ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปลีกวิเวกตนเอง(ค็อลวะห์)เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายเหล่านี้ ซึ่งบางครั้งการปลีกตนเองอาจจะด้วยการอ่านอัลกุรอานด้วยการวิเคราะห์ใคร่ครวญซึ่งเป็นสิ่งที่ดีเลิศสุดที่จะกระทำในขณะค็อลวะห์ บางครั้งทำการศึกษาชีวประวัติของท่านร่อซูลุ้ลเลาะห์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แต่บางครั้งเราอาจจะใคร่ครวญถึงตนเอง เช่นใคร่ครวญว่า ฉันคือใคร? ฉันมาโลกนี้ได้อย่างไร? เมื่อก่อนฉันเป็นเด็กที่ไม่เข้าใจอะไร จากนั้นก็เข้าสู่วัยหนุ่ม หลังจากนั้นก็เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ และขณะนี้ก็เริ่มเข้าสู่วัยชราทีละนิดละน้อยจนถึงใกล้เวลาที่จะต้องจากดุนยานี้ไป แล้วอะไรบ้างที่เราได้กระทำไว้ในช่วงอายุของเรานี้? และอะไรบ้างที่เราได้เก็บเกี่ยวจากความสุขในดุนยา?แล้วอะไรคงเหลืออยู่แก่เราในขณะนี้? แล้วสิ่งใดจากฉันบ้างที่คงเหลือไว้แก่โลกนี้? ฉันกำลังใคร่ครวญถึงความสุขที่หายไปของดุนยาแต่ความน่าหลงใหลมันยังคงมีอยู่ ใคร่ครวญถึงการฏออัตภักดีที่ต้องทุ่มเทความเหน็ดเหนื่อยแต่ผลบุญยังคงอยู่...ฉันใคร่ครวญสิ่งนี้ทั้งหมด ในขณะนั้นฉันจึงรู้สึกมีความโศกเศร้าเสียใจ...เพราะเหตุใดที่ฉันไม่ทำความดีให้มาก ๆ ในช่วงอายุของฉันที่ผ่านมา? เหตุใดฉันจึงไม่เคยทำให้น้อยลงจากความชั่วที่ได้พลาดทำลงไป? ฉันจึงคิดว่า หากช่วงเวลาชีวิตยังเหลืออยู่ ฉันจะทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาผลักดันให้ฉันฉกฉวยโอกาสในการทำอิบาดะห์ที่ขาดไป และฉันก็จะสัญญากับตัวเองเช่นนี้ ยิ่งกว่านั้นฉันจะสัญญากับอัลเลาะห์ว่าจะไม่ทำให้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่สูญเสียไปและฉันจะรีบเพาะปลูกในชีวิตที่เหลือนี้ด้วยการฏออัตและสร้างความใกล้ชิดต่อพระองค์เท่าที่สามารถจะทำได้
การปลีกวิเวกตนเอง...ด้วยการคิดใคร่ครวญเช่นนี้...คือการทำอิบาดะฮ์อย่างแท้จริงนั่นเอง...
ท่านอิบนุอับบาส...ท่านอะบีดัรดาอฺ...และท่านอัลฮะซันอัลบะซอรีกล่าวว่า...การคิดใคร่ครวญช่วงเวลาหนึ่งดีกว่าการละหมาดยามค่ำคืน...
ท่านอัลฮะซันอัลบะซอรีกล่าวเช่นกันว่า...การคิดใคร่ครวญคือกระจกของผู้ศรัทธาที่จะใช้มองบรรดาความดีและความชั่วของเขา...