ถ้อยแถลงของเรา :
ไม่มีประโยชน์ที่จะขึ้นเวทีอภิปรายกับนักเผยแพร่ชีอะฮฺส่งมาโดย mudafia เมื่อ 21/5/2007 23:09:54 (223 ครั้งที่อ่าน)
ความ จริงการอภิปราย หรือการโต้เวทีบทเวทีต่อหน้าสาธารณชนโดยทั่วๆไปนั้น หากมีความมุ่งหมายและดำเนินการเพื่อให้เกิดความงอกงามทางวิชาการอย่างแท้ จริงแล้ว เป็นสิ่งที่ดีและน่าสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง
หากแต่การ อภิปรายนั้นเป็นไปเพื่อการเอาชนะคะคานกันด้วยสำนวนโวหาร หรือเกิดจากการยั่วยุ ท้าทายเพื่อผลแห่งการแพ้ชนะทางจิตวิทยาแต่เพียงอย่างเดียว การอภิปรายนั้นเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
เหตุการณ์ที่ พี่น้องมุสลิมในกรุงเทพมหานครเรียกกันว่า 4 รุม 1 นับเป็นบทเรียนสอนใจชาวอะหฺลุซซุนนะฮฺได้เป็นอย่างดี เมื่ออาจารย์ฝ่ายสุนนีย์สี่ท่านขึ้นเวทีอภิปรายปะทะคารมกับเชคฝ่ายชีอะฮฺที่ ขึ้นเวทีเพียงคนเดียว นับเป็นความหาญกล้าของ " ฝ่ายที่มีเพียงหนึ่ง " เป็นอย่างยิ่ง แต่เป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ของ " ฝ่ายที่มีถึงสี่ " อย่างไม่น่าให้อภัย และนับเป็นเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงของ " ฝ่ายที่มีเพียงหนึ่ง " ชนิดที่ฝ่ายที่มีมากกว่าไม่มีวันจับได้ไล่ทัน
ไม่น่าให้อภัยเพราะอะไร ?
เพราะ พวกเรามีมากกว่า ทำไมจึง "รุมเล่นงาน" คนจำนวนน้อยกว่าหากพิจารณาในแง่ความยุติธรรมและจริยธรรมแล้ว ไม่ต้องเปิดฉากอภิปรายในคำแรก พวกเราก็แพ้ตั้งแต่กรรมการเคาะระฆังให้เริ่มชกแล้ว ถ้ารุมเล่นงานเขาจนต้องหยอดน้ำข้าวต้มแล้ว พวกเราจะภาคภูมิใจได้แล้วหรือ ?
เป็นเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงเพราะอะไร ?
เพราะ ถ้าฝ่ายที่มีเพียงหนึ่งพ่ายแพ้ ก็จะอ้างว่า " ก็มัน 4 รุม 1 นี่นา "แพ้ไปก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหน จริงไหมครับ? ถ้าเสมอ หรือเกิดชนะขึ้นมาฝ่ายที่มีเพียงหนึ่งก็จะตีปีกด้วยความลิงโลดใจ และนำไปใช้เป็นจุดในการโฆษณาชวนเชื่อได้อย่างดีเยี่ยม
เพราะฝ่ายที่ มีเพียงหนึ่งฝึกฝนวิชา "ฝ่ามือปราบสุนนีย์ 18 ท่าอรหันต์" ของสำนักเส้าหลินสาขาเมืองกุมมาเป็นพิเศษ จนเกิดความเชี่ยวชาญในการใช้ตรรกโต้เถียงอภิปรายเอาชนะชาวสุนนีย์ โดยเฉพาะลีลาการตั้งคำถามหลอกล่อที่เต็มไปด้วยกับดักพลิกแพลงนั้นพวกเขา "อาเหล่ม" ขนาดหนัก และใช้ได้อย่างพลิกแพลงทีเดียว
เพราะฝ่ายที่มี เพียงหนึ่งเชี่ยวชาญการโฆษณาชวนเชื่อและงานมวลชนพวกเขาชอบท้าทายให้ผู้รู้สุ นนีย์ขึ้นเวทีอภิปรายต่อหน้าสาธารณชน ในฐานะที่เชี่ยวชาญความรู้เฉพาะด้านนี้มากกว่า พวกเขาต้องการโค่นผู้รู้สุนนีย์ให้สาธารณชนเห็นต่อหน้าต่อตา จะได้อัดเทปและถ่ายวีดิโอไปเผยแพร่ต่อไปซึ่งในแง่นี้ พวกเขาทำได้ผลเป็นอย่างมาก และเคยทำมาในหลายๆ ประเทศแล้ว
เพราะฝ่าย ที่มีเพียงหนึ่งเข้าใจจิตวิทยามวลชนเป็นอย่างดี พวกเขารู้ว่าชาวบ้านนั้นเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่สามารถตัดสินเนื้อหาการถกเถียงทางวิชาการที่ถูกนำเสนอได้ด้วยเหตุผล นอกจากการมีใจโอนเอียงตามอารมณ์ชอบหรือไม่ชอบของตนเอง ฝ่ายที่มีเพียงหนึ่งช่ำชองการใช้สำนวนโวหาร คารมคมคาย มีไหวพริบดีและสามารถควบคุมความรู้สึกของตนเอง ไม่ให้แสดงอาการโกรธและก้าวร้าวได้ในทุกๆ สถานการณ์ ปรากฏกายด้วยชุดของผู้คงแก่เรียน มีภาพลักษณ์ของความสุภาพถ่อมตน นอบน้อมสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าถึงมวลชนได้มากกว่าหลักฐานและข้อโต้แย้งทาง วิชาการที่แสนจะเข้าใจยาก
ถ้าผู้รู้สุนนีย์ของเราไม่รู้จักพัฒนา ไหวพริบปฏิภาณ หลักการพูดและการโต้วาทีที่ดี ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตนเองในสถานการณ์ที่ถูกยั่วยุและ ท้าทาย ให้สงบเยือกเย็น ยิ้มและมีอารมณ์ดีได้ตลอดเวลาตลอดจนการมีบุคลิกภาพที่นอมน้อมถ่อมตน ปรากฏกายด้วยกิริยามารยาทที่งดงาม สวมเสื้อผ้าให้สมกับฐานะของ " ผู้รู้ที่น่าเคารพ " นอกเหนือจากการมีความรอบรู้เฉพาะด้านแล้ว รับรองได้เลยว่า แพ้เขาร้อยเปอร์เซ็นต์ในสายตาของสาธารณชน
ท่านผู้รู้ทั้งหลาย!
การ ขึ้นเวทีอภิปรายโต้เถียงกับนักเผยแพร่ชีอะฮฺในปัจจุบันควรจะหยุดได้แล้ว เพราะแทนที่จะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายอะหฺลุซซุนนะฮฺ มันกลับทำให้เรา เสียมวลชนมากกว่า ไทยอะหฺลุซซุนนะฮฺไซเบอร์ขอเรียกร้องให้บรรดาผู้รู้สุนนนีย์ทั้งหลายยุติการ ขึ้นเวทีอภิปรายโต้เถียงกับนักเผยแพร่ชีอะฮฺไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดๆ หรือไม่ว่าจะถูกยั่วยุและท้าทายเพียงใดก็ตาม
ไม่ต้องหวั่นและอับอาย ถ้าจะถูกก่นด่าว่า "ไอ้ขี้แพ้"
ไม่ต้องหวั่นและอับอาย ถ้าจะถูกขนานนามว่า "คนตาขาว"
ปล่อยพวกเขาให้เต้นแร้งเต้นกาไปเถอะ มีแรงเต้นก็เต้นไป
ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ท่านผู้รู้สายอะหฺลุซซุนนะฮฺควรกระทำก็คือ :
ศึกษา ค้นคว้าตำรับตำราของชาวชีอะฮฺ ในทุกๆ ภาษาที่ท่านมีความสามารถ เพื่อดูว่าพวกเขานำเสนอข้อถกเถียงในประเด็นใดบ้าง และใช้หลักฐานอะไรมาสนับสนุน ทั้งนี้เพื่อท่านจะได้เชี่ยวชาญเรื่องของพวกเขาจาก "แหล่ง" ของพวกเขาเอง
ค้น คว้าตำรับตำราในอดีตอย่างเจาะลึกเพื่อหาข้อหักล้างประเด็นที่ชาวชีอะฮฺนำ เสนอ ท่านควรจะตีพิมพ์และเผยแพร่ " ข้อหักล้าง " เหล่านั้นออกสู่สังคมอย่างเป็นวิชาการ ท่านต้องทุ่มหนังสือในแนวนี้เข้าสู่สังคมให้มากขึ้นและลดจำนวนของหนังสือใน แนวอื่นๆ ให้น้อยลง
แต่! ไม่ใช่มัวเขียนด่าประณามชาวชีอะฮฺว่าผิดอย่างโน้นอย่างนี้ถ่ายเดียว เพราะมันไม่มีประโยชน์ และไม่ช่วยให้ความกระจ่างแก่ผู้เริ่มมีใจโอนเอียงไปทางชีอะฮฺ(แต่ยังไม่ปลัก ใจเชื่อ) หรือผู้ที่เพิ่งถูกนักเผยแพร่ชีอะฮฺชักชวนเพียงครั้งสองครั้ง บุคคลเหล่านี้มองหนังสือ "ด่าประณาม" เหล่านั้นในลักษณะลบมากกว่า และยิ่งจะพลักดันให้พวกเขาใกล้ชิด เห็นใจและโอนเอียงไปทางนักเผยแพร่ชีอะฮฺมากยิ่งขึ้น
เผยแพร่และชี้ แจงความจริงของเรื่องนี้ให้คนรุ่นใหม่ในสังคมได้รับรู้ ในรูปของการอบรมและการจัดกลุ่มศึกษา โดยเฉพาะเยาวชนและนักศึกษามุสลิม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของขบวนการเผยแพร่ของชีอะฮฺในประเทศไทยปัจจุบัน
ควร เร่งเสริมสร้างความสมัครสมานสามัคคีในหมู่ชาวอะหฺลุซซุนนะฮฺด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ยึดมั่นในมัซฮับใดก็ตาม หรือแนวทางใดก็ตาม พวกเราจะต้องยุติท่าทีก้าวร้าวและการเป็นปฏิปักษ์ที่มีต่อกัน เพราะไม่ว่าคณะเก่า หรือคณะใหม่มันก็อะหฺลุซซุนนะฮฺเหมือนกัน เราต้องสร้างจิตสำนึกร่วมตัวนี้ให้ได้ และทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า เรากำลังมีศัตรูร่วมตัวเดียวกันที่อันตรายที่สุดในปัจจุบัน
เราจะ ต้องไม่หลงกลการตอกลิ่มของชาวชีอะฮฺที่พยายามแยกคณะชาวอะหฺลุซซุนนะฮฺ พวกเขาต้องการแยกผู้ยึดมั่นในแนวทางสุนนะฮฺอย่างเคร่งครัด(ไม่ว่าจะเรียกหา ด้วยนามใด อาทิ คณะใหม่ วะฮาบีย์ หรือสะลาฟีย์)ออกจากผู้ยึดมั่นในแนวทางมัซฮับ และยุแหย่ให้ทั้งสองฝ่ายแตกแยกกันมากยิ่งขึ้น
อาทิ พวกเขาบอกว่า พี่น้องที่มีมัซฮับนั้นเป็นมุสลิมเหมือนกัน แต่พวกวะฮาบีย์ไม่ใช่ พวกนี้ไม่ใช่มุสลิม เป็นพวกอเมริกาและยิว ทำให้พวกที่มีมัซฮับเกลียดชังวะฮาบีย์มากยิ่งขึ้น
ผู้รู้สายอะหฺลุ ซซุนนะฮฺต้องรู้จักประมาณตน อย่าคิดว่าเราเก่ง เรารู้มากเกี่ยวกับเรื่องชีอะฮฺ พยายามควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ต้องรู้ว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" และ "เหนือคนเก่งยังมีคนเก่ง"
พยายาม อย่าไปโต้เถียงและปะทะคารมกับชาวชีอะฮฺอย่างเด็ดขาด อย่าเอาชนะคะคานกันในลักษณะนี้เลย ยิ่งท่านชอบปะทะคารมด้วยแล้ว วันหนึ่งเขาจะยั่วยุให้ท่านขึ้นเวที เมื่อนั้นท่านจะ "ถูกเชือดต่อหน้าต่อตาคนดู" เพราะท่านเองอาจจะไม่เก่งจริงๆ อย่างที่คิดก็ได้ เพราะในเหตุการณ์ "สี่รุมหนึ่ง" นั้น "หนึ่ง" ของเขาคนนั้นยังเป็นเพียงแค่ "มือรอง" หรือมวยแทนเท่านั้น พวกเขายังมี "เชค" ที่เชี่ยวชาญและเก่งกว่าคนนั้นอีกนะครับ
ควรรู้ว่าการโต้คารม กับชาวชีอะฮฺไม่มีประโยชน์ เพราะพวกเขาไม่ได้ใช้หลักฐานใน "มาตรฐาน" เดียวกันกับเรา และแม้จะใช้ตำรับตำราของพวกเรา พวกเขาก็ใช้อย่างมีชั้นเชิง คิดว่าตามพวกเขาทันแล้วหรือ ?
ในตำราเล่มเดียวกันที่ชาวชีอะฮฺยกมาอ้าง หรือแม้กระทั่งในหนังสือหะดีษเล่มเดียวกันที่พวกเขานำมาสนับสนุน พวกเขาจะรับเฉพาะ "ส่วน" ที่เป็นประโยชน์และเป็นคุณเอื้อต่อการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขา อาทิ หะดีษที่รายงานถึงความผิดพลาดและความบกพร่องของเศาะหาบะฮฺบางท่านพวกเขาจะ ไม่คำนึงถึงการตรวจสอบความถูกต้องน่าเชื่อถือของสายรายงาน ซึ่งต้องกระทำตามหลักวิชาหะดีษเป็นลำดับแรกเสียก่อน แต่ขณะเดียวกันพวกเขาจะไม่ยอมรับหะดีษที่รายงานเกี่ยวกับความประเสริฐและคุณ ความดีของบรรดาเศาะหาบะฮฺ สำหรับรายงานเหตุการณ์จากหนังสือประวัติศาสตร์ พวกเขาก็จะปฏิบัติในลักษณะเดียวกัน
แม้กระทั่งหลักฐานจากลูกหลานของ ท่านอะลี รอฎิฯ ที่พวกเขานับถือ และจินตนาการว่าเป็นอิมามผู้ปราศจากความผิดบาป หรือรายงานจากสมาชิกในครัวเรือนของท่านนบี ศ็อลฯ ที่คัดมาจากตำรับตำราของชาวชีอะฮฺเอง ถ้าเป็นรายงานที่พาดพิงถึงความผิดพลาดและความไม่ดีของชาวชีอะฮฺ หรือรายงานที่สวนทางกับความเชื่อของพวกเขา หรือคัดค้านความเชื่อของพวกเขา พวกเขาจะไม่ยอมรับและอ้างว่า ท่านเหล่านั้นกล่าวคำพูดเหล่านั้นไปเพราะต้องการที่จะทำตะกียะฮฺ(อำพรางความ จริง)
ด้วยเหตุฉะนี้ เราจึงหวังว่าผู้รู้ของเราจะได้มีบทบาทในการปกป้องความเชื่อ หลักยึดมั่น และความจริงตามแนวอะหฺลุซซุนนะฮฺได้อย่างมีผล และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราอยากเห็นท่านเป็นนักเขียน นักแปลและนักค้นคว้าวิจัยมากขึ้นกว่าการเป็นนักพูด สังคมของเรามีนักพูดมากอยู่แล้วเราน่าจะสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรทางด้านการ เขียนและการแปลให้มากขึ้น และดำเนินการกันอย่างจริงจัง
ดูสิว่าถ้าเราทุ่มเททำกันอย่างจริงจัง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและมุ่งมันแล้ว นักเผยแพร่ชีอะฮฺจะรุกคืบในสังคมของเราได้อย่างไร
Thai Ahlus Sunnah Cyber
18 เมษายน 2543/ 13 มุฮัรรอม 1421