ผู้เขียน หัวข้อ: สตรีที่ห้ามสมรสตามบัญญัติอิสลาม  (อ่าน 3307 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-fantazy

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 270
  • สูบบุหรี่เป็นสีแก่ปาก สูบมากๆ ระวังปากจะไม่มีสี
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด

สตรีที่ห้ามสมรสตามบัญญัติอิสลาม  (อาจารย์สมยศ หวังอับดุลเลาะ)

 ศาสนาอิสลามได้บัญญัติและส่งเสริมการนิกาหฺ เพราะเป็นผลดีมีประโยชน์นานัปการสู่ตัวบุคคลและสังคม ทั้งนี้สถานภาพของแต่ละบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดข้อชี้ขาดตามศาสนบัญญัติในการนิกาหฺนั้นโดยพิจารณาสถานภาพของฝ่ายชายเป็นหลัก ในส่วนของสตรีที่จะทำการนิกาหฺด้วยนั้นก็มีเงื่อนไขตามศาสนบัญญัติกำหนดไว้เช่นกัน กล่าวคือ ศาสนาอิสลามได้บัญญัติห้ามทำการนิกาหฺกับสตรีบางจำพวก อาทิ สตรีผู้เป้นมารดาของตน เนื่องจากเป็นผู้มีพระคุณและมีเกียรติที่บุคคลพึงต้องเคารพนับถือโดยศักดิ์และสิทธิ์ในฐานะบุพการี เป็นต้น หรือบัญญัติห้ามนิกาหฺกับบุตรสาวของตนและพี่สาวน้องสาวของตน ทั้งนี้เพราะเป้าหมายของการนิกาหฺ คือการรักษาตนให้พ้นจากการละเมิดประเวณี (ซินา) 

อนึ่ง นักกฎหมายอิสลามเรียกบุคคลที่ต้องห้ามทำการนิกาหฺด้วยว่า “มะหฺรอม” (Unmarriageable person) หรือ “อัลมุหัรร่อมาตฺ มินัน นิซาอฺ” ซึ่งหมายถึง บรรดาสตรีที่ถูกบัญญัติห้ามนิกาหฺด้วย


       ประเภทของการห้ามนิกาหฺกับสตรีต้องห้าม


ต้องห้ามอย่างถาวร (Eternally unmarriageable)
ต้องห้ามชั่วคราว (Temporarily unmarriageable)

สตรีต้องห้ามอย่างถาวร


1.    สตรีที่ต้องห้ามนิกาหฺอย่างถาวร


      หมายถึง สตรีที่ศาสนาจะไม่อนุญาตให้ผู้ชายนิกาหฺกับคนหนึ่งคนใดจากพวกนางไม่ว่าจะกรณีใดๆ ตลอดไป (Alkhin , 1991 : 26)


1.1   สาเหตุที่ต้องห้ามนิกาหฺกับสตรีประเภทต้องห้ามอย่างถาวร มี 3 สาเหตุ คือ


ก.      ความเป็นญาติใกล้ชิดโดยสายเลือด (อัลก้อรอบะฮฺ)

ข.      มีความสัมพันธ์ทางการสมรส การเกี่ยวดองกัน (อัลมุซอฮ่ารอฮฺ)

ค.      มีความสัมพันธ์กันทางการร่วมดื่มนมจากแม่นมคนเดียวกัน (อัรร่อฏออฺ) (Assabig , 1990 : 2/201 , Alzuhayly . 1989 : 130)


1.2   สตรีที่ต้องห้ามนิกาหฺอย่างถาวร เนื่องจากสาเหตุความเป็นญาติทางสายโลหิตมีเจ็ดกลุ่ม ได้แก่


ก.      แม่ , ยาย (แม่ของแม่) และย่า (แม่ของพ่อ) หรือที่เรียกว่า ผู้สืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปตามลำดับโดยมิขาดสาย

ข.      ลูกสาวและหลานสาวที่เกิดจากลูกผู้ชายและลูกผู้หญิง หรือที่เรียกว่าผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงไปโดยมิขาดสาย

ค.      พี่สาวและน้องสาวร่วมบิดามารดาเดียวกัน หรือร่วมบิดาเดียวกัน หรือร่วมมารดาเดียวกัน

ง.       ลูกสาวของพี่ชาย – น้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกัน หรือร่วมบิดาเดียวกัน หรือร่วมมารดาเดียวกัน

จ.      ลูกสาวของพี่สาว -  น้องสาวร่วมบิดามารดาเดียวกัน หรือร่วมบิดาเดียวกัน หรือร่วมมารดาเดียวกัน

ฉ.      พี่สาวหรือน้องสาวของบิดา ตลอดจนป้าของบิดาและป้าของมารดาก็เช่นเดียวกัน

ช.      พี่สาวหรือน้องสาวของมารดา รวมถึงน้าสาวของบิดาและน้าสาวของมารดา


1.3   หลักฐานที่ระบุห้ามนิกาหฺกับสตรีเหล่านี้
ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ ตรัสว่า



       “ถูกบัญญัติห้ามแก่พวกเจ้า (ในการนิกาหฺด้วย) ซึ่งบรรดาแม่ของพวกเจ้า บรรดาลูกสาวของพวกเจ้า บรรดาพี่สาวหรือน้องสาวของพวกเจ้า บรรดาป้าของพวกเจ้า บรรดาน้าสาวของพวกเจ้า , บรรดาลูกสาวของพี่ชายหรือน้องชายของพวกเจ้าและบรรดาลูกสาวของพี่สาวหรือน้องสาวของพวกเจ้า” (อันนิสาอฺ : 23)


2.    มีความสัมพันธ์กันทางการสมรส


บรรดาสตรีที่ต้องห้ามนิกาหิด้วยเนื่องจากความเกี่ยวดองกันโดยการนิกาหฺเป็นเหตุมี 4 กลุ่ม คือ


     2.1 ภรรยาของบิดา, ภรรยาของปู่ (บิดาของบิดา), ภรรยาของตา (บิดาของมารดา)


หลักฐานบัญญัติห้าม พระองค์อัลลอฮฺ ตรัสว่า


“และสูเจ้าทั้งหลายจงอย่านิกาหฺกับบรรดาสตรีที่บรรดาบิดาของสูเจ้าได้เคยนิกาหฺมาด้วยแล้ว นอกจากที่ผ่านพ้นมาแล้วเท่านั้น แท้จริงมันเป็นสิ่งลามกและน่าเกลียดยิ่ง อีกทั้งเป้นเหตุแห่งความโกรธเคืองและเป็นวิถีทางที่ชั่วช้าสามานย์” (อันนิสาอฺ : 22)


2.2                        ลูกสะใภ้ (ภรรยาของบุตรชาย) หลานสะใภ้ (ภรรยาของหลานชายที่เกิดจากบุตรชายหรือเกิดจากบุตรสาว) และภรรยาของผุ้สืบสายโลหิตตามลำดับชั้นลงไป (คือเหลน ๆ ) ก็เช่นกัน


ศาสนาบัญญัติห้ามนิกาหฺด้วยอย่างถาวรไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น (Alkhin, 1991 : 4/27) ทั้งนี้ไม่ว่าผู้สืบสายโลหิตเหล่านั้น (คือลูกชาย,หลานชายและเหลนๆ) จะร่วมประเวณีกับสตรีที่เป้นสะใภ้นั้นหรือไม่ก็ตาม และถึงแม้ภายหลังมีการหย่าร้างหรือเสียชีวิตของผุ้สืบสายโลหิตจากสตรีเหล่านั้นก็ตาม (Al-zunhaily, 1989 : 132)

หลักฐานบัญญัติห้าม ดังที่พระองค์อัลลอฮฺ ตรัสว่า


“และบรรดาภรรยาของบรรดาลูกชายของสูเจ้าทั้งหลายซึ่งพวกเขาเกิดจากไขสันหลังของพวกเขา (ก็ห้ามนิกาหฺด้วยเช่นกัน)” (อันนิสาอฺ : 23)


2.3                      มารดาและผู้สืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปของภรรยา


ศาสนาบัญญัติห้ามนิกาหฺด้วย (Alkhin, 1991 : 4/28) ตลอดจนมารดาของบิดาของภรรยาก็เป็นที่ต้องห้ามนิกาหฺด้วยเช่นกัน ตามลำดับชั้นที่สูงขึ้นไป (Assabig, 1990 : 2/202) หลักฐานบัญญัติห้าม ดังที่อัลลอฮฺ ตรัสว่า


ความว่า “และบรรดาแม่เหล่าบรรดาภรรยาของพวกสูเจ้า" (อันนิสาอฺ : 23)



         2.4                        บุตรสาวของภรรยา


คือลูกเลี้ยงซึ่งเกิดจากภรรยากับสามีคนก่อนถือเป็นสตรีต้องห้ามสำหรับสามีของแม่ (พ่อเลี้ยง) ในการนิกาหฺด้วย ภายหลังมีการร่วมประเวณีกับผู้เป็นแม่ของนางแล้ว ส่วนกรณีเมื่อทำข้อสัญญานิกาหฺกับผุ้เป็นมารดาแล้วแต่ยังไม่มีการร่วมประเวณีกับนาง และมีการหย่าร้าง(ตอล๊าก) เกิดขึ้นในระหว่างนั้น หรือผุ้เป้นมารดาเสียชีวิต ย่อมเป็นที่อนุญาตให้พ่อเลี้ยงนิกาหฺกับลูกเลี้ยงของตนได้ (Alkhin, : 4/28)

หลักฐานบัญญัติห้าม ดังที่พระองค์อัลลอฮฺ ตรัสว่า :


“และบรรดาลูกเลี้ยงของพวกท่านที่อยู่ในอุปการะของพวกท่านซึ่ง (เกิด) จากบรรดาภรรยาของพวกท่านที่พวกท่านได้ร่วมประเวณีกับพวกนาง ดังนั้นหากพวกท่านยังไม่ได้ร่วมประเวณีกับพวกนาง ย่อมไม่มีบาปอันใดต่อพวกท่าน(ที่จะนิกาหฺกับลูกสาวของนางซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของพวกท่าน) “ (อันนิสาอฺ : 23)


“การทำสัญญานิกาหฺกับลูกสาวนั้นย่อมทำให้มารดาของนางเป็นที่ต้องห้ามนิกาหฺด้วย (สำหรับลูกเขย) และการร่วมประเวณีกับมารดา (ของลูกเลี้ยง) ย่อมทำให้บุตรสาวของนาง (คือลูกเลี้ยงเป็นที่ต้องห้ามนิกาหฺด้วย (สำหรับพ่อเลี้ยง) “ (Hawwas ,1994 : 147)

     
         3.ความสัมพันธ์ทางการร่วมดื่มน้ำนมจากแม่นมคนเดียวกัน




การดื่มนมของทารกจากสตรีผู้เป็นแม่นมจักถือเป็นสาเหตุแห่งการต้องห้ามนิกาหฺด้วยมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ คือ

3.1 สตรีผู้ให้นม (แม่นม) ซึ่งเรียกว่า มุรฎิอฺ มีเงื่อนไขดังนี้

ก. ต้องเป็นมนุษย์ผู้หญิง

ข. สตรีผุ้ให้นม (แม่นม) ต้องมีชีวิตอยู่จริง

ค. สตรีผู้ให้นม (แม่นม) ต้องมีอายุบรรลุวัยที่สตรีมีรอบเดือน

3.2 เด็กทารกที่ดื่มนม ซึ่งเรียกว่า ร่อฎีอฺ มีเงื่อนไขในการเป้นที่ต้องห้ามนิกาหฺด้วยเนื่องจากการดื่มนมดังนี้

ก. ในขณะดื่มนม เด็กทารกต้องมีชีวิตอยู่จริง

ข. อายุต้องไม่ถึง 2 ขวบปีบริบูรณ์โดยแน่ใจ หากการดื่มนมของเด็กเกิดขึ้นหลังจากอายุครบ 2 ขวบปีบริบูรณ์ หรือเกิดขึ้นในขณะสงสัย ย่อมไม่มีผลอันใด

3.3 น้ำนมที่ทารกดื่ม ซึ่งเรียกว่า ละบัน มีเงื่อนไขในการเป็นที่ต้องห้ามนิกาหฺด้วย ดังนี้

ก. น้ำนมหรือสิ่งที่เกิดจากน้ำนม เข้าไปถึงกระเพาะของเด็กทารกหรือสมองของเด็กทารก และการคงสภาพเดิมของน้ำนมเมื่อนำออกมาจากเต้านมหรือทรวงอกของสตรีที่ให้นมไม่ถือเป็นเงื่อนไขในการยืนยันสภาพต้องห้ามนิกาหฺด้วย

ข. การดื่มนมนั้นต้องเกิดขึ้นห้าครั้ง ห่างๆกัน และการดื่มนมทั้งห้าครั้งนั้น ต้องเกิดขึ้นจริงโดยมั่นใจ ดังนั้นหากการดื่มนมเกิดขึ้นน้อยกว่าห้าครั้งตามหลักประเพณีและเกิดขึ้นโดยมีข้อสงสัยในจำนวนครั้ง ก็ย่อมไม่มีผลในเรื่องนี้แต่อย่างใด

        บรรดาสตรีเหล่านี้ศาสนาบัญญัติห้ามนิกาหฺ ดังปรากฏหลักฐานจากอัลหะดิษ ได้ระบุว่า :


“แท้จริงการร่วมดื่มนมจากแม่นมคนเดียวกันนั้นย่อมเป็น (เหตุ) ต้องห้าม (นิกาหฺด้วย) เช่นเดียวกับข้อห้ามอันเกิดจากการให้กำเนิด (การสืบสายโลหิต)” (บันทึกโดยบุคอรี และมุสลิม)


สตรีต้องห้ามชั่วคราว


        กฎหมายอิสลามได้บัญญัติห้ามการนิกาหฺกับสตรีบางกลุ่ม เนื่องด้วยเพราะมีเหตุแห่งการบัญญัติห้ามไว้ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการคงอยู่ของเหตุนั้นหรือการหมดไปของเหตุนั้นๆ กล่าวคือ เมื่อเหตุแห่งการบัญญัติห้ามในการนิกาหฺหมดไป การเป้นที่ต้องห้ามของสตรีที่ชายมีความปรารถนานิกาหิด้วยก็ย่อมหมดไป และกลับสู่สถานภาพปกติที่อนุมัติให้นิกาหฺได้ ดังนี้หากชายผุ้หนึ่งทำสัญญานิกาหฺกับสตรีผู้หนึ่งผู้ใดจากสตรีนี้ก่อนการหมดไปของเหตุแห่งการบัญญัติห้ามนิกาหฺนั้น ย่อมถือว่าสัญญานิกาหฺที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเป็นโมฆะ (Invalid) ซึ่งนักกฎหมายอิสลาม เรียกการทำสัญญานิกาหฺเช่นนี้ว่า นิกาหฺบาฏิ้ล

กลุ่มสตรีที่กฎหมายอิสลามห้ามนิกาหฺเป็นการชั่วคราว มี 7 กลุ่มดังนี้



1.      การรวมผู้หญิงสองคนที่เป็นญาติสนิททางสายโลหิตเป็นภรรยาของชายคนเดียวกัน

การสมรสกับหญิงอีกคนที่เป็นญาติสนิททางสายโลหิตกับภรรยาของตนอยู่แล้วย่อมกระทำไม่ได้ อัลลอฮฺได้ตรัสในเรื่องนี้ว่า



“และ (เป็นสิ่งที่ต้องห้าม) ในการที่พวกเจ้ารวมสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน(เป้นภรรยาของพวกเจ้า) “(อันนิสาอฺ:23)


2.      การนิกาหฺซ้อน


       การนิกาหฺซ้อนระหว่างสตรีที่เป็นหลานสาวกับป้าของนาง(คือพี่น้องผู้หญิงของพ่อ) และระหว่างสตรีที่เป็นหลานสาวกับน้าสาว(คือพี่น้องผู้หญิงของแม่) และระหว่างสตรีผุ้หนึ่งกับบุตรสาวของพี่น้องผู้หญิงหรือบุตรสาวของพี่น้องผู้ชาย หรือบุตรสาวของลูกชายหรือลูกสาวของบุตรีของนาง  หลักฐานบัญญัติห้ามในเรื่องนี้ มีระบุในอัลหะดิษ ว่า


“จะอยู่รวมกันมิได้ (ในการนิกาหฺ) ระหว่าสตรีกับป้าของนาง (คือคือพี่น้องผู้หญิงของพ่อ) และระหว่างสตรีกับน้าสาวของนาง (คือพี่น้องผู้หญิงของแม่) “ (บุคอรี : 4820 , มุสลิม : 1408 )



      3.      สตรีคนที่ห้าสำหรับชายที่มีภรรยาสี่คน

     พระองค์อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า


       “ดังนั้น พวกท่านทั้งหลายจงนิกาหฺกับบรรดาสตรีที่พวกท่านพึงพอใจเถิด สองคน สามคน และสี่คน” (อันนิสาอฺ : 3)

     
    4.      สตรีต่างศาสนิก (UNBELIVER) ที่มิใช่ชนแห่งคัมภีร์ (the people of the Book , Christioans and Jews)
         หลักฐานที่บัญญัติห้ามในเรื่องนี้ดังที่อัลลอฮฺ ตรัสว่า


      "และพวกท่านจงอย่านิกาหฺกับเหล่าสตรีผู้ตั้งภาคี จนกว่าพวกนางจะมีศรัทธา และที่จริงทาสหญิงที่มีศรัทธานั้นยังดีกว่าสตรีที่ตั้งภาคี แม้ว่านางจะทำให้ท่านพึงพอใจก็ตาม และพวกท่านจงอย่านิกาหฺ (สตรีมุสลิมในปกครองของพวกท่าน) กับพวกชายที่ตั้งภาคี จนกว่าพวกเขาจะมีศรัทธา และที่จริงทาสชายที่มีศรัทธานั้น ยังดีกว่าชายที่ตั้งภาคี แม้ว่าพวกเขาจะทำให้ท่านพึงพอใจก็ตาม” (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 221)



       หลักกฎหมายอิสลามอนุมัติให้ชายมุสลิมทำการนิกาหฺกับสตรีที่เป็นชาวคัมภีร์ อันได้แก่ยะฮูดียฺ (Judaic , Jew) และนัสรอนียะฮฺ (Christian) ซึ่งชนทั้งสองกลุ่มนี้เชื่อในคัมภีร์เตารอฮฺ (Torah, The Old Testament) และคัมภีร์อินญีล (Bible,The New Testament) หากชนสองกลุ่มนี้เป็นพลเมืองในรัฐอิสลาม พวกเขาจะได้รับการพิทักษ์คุ้มครองในชีวิตและทรัพย์สินตลอดจนเสรีภาพในการประกอบศาสนกิจตามความเชื่อโดยเรียกว่า “พันธสัญญาอัซซิมมะฮฺ” (Covenant of protection giving to the Zimmis) และเรียกพวกเขาว่า ซิมมี่ย์ (Zimmi – Non muslim subjects at home) บรรดาปวงปราชญ์ภาควิชานิติศาสตร์อิสลามมีความเห็นว่า อนุมัติให้ทำการนิกาหฺกับสตรี “ซิมมี่ย์” ทั้งที่เป็นยะฮูดีย์(ยิว) และนัศรอนีย์(คริสเตียน) โดยอ้างหลักฐานจากพระบัญญัติที่ว่า


       “และเหล่าสตรีที่สงวนตัวทั้งที่มีศรัทธา และทั้งที่เป็นชาวคัมภีร์ซึ่งได้รับคัมภีร์ก่อนหน้าพวกท่าน” (อัลมาอิดะฮฺ : 5)



     5. สตรีที่มีสามี
     กฎหมายอิสลามไม่อนุญาตให้ชายใดทำการนิกาหฺกับสตรีที่มีสามีอยู่แล้ว และนางยังคงเป็นภรรยาของสามีเดิมนั้นอยู่ ไม่ว่าสามีของนางจะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม โดยมีหลักฐานจากพระบัญญัติที่ว่า


       “และบรรดาสตรีที่อยู่ในปกครองของสามี (ถือเป็นสตรีที่มีบัญญัติห้ามมิให้นิกาหฺด้วยเช่นกัน) นอกกจากที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง (คือสตรีที่ตกเป็นเชลยศึกแล้วถูกมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ในฐานะทาสหญิง) “ (อันนิสาอฺ : 24)

     
     6.      สตรีที่ยังอยู่ในช่วงอิดดะฮฺ

      ช่วงเวลาอิดดะฮฺ หมายถึงระยะเวลาที่สตรีห้ามสมรสกับชายอื่น ภายหลังจากที่ขาดการสมรสกับสามีหรือสามีเสียชีวิต เพื่อให้ทราบว่ามดลูกของนางปลอดจากการตั้งครรภ์

หลักฐานที่บัญญัติในเรื่องนี้ดังที่พระองค์อัลลอฮฺ ทรงตรัสว่า :


         “และพวกท่านอย่าเจตนาทำสัญญานิกาหฺจนกว่าสิ่งที่ถูกกำหนดไว้จะถึงระยะเวลาสิ้นสุดของมันเสียก่อน” (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 235 )



     7.      สตรีที่ถูกหย่าขาด 3 ครั้ง (3 ตอลาก)

      หลักกฎหมายอิสลามไม่อนุมัติให้สามีของสตรีที่ถูกหย่าสามครั้ง (สามตอล๊าก) ทำการนิกาหฺกับนางได้อีก เรียกการหย่าประเภทนี้ว่า “ตอล๊าก บาอิน บัยนูนะฮฺกุบรอ คือการหย่า (ตอล๊าก) ที่ครบ 3 ครั้ง ซึ่งสามีผู้หย่าไม่มีสิทธิ์คืนดีกับภรรยาที่ถูกหย่าสามครั้งนั้น จนกว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่หลักกฎหมายอิสลามได้กำหนดไว้ดังนี้

หลักฐานที่บัญญัติห้ามมิให้สามีที่หย่าขาดภรรยาของตน 3 ครั้งครบสมบูรณ์แล้วทำการนิกาหฺกับนางอีกจนกว่านางจะผ่านการมีสามีใหม่ตามเงื่อนไขที่ศาสนากำหนด คือพระดำรัสที่ว่า


        “ดังนั้นถ้าหากเขาหย่านางสามครั้ง จากนั้นนางก็ไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขาอีกจนกว่านางจะได้นิกาหฺกับสามีกับสามีอีกคนหนึ่งเสียก่อน ดังนั้นถ้าหาดเขาหย่านาง ก็จะไม่มีบาปเหนือคนทั้งสองที่จะกลับคืนดีกัน ถ้าหากทั้งสองนั้นค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถดำรงในข้อกำหนดต่างๆของพระองค์อัลลอฮฺเอาไว้ได้ และนั้นเป็นข้อกำหนดต่างๆของพระองค์อัลลอฮฺซึ่งพระองค์ทรงแจกแจงมันอย่างกระจ่างชัดแก่กลุ่มชนที่ที่ตระหนักรู้” (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 230)



       สตรีที่ถูกหย่าขาดจากสามี 3 ครั้ง (3 ตอล๊าก) แล้วจะเป็นที่อนุมัติให้สามีที่หย่าขาด นิกาหฺใหม่อีกครั้ง จำต้องผ่านข้อกำหนดอันเป็นเงื่อนไข 5 ประการดังนี้

นางจะต้องนิกาหฺกับชายอื่นที่มิใช่สามีผู้หย่าขาดนั้น
การทำสัญญานิกาหฺตามข้อ 1. นั้นต้องถูกต้องสมบูรณ์
สามีคนใหม่จะต้องร่วมประเวณี(มีเพศสัมพันธ์)กับนางทางอวัยวะเพศด้านหน้า มิใช่ทางทวารหนัก
นางตกอยู่ในสภาพบัยนูนะฮฺ จากสามีใหม่ด้วยการหย่า 3 ครั้ง หรือสิ้นสุดช่วงเวลาอิดดะฮฺ ของนางในการหย่าที่สามีสามารถกลับคืนดีได้ หรือสามีใหม่เสียชีวิต
ช่วงอิดดะฮฺ ของนางเนื่องจากการหย่าของสามีใหม่ตามข้อ 4. สิ้นสุดลงแล้ว
ดังนั้นเมื่อสามีที่ถูกหย่าขาดจากสามี 3 ครั้งผ่านเงื่อนไขทั้ง 5 ประการแล้ว ย่อมอนุมัติให้นางทำการนิกาหฺกับสามีคนเดิมนี้ได้อีกโดยเริ่มต้นชีวิตคู่ใหม่ และสามีมีสิทธิครองจำนวนการหย่าใหม่ 3 ครั้ง


ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
Re: สตรีที่ห้ามสมรสตามบัญญัติอิสลาม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ม.ค. 14, 2009, 09:45 PM »
0

3.      สตรีคนที่ห้าสำหรับชายที่มีภรรยาสี่คน

     พระองค์อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า


       “ดังนั้น พวกท่านทั้งหลายจงนิกาหฺกับบรรดาสตรีที่พวกท่านพึงพอใจเถิด สองคน สามคน และสี่คน” (อันนิสาอฺ : 3)

     



       


ไม่เข้าใจ  ?? อธิบายให้หน่อยค่ะ
เอางี้นะ...สมมุติบังเรามีภรรยาสี่คน  คนที่ห้าเนี่ย ต้องห้ามหรอ  ถ้าเกิดบังเราอยากแต่งอะ  ต้องทำอย่างไรกะคนที่ห้าเนี่ย

ออฟไลน์ al-fantazy

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 270
  • สูบบุหรี่เป็นสีแก่ปาก สูบมากๆ ระวังปากจะไม่มีสี
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด
Re: สตรีที่ห้ามสมรสตามบัญญัติอิสลาม
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ม.ค. 14, 2009, 09:55 PM »
0

3.      สตรีคนที่ห้าสำหรับชายที่มีภรรยาสี่คน

     พระองค์อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า


       “ดังนั้น พวกท่านทั้งหลายจงนิกาหฺกับบรรดาสตรีที่พวกท่านพึงพอใจเถิด สองคน สามคน และสี่คน” (อันนิสาอฺ : 3)

     



       


ไม่เข้าใจ  ?? อธิบายให้หน่อยค่ะ
เอางี้นะ...สมมุติบังเรามีภรรยาสี่คน  คนที่ห้าเนี่ย ต้องห้ามหรอ  ถ้าเกิดบังเราอยากแต่งอะ  ต้องทำอย่างไรกะคนที่ห้าเนี่ย


ใช่ครับ  หากว่าผู้ชายคนใดมีภรรยาอยู่ในการครอบครองของตนในตอนนั้นแล้วจำนวน 4 คน  ก็ไม่อนุญาติให้มีภรรยาคนที่ 5 อีก
เพราะอิสลามอนุมัติให้มีในเวลาเดียวกันแค่ 4 คน เท่านั้น  แต่หากผู้ชายคนนั้นต้องการภรรยาเพิ่มอีก 1 คน ก็จำเป็นบนผู้ชายคนนั้น
ต้องหย่าขาดจากภรรยาของตนจาก 1 คน ใน 4 คนนั้น  ให้เหลือแค่ 3 คน ดังงนั้นเมื่อเหลือ 3 คนแล้ว  ผู้ชายก็สามารถแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนได้

คราวนี้เข้าใจหรือยังขอรั๊บ.......... คือในเวลาเดียวกันมีได้แค่ 4 คน  แต่ในอดีตนั้นจะมีมาแล้วเป็น 10 ก็ไม่เป็นไรขอรั๊บ... party:

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
Re: สตรีที่ห้ามสมรสตามบัญญัติอิสลาม
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ม.ค. 14, 2009, 11:38 PM »
0
ณ ปัจจุบัน  มีได้แค่ 4

แต่ที่ผ่านมา เลิกแล้วแต่งกี่ครั้งก็ตาม  อย่าให้เกินกว่า 4 คน  ใช่ป่าว

หากบังเรารักทู๊กกกกกกกกกคนล่ะ  คงต้องมีคนเสียสละสิค่ะ

ออฟไลน์ al-fantazy

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 270
  • สูบบุหรี่เป็นสีแก่ปาก สูบมากๆ ระวังปากจะไม่มีสี
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด
Re: สตรีที่ห้ามสมรสตามบัญญัติอิสลาม
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ม.ค. 14, 2009, 11:42 PM »
0
ณ ปัจจุบัน  มีได้แค่ 4

แต่ที่ผ่านมา เลิกแล้วแต่งกี่ครั้งก็ตาม  อย่าให้เกินกว่า 4 คน  ใช่ป่าว

หากบังเรารักทู๊กกกกกกกกกคนล่ะ  คงต้องมีคนเสียสละสิค่ะ


ช่าย  อยากได้บุญก็เป็นคนเสียสละดิ หุหุ.................. hehe hehe hehe

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
Re: สตรีที่ห้ามสมรสตามบัญญัติอิสลาม
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ม.ค. 15, 2009, 12:13 AM »
0

     
     6.      สตรีที่ยังอยู่ในช่วงอิดดะฮฺ

      ช่วงเวลาอิดดะฮฺ หมายถึงระยะเวลาที่สตรีห้ามสมรสกับชายอื่น ภายหลังจากที่ขาดการสมรสกับสามีหรือสามีเสียชีวิต เพื่อให้ทราบว่ามดลูกของนางปลอดจากการตั้งครรภ์

หลักฐานที่บัญญัติในเรื่องนี้ดังที่พระองค์อัลลอฮฺ ทรงตรัสว่า :


         “และพวกท่านอย่าเจตนาทำสัญญานิกาหฺจนกว่าสิ่งที่ถูกกำหนดไว้จะถึงระยะเวลาสิ้นสุดของมันเสียก่อน” (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 235 )



มีข้อเสริมนิดส์นึงอะค่ะ

การที่สามีจะหย่านางนั้น  นางจะต้องอยู่ในสภาพที่สะอาด (ไม่มีประจำเดือน) และยังไม่มีเพศสัมพันธ์กับนาง 
การตอล๊าก (การหย่า) ที่ถูกทำขึ้นในขณะที่ภรรยามีประจำเดือน  หรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์กันแล้วถือว่า  เป็นการกระทำที่ต้องห้าม  เพราะมันจะทำให้นางนั้นต้องตกอยู่ในช่วงระยะกักตัว (อิดดะห์) เป็นเวลานาน 
ดังนั้น   สามีจะต้องคืนดีกับนางเสียก่อน  รอจนกระทั่งนางมีประจำเดือนมาใหม่ แล้วนางสะอาดใหม่   ซึ่งต่อจากนั้นหากสามีไม่ชอบนางอีก  เขาก็สามารถหย่านางได้  แต่หากเขายังรักนางอยู่เขาก็สามารถอยู่กับนางต่อไปได้   loveit:

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สตรีที่ห้ามสมรสตามบัญญัติอิสลาม
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พ.ค. 07, 2015, 07:25 AM »
0

     
     6.      สตรีที่ยังอยู่ในช่วงอิดดะฮฺ

      ช่วงเวลาอิดดะฮฺ หมายถึงระยะเวลาที่สตรีห้ามสมรสกับชายอื่น ภายหลังจากที่ขาดการสมรสกับสามีหรือสามีเสียชีวิต เพื่อให้ทราบว่ามดลูกของนางปลอดจากการตั้งครรภ์

หลักฐานที่บัญญัติในเรื่องนี้ดังที่พระองค์อัลลอฮฺ ทรงตรัสว่า :


         “และพวกท่านอย่าเจตนาทำสัญญานิกาหฺจนกว่าสิ่งที่ถูกกำหนดไว้จะถึงระยะเวลาสิ้นสุดของมันเสียก่อน” (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 235 )



มีข้อเสริมนิดส์นึงอะค่ะ

การที่สามีจะหย่านางนั้น  นางจะต้องอยู่ในสภาพที่สะอาด (ไม่มีประจำเดือน) และยังไม่มีเพศสัมพันธ์กับนาง 
การตอล๊าก (การหย่า) ที่ถูกทำขึ้นในขณะที่ภรรยามีประจำเดือน  หรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์กันแล้วถือว่า  เป็นการกระทำที่ต้องห้าม  เพราะมันจะทำให้นางนั้นต้องตกอยู่ในช่วงระยะกักตัว (อิดดะห์) เป็นเวลานาน 
ดังนั้น   สามีจะต้องคืนดีกับนางเสียก่อน  รอจนกระทั่งนางมีประจำเดือนมาใหม่ แล้วนางสะอาดใหม่   ซึ่งต่อจากนั้นหากสามีไม่ชอบนางอีก  เขาก็สามารถหย่านางได้  แต่หากเขายังรักนางอยู่เขาก็สามารถอยู่กับนางต่อไปได้   loveit:


เก๊างงตรงนี้มากเลยค่ะ... hehe

แต่ขอขุดกระทู้นี้...มีประโยชน์มาก...

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged