สถานภาพ ซาต ของพระเจ้าที่แท้จริงนั้นสติปัญญาไม่สามารถเข้าไปล่วงรู้ได้และไม่อาจสัมผัสกับเนื้อแท้ได้ เพราะความคิดจะไม่ครอบคลุมถึง ซาต , และมนุษย์ก็ไม่ได้รับสื่อใดๆ ให้นำไปใช้สัมผัสกับซาตได้
สติปัญญาของมนุษย์ม่ว่าจะมีความเฉลียวฉลาดขนาดไหน และมีความสามารถรับรู้ถึงขั้นไหนก็ตาม
ก็ยังบกพร่องและขาดความสามารถที่จะรู้แก่นแท้ของสิ่งต่างๆ อีกมากมาย
สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถรู้จักตัวของมนุศย์เอง
การรู้จักตัวเองของมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ยุ่งยากที่สุดทั้งทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา
สมงอของมนุษย์ไม่สามารถรู้จักแก่นแท้ของแสง ทั้งที่แสงเป็นสิ่งที่เปิดเผยและชัดเจนที่สุด
และไม่สามารถรู้จักแก่นแท้ของวัตถุ แก่นแท้ของอะตอมที่ประกอบกันฃึ้นกันเป็นวัตถุและวัตถุนั้นก้เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมนุษย์มากที่สุด
วิทยาศาสตร์ยังคงยืนเผชิญกับแก่นทแมกมายของจักรวาลอย่างหมดปัญญา โดยไม่สามารถกล่าวได้ว่าสิ่งที่ศึกษาและค้นคว้าได้แล้วนั้นถึงที่สุด
ปรมาจารย์ทางดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง คาเมล พลาเมอร์ยูน ได้กล่าวไว้ในหนังสืเขาชื่อ พลังธรรมชาติที่เร้นลับ ว่า
" เราพบว่าตัวเราใช้ความคิด แต่ความคิดคืออะไร ไม่ใครสามารถตอบคำถามนี้ได้ เราพบว่าเราเดิน แต่การทำงานของกล้ามเนื้อคืออะไร ไม่ใครรู้เรื่องดังกล่าว ข้าพเจ้าพบว่าความต้องการของข้าพเจ้าเป็นพลังงานที่ไม่ใช่เป็นวัตถุ
และสำนึกต่าง ๆ ในตัวเองก้ไม่ใช่วัตถุ ทั้งที่เป็นเช่นนี้เมื่อข้าพเจ้าต้องการยกแขนขึ้น ข้าพเจ้าได้พบว่าความต้องการของข้าพเจ้าได้ขับเคลื่อนอวัยวะของข้าพเจ้าให้เคลื่อนไหวมันเกิดขึ้นเช่นนนั้นได้อย่างไร
และอะไรคือสื่อกลางของพลังสติปัญญาในการก่อให้เกิดผลในทางวัตถุ
ไม่มีใคสามารถตอบคำถามข้อนี้ของข้าพเจ้าได้เช่นกัย แต่จงตอบข้าพเจ้าเถิดว่า ปราสาทตาส่งภาพสิ่งต่าง ๆ เข้าสู่สมองได้อย่างไร
และจงตอบข้าพเจ้าเถิดว่า สมองรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรและมันอยู่ที่ไหน และสภาพการทำงานของสมองเป็นอย่างไร
พวกท่าจงตอบเถิดว่า (เขาหมายถึงพวกที่ปฏิเสธพระเจ้า)... แต่พอแล้ว พอแล้ว ฉํนสามารถถามพวกท่านได้นับสิบปี โดยคนที่รู้ที่สุดของพวกท่านไม่อาจตอบคถามงาย ๆ ของฉันได้เลย"
เมื่อสภาพของสติปัญญาเป็นเช่นนี้ เมื่อเผชิญกับตัวเอง แสง วัตถุ สรรพสิ่งในจักรวาล ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น แล้วจะทะเยอทะยานไปรู้จัก ซาต ของอัลเลาะห์ และพยายามสัมผัสเนื้อแท้ของซาตเนื้อแท้ ของซาตได้อย่างไร
ซาตของอัลเลาะห์ยิ่งใหญ่เกินกว่าสติปัญญาจะสัมผัสได้หรือเกินกว่าความคิดจะเอื้อมไปถึง พระคำของอัลเลาะห์สัจจะยิ่งพระองค์ได้ตรัสได้ว่า
"สายตาทั้งหลายไม่สามารถสัมผัสพระองค์ได้ แต่พระองค์ทรงสัมผัสสายตาทั้งหลาย พระองค์ทรงรอบรู้ ทรงเชี่ยวชาญ (อัลอันอาม 130)
การที่ไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ ไม่ใช่การปฏิเสธการมีของสิ่งเหล่านั้น
การที่สติปัญญาหย่อนยาน ไม่สามารถเข้าไปรับรู้แก่นแท้ของสิ่งต่างๆ ไม่เป็นการปฏิเสธการมีของสิ่งเหล่านั้น
ดังนั้น แก่นแท้การที่สติปัญญาไม่สามารถเข้าไปรับรู้ แก่นแท้ของชีวิต จึงไม่ใช่การปฏิเสธการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิต และการไม่สามารถรับรู้แก่นแท้ของแสงก้ไม่ช่การปฏิเสธแสงที่มีอยู่ทั่วจักรวาล
และที่ไม่สารถเข้าถึงเนื้อแท้ของอะตอมก้ไม่ใช่เป็นการปฏิเสธว่าไม่มีอะตอมที่ประกอบหรือรวมตัวกันเป็นวัตถุ และสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่สติปัญญาเข้าไปไม่ถุงเนื้อแท้ของมันก้เช่นเดียวกัน
ซาต ของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน เมื่อสติปัญญาของมนุษย์ไม่อาจเข้าถึงเนื้อแท้และข้อเท็จจริงของซาตได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ซาต ของพระเจ้าไม่มี แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ เช่นเดียว เช่นเดียวกับสิ่งที่มีอยู่อย่างมั่นคงที่สุด
การมีอัลเลาะห์ตาอาลา อยู่ในข้อกำหนดของสิ่งที่มีอยู่จริงโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ และเป็นสิ่งที่สติปัญญายอมรับ และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานมายืนยัน นอกจากคนทรนง เหมือนคนตาบอดที่เรียกหาหลักฐานการมีดวงตะวัน ในกลางวัน ทั้งที่เป็นอย่างที่กล่าว เราก็จะนำหลักฐานต่าง ๆ มาเพื่อชี้นำไปสู่ความจริงและสิ่งที่ถูกต้อง