เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

การถกเสวนาครั้งใหญ่ระหว่างอุลามาอ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์กับวะฮาบีย์

<< < (3/13) > >>

al-azhary:
ท่าน อัลกะบีบีย์ กล่าวว่า" ท่าน โอ้ อะหฺมัด พวกเขาได้ทำการจูบสองมือของท่านและสองเท้าของท่าน บรรดาสานุศิษย์ได้นอบน้อมแก่ท่าน อย่างไม่มีผู้ใดเหมาะสมจะได้รับนอกจากอัลเลาะฮ์ ตะอาลา และนี้ย่อมเป็นตัวชิริกและเป็นการนอบน้อมแบบอิบาดะฮ์ โดยที่อิบาดะฮ์นั้น ไม่บังควรแก่มักโลค"

ท่าน อัซซัยิด อะหฺมัด บิน อิดริส (ร.ฏ.) กล่าวว่า " หากท่านยึดมั่นด้วยหลักศาสนาแห่งนบีมุฮัมมัด ดังนั้น ท่านโปรดรับฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าจะกล่าวแก่ท่าน คือ ได้มีหะดิษซอฮิหฺ รายงานว่า ทูตของอับดุลก๊อยซฺนั้น ขณะที่พวกเขาได้ถูกส่งเป็นทูตมายังท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมวะอาลิฮี พวกเขาได้ทำการจูบสองมือและสองเท้าของท่านนบี และนักปราชญ์หะดิษบางส่วนได้ทำการรวบรวมหะดิษส่วนหนึ่ง เกี่ยวกับการอนุญาตจูบสองมือและสองเท้า และพวกเขาได้นำเสนอบรรดาหะดิษมาอย่างมากมาย ที่ตัดสินว่า อนุญาตให้จูบสองมือของอะฮ์ลิลบัยต์และบุคคลอื่น ๆ จากบรรดาปวงปราชญ์ ส่วนคำกล่าวของท่านที่ว่า อันนี้ ย่อมเป็นอิบาดะฮ์นั้น ซึ่งหากท่านเข้าใจความหมายของอิบาดะฮ์จริงแล้ว ท่านจะไม่กล่าวเยี่ยงนี้ เพราะการเป็นอิบาดะฮ์นั้น ย่อมอยู่ในหนทางหนึ่ง และการให้เกียรติและมีจรรยามารยาทนั้น ก็ย่อมอยู่ในหนทางอีกแบบหนึ่ง ดังนั้น การให้เกียรติแก่บรรดานักปราชญ์นั้น เป็นสิ่งที่วายิบ เพราะอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า

 "อัลเลาะฮ์จะทรงยกบรรดาผู้มีศรัทธาจากพวกท่านและบรรดาผู้มีความรู้กับหลายฐานันดร" (อัลมุญาดะละฮ์ 11)

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้วจนะ ไว้ว่า

"ย่อมไม่ใช่มาจากพวกเขา สำหรับผู้ที่ไม่รู้สิทธิของผู้ทรงความรู้แห่งเรา"

และบรรดาสิทธิของผู้ทรงความรู้นั้น คือการมีจรรยามารยาทต่อเขา ด้วยการจูบมือทั้งสองและทราบถึงความประเสริฐของเขา และผู้ใดที่ให้เกียรติต่อผู้รู้ แน่นอน เขาย่อมให้เกียรติต่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา และร่อซูลของพระองค์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เนื่องจากเขาเป็นผู้แบกรับหลักการของศาสนาที่มีเกียรติ

ดังนั้น การให้เกียรติตามความเป็นจริงนั้น อันเนื่องมาจากว่า เขาเป็นผู้มีความรู้ที่แบกรับหลักการของศาสนา(หมายถึงความรู้ ที่มีความยำเกรงและมีคุณธรรมที่ผู้รู้ดังกล่าวได้แบกรับสืบทอดเอาไว้) และแท้จริง ได้มีหะดิษยืนยันไว้ว่า

"บรรดานักปราชญ์นั้น คือทายาทของบรรดานบี"(รายงานโดย อิมามอัลบุคอรีย์)

 ดังนั้น เมื่อพวกเขาเป็นทายาทของบรรดานบี แน่แท้ว่า ผู้เป็นทายาทความรู้ย่อมมีสิ่งที่เป็นสิทธิของผู้เป็นเจ้าของมรดกในแง่ของการให้เกียรติ  ซึ่งเฉกเช่นกับผู้เป็นทายาทความรู้มีสิทธิเหมือนกับเจ้าของมรดกในแง่ของการเผยแพร่หลักศาสนา  เพราะมีหะดิษที่ว่า "แท้จริง บรรดามะลาอิเกาะฮ์  จะกางบรรดาปีกของพวกเขา ให้กับผู้แสวงหาความรู้" ดังนั้น  ไม่มีสิ่งใดแล้วที่ทำให้ท่านคิดว่า ผู้อื่นจากนักปราชญ์นั้น  จะมาเทียบเทียมความสูงส่งของพวกเขาได้  และได้มีหะดิษกุดซีย์  ระบุว่า  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้เล่ารายงานจาก อัลเลาะ อัซซะวะญัลล่า ว่า

 "ผู้ใดต้องการให้เกียรติแก่ข้า  ดังนั้น เขาก็จงให้เกียรติแก่บรรดาคนรักของข้า  จึงถูกทูลถามว่า  ผู้ใดคือบรรดาคนรักของพระองค์หรือ?  พระองค์ตรัสว่า "พวกเขาคือบรรดาอุลามาอ์"

ท่านพึงรู้เถิดว่า  บุคคลที่มีเกียรติ มี 3 จำพวก  คือบรรดามะลาอิกะฮ์  บรรดานบี  และบรรดาผู้ปกครอง  โดยที่พวกเขาทั้งหมดนั้น  ทำการให้เกียรติแก่บรรดาอุลามาอ์  ดังนั้น  บรรดามะลาอิกะฮ์ได้ให้เกียรติแก่อาดัม  นบีมูซาได้ให้เกียรติแก่นบีคิฏิร  และรัฐมนตรีของอียิปต์ได้ให้เกียรติแก่นบียูซุฟ  และผู้ใดที่ให้เกียรติต่ออัลเลาะฮ์  เขาย่อมเป็นผู้ศรัทธา  และผู้ใดที่ทำเบาความกับสิ่งดังกล่าว  เขาย่อมออกจากห้วงของอีหม่าน
 
และบรรดาอะมัลนั้น ด้วยการเจตนา  ดังนั้น  ผู้ใดที่มีเจตนาในสิ่งดังกล่าว  ด้วยการให้เกียรติ  เพื่อสนองคำบัญชาใช้ของอัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์  ด้วยการให้เกียรติแก่ท่านนั้น  เขาย่อมได้รับความผาสุกด้วยความดีงาม(สวรรค์) และผู้ใดที่ประสงค์(กระทำดังกล่าว) โดยมีการยึดมั่นที่ไม่ถูกต้องนั้น  เขาย่อมเป็นปฏิปักษ์แก่เรา  อีกทั้งจำเป็นต้องชี้แนะเขาให้ไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง  และเราก็ไม่ให้การยอมรับในความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนั้น  และการยกตนจาการไม่ให้เกียรติสิ่งที่อุลามาอ์มีสิทธิ์ได้รับนั้น  ย่อมเป็นความยะโสโอหัง   แท้จริง  อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า "มันช่างเป็นที่พำนักอันเลวร้ายสำหรับบรรดาผู้ยะโส" อัซซุมัร 72

al-azhary:
ท่าน อัลกะบีบีย์  กล่าวว่า "สำหรับทัศนะของเรานั้น  คือเฉกเช่นดังกล่าว  ย่อมเป็นชิริก(ตั้งภาคี)"

 ท่าน อัซซัยิด อะหฺมัด บิน อิดริส (ร.ฏ.) กล่าวว่า "ซุบหานัลลอฮฺ! ข้าพเจ้าได้นำบรรดาหลักฐาน จากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ มายืนยันแก่ท่านแล้ว  แต่ท่านก็ยังกล่าวว่า  ดังกล่าวนี้ เป็นชิริก ,  ซึ่งเยี่ยงนี้ย่อมเป็นความลุ่มหลงที่ห่างไกลเหลือเกิน"  โปรดติดตามโอกาสต่อไป อินชาอัลเลาะฮ์ :arrow:

al-azhary:
ดังนั้นท่าน นาซิร อัล-กะบีบีย์  จึงมีอาการโกรธ  และกล่าว่า "แท้จริง ชิริก นั้น อยู่ภายใต้ผู้โพกศีรษะของท่าน"

