salam
คำสอนของพ่อแม่บางครั้งกว่าจะเข้าใจก็เมื่อต้องเจอะกับตัวเองถึงรู้...
ช่วงหลังๆมามักนึกถึงสิ่งที่ท่านพร่ำสอนตอนเรายังอยู่ในความดูแลของท่าน
ช่วงที่เรายังตั้งหลักไม่ได้ ช่วงที่เรายังกระพือปีกบินเองได้ไม่คล่อง
และไม่ว่าจะผ่่านมากี่ร้อนหนาว ท่านทั้งสองก็ยังคงเป็นดั่งสายลมใต้ปีก
เป็นสายลมคอยหนุนนำ
ไม่ว่าจะบินไปยังแห่งหนใด หรือต้องบินไปยังแดนไกล ณ ที่ใดก็ตาม
แม้ไม่มีตัวท่านติดตามไปด้วย
แต่ทุกครั้งที่เราหมดแรงหรืออ่อนล้า คำสอนต่างๆก่อนหน้านั้น
จะเป็นดั่งสายลมที่คอยส่งเราให้บินขึ้นได้อีกครั้ง ส่งเราไปถึงขอบฝัน...
เป็นความอบอุ่น เป็นความรักที่ไม่ต้องมีตัวตนของท่านมาโอบกอดก็อุ่นได้...
เพียงแค่นึกถึง...และมันเป็นความรักที่กว่าจะรู้กว่าจะซึ้ง
บางทีก็เมื่อต้องพรากจากกัน ต้องห่างกันไกล...
ระยะทางและความห่าง แท้จริงไม่มีผลอันใดเลย เพราะบางทีใกล้กัน
ก็ไม่ได้ห่วงหาอาทรกันหรือรักกันเท่าเมื่อยามห่างกันเลย...
และวันนี้คำพูดนึงที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจะพูดตามที่ท่านพูดได้แป๊ะๆ
แต่ท่านได้สอนเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว นานมาก...
แต่มันจะผุดมาทุกครั้ง เมื่อตัวเองรู้สึกว่ากำลังจะแตะต้องของร้อน
ด้วยอดทนรอไม่ได้...ท่านเคยบอกเมื่อตอนกินข้าวว่า
...อย่ากินข้าวหรือดื่มน้ำในขณะที่มันยังร้อนอยู่ และอย่าเป่าเพื่อให้มันหายร้อน
เพียงเพราะมันไม่ทันใจเรา เราต้องทนและค่อยกินเมื่ออาหารมันอุ่นกำลังดี
ไม่ร้อนและไม่เย็นจนเกินไป...
ยอมรับว่าตอนนั้นไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเราจะเป่าอาหารที่เราจะกินไม่ได้
พ่อนั่นแหล่ะเป็นคนบอกว่า มันมีสิ่งดีๆมีฮิกมะฮฺซ่อนอยู่ในนั้น...ทำไปเถิด...
ท่านบอกว่าบางทีอาหารดีๆมีประโยชน์ตรงหน้าเรา
เมื่อเราเป่า เศษฝุ่นที่กำลังปลิวว่อนอยู่ ทั้งที่เราเห็นและไม่เห็น
จะเข้าไปอยู่ในอาหารด้วยเพราะลมปากของเรา แค่เราอดทนรอ
อาหารดีๆก็จะมาอยู่ในท้องของเราอีกในไม่ช้า...
ณ ตอนนั้น ได้แค่คิดว่า พ่อคงเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเรา
และคิดว่าพ่อเราที่ไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ผู้รู้มากมายอะไร
แต่ทำไมถึงละเอียดได้ขนาดนั้น ท่านพูดอธิบายมากกว่าจะสั่งให้ทำ...
เลยทำให้เราเข้าใจว่า ท่านหวังดี เลยยอมตาม ทั้งๆที่ก็ไม่เข้าใจมากมายนัก
และคิดว่า ไม่ทำก็ไม่น่าจะเป็นอะไร...
แต่ ณ ปัจจุบัน หลังจากโตมา ก็ได้เรียนรู้เพิ่มว่า ในสิ่งที่ท่านสอนนั้น
มันมีฮิกมะฮฺซ่อนอยู่มากมาย
เพราะทุกครั้งที่รู้สึกว่า เรานั้นร้อนรุ่ม ใจร้อน ทนรอไม่ไหว รอไม่ได้
ใจและมือมันกำลังจะทำตามอารมณ์ร้อนเพื่อให้ได้ดังใจนั้น
ต้องหยุดชะงักลงอยู่บ่อยครั้ง เพราะได้เรียนรู้มาว่า
ของร้อนนั้นต้องห้าม และต้องรอให้มันอุ่นกำลังดีก่อนแล้วค่อยแตะ
เพราะถ้าแตะตอนมันยังร้อนอยู่ มันจะลวกมือเรา ลวกปากเรา
ทำให้รสชาติดีๆที่ควรจะได้หายไป แต่เมื่อมันอุ่นกำลังดี หรือเย็นลงแล้ว
เราก็สามารถทานได้คล่อง ทานได้เร็ว
และได้ประโยชน์จากอาหารนั้นตามที่ควรจะได้
และมันไม่ใช่แค่อาหาร แต่มันหมายถึงทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่เป็นของร้อน!!
และหากเราต้องการจะเป่าของที่ร้อนให้มันหายร้อนเพื่อจะได้รับมันเข้ามาได้นั้น...
บางทีมันไม่ได้ให้ประโยชน์อันใดแก่เราเลย...แต่กลับกันอาจจะให้โทษแก่เรา
โทษที่เรามองไม่เห็น โทษที่เราไม่รู้ว่าเราได้รับมันมาไว้ในร่างกาย
ในจิตใจของเราแล้ว เพราะฝุ่นหรือเชื้อโรคเล็กๆที่ลอยอยู่ในอากาศ
ที่สายตาของเราไม่อาจมองเห็นได้นั้น มันได้ไปปะปนลงบนอาหารที่เรากำลังจะกิน
หรือของร้อนที่เรากำลังเป่าลงไปโดยที่เราไม่รู้ตัว...
และสิ่งที่เราควรเป่า หาใช่อาหารหรือของร้อนตรงหน้าไม่ แต่เป็นใจของเรา...
ไม่แน่ใจว่า...การไม่เป่าอาหารในขณะร้อนก่อนรับประทานอาหาร
เป็นซุนนะฮฺนบีรึเปล่าค่ะ... เพราะว่าส่วนใหญ่สิ่งที่พ่อสอนมักมาจาก
แบบฉบับของท่านนบี ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ซึ่งท่านก็มักจะบอกเหมือนกันค่ะว่่าอะไรบ้างมาจากแบบฉบับของท่านนบี
แต่ตัวลูกเองนั้น ไม่ค่อยจะสนเท่าไหร่ จำมาแต่เนื้อหาคร่าวๆ
ส่วนที่มาที่แท้จริง ลืมค่ะ...

