ผู้เขียน หัวข้อ: การเผยแผ่และการเข้ารับอิสลามในประเทศญี่ปุ่น  (อ่าน 42937 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
^

พี่ก็คิดฮอดคื่อกั๋นค่ะเจ้า... loveit:

และยังคงรอวันฟ้าเปลี่ยนสีอยู่จ้า  mycry

ถ้าจะฝากกลอนให้อ่านเล่นๆก่อนไปนิดนึงที่กระทู้นี้จะผิดระเบียบมั้ยหนอ  hehe Oops:

เมื่อมั่งมีมากมายมิตรหมายมอง
เมื่อมัวหมองมิตรมองเหมือนหมูหมา
เมื่อไม่มีหมดมิตรมุ่งมองมา
เมื่อมอดม้วยแม้นหมูหมาไม่มามอง...



 party:

จำเค้ามาอีกทีน่ะค่ะ...

ปล.เข้ามาในนี้ทีไรแล้วอุ่นใจทุกครั้งเลย  yippy:

วัสสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ก๊ะยังเรียนญี่ปุ่นอีกไหมตอนนี้ ...
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
มาเริ่มรื้อฟื้รบรรยากาศเก่าๆ กันสองคนก่อนก็ได้ แล้วค่อยๆ ดึงพี่น้องกลับมาทีละคนๆ เรื่อยๆ นานๆ เข้าก็คงจะกลับมาดังเดิม อินชาอัลลอฮฺ ...
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
^

กลับมาอยู่ที่ไทยได้พักใหญ่ๆแล้วค่ะ
และตอนนี้กำลังทำงานกับบริษัทญีี่ปุ่นในกทม.จ้าาาา
ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามเลี่ยงอย่างสุดฤทธิ์
แต่คิดว่า เมื่อหนีไม่ได้ เรื่องอะไรเราจะต้องหนีให้เหนื่อย
มาตั้งหน้ารับกับมันดีกว่า...และคราวนี้พี่ว่า
พี่แข็งแรงกว่าครั้งก่อน ด้วยวัยและประสบการณ์
เลยคิดว่า เมื่อหนีไม่ได้ เราก็ต้องสู้บนวิถีของเราต่อไป...
ให้เขาเห็นไปเลย...

ซึ่งก็มีเจอปัญหาบ้างสำหรับมุสลิมน่ะค่ะ...
เพราะอิสลามเป็นศาสนาที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
ที่ใครๆเขากำลังให้ความสนใจอยู่(อันนี้พูดจริงๆค่ะ)
เพราะเขาไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เรายังยึดมั่นอยู่กับ
หลักการเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง...
ไม่ยอมตามกระแสใหม่ๆง่ายๆ...

หากมีเวลาว่าง และพี่ๆน้องๆว่างตรงกัน...
พี่ก็อยากเจอทุกคนที่นี่นะคะ...แต่ไม่รู้จะหาวันเวลา
และสถานที่ที่ไหนถึงจะสะดวกเจอกันน่ะค่ะ...
หากมีการนัดเจอกันอะไรยังไงที่ไหน
บอกพี่ด้วยนะคะ...

ตอนนี้...ไม่แน่ใจว่า...น้องๆทีี่หายไปนั้น
อยู่ที่เดิมหรือว่าเปลี่ยนที่อยู่กันไปหมดแล้ว...
เพราะไม่ได้ติดต่อกันเลยค่ะ...

เนื่องจากตัวพี่เองก็แอบหลบไปใช้ชีวิตที่ไร้แสงสี
ไร้อินเตอร์เนตมาพักใหญ่...

วัสลามค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ sufriyan

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 526
  • เพศ: ชาย
  • 0000
  • Respect: +16
    • ดูรายละเอียด
อัสลามูอาลัยกุมวาเราะห์มาตุลลอฮีวาบารอกาตุฮ์

กลับมาแล้วหรือครับ มีplanว่าจะไปญี่ปุ่นอยู่พอดี  เผื่อคำแนะนำการใช้ชีวิตที่นั่นหน่อย โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ถ้าไปจริงๆ
จะขอคำแนะนำนะครับ

วัสลาม

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
วะอะลัยกุมมุสลามค่ะ

มีอะไรให้ช่วย บอกมาได้เลยนะคะ...

ถ้าไปอยู่แถวๆโตเกียว ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเรื่องอาหาร
การกินนัก...เพราะแถบชินจูกุ(ใกล้สถานีชินจูกุ)
จะมีร้านอาหารฮาลาลน่ะค่ะ...มีขายเนื้อฮาลาลแช่แข็ง
และแถบๆชิบูย่า ก็จะมีมัสยิดค่ะ ตอนนี้จำชื่อไม่ได้แล้ว
แต่ในช่วงต้นๆของกระทู้นี้มีรายละเอียดแน่ๆค่ะ...
ซึ่งแถบที่อยู่ใกล้ๆกับมัสยิดจะมีร้านอาหารมุสลิมค่ะ
อยากได้อยากซื้ออะไรก็จะมีร้านขายของชำค่ะ...

ส่วนถ้าเป็นแถบภาคตะวันตกของญี่ปุ่น(คันไซ)
ซึ่งมีจังหวัด เกียวโต โอซาก้า และเมืองโกเบนั้น
จะมีมัสยิดโกเบค่ะ...เป็นมัสยิดหลังแรกๆของญี่ปุ่น
แถบนั้นจะมีชุมชนมุสลิมเราอาศัยอยู่ค่ะ
มีร้านอาหารอิสลาม และมีอาหารฮาลาลให้กิน

ส่วนถ้าเป็นทางใต้ของญี่ปุ่น(เกาะคิวชู)
ก็จะเป็นในส่วนของเมืองฟุกุโอกะ...จะมีมัสยิด
ที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้...และเมื่อมีมัสยิด
พี่น้องมุสลิมเราก็จะไปอยู่อาศัยอยู่แถวๆนั้นค่ะ
และก็แน่นอนว่าต้องมีร้านอาหารหรือร้านขายของ
สำหรับพี่น้องมุสลิมเรา....

ส่วนทางตอนเหนือขึ้นไป(แถวๆฮอกไกโด)...
อันนี้ข้าน้อยก็ไม่ค่อยทราบข้อมูลนัก...
เนื่องจากยังไม่เคยขึ้นไปค่ะ...
ขึ้นไปมากสุดก็แค่จังหวัดยะมากะตะเท่านั้นเองค่ะ...
บอกได้คำเดียวว่า...หนาววววววมากค่ะ...
เลยไม่ขอไปอยู่...แถมบรรยากาศก็ดูเหงาๆชอบกล...
แตกต่างจากฝั่งโตเกียวและเกียวโต โอซาก้าค่ะ
ฝั่งทางนี้จะดูครึกครื้น...สะดวกสบาย...
เดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวก...ใช้เวลาไม่นาน...

ปล.เพราะคิดว่าเรื่องปากท้องเป็นสิ่งสำคัญมาก
สำหรับอิสลามเรา...ส่วนเรื่องที่พักคงจะไม่น่า
เป็นห่วงนักค่ะ...และในเรื่องความปลอดภัย
คิดว่าไม่น่าเป็นห่วงเช่นกันค่ะ เพราะประเทศญี่ปุ่น
ค่อนข้างปลอดภัยมากกว่าเมืองไทยเราหลายเท่าตัว...
แต่คนที่น่ันจะเย็นชาไปนิดนะคะ...ไม่เริงร่าเหมือนคน
บ้านเรา...เขาจะเป็นพวกเจ้าระเบียบค่ะ
แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะทำให้เราสะดวกสบาย
แถมยังเป็นเมืองที่สะอาดด้วยค่ะ...

ไปแล้วคุณจะเห็นอย่างที่ดิฉันเห็น...

ปล.อีกครั้ง...อีกเรื่องนึงเลยนะคะ ถ้าจำเป็นต้องไปกิน
อาหารตามร้านค้าทั่วไปจริงๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นแน่ๆ
และคุณไม่ต้องการจะสัมผัสกับของฮาลาลขั้นหนัก
อย่างพวกเนื้อหมู...มีแค่ร้านประเภทเดียวที่จะไม่มีเมนูหมู
และถ้วยชามก็จะไม่สัมผัสกับหมู...
นั่นก็คือ...ร้านซูชิ...แต่ไม่แน่ว่า ไอ้เจ้ามิริน ที่เขาใช้
จะมีส่วยผสมของเหล้าอยู่บ้างรึเปล่า เพราะมิรินที่ว่า
มีทั้งที่มีส่วนผสมของเหล้า กับไม่มีส่วนผสมของเหล้า...
และอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นต้องใส่เหล้าค่ะ

ทางที่ดี...ถ้าไปอยู่ไม่นานนัก พอของแห้งจากบ้านเรา
ติดตัวไปบ้างจะดีที่สุดค่ะ แต่ถ้าไปอยู่หลายเดือน
แนะนำให้เข้าร้าน 100 เยนค่ะ ที่นั่นจะมีอุปกรณ์
อย่างง่ายสำหรับทำอาหารอย่างง่ายๆ ราคาถูกมากค่ะ
มีครบทั้งหม้อ กะทะ ช้อน ส้อม จาน ชาม
เรียกได้ว่า มีอุปกรณ์ขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตอยู่ใน
"ร้าน 100 เยน" เห็นตัวเลข "100" หรือ "99"
ก็ลองเข้าไปดูได้ค่ะ...ส่วนบะหมี่ญี่ปุ่น อย่ากินนะคะ
มันไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะขายตามร้าน หรือที่เป็นซอง
เนื่องจากฮาลาล ไม่มีแน่ๆ และที่แน่ๆ คือ แต่ละยี่ห้อ
มีส่วนผสมของน้ำมันจากหมูค่ะ...อยู่ในตัวเส้นบะหมี่เลย
ไม่เกี่ยวกับเครื่องปรุงนะคะ...ถ้าเรากะจะเอาแค่เส้นบะหมี่
อย่างเดียว ก็ไม่ปลอดภัยค่ะ...

วิธีแก้ความหิวก็คือ...ถือศีลอดค่ะ...อิอิอิ

แต่ถ้าไม่ไหว...ก็ต้อง ทำกินเองแล้วล่ะค่ะ...
แม้จะไม่อร่อย แต่ก็ปลอดภัย ไร้กังวล...อิอิอิ...
(เอาเครื่องปรุงจากไทยไปให้พร้อมเลยค่ะ)

เพราะต่อให้ใครบอกคุณว่า...ที่ญี่ปุ่นหากินง่าย
แต่จริงๆแล้วมันไม่ง่ายค่ะ...เพราะคนญี่ปุ่นชอบใส่เหล้า
ไปในอาหารค่ะ...อาหารญี่ปุ่นจึงไว้ใจไม่ค่อยได้...
ต้องมีประสบการณ์สูง อ่านภาษาเขาได้ในระดับนึง
ถึงจะรู้ว่าข้างๆซองมันเขียนอะไรไว้บ้างน่ะค่ะ

ข้าน้อยเคยอ่านแล้วอ่านอีกกว่าจะโยนใส่ตะกร้าใส่ของ
ส่วนพวกขนมขบเคี้ยว ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไว้ก่อนนะคะ
หาเค้กผลไม้กินน่าจะโอเคกว่าค่ะ...

ซึ่งถ้าลำบากในการหาอาหารกินที่ญี่ปุ่นอย่างไร...
ปรึกษาข้าน้อยทางเมลล์ได้นะคะ...
เพราะอย่างน้อยๆ ผลไม้กับผักที่นั่นอร่อยมากค่ะ
กินกันหิวได้ในบางมื้อ...หัดทำน้ำสลัดไปก่อนก็ดีนะคะ
เผื่อว่าอาจจะต้องกินสลัดผักทูน่า หรือสลัดทะเล...อิอิอิ

อีกอย่างนึง...พวกพุดดิ้งนี่ก็กินไม่ได้นะคะ...
แม้ดูไปแล้วมันจะเป็นแค่ของหวานกินเล่น
แต่เอาเข้าจริงนี่กินไม่ได้ค่ะ มันฮาราม...
เพราะบางยี่ห้อมีใส่ส่วนผสมจากไขมันจากสัตว์
ซึ่งสัตว์ที่ว่าไม่รู้ว่าสัตว์อะไร...และสัตว์ที่ว่าตายยังไง...
และปกติทั่วไป สัตว์ที่ว่าก็จะเป็นไขมันจากหมู...
เนื่องจากบางยี่ห้อมันเขียนไปเลยว่า ไขมันหมู
แต่บางยี่ห้อมันไม่เขียนอย่างนั้น มันเขียนแค่ว่า
ไขมันจากสัตว์...ขนมขบเคี้ยวก็เช่นเดียวกันค่ะ
มีพวกไขมันจากสัตว์และจากพืช...แต่ถ้าอ่านไม่ออก
ก็คงจะแยกไม่ได้...ดังนั้น...ไม่กินน่าจะปลอดภัยที่สุดค่ะ

ไม่ได้ตั้งใจทำให้ไม่อยากไปญี่ปุ่นนะคะ
เพราะข้าน้อยอยากให้ลองไปดูค่ะ...
ทุกๆที่มีทั้งด้านสว่างและด้านมืดค่ะ...

เพราะถ้าเทียบกับไปประเทศจีนแล้ว
ข้าน้อยว่า ไปญี่ปุ่นสบายกว่าหลายเท่าค่ะ...

แม้พวกเขาจะตาตี่ๆเหมือนกัน
แต่จริงๆแล้ว โครงสร้างทางพันธุกรรมและนิสัย
ไม่เหมือนกันเลยค่ะ...


สุดท้ายไม่ท้ายสุด

โยเกิร์ตกินได้นะคะ...เพราะมีส่วนผสมของน้ำนมวัวแท้ๆ
70% และก็มีน้ำตาลกับพวกผลไม้รวมนิดๆ
ไม่น่าจะมีปัญหาค่ะ เพราะถ้าไปช่วงฤดูหนาว
หรือปลายฤดูหนาว ถ้าไม่กินพวกที่ช่วยย่อยอาหาร
หรือช่วยให้ระบายอย่างพวกโยเกิร์ตอะไรไปบ้าง
ท่านอาจจะลำบากค่ะ...อิอิอิ
เพราะอากาศหนาวมีผลต่อระบบขับถ่ายเหมือนกันค่ะ...

แต่ถ้าไปฤดูร้อน สิ่งที่ต้องระวังคือ ท้องร่วงค่ะ...
ต้องทำอาหารกินมื้อต่อมื้อเท่านั้นน่ะค่ะ...
หรือถ้าอาหารเหลือ ต้องแช่ตู้เย็นแล้วค่อยเอามาอุ่น
แต่ถ้าที่พักไม่มีตู้เย็นหรือไมโคเวฟให้ เราต้องกินมื้อต่อมื้อค่ะ
เพราะอากาศตอนฤดูร้อนของที่นั่นต่างจากไทยเรา
มันทำให้อาหารของเราบูดเน่าได้เร็วมากค่ะ...
เราอาจจะดูๆไปแล้วว่ามันน่าจะยังโอเคอยู่
แต่ถ้าลองได้กินเข้าไป จะวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทันค่ะ

มันก็เหมือนๆคนที่นั่นแหล่ะค่ะ...ต้องคบกันนานๆๆๆๆๆ
ดูเผินๆไม่ได้...เห็นน่ารักๆน่ะ...ต้องระวังนะคะ!!!

พกยาแก้ปวด แก้ไข้จากไทยไปด้วยก็จะเป็นการดีค่ะ
เพราะที่โน้นยุ่งยากเรื่องการหาซื้อยาค่ะ
ยาบางชนิดต้องขอใบสั่งยาจากแพทย์ก่อนถึงจะซื้อได้
ดังนั้น พกยาสมุนไพรหรือยาสามัญประจำบ้านติดตัวไป
ด้วยก็จะสะดวกขึ้นค่ะ...เพราะเมื่อต่างที่ต่างอุณหภูมิ
ร่างกายอาจจะช็อกหรือตกใจกับสิ่งแปลกใหม่ได้...
เอายาไปด้วยจะดีที่สุดค่ะ...และไม่มียาใดจะรักษาเรา
ให้หายได้ นอกจากดุอาฮฺค่ะ...

ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะคะ...

และมีสองอย่างที่จะเตือนมุสลิมีนที่จะไปที่ญี่ปุ่น

1.เรื่องอาหารการกิน

2.เรื่องผู้หญิง!!! ถ้าคิดจะนำเข้าประเทศไทย
ต้องคิดให้มากๆนะคะ...เธอต่างจากหญิงไทยลิบลับค่ะ...
ท่านอาจจะมองว่าไม่มีอะไร แต่ทีี่จริงนั้นมีอะไร
อีกมากมายค่ะ...ต้องศึกษาดูให้แน่ใจก่อนค่ะ...

เฮะๆ

วัสสลามค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ
พี่น้องที่เข้ามาอ่านทุกท่านค่ะ

ทุกวันนี้ ข้าน้อยพยายามย้อนมองตัวเอง
ว่ามีอะไรที่เหมือนและต่างจากคนญี่ปุ่น
และมีอะไรที่เราได้เอาตัวอย่างของเขามา....

สิ่งหนึ่งที่ข้าน้อยรู้สึกว่าได้รับอิทธิพลมาจากคนญี่ปุ่น
อย่างมาก นัั่นก็คือ "ชาตินิยม"
เมื่อก่อน ก่อนที่จะไปอยู่ที่ญี่ปุ่น ไม่เคยรู้สึกถึงรสชาติ
ของเพลงชาติไทยเลย แต่พอได้ไปอยู่ที่นั่น
และได้กลับบ้านเกิด มันทำให้รู้สึกรักบ้านเกิดมากขึ้น...
อยากทำอะไรเพื่อบ้านเกิดมากกว่าแต่ก่อน...

และสิ่งนั้นก่อเกิดเป็น"อุดมการณ์"

คนญี่ปุ่นมักจะรักหวงแหนของที่คิดว่าเป็นของตัวเอง
ไม่ยอมให้ใคร แต่หากเป็นของที่เป็นของคนอื่น
เขามักจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง
จนบางครั้งราวกับไม่สนใจถึงวิธีการที่ได้มาด้วยซ้ำ

อันนี้ไม่ได้มองในแง่ลบหรือแง่บวก
แต่เป็นแง่หนึ่งที่ประสบพบเจอมาจนเจนหูเจนตา
ซึ่งมิได้เหมาว่าคนญี่ปุ่นจะเป็นเช่นดังกล่าวทุกคน
แต่ก็มีเยอะที่มีความคิดและเป็นเช่นนั้น...
เพราะเป็นประสบการณ์โดยตรงกับการได้อยู่ร่วมกัน
ทำงานร่วมกัน...ได้เห็นแนวคิดและแนวการดำเนินงาน
ของคนญี่ปุ่นแล้วอดส่ายหัวไม่ได้...

อุดมการณ์รักเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของคนญี่ปุ่นนั้น
แรงกล้ามาก ไม่ว่าเขาจะมาตั้งรกรากในประเทศไหนๆ
เขาก็ยังกินอาหารญี่ปุ่น เข้าห้างของคนญีี่ปุ่น
ซื้อของใช้ของคนญี่ปุ่น อุดหนุนธุรกิจของคนญี่ปุ่น

เขาเข้ามากอบโกยทรัพยากรณ์บ้านเรา ตั้งโรงงาน
ในบ้านเรา ทิ้งขยะไว้ที่บ้านเรา ถ่ายน้ำเสียไว้ที่บ้านเรา
เพราะทั้งวัสดุและโรงงานก็วางอยู่บนพื้นดินไทย
เขาไม่ได้เอาขยะกลับบ้านหรือเอาน้ำเสียจากโรงงาน
ไปปล่อยทิ้งไว้ที่บ้านเขาด้วย...เขาเอาแต่ของสวยๆงามๆ
ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ในเมืองไทยไปไว้ที่บ้านเขา
เหลือเศษซากเน่าๆทิ้งไว้ที่บ้านเรา...

เรายอมให้เขาเข้ามาทำกับเราอย่างนั้นได้อย่างไร...
เพียงเพราะกระดาษไม่กี่ปึกที่เขายื่นให้ใช่มั้ย
ถึงทำให้เรายอมเขาแทบทุกอย่าง...ยอมแม้กระทั่ง
ให้เขาใช้แผ่นดินนี้ในการกอบโกยผลประโยชน์กลับบ้านเขา
แล้วทิ้งของเน่าเอาไว้ให้เรา...

คนอื่นอาจยิ้มได้...แต่ข้าน้อยไม่เคยยิ้มออกกับสิ่งที่
คนญี่ปุ่นที่มีเจตนาทำออกมาในรูปแบบนี้เลยสักนิดเดียว...
และมันคือปณิธานอันแรงกล้าที่จะเอาคืนคนที่คิดทำกับ
แผ่นดินนี้เช่นกัน...

ไม่ใช่ว่าเราจะถือเชื้อชาติเป็นใหญ่ แต่เพราะนี่คือแผ่นดิน
ที่เราเกิดและโตมา เป็นบ้านของเรา...

การทำงานกับคนญี่ปุ่นจึงออกมาในลักษณะที่อาจจะ
ไม่เป็นที่รักของเขา แต่ก็เป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานคนไทย
เนื่องจากไม่ได้ทำงานเพื่อเอาใจคนญี่ปุ่นที่ตั้งใจ
จะมากอบโกยผลประโยชน์บนแผ่นดินที่เราเกิด
แต่ตั้งใจเพื่อจะให้เขาชดใช้ในสิ่งที่เขาควรชดใช้
ให้แผ่นดินนี้ ชดใช้ให้คนที่เกิดบนแผ่นนี้คืนบ้าง...
เขาไม่ควรหลีกเลี่ยงภาษี ไม่ควรเอารัดเอาเปรียบคนไทย
คนที่ทำงานให้เขา...ช่วยเขาให้มีเงินทองมากมาย
บนแผ่นดินนี้...

วิธีที่ข้าน้อยทำได้ก็คือ...จะสนับสนุนเอเย่นที่เป็นคนไทย
จะหาเอเย่นที่เป็นบริษัทของคนไทยมาผลิตงานที่ข้าน้อย
ออกแบบไว้...และจะไม่ต่อรองค่าผลิตเลยแม้แต่บาทเดียว
ต่อให้แพงแค่ไหนก็จะสั่งทำ...เพราะคนไทยควรได้...
และขนหน้าแข้งเจ้านายก็ไม่ร่วงเสียด้วย...
ไปไหนก็จะไปด้วยแท็กซี่ จะไม่ช่วยนายประหยัดค่าใช้จ่าย
ในการเดินทางโดยการนั่งวินมอเตอร์ไซด์เด็ดขาด
เพราะนั่งวินมันถูกไป คนไทยควรได้เงินจากคนญี่ปุ่น
มากกว่านั้น ดังนั้น การนั่งแท็กซี่ก็คือการที่ช่วยให้
เงินของคนญี่ปุ่นตกไปอยู่ในกระเป๋าคนไทยเพิ่มขึ้น...

เพราะถ้าเปรียบกับสิ่งที่เขากอบโกยไปจากเราแล้ว
การกระทำของข้าน้อยมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ
มันเป็นแค่ฝุ่นผง เป็นเศษเงินของเขาที่กอบโกยไปจาก
แผ่นดินนี้ด้วยซ้ำ เงินที่เขากอบโกยไปจากเรา
โดยไม่เคยคืนให้เราเลย เพราะเขาเอาเงินที่ได้
ไปซื้ออาหารของพวกเขาเอง เอาไปซื้อของที่พวกเขาผลิต
เอาไปซื้อรถยี่ห้อที่บ้านเขาผลิต เขาไม่เคยกินของไทย
ใช้ของไทย ไม่เที่ยวเมืองไทย ไม่ประหยัดทรัพยากร
ของไทยเลย...น้ำ ไฟ เขาใช้แบบไม่รู้คุณค่าเลย...
ผิดกับตอนอยู่บนแผ่นดินบ้านเกิดของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
ที่บ้านเขาเขาจะประหยัด จะระมัดระวังเรื่องการจับจ่าย

เลือดรักชาติของข้าน้อยเลยพุ่งทั้งๆที่ไม่เคยคิดว่า
มันจะมีมาก่อนเลย...แต่ลึกๆแล้วมันมี
เมื่อเรารู้ว่ามีคนคิดจะครอบครองแผ่นดินนี้ด้วยอำนาจเงิน
เขาตีตลาดคนไทยแตกเพียงเพราะเขามีเงินมากกว่า
ธุรกิจคนไทยที่เหมือนกับเขาไปไม่รอด เพราะเขาคว้านซื้อ
ที่และขยายตลาดออกไปเรื่อยๆ จนปลาตัวเล็กเริ่มอยู่ไม่รอด
"ระบบทุนนิยม"กำลังจะทำลายคนไทยโดยคนที่เห็นเงิน
เป็นพระเจ้า คนที่ไม่ศรัทธาต่อสิ่งใด
นอกจาก"เงิน"และ"อำนาจ"

อุดมการณ์ของเขากับข้าน้อยจึงเหมือนกันตรงที่เป็น
คนที่"รักชาติและบ้านเกิด"
ต่างกันก็ตรงที่ เราเกิดกันคนละแผ่นดินเท่านั้น
เลยทำให้เรายืนอยู่กันคนละฝั่ง...แม้จะคิดเหมือนกัน
และมีเป้าหมายเหมือนกันคือทำเพื่อประเทศชาติ
แต่ต่างกันตรงที่ เรามันอยู่กันคนละประเทศ...

หากคนประเทศหรือบ้านไหนก้าวเข้ามาหาเราด้วยสันติ
ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงที่ไม่ดี เขาจะได้รับการต้อนรับ
อย่างแขกคนหนึ่งกลับไป...แต่ถ้าไม่ใช่ การต้อนรับเขา
ก็จะเป็นในลักษณะการต้อนรับผู้บุกรุกเพื่อทำลาย...

หากเราจะถามหาความยุติธรรม มันก็คงหายาก
หากว่าเขาอธรรมกับเรา...
หากจะถามหาความรัก มันก็คงยาก
หากว่าเขาไม่เคยคิดจะรักหรือรู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณ
แผ่นดินนี้หรือตอบแทนคุณคนบนแผ่นดินนี้ที่ช่วยเขา
ในการกอบโกยผลประโยชน์...

ไม่ได้อยากเห็นธงชาติไทยสบัดไสวเป็นสง่า
แต่อยากเห็นคนไทยหันมารักกันและเห็นคุณค่า
ของแผ่นดินที่ตนเกิดและโตมามากกว่าที่เป็นอยู่...

ถ้าจะให้ความสำคัญ ข้าน้อยก็จะให้ความสำคัญกับแผ่นดิน
เกิดมากกว่าแผ่นดินอื่น ให้ความสำคัญกับคนไทย
มากกว่าคนชาติอื่น ให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่าเจ้านาย
และจะไม่ทำงานถวายหัวใจให้กับคนไร้สามัญสำนึก...

ตอนเรียนจบที่ญี่ปุ่นใหม่ๆ มีบริษัทที่นั่นติดต่อมา
แต่ข้าน้อยขอกลับบ้านเกิด เพราะเราเอาเงินของประเทศชาติ
ไปเรียนหนังสือ เอาเงินบ้านเราไปใช้บนแผ่นดินเขาอยู่
หลายปี เงินจำนวนมหาศาลได้ถูกนำไปใช้ในแผ่นดินเขา
หากจบแล้วเราอยู่รับใช้เขาต่อ เราก็ไม่ต่างกับคนที่
ไม่รู้คุณของเงินที่ได้มา แม้เจ้าของทุนไม่ได้บีบบังคับ
ให้เราต้องกลับมารับใช้ชาติ แต่เพราะหัวใจที่รู้ว่า
เราควรหรือที่จะใช้ความสามารถที่เราเอาเงินของประเทศเรา
ไปทุ่มเททำงานให้คนอื่นที่เขาไม่เคยให้อะไรเรา
หรือให้เงินเราศึกษาหาความรู้...
มันควรหรือที่เราจะเอาความรู้ความสามารถของเรา
ไปพัฒนาประเทศอื่นทั้งๆที่เราเอาเงินประเทศเราไปเรียน...
เราเอาเงินของเราไปทุ่มที่ญี่ปุ่นตั้งเท่าไหร่แล้ว
แล้วเรายังเอาตัวเราไปทุ่มเทให้เขาบนแผ่นดินนั้นล้วนๆ
อีกหรือ...

เมื่อก่อนเคยสงสัยว่าทำไมเด็กทุนต้องกลับมาชดใช้ทุน
แต่สำหรับทุนของข้าน้อยไม่ต้องกลับมาชดใช้
เป็นทุนให้เปล่า แต่เราก็รู้สึกไม่ได้ว่าอย่างไรเสีย
เราก็จะกลับมาทำประโยชน์ให้บ้านเกิด...
มาอยู่ใกล้ๆคนที่เรารักน่าจะดีกว่า...

การกลับมาทำงานที่บ้านเกิดแม้จะได้เงินน้อยกว่า
การทำงานรับใช้คนญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่น
แต่มันก็ยังรู้สึกดีกว่า ภูมิใจกว่า มีความสุขใจกว่า...
และการได้เอาคืนเล็กๆน้อยๆกับคนญี่ปุ่น
ที่คิดจะมากอบโกยทรัพยากรในผืนแผ่นดินไทย
มันก็น่่าจะสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว...

เพราะมันคือ ความรู้สึกห่วงใยต่อแผ่นดินเกิด
ห่วงใยคนบนแผ่นนี้

ทุกวันนี้ ประเทศไทยน้ำเสีย ใช่เพราะคนไทยทำเท่านั้น
เราลองตรองดูว่า โรงงานปล่อยน้ำเสียออกมาตั้งเท่าไหร่แล้ว
แล้วผลกระทบก็ส่งผลโดยตรงต่อคนบนแผ่นดินนี้...

การได้เรียนรู้ระบบบำบัดน้ำเสียตอนศึกษาอยู่ที่ญี่ปุ่น
มันทำให้ข้าน้อยรู้ว่าคนญี่ปุ่นละเอียดกับเรื่อง
การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมแค่ไหน
แต่ทำไมเขาถึงไม่ได้นำความรู้เหล่าน้ันหรือการกระทำเช่นนั้นมาใช้ในเมืองไทยบ้าง เขาทำให้เมืองไทยเป็นเมืองขยะ
โดยเจตนาหรือเปล่า...เราคนไทยไม่รักความสะอาด
หรือเพราะเราปล่อยให้คนอื่นสร้างขยะบนแผ่นดินเรา
โดยละม่อมด้วย...

อัลลอฮฺย่อมรู้ดีว่าใครทำอะไรไว้บ้าง...
คนญี่ปุ่นทำลายแผ่นดินไหนที่ไปเหยียบไว้บ้าง
พระองค์ก็ทรงรู้เห็น...และข้าน้อยเชื่อว่า
อัลลอฮฺทรงยุติธรรมที่สุด...

วันนี้มายาวกว่าที่เคยเป็น...เพราะระอา
กับคนญี่ปุ่นเหลือเกินแล้วค่ะ...ได้ล่วงรู้อุดมการณ์
ของพวกเขาที่ก้าวเข้ามาลงทุนในเมืองไทยโดยบังเอิญ
เพราะหูได้ยิน(ไม่ได้แอบฟัง) จึงทำให้รู้สึกว่า
เลือดข้างในมันข้นกว่าปกติ...

คนญี่ปุ่นชอบประเมินค่าคนไทยต่ำกว่าที่เป็น
เขามักมองว่าเราโง่กว่าเขาเสมอ...
เขาจึงพูดอะไรก็ได้ที่คิดว่าเราฟังไม่ออก...

เพราะข้าน้อยเป็นคนนึงที่จะไม่พูดมากในที่ทำงาน
เนื่องจากไม่อยากให้เขาล่วงรู้ภูมิความรู้ด้านภาษาของเรา
และจะออมความสามารถเอาไว้ คือจะไม่แสดงความสามารถ
อย่างเต็มที่เพื่อส่งให้เขาเจริญกว่าที่เป็นอยู่นัก
เพราะที่เขาเป็นอยู่ ก็ทำให้ธุรกิจของเจ้าของแผ่นดิน
อย่างคนไทยไปไม่รอด ซ้ำยังร่อแร่...

เขาคิดแค่ว่าคนไทยซื้อได้ด้วยเงิน เอาเงินฟาดหัวให้เยอะๆ
กว่าปกติสักหน่อย แค่นี้คนไทยก็ต้องทำงานแบบถวายชีวิต
และกายให้เขาแล้ว...และก็ใช่ เมื่อได้รับผลตอบแทนสูง
คนไทยก็จะขยันทำงานจริงๆ
แต่จริงๆแล้วคนไทยไม่ใช่แค่ขยันแต่ยังเก่ง
และความเก่งนั้นจะไม่แสดงออกมามากมายนัก
หากว่ามันไม่ได้เอาหัวใจมาซื้อ...
ถ้าคนไทยไม่เก่งจริง ก็คงเอาชนะเด็กที่เรียนในประเทศเขา
มาไม่ได้อย่างแน่นอน และข้าน้อยกล้าฟันธง
ว่าในด้านไหวพริบแล้วคนไทยไม่แพคนญี่ปุ่นเลย
เพราะคนไทยที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่นจนได้เป็นท็อปของรุ่น
เอาชนะเด็กญี่ปุ่นมาได้นักต่อนักแล้ว...
แต่เราจะแพ้เขาก็ตรงที่งานกลุ่ม...หากมาเดี่ยวๆ
คนไทยจะไม่ถูกเขาเคี้ยวเอาง่ายๆแน่ค่ะ...

แม้กระทั่งที่ทำงานในปัจจุบัน...คนไทยก็ยังคงเป็นต่อ
เพราะมีมากกว่า และมีคุณภาพกว่าคนญี่ปุ่นที่ทำงานอยู่
หากขาดคนไทย บริษัทล่มอย่างมิต้องสงสัย...
เพราะคนญี่ปุ่นไม่เอาภาษาไหนเลย นอกจากภาษาตัวเอง
แต่คนไทย เอามันแทบทุกภาษาที่เอาได้...
ก็เลยได้เปรียบเขาก็ตรงที่เราฟังได้หลายภาษานี่แหล่ะค่ะ...
คนไทยพยายามเรียนรู้ที่จะเข้าใจภาษาชาวบ้าน
ในขณะที่คนญี่ปุ่นไม่ใส่ใจที่จะเข้าใจภาษาชาวบ้าน
นอกจากอยากรู้ว่า...ชาวบ้านเขามีอะไรให้เรากอบโกยบ้าง...

ปล.อ่านๆมา อาจรู้สึกว่าข้าน้อยมองคนญี่ปุ่นในแง่ลบ
แต่อย่างที่บอกค่ะ...เจอมาอย่างไรก็ว่าไปอย่างนั้น...
ซึ่งที่ดีๆก็เจอมาเยอะค่ะ...เพราะหากอ่านภาพประทับใจ
ที่ข้าน้อยเคยเขียนไว้ในหัวข้อทั้งหมดนี้ คนที่แวะเข้ามาอ่าน
ก็จะรู้ว่า ข้าน้อยก็ประทับใจคนญี่ปุ่นอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

ก็เลยอยากสื่อว่า...ในตัวคนเรามันมีทั้งด้านมืดด้านสว่าง
บางครั้งเราก็เห็นด้านสว่างของเขาจ้าเกินไป
จนแสงมันทิ่มตามองอะไรไม่ชัดเจน พอความมืดผ่านเข้ามา
จึงทำให้เราได้เห็นเงาที่ซ่อนอยู่หลังแสงสว่างจ้า...

พ่อบอกว่า...สิ่งดังกล่าวที่ข้าน้อยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับ
คนญี่ปุ่นนั้น...มันสื่อให้นึกถึงคำว่า"คนโลงผี"
โลงที่ภายนอกถูกตกแต่งประดับประดาเอาไว้อย่างสวยงาม
แต่มีซากเน่านอนอยู่ข้างในพร้อมที่จะส่งกลิ่นเหม็นออกมา
เมื่อกาลเวลาผ่านไป...แม้จะพยายามดับกลิ่นเน่าสักเท่าไหร่
สักวันมันก็จะส่งกลิ่นอันแท้จริงออกมาในที่สุด...

หากอ่านแล้วมีอะไรติติง ข้าน้อยพร้อมรับคำชี้แนะค่ะ

วัสลามค่ะ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 24, 2013, 12:44 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
ปี 2014 ผ่านไป ย่างเข้าสู่ 2015 ขอขุดเพื่อต่อยอดค่ะ

หลายคนอาจไม่ทันได้ตั้งคำถามว่าเหตุใดประเทศญี่ปุ่นจึงประสบภัยพิบัตินานัปการยิ่งนัก
นับว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดภัยพิบัติสูงติดอันดับต้นๆของโลกเลยทีเดียว...

เมื่อก่อนไม่ทันฉุกใจคิดในเรื่องนี้ในเชิงลึกนัก...แต่วันนี้แอบคิด...
เพราะเมื่อย้อนกลับไป ทำให้ได้เห็นบางอย่า...

คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่...คือผู้ไร้ศรัทธา คำว่าไร้ศรัทธาในที่นี้ก็คือ
ไม่ยึดมั่นในเรื่องของศาสนา...คนส่วนใหญ่ไม่มีศาสนา...

อิสลามจึงขยายตัวได้ยากสำหรับหัวใจของคนประเภทนี้...

แอบเปรียบเทียบตอนที่ทำงานที่บริษัทญี่ปุ่น เขาไม่ยอมเข้าใจเรื่องการละหมาดของเรา
เขาไม่ยอมเข้าใจเรื่องวันสำคัญของอิสลามหรือของศาสนาใดๆ...
เขาเข้าใจเพียงแค่ว่าเราเป็นลูกจ้างเราก็ต้องทำงานให้เขาอย่างคุ้มค่า...

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเราจึงให้ความสำคัญกับละหมาดนัก...
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับการถือศีลอดและละศีลอดให้ตรงเวลา
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่กราบไหว้รูปปั้นหรือร่วมพิธีบวงสรวงการเปิดกิจการของเขา

ตอนนั้น ข้าน้อยเพียงแต่คิดว่าเขาไม่เข้าใจอิสลามไง...เขาไม่ได้ศึกษาอิสลามมา

แต่...วันนั้นที่ได้เจอน้องคนนึงที่เขากินมังสวิรัต เป็นคนกินเจตลอดชีพ
คือ ไม่กินเนื้อสัตว์หรือสิ่งที่ทำขึ้นมาจากสัตว์เลย....

น้องเขาถามว่า ทำไมต้องละหมาด ต้องคลุมฮิญาบ ถ้าไม่คลุมพี่จะเป็นอย่างไร
พอเราบอกเขาไปว่า ละหมาดสำคัญต่อมุสลิมมาก มันคือหัวใจของการศรัทธา
ฮิญาบคืออาภรณ์ของมุสลิม...

น้องเขาเลยดีดนิ้วเลย...บอกว่าเข้าใจแล้ว...พี่ต้องรู้สึกไม่ดีเอามากๆใช่ไหม
ถ้าไม่ได้ละหมาด ถ้าไม่ได้คลุมฮิญาบ...

คงเหมือนๆน้องไงที่ถ้ากินเนื้อสัตว์เมื่อไหร่ จะรู้สึกไม่สบายใจ เหมือนเราทำผิดมหันต์
เหมือนเราเป็นคนบาป...จิตใจก็เลยว้าวุ่น อยู่ไม่สุข หัวใจไม่สงบสุขเลย...ใช่มั้ย

ข้าน้อยเลยพยักหน้า...

วันนั้นเดินออกมา จึงได้คำตอบว่าเหตุใด เกือบหกปีที่ได้อยู่ที่ญี่ปุ่น แม้จะพยายามสักแค่ไหน
ที่จะเผยแผ่อิสลามเข้าไปในหัวใจคนญี่ปุ่น มันจึงทะลุเข้าสู่หัวใจของคนญี่ปุ่นได้ยากนัก

อาจจะเพราะพวกเขาไม่เคยเปิดใจรับรู้สิ่งใด ยกเว้นเรื่องของดุนยาล้วนๆ
ไม่สนเรื่องของจิตวิญญาณนัก...

เพราะเคยเปรียบเทียบกับการคุยกับเพื่อนที่ศรัทธาในศาสนาอื่นๆกัน
เหมือนว่าจะเข้าใจกันและกันง่ายกว่าการพยายามอธิบายให้คนญี่ปุ่นเข้าใจเรื่อง
ความสำคัญของศรัทธาจิต...

ไม่แปลกที่อัลลอฮฺจะทรงส่งภัยพิบัติเพื่อตักเตือนไปยังพวกเขาบ่อยครั้งและถี่ขึ้นเรื่อยๆ

ลองจินตนาการดูนะคะว่ามีเกาะๆหนึ่งอยู่กลางทะเล...
แต่น้อยนักที่ผู้คนท่ีอาศัยอยู่ในเกาะนั้นจะกล่าว ลาอิลาอะอิลลัลลอฮฺ
น้อยคนนักที่จะสรรเสริญและสดุดีในความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ
น้อยคนนักจะก้มลงซูหยูดต่ออัลลอฮฺ
น้อยคนนักจะยกมือขึ้นขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺ
น้อยคนนักที่จะอดอาหารในเดือนรอมาฏอนเพื่ออัลลอฮฺ
และน้อยคนนักที่จะทำกิจการใดโดยตั้งเจตนาว่า
...ลิลลาอิตะอาลา...

ในทางกลับกัน...สิ่งที่พวกเขาขวนขวายและสร้างขึ้นให้มีอย่างเกลื่อนกลาด
บนเกาะแห่งนั้นคือ....

...สถานเริงรมย์ อาบ อบ นวด
...ผับบาร์ แหล่งบันเทิงยามค่ำคืน
...คาสิโนและแหล่งอบายมุขในรูปแบบใหม่ๆที่มีมาเรื่อยๆ
...บริการทางเพศส่งถึงบ้าน
...การทำซีนาอย่างเปิดเผยและให้มีอิสรเสรีในเรื่องดังกล่าว
...ปล้น ฆ่า ยากุซ่า

ทุกอย่างที่กล่าวมามีเกลื่อนเมืองจนเป็นเรื่องปกติในความไม่ปกติ

ดังนั้น...เราจะจินตนาการถึงเกาะที่ว่าได้ไม่ยากเลยว่าตกอยู่ใน
สภาพเช่นใด...แล้วเหตุใดจึงโดนภัยพิบัติรุมเร้านัก...ทั้งๆที่เกาะใกล้ๆกัน
ก็มิได้โดนหนักขนาดนั้น...

ก็ได้แต่หวังเพียงว่า...จะมีพี่น้องดะวะอฺของเราไปทำหน้าที่
ให้พวกเขาได้กล่าว "ลาอิลาอะอิลลัลลอฮฺ" เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...
อินชาอัลลอฮฺ ภัยพิบัติอาจจะน้อยลงกว่านี้...

วัสลามค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 18, 2015, 04:46 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged