อ.ปราโมทย์ สาธยายว่า
คำว่า สิ่งที่ท่านศาสดาละทิ้งหรือไม่กระทำ แล้ว ซุนนะฮ์ให้เราละทิ้งตาม ในที่นี้ หมายถึง .. สิ่งนั้นหรือเหตุการณ์นั้นเคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยของท่าน, มีเหตุผลส่งเสริมให้ทำ และไม่มีอุปสรรคใดๆขัดขวางจากการกระทำ แต่ท่านก็ไม่ยอมทำมัน ..
ดังที่นักวิชาการวิชาอุศูลลุลฟิกฮ์ทั้งหลายได้กำหนดกรอบเอาไว้ แต่บังอัลอัซฮะรีย์ได้นำเสนอไปในบทวิภาษที่แล้วว่า
ท่านอิบนุก็อยยิม ศิษย์เอกของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ ได้กล่าวว่า
وَاخْتَلَفُوْا فِي العِبَادَةِ البَدَنِيَّةِ كَالصَّوْمِ وَالصَّلاَةِ وَقِرَاءَةِ القُرْآنِ وَالذِّكْرِ فَمَذْهَبُ الإِمَامِ أَحْمَدَ وَجُمْهُوْرِ السَّلَفِ وُصُوْلُهَا وَهُوَ قَوْلُ بَعْضِ أَصْحَابِ أَبِى حَنِيْفَةِ نَصَّ عَلىَ هَذَا الِإمَامُ أَحْمَدُ فِيْ رِوَايَةِ مُحَمَّدِ بْنِ يَحْيىَ الْكَحَّالِ قَالَ قِيْلَ لِأَبِىْ عَبْدِ اللهِ الرَّجُلُ يَعْمَلُ الشَّيْءَ مِنَ الخَيْرِ مِنْ صَلاَةٍ أَوْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِ ذَلِكَ فَيَجْعَلُ نِصْفَهُ لِأَبِيْهِ أَوْ لِأُمِّهِ قَالَ أَرْجُوْ أَوْ قَالَ الْمَيِّتُ يَصِلُ إِلِيْهِ كُلُّ شَيْءٍ مِنْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِهَا وَقَالَ أَيْضاً اِقْرَأْ آَيَةَ الْكُرْسِيِّ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ وَقُلْ هُوَ اللهُ أَحَدٌ وَقُلِ اللَّهُمَّ إِنْ فَضْلَهُ لِأَهْلِ المَقَابِرِ
ท่าน อิบนุก๊อยยิม ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า "บรรดานักปราชญ์ได้ขัดแย้งเกี่ยวกับอิบาดะฮ์ที่กระทำด้วยร่างกาย เช่น การถือศีลอด การละหมาด การอ่านอัลกุรอาน และการซิกรุลลอฮ์ ท่านอิมามอะห์มัด และปราชญ์สะลัฟส่วนมาก มีทัศนะว่า ผลบุญการถือศีลอด การละหมาด การอ่านอัลกุรอาน การซิกรุลลอฮ์ นั้นถึงผู้ตาย และมันยังเป็นทัศนะบางส่วนของสานุศิษย์อิมามอบูหะนีฟะฮ์ และท่านอิมามอะห์มัดได้กล่าวระบุไว้ในสายรายงานของมุฮัมมัด บิน อะห์มัด อัลกะห์ฮาล เขากล่าวว่า "ได้กล่าวถามแก่ท่านอบีอับดิลลาฮ์ (คือท่านอิมามอะห์มัด) ว่า ชายคนหนึ่งได้กระทำความดี จากการละหมาด การซอดาเกาะฮ์ และอื่น ๆ แล้วมอบผลบุญครึ่งหนึ่งให้แก่บิดาหรือมารดาของเขา ท่านอิมามอะห์มัดตอบว่า "ฉันหวัง(ว่าผลบุญนั้นถึงมัยยิด)" หรือท่านอิมามอะห์มัดกล่าวว่า "ทุก ๆ สิ่งจากการซอดาเกาะฮ์และอื่น ๆ นั้น ผลบุญจะถึงแก่มัยยิด" และท่านอิมามอะห์มัดกล่าวเช่นเดียวกันว่า "ท่านจงอ่านอายะฮ์กุรซีย์ 3 ครั้ง ท่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด และท่านจงกล่าวว่า "โอ้ผู้อภิบาลแห่งข้า ความดีงามของมันนั้น มอบแด่บรรดาชาวกุบูร" หนังสือ อัรรั๊วะห์ ของท่านอิบนุก๊อยยิม 1/117
ท่านอิมามอะห์มัดใช้ให้ชายคนหนึ่งอ่านอัลกุรอาน เช่น อายะฮ์อัลกุรซีย์และอ่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด เพราะมีหลักฐานเดิมที่ใช้ให้อ่านอัลกุรอาน ส่วนรูปแบบให้อ่าน 3 ครั้ง และขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ล่วงลับในกุบูรนั้น ไม่ขัดกับหลักศาสนา ยิ่งกว่านั้นยังถูกรับรองจากหลักฐานของศาสนาตามนัยยะแบบกว้าง ๆ ว่าผลบุญจะถึงบรรดาผู้ล่วงลับไปแล้ว
ตัวอย่างที่ห้า
ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวไว้เช่นกันว่า
فَإِنْ قِيْلَ هَذَا لَمْ يَكُنْ مَعْرُوْفاً عَنِ السَّلَفِ وَلاَ أَرْشَدَهُمْ إِلَيْهِ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَالْجَوَابُ: إِنْ كَانَ مُوْرِدُ هَذَا السُّؤَالِ مَتَعَرِّفاً بِوُصُوْلِ ثَوَابِ الحَجِّ وَالصِّيَامِ وَالدُّعَاءِ، قِيْلَ لَهُ: مَا الفَرْقُ بَيْنَ ذَلِكَ وَبَيْنَ وُصُوْلِ ثَوَابِ القِرَاءَةِ؟ وَلَيْسَ كَوْنُ السَّلَفِ لَمْ يَفْعَلُوْهُ حُجَّةً فِيْ عَدَمِ الْوُصُوْلِ!! وَمِنْ أَيْنَ لَنَا هَذَا النَّفْيُ الْعَامُّ؟!
ً"หากถามว่า การอ่านอัลกุรอานฮะดียะฮ์ผลบุญให้ผู้ตายนั้น ไม่เป็นที่รู้กันจากสะลัฟและท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ไม่ได้แนะนำพวกเขาไว้ คำตอบก็คือ หากผู้ที่นำคำถามนี้มา ได้ยอมรับว่าผลบุญการทำฮัจญ์ , การถือศีลอด , และการขอดุอาอ์ , นั้นถึงไปยังผู้ตาย ก็ขอกล่าวตอบแก่เขาว่า อะไรคือข้อแบ่งแยก(หรือความแตกต่าง)ระหว่างสิ่งดังกล่าวกับผลบุญการอ่านอัลกุรอานถึงผู้ตาย? และการที่สะลัฟไม่เคยกระทำมันนั้นมิใช่เป็นหลักฐานว่าผลบุญไม่ถึงผู้ตาย และแล้วจากใหนล่ะ(หลักฐาน)ที่มาปฎิเสธ(ห้าม)แบบโดยรวมต่อพวกเรา?! " หนังสืออัรรั๊วะห์ 1/143
ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวว่า การอ่านอัลกุรอ่านฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ตายนั้น แม้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่เคยกระทำ และไม่เป็นที่รู้กัน แต่มีหลักฐานให้ทำการอ่านอัลกุรอานและยืนยันว่าผลบุญของอิบาดะฮ์นั้นถึงแก่ผู้ตาย ก็ถือว่าไม่เป็นบิดอะฮ์แต่ประการใด เพราะไม่มีหลักฐานมาปฏิเสธหรือห้ามแบบโดยรวม
ตัวอย่างที่หก
ท่านอิบนุก็อยยิม กล่าวว่า
وَمِنْ تَجْرِيْبَاتِ السَّالِكِيْنَ الَّتِيْ جَرَّبُوْهَا فَأَلِفُوْهَا صَحِيْحَةٌ : أَنَّ مَنْ أَدْمَنَ يَا حَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَ إِلهَ إِلَّا أَنْتَ أَوْرَثَهُ ذَلِكَ حَيَاةَ الْقَلْبِ وَالْعَقْلِ وَكَان شَيْخُ الإِسْلاَمِ ابْنُ تَيْمِيَّةَ قَدَّسَ اللهُ رُوْحَهُ شَدِيْدَ اللَهْجِ بِهَا جِدًّا وَقَالَ لِيْ يَوْمًا : لِهَذَيْنِ الاِسْمَيْنِ وَهُمَا الَحَيُّ الْقَيُّوْمُ تَأْثِيْرٌ عَظِيْمٌ فِيْ حَيَاةِ الْقَلْبِ وَكَانَ يُشِيْرُ إِلَى أَنَّهُمَا الاِسْمُ الأَعْظَمُ وَسَمِعْتُهُ يَقُوْلُ : مَنْ وَاظَبَ عَلَى أَرْبَعِيْنَ مَرَّةً كُلَّ يَوْمٍ بَيْنَ سُنَّةِ الْفَجْرِ وَصَلاَةِ الْفَجْرِ يَاحَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَإِلَهَ إِلاَّ أَنْتَ بِرَحْمَتِكَ أَسْتَغِيْثُ حَصَلَتْ لَهُ حَيَاةُ الْقَلْبِ وَلَمْ يَمُتْ قَلْبُهُ
"ส่วนหนึ่งจากบรรดาการทดสอบของนักตะเซาวุฟ ซึ่งพวกเขาได้ทดสอบมัน แล้วพบว่ามันเป็นความถูกต้องจริง ก็คือผู้ใดที่บากบั่นกล่าวว่า "ยาฮัยยุ ยาก็อยยูม ลาอิลาฮะอิลลา อันต้า" แน่นอนว่าดังกล่าวนั้นจะทำให้เขามีหัวใจและสติปัญญาที่มีชีวิตชีวา และท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ์ ขออัลเลาะฮ์ทรงปลดเปลื้องวิญญาของท่านให้บริสุทธิ์ ได้กล่าวมันอย่างสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก และวันหนึ่งท่านได้กล่าวแก่ฉันว่า ให้กับสองพระนามนี้ คือ อัลฮัยยุ อัลก็อยยูม ยังผลอันยิ่งใหญ่ต่อการทำให้หัวใจมีชีวิตชีวา และท่านได้แนะนำว่า ทั้งสองพระนามนั้นเป็นพระนามที่ยิ่งใหญ่สุด และฉันได้ยินท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวเป็นประจำถึง 40 ครั้งในทุกวันระหว่างละหมาดสุนัต(ก่อน)ซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์ว่า ยาฮัยยุ ยาก็อยยูม ลาอิลาฮะอิลลาอันต้า บิเราะห์มะติก้า อัสตะฆีษุ การมีชีวิตชีวาของจิตใจก็จะเกิดขึ้นแก่เขาและหัวใจของเขาจะไม่ตาย" หนังสือ มะดาริจญ์ อัสสาลิกีน 1/448
เป็นที่ทราบกันดีว่า ไม่มีซุนนะฮ์นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ระบุสั่งเจาะจงไว้เลยว่า ให้ทำการกล่าวพระนามของอัลเลาะฮ์ทั้งสองถึง 40 ครั้งทุกวันระหว่างละหมาดสุนัตซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์ แต่อนุญาตได้กระทำได้เพราะยึดหลักฐานแบบกว้าง ๆ (มัฏลัก) ที่ส่งเสริมให้ทำการซิกิร
--------------------------------
ในเมื่อ อ.ปราโมทย์บอกว่า สิ่งใดที่นบีทิ้ง ก็ให้ละทิ้งตามตามหลักการของอุลามาอฺอุซูลุลฟิกฮ์ แต่เมื่อดูการกระทำของท่านอิมามอะฮ์มัด ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ และอิบนุก็อยยมิ เหล่าปราชญ์ที่วะฮาบีชื่นชอบ กลับกระทำสิ่งที่นบีทิ้งไม่ได้ทำ ตกลงว่าปราชญ์ของวะฮาบีเอง ไม่ได้เข้าใจหลักการเหมือนกับสิ่งที่ อ.ปราโมทย์ นำเสนอมา ทั้งที่ปราชญ์เหล่านั้นวะฮาบีเชื่อว่าเป็นปราชญ์ส่วนหนึ่งที่ตามซุนนะฮ์นบีมากที่สุด
แล้วอะไรคือข้อสรุปสิ่งที่ อ.ปราโมทย์นำเสนอหลักการมา คือนำเสนออะไรมา ก็จะไปกระทบทัศนะปราชญ์คนนั้นคนนี้ไปหมด หากจะสมมุติจะโต้บทความ อ.ปราโมทย์กันจริงๆ ผมว่าน่ะ ก็คงเอาหลักการที่ของอุลามาอฺแต่ละฝ่ายมาประชันกัน
แต่คราวที่ อ.ปราโมทย์ ชี้แจงบทความของ บังอัลอัซฮะรี ไม่มีวะฮาบีคนใหนมาเย้ยเลยวุ้ย มิงั้นมีเฮอีกแน่