แต่ก็เชื่อพ่อแม่นะคะ เพราะรู้ว่าท่่านทั้งสองจักไม่มีวันโยนลูกของท่าน
ลงไปในเปลวเพลิงอย่างแน่นอน...ทุกสิ่งที่ท่านพร่ำสอน
เพราะท่านหวังดีต่อลูกของท่านโดยแท้...
แม้จะเคยดื้อเคยรั้นมาเยอะ และก็ยังดื้อรั้นอยู่บ้าง
แต่ก็คิดว่าน่าจะน้อยลงกว่าแต่ก่อน เพราะเคยถามท่่าน ท่านบอกว่า
ข้าน้อยไม่ใช่คนดื้อ แต่หัวรั้นมากกว่า เลยถามท่านว่า
มันต่างกันด้วยหรือ...ท่านบอกว่า ต่างกันไม่มากหรอก
เพราะคนดื้อนั้น จะมีเหตุผลหรือไม่มีก็ขอดื้อไว้ก่อน ไม่ฟังใครแล้ว ค้านหัวทิ่มดิน
แต่คนรั้นนั้น มักเชื่อในเหตุผลของตนแล้วรั้นจะไปให้ได้ ไม่ฟังใครแล้ว...
มุทะลุชนฝาจะไปให้ได้ดั่งที่ตนคิด...
เพราะคิดว่าสิ่งที่ตนคิดมันถูกต้องแล้ว ณ ตอนนั้น...
สรุปเอาเองว่า ไม่ไหวทั้งคู่ค่ะ ทั้งคนดื้อและคนรั้น

พ่อแม่เลยพยายามบอกว่า เพลาๆลงบ้าง ชีวิตจะได้เบาขึ้น เจ็บตัวน้อยลง...

ยอมรับเลยค่ะว่า เวลารั้นไม่ฟังใคร แล้วสุดท้ายพลาดนั้น มันเจ็บ!!!
แต่ก็ยังดีค่ะ ที่เวลาล้มก็มีเบาะอย่างพ่อกับแม่คอยรองรับ เลยไม่เจ็บมากนัก

มาเล่าสู่กันฟังค่ะ
ปล.ขออภัยในความยาวค่ะ (ทั้งที่ปกติก็ไม่เคยจะทำให้สั้นได้เลยสักที

)
วัสลามค่ะ