสือตัวะห์ฟะตุลมั๊วะห์ตาจญ์จากปราชญ์กลุ่มหนึ่งเช่นกัน" อัลฟุตูฮาด อัรร๊อบบานียะฮ์  อะลา อัลอัซการอันนะวะวียะฮ์  เล่ม 4 หน้า 205

ท่าน อิมามรอมลีย์  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ นิฮายะตุลมั๊วะหฺตาจญฺ  ว่า  " สุนัตให้อ่านอัลกุรอานที่ง่าย ๆ  ที่กุบูร"  ดู เล่ม 3 หน้า 36  และท่านอิมามรอมลีย์กล่าวอีกว่า "ให้เขาทำการอ่านอัลกุรอานและขอดุอาอ์หลังจากการอ่านอัลกุรอานของเขา  และการขอดุอาอ์นั้นเป็นผลประโยชน์แก่มัยยิด  และการขอดุอาอ์ถัดจากการอ่านอัลกุรอานนั้น  ทำให้ถูกตอบรับรวดเร็วยิ่งกว่า"  ดู  เล่ม 3 หน้า 37

ท่านอิมามอัรรอมลี  ได้กล่าวเช่นว่า

قَالَ إِبْنُ الصَّلاَحِ : وَيَنْبَغِي الجَزْمُ بِنَفْعِ اللَّهُمَّ أَوْصِلْ ثَوَابَ مَا قَرَأْنَاهُ

"ท่านอิบนุสศ่อลาห์กล่าวว่า  สมควรต้องมั่นใจเด็ดขาดว่า มีประโยชน์(ต่อผู้ตายด้วยคำดุอาอ์ที่ว่า) โอ้ อัลลอฮ์เจ้า  โปรดทรงให้ผลบุญที่เราได้อ่านไปถึงเขา...ด้วยเถิด"  หนังสือนิฮายะตุลมั๊วะห์ตาจญ์ เล่ม 6 หน้า 93

ตามนัยยะที่กระผมได้นำเสนอมา  สรุปว่าผลบุญการอ่านอัลกุรอานจะมีประโยชน์และถึงแก่ผู้ตายนั้น  ไม่ใช่ด้วยการเหนียตฮะดียะฮ์ให้เพียงอย่างเดียวเพราะผลบุญจะไม่ถึงตามทัศนะของอิมามอัช-ชาฟิอีย์  แต่ต้องขอดุอาอ์ให้แก่มัยยิดด้วย  ซึ่งในการขอดุอาอ์นั้น  เราจะขอต่ออัลเลาะฮ์ให้ผลบุญการอ่านของเราถึงมัยยิดนั้น ย่อมกระทำได้อย่างไม่มีปัญหา  เนื่องจากการขอดุอาอ์  เป็นสื่อที่จะทำให้ผลบุญไปถึงมัยยิด  ไม่ใช่การเหนียตฮะดียะฮ์ผลการอ่านอัลกุรอานเพียงอย่างเดียว
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 31, 2009, 04:30 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

หลักฐานและหลักการต่าง ๆ ที่กระผมได้นำเสนอมาทั้งหมดนั้น  นักปราชญ์มากมายแห่งโลกอิสลามให้การยอมรับเรื่องการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  ไม่ใช่เป็นเรื่องอุตริกรรมบิดอะฮ์ตกนรกแต่ประการใด  เนื่องจากพวกเขามิได้ส่งเสริมให้ทำบิดอะฮ์

การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรกับทัศนะของมัซฮับทั้ง 4

1. มัซฮับหะนะฟียะฮ์

ได้กล่าวระบุไว้ใน  อัลฟะตาวา  อัลฮินดียะฮ์  ว่า "เมื่อมัยยิดถูกฝังเรียบร้อยแล้ว  สุนัตให้บรรดามุสลิมทำการนั่งที่กุโบรสักช่วงเวลาหนึ่งหลังจากฝังเสร็จ  ด้วยขนาดเวลาที่อูฐถูกเชือดและเนื้อของมันได้แจกจ่ายไป  โดยให้พวกเขาทำการอ่านอัลกุรอานและขอดุอาอ์ให้แก่มัยยิด....การอ่านอัลกุรอานตามทัศนะของ ท่านมุหัมมัด (ร.ฮ.)นั้น ไม่ถือว่ามักโระฮ์  และบรรดาคณาจารย์ของเรา  ได้ยึดเอาทัศนะคำกล่าวของเขา"  ดู  เล่ม 1/166

ท่านอิบนุอาบิดีนได้กล่าวระบุ ไว้ในหนังสือ  ร๊อดดุลมั๊วะหฺตาร ว่า "การนั่งอ่านอัลกุรอานที่กุโบรไม่เป็นมักโระฮ์ ตามทัศนะที่ถูกเลือกเฟ้นแล้ว"  ดู เล่ม 2/246

ได้มีการกล่าวระบุไว้ในหนังสือ อันนิยาบะฮ์  ชัรหฺ อัลฮิดายะฮ์  ว่า " การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั้น  ไม่เป็นไร  แต่อย่านั่งบนกุโบร  และอย่าเข้าไปใน(หลุม)กุบูรแล้วอ่านอัลกุรอาน"  ดู เล่ม 3/306

2. มัซฮับมาลิกียะฮ์

อุลามาอ์มัซฮับมาลิกียะฮ์มีทัศนะว่า มักโระฮ์(ไม่ฮะรอม)กับการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  แต่บรรดาอุลามาอ์มัซฮับมาลิกียะฮ์ยุคถัดมานั้น  มีมติที่แน่นอนแล้วว่าให้กระทำได้  และบ้างก็บอกว่าเป็นเรื่องที่ดี  ทั้งนี้  หลังจากที่พวกเขาพบหลักฐานว่ามีซอฮาบะฮ์บางท่านได้สั่งเสียให้กระทำ

ท่าน อัลลามะฮ์(ปรมจารย์) ชัยค์  อัดดัรเดร  กล่าวว่า "บรรดาอุลามาอ์(มัซฮับมาลิกีย์)ยุคหลัง  มีทัศนะว่า  การอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  การซิกิร  และฮะดียะฮ์ผลบุญให้แก่มัยยิดนั้น ถือว่าไม่เป็นไร  และผู้ที่กระทำดังกล่าว  ย่อมได้รับผลตอบแทนด้วย  อินชาอัลเลาะฮ์"  ดู อัชชัรหฺ อัลกะบีร  ตีพิมพ์พร้อมกับ หาชียะฮ์ อัดดุซูกีย์ 1/423

3. มัซฮับชาฟิอียะฮ์ 

ท่าน อิมาม อันนะวาวีย์  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  อัล-มัจญฺมั๊วะ  ของท่านว่า "บรรดาอุลามาอ์ของเรากล่าวว่า  สุนัตให้ผู้ที่ไปเยี่ยมกุบูร  ทำการให้สลามแก่ชาวกุบูร , และให้เขาทำการขอดุอาอ์ให้แก่ผู้ที่เขาไปเยี่ยมและแก่ชาวกุโบรทั้งหมด , และถือเป็นการดียิ่ง  ที่จะกล่าวให้สลามและขอดุอาอ์ด้วยกับสิ่งที่ได้ระบุไว้ในหะดิษ, และสุนัตให้ผู้ไปเยี่ยมกุบูร ทำการอ่านสิ่งที่ง่าย ๆ จากอัลกุรอานและทำการขอดุอาอ์ให้แก่เขาหลังจากเสร็จสิ้นการอ่าน  ซึ่งอิมามอัช-ชาฟิอีย์ได้ระบุมันไว้(ในหนังสืออุมมฺ)  และบรรดาสานุศิษย์ก็มีความเห็นพร้องกันต้องกัน"  ดู 5/276

และบรรดาอุลามาอ์ชั้นนำในมัซฮัลอัช-ชาฟิอีย์  ได้กล่าวยืนยันว่า มีตัวบทระบุอย่างชัดเจน จากอิมามชาฟิอีย์  ว่า อนุญาติให้อ่านอัลกุรอานที่กุบูรได้อย่างไม่ต้องสงสัย  ซึ่งอิมาม อันนะวาวีย์ได้กล่าวยืนยันไว้ว่า อิมามอัชชาฟิอีย์ได้กล่าวระบุ(การอนุญาติอ่านอัลกุรอานที่กุบูร)ไว้ใน หนังสืออุมมฺ"หนังสือมัจญฺมั๊วะ 5/286  และอิมามอิบนุหะญัรอัลฮัยตะมีย์ (ดู อัลฟาตาวา อัลกุบรอ เล่ม 2/27) 

4. มัซฮับ อัลหะนาบิละฮ์

ท่าน อัลมัรดาวีย์  ได้กล่าวระบุไว้ในหนังสือ  อัลอินซอฟ ความว่า "การอ่านอัลกุรอาน ที่กุบูรไม่เป็นมักโระฮ์  ตามในสายรายงานที่ชัดเจนที่สุด(ซึ่งมาจากอิมามอะหฺมัด) และ นี้ก็คือ มัซฮับ(ของอิมามอะห์มัด)  ที่(ท่านอิบนุมุฟลิหฺ) ได้กล่าวไว้ใน หนังสืออัลฟุรั๊วะอ์ และท่านอะห์มัดได้กล่าวระบุมันไว้  , อัชชาเรี๊ยะห์(คือท่านชัมชุดดีน อะบีอุมัร อัลมุก็อดดิซีย์)ได้กล่าวว่า นี้คือคำกล่าวที่เลื่องลือจากอิมามอะหฺมัด" ดู 2/532

ท่าน อิบนุมุฟลิหฺ  กล่าวไว้ในหนังสือ  อัลมุบเดี๊ยะอ์  ชัรหฺ อัลมุกเนี๊ยะอ์ ว่า "การอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  ไม่เป็นมักโระฮ์  ตามสองสายรายงานที่ชัดเจนที่สุดที่รายงานจากท่านอิมามอะหฺมัด และ นี้ก็คือ มัซฮับ(ของอิมามอะหฺมัด)" ดู เล่ม 2/281

บทสรุป

1. ไม่มีหลักฐานสักตัวบทเดียวจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์มาระบุว่าการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรเป็นสิ่งฮะรอม จึงไม่มีสะละฟุศศอและห์ท่านใดกล้าฮุกุ่มฟันธงว่าฮะรอม

2. เหล่าปราชญ์ผู้มีคุณธรรมมากมายให้การยอมรับว่าการอ่านอัลกุรอ่านที่กุบูรอนุญาตให้กระทำได้

3. การอ้างหลักการที่ว่า "นบีไม่เคยทำ" นั้นเป็นหลักฐานอ้างที่อ่อน ซึ่งปราชญ์ฟิกห์ผู้ปราดเปรื่องไม่นำมาใช้พิจารณาเรื่องการห้ามอ่านอัลกุรอานที่กุบูร

4. การอ่านอัลกุรอานแล้วขอดุอาแก่ผู้ตายนั้น ได้ประโยชน์และผลบุญถึงผู้ตายโดยความเห็นพร้องกันของอิมามมัซฮับทั้งสี่  ซึ่งพวกเขาไม่ลงมติบนความลุ่มหลง

ดังนั้นจากสิ่งที่ผมได้นำเสนอมาทั้งหมด ไม่มีปราชญ์สะลัฟคนใดที่ตัดสินว่าการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรเป็นสิ่งฮะรอมและไม่วายิบ  แต่เป็นสิ่งที่ยาอิซฺ(อนุญาต)ให้กระทำได้  ซึ่งไม่บังควรเลยแม้แต่น้อยแก่ผู้ที่มีทัศนะอ่านอัลกุรอานที่กุบูรได้ไปตำหนิผู้ที่ไม่อ่าน  และผู้ที่ไม่อ่านอัลกุรอานที่กุบูรก็ไม่ควรเลยที่จะไปตำหนิผู้ที่อ่าน   

ท่านอบู นุอัยม์ รายงานถึง ท่านอิมาม ซุฟยาน อัษเษารีย์ ท่านกล่าวว่า "เมื่อท่านเห็นบุรุษท่านหนึ่งได้ปฏิบัติอะมัลหนึ่งที่นักปราชญ์ฟิกห์มีความ เห็นแตกต่างกัน และท่านก็มีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น ท่านจงอย่าไปห้ามเขา " ฮิลยะตุลเอาลิยาอฺ เล่ม 6/367

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า "แท้จริงบรรดานักปราชญ์นั้น จะตำหนิในเรื่องที่มีมติให้ทำการตำหนิ แต่สำหรับสิ่งที่ขัดแย้งกันนั้น ย่อมไม่มีการตำหนิแต่ประการใด " มัจญะมั๊วะฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ 20/225

อัลฮัมดุลิลลาฮ์  การวิภาษได้เสร็จสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาดใด ๆ ก็ถือว่ามาจากความโง่เขลาและความต่ำต้อยของกระผมเอง ขอวอนขอต่ออัลเลาะฮ์ให้บทวิภาษนี้ยังคุณประโยชน์แก่พี่น้องผู้ใฝ่ศึกษาด้วยเถิด ยาร๊อบ

اللهُمَّ صَلِّ عَلَي سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَلَي أَلِهِ وَصَحْبِهِ وَسَلِّمْ والحَمْدُ اللهِ رَبِّ العَالَمِيْنَ

วิภาษโดย : อัลฮัซฮะรีย์ Mail : al-azhary@hotmail.com

ได้ตรวจทานเสร็จสิ้น ณ ที่ กุ๊บบ้า ไคโร - อียิปต์ เมื่อวันที่ : 2/2/2009

أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

 salam

อัลฮัมดุลิลลาฮ์  บทความวิภาษได้เสร็จสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว และผมขออิญาซะฮ์(อนุญาต)แก่พี่น้องทำการปริ้นเผยแผ่แก่พี่น้องมุสลิมท่าน อื่น ๆ ที่ไม่มีโอกาสเข้ามาอ่านทางเว็บไซต์แห่งนี้ได้แล้ว  จึงเรียนมาให้ทราบครับ

วัสลาม

อัลอัซฮะรีย์



أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged