คิดว่า ปาเลสไตน์ ยังไม่ถือว่า เป็นรัฐนะครับ อาจเป็นเพียงดินแดนที่มีอานาจปกครองตนเอง บางส่วน (Gaza) เป็นดินแดนภายใต้การดูแลของกลุ่ม ฮามาส หมายถึง กลุ่มนี้มีอิทธิพลอยู่ การเกิดรัฐขึ้นได้ จะต้องมีการรับรองโโยรัฐอื่นก่อน จึงจะมีผลในทางพฤตินัย และนิตินัย กรณี ปาเลสไตน์นี้ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทสอิสราเอล รวมถึงเวสต์แบง ด้วย อิสราเอล สามารถควบคุมดินแดนดังกล่าวได้ ด้วยเพราะอำนาจทางทหารที่เหนือกว่าและการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา
หากจะถือว่า การที่ต้องได้รับการยอมรับจากชาติอื่น เพื่อรับรองสถานะของปาเลสไตน์ เพื่อที่จะถือว่า ปาเลสไตน์เป็นรัฐๆ หนึ่งนั้น ประเด็นนี้ อาหรับเกือบทั้งหมดรวมทั้งประเทศอิสลามและมุสลิมเกือบทั่วโลก ให้การรับรองสถานะของปาเลสไตน์ในฐานะรัฐๆ หนึ่งที่มีผลทางพฤตินัยและนิตินัยเช่นกัน
เพราะแต่เดิมนั้น หากเรามองที่เจ้าของเดิมของดินแดนดังกล่าวนั้น จะเป็นของชาวปาเลสไตน์โดยกรรมสิทธิ์อย่างแท้จริง แม้ยิวจะมาอ้างทีหลังว่า เป็นดินแดนของตนแต่บรรพบุรุษตามที่ปรากฏในพันธะสัญญาเก่า (เตาร็อต) ก็ตาม แต่ ณ ปัจจุบัน ยิวไม่มีสิทธิ์ที่จะอ้างสิทธิ์ของตนเหนือดินแดนปาเลสไนได้เลย เนื่องจากว่า บรรพบุรุษของยิวนั้นล้วนแต่ได้อพยพย้ายถิ่นฐานออกไปจนหมดแล้ว และได้ตั้งฐานบนที่ใหม่ที่ไม่ใช่ที่เดิม (ตรงที่เป็นดินแดนปาเลสไตน์ในปัจจุบัน) และในประวัติศาสตร์ก็ปรากฏว่า ชาวยิวไม่ว่าจะย้ายไปที่ใด ก็มักจะถูกทางคริสจักรออกคำสั่งให้ออกไป หรือไม่ก็ขับไล่ออก ทำให้ยิวต้องหลบอยู่ในดินแดนต่างๆ อย่างกระจัดกระจายและหลบๆ ซ่อนๆ ทั้งในรัสเซียในอดีต และโดยเฉพาะแถบยุโรปตะวันตก
ในขณะเดียวกัน ชาวปาเลสไตน์นั้น ก็ได้อยู่ในดินแดนตรงนั้น มาเป็นพันปีแล้ว อย่างน้อยสุดก็นับจากสมัยท่านค็ลีฟะฮ์อุมัร บิน ค็อฏฏ๊อบ ซึ่งก็ล่วงเลยมาพันกว่าปีแล้ว ถือเป็นระยะเวลาที่นานมากพอที่จะอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนที่ตนอยู่ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การได้มาของดินแดนตรงนั้น ก็ได้มาโดยถูกต้องตามหลักการพิชิตดินแดนในอดีต และภายใต้การปกครองในระบอบอิสลาม แม้จะมีชาวยิวและคริสเตียนอยู่บ้าง ณ ที่ตรงนั้น ก็ส่วนใหญ่ก็พอใจให้พวกเขาถูกอิสลามปกครอง
แต่ต่อมา เมื่อยิวเริ่มมีอิทธิพลโดยผ่านทางอาชีพพ่อค้าคนกลาง โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ยิวเริ่มส่งอิทธิพลของตนอย่างลับๆ เพื่อวางแผนในการโค่นล้มราชวงศ์ต่างๆ ของยุโรป ทำให้เกิดการปฏิวัติในหลายประเทศของยุโรป ซึ่งผู้ที่ดำเนินการทั้งหมดก็คือพวกลูหลานคริสเตียน แต่ผู้สั่งการ หรือคอยยุแยงอยู่เบื้องหลังก็คือพวกยิว มีสามารถมีสิทธิในการต่อรองการต่างๆ ต่อพวกนั้น
ต่อมา ประมาณช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งใกล้ช่วงการล้มสลายของอาณาจักรอุษมานียะฮ์เต็มทีแล้ว อังกฤษได้ถูกยิวผู้มีอิทธิพลเหนือกว่า ให้ทำสัญญาว่า หากอังกฤษสามารถล้มอาณาจักรอุษมานียะฮ์ได้แล้ว จะต้องรีบจัดหาดินแดนสักดินแดนหนึ่งให้ชาวยิวตั้งเป็นประเทศของตนให้ได้ ซึ่ง ณ ตอนนั้น ก็มีการหาดินแดนบางที่เพื่อสนองต่อพวกยิว จนในที่สุด ก็ตกมาที่ดินแดนของชาวปาเลสไตน์ จากนั้นมา ชาวยิวจากทั่วโลกก็ทำการย้ายดินแดนมาที่ปาเลสไตน์ โดยมีคำขวัญชวนเชื่อว่า "กลับสู่บ้านเกิด"
เกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ของยิวเหนือดินแดนปาเลสไตน์นั้น เพื่อความกระจ่างยิ่งขึ้น ผมขอนำเสนอข้อเขียนที่น่าสนใจยิ่งจากหนังสือ "33 ประเด็นปัญหาปาเลสไตน์" โดย ศ.ดร.มุหฺเซ็น มุฮัมมัดศอและหฺ, แปลโดยฮารูน หะยีแม จากหน้า 13-14 ดังนี้
"การอ้างสิทธิทางประวัติศาสตร์ของชาวยิวในปาเลสไตน์ได้จืดจางไปต่อหน้าสิทธิของชาวอาหรับที่มีต่อแผ่นดินของพวกเขา บรรดาลูกหลานชาวปาเลสไตน์ได้ตั้งรกราก และสร้างเมืองมามากกว่า 1,500 ปี ก่อนที่ชาวยิวจะสถาปนารัฐของพวกเขาขึ้นมา พวกเขายังคงอาศัยอยู่ที่นั่น ในระหว่างที่รัฐนั้นยังคงดำรงอยู่ และหลังจากความสัมพันธ์ของชาวยิวกับปาเลสไตน์เลวร้ายลง แม้ชาวยิวจะเข้าปกครองดินแดนส่วนหนึ่งของปาเลสไตน์เป็นเวลานานถึง 4 ศตวรรษ (1000-586 ก่อนคริสต์กาล) โดยประมาณ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปกครองดินแดนทั้งหมดของปาเลสไตน์ ต่อมาอำนาจของพวกแอสซีเรียน เปอร์เซีย กรีก และโรมัน ใน ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ยังคงตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดินของตน 90 ปีที่ว่างเว้นจากสงครามครูเสด อิสลามได้ปกครองดินแดนแห่งนี้เป็นเวลานานถึง 1,200 ปี (ปี ค.ศ.636-1917) ถือได้ว่าเป็นช่วงของการปกครองที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งปาเลสไตน์ ในภาคปฏิบัติความสัมพันธ์ระหว่างยิวกับปาเลสไตน์ได้สิ้นสุดลงราว 1,800 ปี คือ ตั้งแต่ปีที่ 135 แห่งคริสต์ศักราชจนถึงศตวรรษที่ 20 ในช่วงเวลาดังกล่าว พวกยิวไม่มีอำนาจทั้งทางด้านการเป็นผู้นำ, ด้านการเมือง หรือแม้แต่อารยธรรมให้เห็นในปาเลสไตน์ แม้แต่ในคำสอนศาสนาก็ห้ามมิให้คนยิวกกลับไปยังแผ่นดินปาเลสไตน์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ข้อมูลหลักฐานจากการค้นคว้าวิจัยของบรรดานักวิชาการยิว (อย่างเช่น นักวิชาการผู้เรืองนามนายอาเธอร์ คอสต์เลอร์) พบว่าชาวยิวยุคปัจจุบันกว่าร้อยละ 80 ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางด้านประวัติศาสตร์กับปาเลสไตน์แต่อย่างใด เช่น เดียวกับที่พวกเขาไม่ได้มีการสืบทอดทางโลหิต หรือความผูกพันในความรักที่มีต่อบรรดาลูกหลานอิสรา เอล ที่จริงแล้ว ชาวยิวส่วนใหญ่ในปัจจุบันสืบเชื้อสายมาจากพวกคาซาร์ (Khazars) หรือที่เรียกกันว่า พวก อัชเคนัซ (Ashkenaz) ซึ่งเป็นชนเผ่าตาตาร์เตอร์กิค (Tatar-Terkic) เก่าแก่โบราณที่อาศัยอยู่แถบตอนเหนือของคอเคซัส และได้เข้ารับศาสนายูดายในช่วงปีที่ 8 แห่งคริสต์ศักราช ดังนั้น สมมติว่า ถ้าหากชาวยิวมีสิทธิ์ที่จะกลับไปสู่บ้านเกิดของตนเองก็คงไม่ใช่ปาเลสไตน์ แต่ต้องเป็นรัสเซียตอนใต้อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านี้ ชาวยิวยังอ้างถึงการคบค้าสมาคมกับชาวปาเลสไตน์ และความเกี่ยวพันของพวกเขากับชาวปาเลสไตน์ ก็ไม่อาจยืนกรานได้ต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ว่าลูกหลานของอิสราเอลส่วนใหญ่ปฏิ เสธที่จะเข้าร่วมกับศาสดามูซา (โมเซส) ในการอพยพไปสู่ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ในทำนองเดียวกัน ชาวยิวส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะกลับจากบาบิโลนไปยังปาเลสไตน์ หลังข้อเสนอของจักรพรรดิไซรัสแห่งเปอร์เซียเสนอที่จะรักษาคนเหล่านี้เอาไว้ ตลอดช่วงประวัติ ศาสตร์ทั้งหมดจวบจนปัจจุบัน จำนวนของประชากรยิวในปาเลส ไตน์ไม่เคยมีมากไปกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนประชากรยิวในช่วงที่ดีที่สุดของพวกเขา"
วัสสลามุอลัยกุม