ท่าน ซัยยิด อะหฺมัด บิน อิดรีส ยิ้มและกล่าวว่า " หากว่ามันเป็นชิริก ตามความเชื่อของท่าน  ดังนั้น ก็ย่อมไม่เป็นโทษแก่เราโดยการที่ท่านได้พาดพิงชิริกแก่เรา  เพราะเรามีหลักยืนอันมั่นคงจากเรื่องของเตาฮีด  โดยที่พวกท่าน - ขออัลเลาะฮ์ทรงประทานความจำเริญแก่พวกท่าน - ได้รู้จัก(เตาฮีด) จากบรรดาตำราต่าง ๆ ที่พวกท่านกล่าวว่ามันเป็กหลักอุซูลและหลักการศาสนา  และพวกท่านก็เข้าใจไปเองว่า แท้จริง กิตาบุลลอฮ์และซุนนะฮ์  คือสิ่งที่ตำราฉบับย่อ ๆ เหล่านั้นได้ประมวลไว้หมดแล้ว  นี้ย่อมเป็นความโง่เขลาที่สับซ้อน

เพราะอัลเลาะฮ์ ตะอาลา  ทรงทำการปกปักษ์รักษาศาสนาและบทบัญญัติของพระองค์โดยส่งศาสนทูตของพระองค์มาประกาศ  และพระองค์ก็ทรงสร้างบรรดาอุลามาอ์ให้แก่ท่านนบี(ซ.ล.) โดยพวกเขาได้ทำการบันทึกหลักการเหล่านั้นไว้ในตำรา  แล้วบทบัญญัติศาสนาแห่งท่านนบีมุฮัมมัด  ได้รับการเอาใจใส่จากบรรดาอุลามาอ์ โดยถูกปกปักษ์รักษาจากการเพิ่มเติมและตัดทอน  ดังนั้น หากพวกท่านได้รับรู้เหมือนสิ่งที่ผู้อื่นจากพวกท่านได้รับรู้ด้วยความรู้อันกว้างขวางแล้ว  แน่นอนว่า บรรดาข้อเท็จจริงก็จะปรากฏแก่พวกท่าน  และพวกท่านก็จะดำเนินอยู่บนหนทางที่ชัดเจนยิ่ง  

แต่ทว่าพวกท่านได้สร้างความคับแคบแก่ตัวของพวกท่านเอง  ดังนั้น แนวทางต่าง ๆ ของพวกท่านก็คับแคบและพวกท่านก็ทำการจำกัดศาสนาอิสลามให้อยู่บนสิ่งที่พวกท่านมั่นใจเท่านั้นแล้วพวกท่านก็อ้างว่า  พวกท่านเป็นผู้ที่รอดพ้นและผู้อื่นได้รับความวิบัติ  นี้  ย่อมเป็นความคับแคบของสติปัญญาและปิดกั้นสิ่งที่กว้างขวาง  และอัลเลาะฮ์เท่านั้น  ที่เป็นผู้ทรงชี้นำเราและพวกท่าน

นูรุ้ลอิสลาม:

--- อ้างจาก: "al-azhary" ---แต่ทว่าพวกท่านได้สร้างความคับแคบแก่ตัวของพวกท่านเอง  ดังนั้น แนวทางต่าง ๆ ของพวกท่านก็คับแคบและพวกท่านก็ทำการจำกัดศาสนาอิสลามให้อยู่บนสิ่งที่พวกท่านมั่นใจเท่านั้นแล้วพวกท่านก็อ้างว่า  พวกท่านเป็นผู้ที่รอดพ้นและผู้อื่นได้รับความวิบัติ
--- End quote ---


นั่นคืออุปนิสัยของวะฮาบีย์  ไม่ว่าจะอยู่ที่ใหนก็ตาม  แนวทางอื่นชิริก  บิดอะฮ์ กาเฟร ตามทัศนะของวะฮาบีย์หมดแหละครับ  สงสัยอิสลามเป็นของวะฮาบีย์ฝ่ายเดียว :shock:

al-azhary:
ท่านนาซิร อัลกะบีบีย์ กล่าวว่า " โอ้ อะหฺมัด  ท่านทำการตัฟซีรอัลกุรอาน โดยไม่ตามหลักบ่งชี้ของภาษาอาหรับ  โดยที่อัลเลาะฮ์ทรงตรัสไว้ว่า "แท้จริง เราได้ทำให้อัลกุรอาน เป็นภาษาอาหรับ" อัซซุกรุ๊ฟ 3  และการตัฟซีรของท่านนี้ ย่อมเป็นการบิดเบือนคำภีร์ของอัลเลาะฮ์ ตะอาลา

ท่านซัยยิด อะหฺมัด บิน อิดรีส(ร.ฏ.) กล่าวว่า "ไม่ใช่เป็นเช่นนั้น  กับการที่เราทำการอธิบายอัลกุรอานโดยข้อบ่งชี้แบบความหมายผิวเผิน  และนี้คือบรรดาตัฟซีรของเรา ที่มีต่อบรรดาอายะฮ์ต่าง ๆ นั้น  ย่อมเป็นที่รู้กันดี   เราได้ทำการตีความอธิบายบรรดาตัวบทด้วยความหมายที่ชัดเจนตามหลักภาษาอาหรับ  และเรามีความเห็นว่า  การเอาใจใส่และอธิบายในความหมายที่ชัดเจนนั้น  ย่อมมีความจำเป็น  เนื่องจากไม่เป็นความปรารถนาอันใด  ในการได้รับความหมายที่ล้ำลึกก่อนทำการตัดสินตามความหมายแบบผิวเผิน  ดังนั้น  ผู้ใดแอบอ้างว่าเขาใจความหมายเร้นลับต่าง ๆ ของอัลกุรอานอันทรงเกียรติ  โดยที่เขาไม่ทำการตัดสินด้วยกับการอธิบายแบบผิวเผิน(ทั่วไป)นั้น  แน่นอน เขาก็ย่อมเสมือนกับผู้อ้างว่าได้ไปถึงใจกลางบ้านก่อนที่จะพ้นผ่านประตู

 และเราขอสรรเสริญต่ออัลเลาะฮ์  กับผู้ที่ทำการตัดสินด้วยการตัฟซีรแบบความหมายผิวเผิน   แต่เราก็ไม่ปฏิเสธว่า  แท้จริง  ในเนื้อหาของบรรดาอายะฮ์อัลกุรอานที่มีความหมายแบบผิวเผินนั้น  ย่อมมีข้อบ่งชี้ที่แฝงอยู่  ซึ่งมันจะประจักษ์ชัดแก่บรรดาผู้มีคุณธรรมและปฏิบัติหลักการระหว่างอายะฮ์ที่มีความหมายแบบล้ำลึกกับบรรดาอายะฮ์ที่มีความหมายผิวเผินเหล่านั้น  และการรับรู้สิ่งดังกล่าวได้นั้น  ต้องมีอิหม่านอันบริสุทธิ์และมีมะริฟัตที่สมบูรณ์

 และดังกล่าวนี้  ได้มีหะดิษรายงานว่า" ทุก ๆ อายะฮ์นั้น ย่อมมีความหมายแบบผิวเผินและล้ำลึก  และทุก ๆ หลักการย่อมมีขอบเขต(ในการให้คุณและให้โทษ) และทุก ๆ ขอบเขตนั้น ย่อมรับรู้ได้(คือสามารถรับรู้ถึงจุดมุ่งหมายของมันได้หรือหยุดเพียงแค่ความหมายนั้น ๆ แล้วมอบความรู้ไปสู่อัลเลาะฮ์)  ท่านอบูซัรร์ (ร.ฏ.) กล่าวว่า "บุรุษผู้หนึ่ง  จะไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง  จนกระทั่ง  เขาได้เข้าใจอัลกุรอานหลายหนทาง(หลายแง่มุม)"   และท่านอะลีย์ อิบนุ อะบีฏอลิบ กล่าวว่า "หากข้าพเจ้าต้องการให้อูฐ 70 ตัว ทำการบรรทุกคำอธิบายซูเราะฮ์อัลฟาติหะฮ์  แน่นอน  ข้าพเจ้าก็ทำได้"    

ดังกล่าวนี้  ไม่สามารถเกิดขึ้นได้  ด้วยการแช่แข็งอยู่กับการอธิบายอัลกุรอานแบบผิวเผิน  และในสิ่งที่เราได้กล่าวไป  ก็ไม่ใช่เป็นการเบี่ยงเบนความหมายแบบผิวเผินให้ออกไปจากความหมายแบบผิวเผินที่เป็นอยู่   แต่ความหมายผิวเผินของอายะฮ์นั้น  สามารถเข้าใจจากมันได้  กับสิ่งที่อายะฮ์ได้บ่งชี้ตามหลักภาษาอาหรับ  แต่ ณ ที่นั่น  ก็ยังมีความเข้าใจแบบล้ำลึก  ที่สามารถเข้าใจได้จากบรรดาอายะฮ์ต่าง ๆ สำหรับผู้ที่อัลเลาะฮ์ทรงเปิดหัวใจให้แก่เขาและผู้ใดที่ยำเกรงพระองค์  แน่นอน พระองค์ก็จะทรงสอนให้เขารู้ในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้" โปรดติดตามโอกาสต่อไป  อินชาอัลเลาะฮ์

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version