ผู้เขียน หัวข้อ: ชี้แจง .. บทวิภาษของ อ.อัชอะรีย์ต่อ อ.ปราโมทย์  (อ่าน 6099 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sunnah 50

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 117
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

http://www.mureed.com/article/PramoteAchari01.doc

ปล. โพสต์มาเพื่อให้พี่น้องในเว็บนี้เข้าใจในเจตนารมณ์ของ อ.ปราโมทย์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 10, 2009, 08:01 PM โดย sunnah 50 »

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณครับบังอะซัน
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
 salam

ระหว่างบทความของ อ.ปราโมทย์ กับบทความของ บังอัลอัซฮะรี   รู้ว่าจะไปคนละทางกัน

บังอัลอัซฮะรี  พูดในเรื่อง  การอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  ในแง่ฮุกุ่ม อนุญาตหรือฮะรอม

ส่วนอ.ปราโมทย์ พูดเรื่อง  การอ่านอัลกุรอานที่กุบูร  นบีกระทำหรือไม่ใช่กระทำ(คือไม่ใช่ซุนนะฮ์นบีกระทำ)

สรุปเขียนบทความอยู่คนละเหวกัน   แม้จะพูดกันให้ตาย  ทัศนะที่อ่านอัลกุรอ่านที่กุบูรได้ยังคงมีน้ำหนักอยู่วันยังค่ำ


اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ The sunnah

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 69
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
เห็นชี้แจงเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น.............
ผมไม่ได้ว่าอย่างนั้น  ผมไม่ได้ว่าอย่างนี้.......
แก้ตัวทั้งนั้น............พูดกับวะฮาบีย์ เสียเวลาเปล่า................
อย่าไปสนใจพวกที่ทำตัวเหมือนคอวาริจ ....... hihi: hihi:

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
เห็นชี้แจงเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น.............
ผมไม่ได้ว่าอย่างนั้น  ผมไม่ได้ว่าอย่างนี้.......
แก้ตัวทั้งนั้น............พูดกับวะฮาบีย์ เสียเวลาเปล่า................
อย่าไปสนใจพวกที่ทำตัวเหมือนคอวาริจ ....... hihi: hihi:

ฮุกุ่มเรื่องการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั้น  ถือว่าอนุญาตซึ่งเป็นทัศนะที่มีน้ำหนัก  ส่วนสิ่งที่ อ.ปราโมทย์  นำเสนอโต้แย้งมานั้น  บ้าพลังไม่ยอมแพ้เด็ก  cool2:
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ The sunnah

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 69
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ฝากบอก บัง อัซฮารีย์ ด้วย  ไม่ต้องไปโต้กับพวก****แล้ว.....
พวกนี้  หัวดื้อ.....พูดไปเสียเวลา..... hihi: hihi:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 11, 2009, 01:38 PM โดย admin »

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
 salam

พูดง่าย ๆ คือ ตอนนี้ อ.ปราโมทย์  เหมือนไพ่ใบสุดท้ายของวะฮาบี   hihi:
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ฝากบอก บัง อัซฮารีย์ ด้วย  ไม่ต้องไปโต้กับพวกมันแล้ว.....
พวกนี้  หัวดื้อ.....พูดไปเสียเวลา..... hihi: hihi:

               เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เพราะบทเรียนเรื่องก็อดยานีย์ที่พวกเขาขัดแย้งกันเอง ทั้งๆ ที่ อ.ดิเรกก็เสียชีวิตไปนานแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบเสียที ผมว่าเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ หากเลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ ก็สมควรจะเอานักฟิกฮฺกับนักฟิกฮฺมาถกกัน ไม่ใช่นักฟิกฮฺกับนักหะดีษ (ที่อ้างตัวเองนะ) มาถกกัน มิฉะนั้น ไม่มีทางจบหรอกครับ ฟันธง เพราะ อ.วอศ.มอ.ปัต บางคน แม้ของมหาลัยอิสลามยะลา ก็ยังไม่ชอบคนพวกนี้เลย ซ้ำยังบอกอีกว่า อวดวิชา ทั้งๆ ที่ตนไม่รู้เรื่องอะไร สงสารเยาวชนแทนที่หลงเชื่อกันเยอะ โดยเฉพาะ นศ.มหาลัยแถบส่วนกลาง นี่ อ.วอศ.พูดมาเองจากปากนะครับ ผมก็ไม่อยากเชื่อหูตัวเองอะครับ - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ.ปราโมทย์ สาธยายว่า

คำว่า “สิ่งที่ท่านศาสดาละทิ้งหรือไม่กระทำ” แล้ว “ซุนนะฮ์ให้เราละทิ้งตาม” ในที่นี้  หมายถึง .. “สิ่งนั้นหรือเหตุการณ์นั้นเคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยของท่าน,  มีเหตุผลส่งเสริมให้ทำ  และไม่มีอุปสรรคใดๆขัดขวางจากการกระทำ แต่ท่านก็ไม่ยอมทำมัน” .. ดังที่นักวิชาการวิชาอุศูลลุลฟิกฮ์ทั้งหลายได้กำหนดกรอบเอาไว้

แต่บังอัลอัซฮะรีย์ได้นำเสนอไปในบทวิภาษที่แล้วว่า

ท่านอิบนุก็อยยิม  ศิษย์เอกของท่านอิบนุตัยมียะฮ์  ได้กล่าวว่า

 وَاخْتَلَفُوْا فِي العِبَادَةِ البَدَنِيَّةِ كَالصَّوْمِ وَالصَّلاَةِ وَقِرَاءَةِ القُرْآنِ وَالذِّكْرِ فَمَذْهَبُ الإِمَامِ أَحْمَدَ وَجُمْهُوْرِ السَّلَفِ وُصُوْلُهَا وَهُوَ قَوْلُ بَعْضِ أَصْحَابِ أَبِى حَنِيْفَةِ نَصَّ عَلىَ هَذَا الِإمَامُ أَحْمَدُ فِيْ رِوَايَةِ مُحَمَّدِ بْنِ يَحْيىَ الْكَحَّالِ قَالَ قِيْلَ لِأَبِىْ عَبْدِ اللهِ الرَّجُلُ يَعْمَلُ الشَّيْءَ مِنَ الخَيْرِ مِنْ صَلاَةٍ أَوْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِ ذَلِكَ فَيَجْعَلُ نِصْفَهُ لِأَبِيْهِ أَوْ لِأُمِّهِ قَالَ أَرْجُوْ أَوْ قَالَ الْمَيِّتُ يَصِلُ إِلِيْهِ كُلُّ شَيْءٍ مِنْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِهَا وَقَالَ أَيْضاً اِقْرَأْ آَيَةَ الْكُرْسِيِّ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ وَقُلْ هُوَ اللهُ أَحَدٌ وَقُلِ اللَّهُمَّ إِنْ فَضْلَهُ لِأَهْلِ المَقَابِرِ

ท่าน อิบนุก๊อยยิม  ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า  "บรรดานักปราชญ์ได้ขัดแย้งเกี่ยวกับอิบาดะฮ์ที่กระทำด้วยร่างกาย  เช่น  การถือศีลอด  การละหมาด   การอ่านอัลกุรอาน  และการซิกรุลลอฮ์   ท่านอิมามอะห์มัด  และปราชญ์สะลัฟส่วนมาก  มีทัศนะว่า  ผลบุญการถือศีลอด  การละหมาด  การอ่านอัลกุรอาน  การซิกรุลลอฮ์  นั้นถึงผู้ตาย  และมันยังเป็นทัศนะบางส่วนของสานุศิษย์อิมามอบูหะนีฟะฮ์  และท่านอิมามอะห์มัดได้กล่าวระบุไว้ในสายรายงานของมุฮัมมัด บิน อะห์มัด  อัลกะห์ฮาล  เขากล่าวว่า  "ได้กล่าวถามแก่ท่านอบีอับดิลลาฮ์ (คือท่านอิมามอะห์มัด) ว่า  ชายคนหนึ่งได้กระทำความดี  จากการละหมาด  การซอดาเกาะฮ์  และอื่น ๆ   แล้วมอบผลบุญครึ่งหนึ่งให้แก่บิดาหรือมารดาของเขา  ท่านอิมามอะห์มัดตอบว่า  "ฉันหวัง(ว่าผลบุญนั้นถึงมัยยิด)"  หรือท่านอิมามอะห์มัดกล่าวว่า "ทุก ๆ สิ่งจากการซอดาเกาะฮ์และอื่น ๆ นั้น  ผลบุญจะถึงแก่มัยยิด"  และท่านอิมามอะห์มัดกล่าวเช่นเดียวกันว่า "ท่านจงอ่านอายะฮ์กุรซีย์ 3 ครั้ง  ท่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด  และท่านจงกล่าวว่า  "โอ้ผู้อภิบาลแห่งข้า  ความดีงามของมันนั้น  มอบแด่บรรดาชาวกุบูร"    หนังสือ  อัรรั๊วะห์  ของท่านอิบนุก๊อยยิม  1/117

ท่านอิมามอะห์มัดใช้ให้ชายคนหนึ่งอ่านอัลกุรอาน  เช่น อายะฮ์อัลกุรซีย์และอ่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด เพราะมีหลักฐานเดิมที่ใช้ให้อ่านอัลกุรอาน  ส่วนรูปแบบให้อ่าน 3 ครั้ง  และขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ล่วงลับในกุบูรนั้น  ไม่ขัดกับหลักศาสนา  ยิ่งกว่านั้นยังถูกรับรองจากหลักฐานของศาสนาตามนัยยะแบบกว้าง ๆ ว่าผลบุญจะถึงบรรดาผู้ล่วงลับไปแล้ว 

ตัวอย่างที่ห้า

ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวไว้เช่นกันว่า

فَإِنْ قِيْلَ هَذَا لَمْ يَكُنْ مَعْرُوْفاً عَنِ السَّلَفِ وَلاَ أَرْشَدَهُمْ إِلَيْهِ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَالْجَوَابُ: إِنْ كَانَ مُوْرِدُ هَذَا السُّؤَالِ مَتَعَرِّفاً بِوُصُوْلِ ثَوَابِ الحَجِّ وَالصِّيَامِ وَالدُّعَاءِ، قِيْلَ لَهُ: مَا الفَرْقُ بَيْنَ ذَلِكَ وَبَيْنَ وُصُوْلِ ثَوَابِ القِرَاءَةِ؟ وَلَيْسَ كَوْنُ السَّلَفِ لَمْ يَفْعَلُوْهُ حُجَّةً فِيْ عَدَمِ الْوُصُوْلِ!! وَمِنْ أَيْنَ لَنَا هَذَا النَّفْيُ الْعَامُّ؟!

ً"หากถามว่า  การอ่านอัลกุรอานฮะดียะฮ์ผลบุญให้ผู้ตายนั้น  ไม่เป็นที่รู้กันจากสะลัฟและท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ไม่ได้แนะนำพวกเขาไว้  คำตอบก็คือ  หากผู้ที่นำคำถามนี้มา  ได้ยอมรับว่าผลบุญการทำฮัจญ์ , การถือศีลอด , และการขอดุอาอ์ , นั้นถึงไปยังผู้ตาย  ก็ขอกล่าวตอบแก่เขาว่า  อะไรคือข้อแบ่งแยก(หรือความแตกต่าง)ระหว่างสิ่งดังกล่าวกับผลบุญการอ่านอัลกุรอานถึงผู้ตาย? และการที่สะลัฟไม่เคยกระทำมันนั้นมิใช่เป็นหลักฐานว่าผลบุญไม่ถึงผู้ตาย  และแล้วจากใหนล่ะ(หลักฐาน)ที่มาปฎิเสธ(ห้าม)แบบโดยรวมต่อพวกเรา?! " หนังสืออัรรั๊วะห์ 1/143

ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวว่า  การอ่านอัลกุรอ่านฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ตายนั้น  แม้ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่เคยกระทำ  และไม่เป็นที่รู้กัน  แต่มีหลักฐานให้ทำการอ่านอัลกุรอานและยืนยันว่าผลบุญของอิบาดะฮ์นั้นถึงแก่ผู้ตาย  ก็ถือว่าไม่เป็นบิดอะฮ์แต่ประการใด  เพราะไม่มีหลักฐานมาปฏิเสธหรือห้ามแบบโดยรวม

ตัวอย่างที่หก

ท่านอิบนุก็อยยิม  กล่าวว่า

وَمِنْ تَجْرِيْبَاتِ السَّالِكِيْنَ الَّتِيْ جَرَّبُوْهَا فَأَلِفُوْهَا صَحِيْحَةٌ : أَنَّ مَنْ أَدْمَنَ يَا حَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَ إِلهَ إِلَّا أَنْتَ أَوْرَثَهُ ذَلِكَ حَيَاةَ الْقَلْبِ وَالْعَقْلِ وَكَان شَيْخُ الإِسْلاَمِ ابْنُ تَيْمِيَّةَ قَدَّسَ اللهُ رُوْحَهُ شَدِيْدَ اللَهْجِ بِهَا جِدًّا وَقَالَ لِيْ يَوْمًا : لِهَذَيْنِ الاِسْمَيْنِ وَهُمَا الَحَيُّ الْقَيُّوْمُ تَأْثِيْرٌ عَظِيْمٌ فِيْ حَيَاةِ الْقَلْبِ وَكَانَ يُشِيْرُ إِلَى أَنَّهُمَا الاِسْمُ الأَعْظَمُ وَسَمِعْتُهُ يَقُوْلُ : مَنْ وَاظَبَ عَلَى أَرْبَعِيْنَ مَرَّةً كُلَّ يَوْمٍ بَيْنَ سُنَّةِ الْفَجْرِ وَصَلاَةِ الْفَجْرِ يَاحَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَإِلَهَ إِلاَّ أَنْتَ بِرَحْمَتِكَ أَسْتَغِيْثُ حَصَلَتْ لَهُ حَيَاةُ الْقَلْبِ وَلَمْ يَمُتْ قَلْبُهُ
 
"ส่วนหนึ่งจากบรรดาการทดสอบของนักตะเซาวุฟ  ซึ่งพวกเขาได้ทดสอบมัน  แล้วพบว่ามันเป็นความถูกต้องจริง  ก็คือผู้ใดที่บากบั่นกล่าวว่า  "ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลา  อันต้า"  แน่นอนว่าดังกล่าวนั้นจะทำให้เขามีหัวใจและสติปัญญาที่มีชีวิตชีวา  และท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ์  ขออัลเลาะฮ์ทรงปลดเปลื้องวิญญาของท่านให้บริสุทธิ์  ได้กล่าวมันอย่างสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก  และวันหนึ่งท่านได้กล่าวแก่ฉันว่า  ให้กับสองพระนามนี้  คือ  อัลