อัสลามุอะลัยกุมว่าเราะห์มาตุ้ลลออิว่าบารอกาตุฮ์
بسم الله الرحمن الرحيم
การมองคู่หมั้นหลักพื้นฐานในข้อตัดสินของบทบัญญัติคือ การห้ามมองเพศตรงข้ามที่สามารถแต่งงานกันได้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องลดสายตาจากสิ่งต้องห้ามต่างๆ ทั้งชายและหญิงเท่าๆกัน เพราะได้มีคำตรัสของอัลลอฮ์ (ตะอาลา) ว่า
قُل لِّلْمُؤْمِنِيْنَ يَغُضُّوْا مِنْ أَبْصَارِهِمْ وَيَحْفَظُوْا فُرُوْجَهُمْ ذَلِكَ أَزْكَى لَهُمْ إِنَّ اللهَ خَبِيْرٌ بِمَا يَصْنَعُوْنَ وَقُل لِّلْمُؤْمِنَاتِ يَغْضُضْنَ مِنْ أَبْصَارِهِنَّ وَيَحْفَظْنَ فُرُوْجَهُنَّ
จงกล่าวเถิด (มูฮัมหมัด) แก่บรรดาบุรุษผู้ศรัทธาให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขา (จากาการมองสิ่งต้องห้าม) และให้พวกเขารักษาอวัยวะเพศของพวกเขาไว้ นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ, และจงกล่าวเถิด (มูฮัมหมัด) แก่บรรดาสตรีผู้ศรัทธา ให้พวกเขาลดสายตาของพวกนาง (จากการมองสิ่งต้องห้าม) และให้พวกนางรักษาอวัยวะเพศของพวกนางไว้... (อันนูร : ๓๐-๓๑)
ส่วนการมองของผู้ที่ต้องการหมั้นทั้งชายและหญิง เป็นสิ่งอนุมัติ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้มองด้วย แต่มีข้อแม้ว่า การมองดังกล่าวนั้นมีเจตนาเพื่อต้องการหมั้น และมีบรรดาฮาดิษที่กล่าวไว้ในเรื่องนี้มากมาย เช่นฮาดิษที่อยู่ในซอแฮะห์มุสลิม ซึ่งรายงานจากท่านอบีฮูรอยเราะห์ว่า ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวกับชายผู้หนึ่งที่ต้องการจะแต่งงานกับหญิงคนหนึ่งว่า ท่านได้มองนางแล้วหรือ? ชายผู้นั้นกล่าวว่า ยังไม่ได้มองครับ แล้วท่านศาสดาก็กล่าวว่า ท่านจงไป แล้วจงมองนางเถอะ
และท่านอิหม่ามอะห์หมัด ท่านอบูดาวูด และท่านฮาเก็ม ได้บันทึกคำรายงานของท่านญาบีร บุตร อัลดุลลอฮ์ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า เมื่อผู้ใดในหมู่พวกเจ้าต้องการที่จะหมั้นหญิง หากเขาสามารถที่จะมองสิ่งที่เขาเรียกร้องสิ่งนั้นเพื่อการแต่งงานจากตัวของนาง เขาก็จงกระทำ (มอง) เถิด
ตามทรรศนะของนักปราชญ์ส่วนใหญ่ ผู้ชายสามารถมองหญิงที่เขาหมั้นได้เฉพาะใบหน้ากับสองฝ่ามือเท่านั้น เพราะใบหน้าเพียงพอที่จะบ่งชี้ถึงความงาม และมือทั้งสองก็เพียงพอที่จะบ่งชี้ถึงความสมบูรณ์ของร่างกาย ส่วนสิ่งที่นอกเหนือจากดังกล่าว ผู้ชายสามารถส่งมารดาหรือพี่สาวน้องสาวของเขาไปดูเพื่อสำรวจได้ เช่น กลิ่นปาก กลิ่นรักแร่และร่างกาย และความงามของเส้นผม เป็นต้น
ที่ดียิ่ง ผู้ชายควรมองหญิงที่เขาหมั้นก่อนการหมั้น ดังนั้นหากเขาไม่ปรารถนาในตัวนาง เขาก็สามารถปฏิเสธได้โดยไม่เกิดการขุ่นข้องหมองใจกันทั้งสองฝ่าย
การยินยอมของผู้หญิงหรือการที่ต้องให้ผู้หญิงรู้ว่าถูกมองเพื่อหมั้นนั้น ไม่ถูกนับว่าเป็นกฎเกณฑ์ใดๆ ทว่าอนุญาตให้ผู้ชายมองผู้หญิงที่ต้องการหมั้นได้โดยที่นางไม่รู้ตัวหรือกำลังเผลอได้ ซึ่งการมองแบบนี้เป็นการมองที่ดีที่สุด เพราะได้มีรายงานจากท่านอบี ฮูมัยด์ อัซซาอีดียะห์ว่า ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อผู้ใดในหมู่พวกเจ้าต้องการหมั้นหญิง ดังนั้นไม่ถือเป็นบาปแต่อย่างใดในการที่เขาจะมองนาง หากปรากฏว่าเขามองนางเพื่อขอหมั้น ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ตัวก็ตาม (บันทึกโดย อิหม่ามอะห์หมัด และท่านอัฏฏ็อบรอนีย์)
แท้จริงธรรมเนียมของมนุษย์นั้นจะดำเนินไปบนการที่ครอบครัวของคู่หมั้นทั้งสองจะมารวมตัวกัน โดยจะประกาศการหมั้นให้รับรู้ทั่ว หลังจากนั้นพวกเขาจะอ่านอัลฟาติฮะห์เพื่อเป็นสิริมงคล นี่แหละเป็นสิ่งที่ดี ทว่าการอ่านฟาติฮะห์มิได้ถูกพิจารณาว่าเป็นอาก็อตนิกะห์แต่อย่างใด
ส่วนสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไปกระทำกันจนกลายเป็นธรรมเนียมในการหมั้น จากการปล่อยให้คู่หมั้นอยู่กันเพียงตามลำพัง เดินทางไกลด้วยกัน คุยกันลำพังยามค่ำคืน และไปไหนมาไหนด้วยกัน นั้นมันคือส่วนหนึ่งจากพิษร้ายของธรรมเนียมตะวันตกที่ชั่วร้าย ซึ่งมันได้โจมตีเมืองมุสลิม และพวกเขายังได้อ้างว่า คู่หมั้นนั้นจะต้องศึกษาและเรียนรู้นิสัยใจคอของกันและกันด้วยกับแนวทางดังกล่าว เพื่อให้การใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานเป็นไปอย่างมีความสุข...สิ่งนี้เป็นความเข้าใจผิดที่ไม่มีพื้นฐานบนความถูกต้องและความเป็นจริง เพราะแต่ละคนจากสองฝ่ายนั้นจะแสร้งแสดงนิสัยที่ดีงามออกมาให้อีกฝ่ายหนึ่งได้เห็น และจะเผยสิ่งที่ขัดต่อความเป็นจริง ดังนั้นความเป็นจริงจะไม่ถูกเผยขึ้น จนกว่าหลังจากแต่งงานแล้ว โดยที่การเสแสร้งนั้นจะหายไป และจะเผยชัดถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของทั้งสองฝ่ายขึ้นมาโดยอัตโนมัต ดังนั้นแต่ละฝ่ายจะได้รับความผิดหวังอย่างหนัก
โดย...เชค มูฮัมหมัด อะห์หมัด กันอาน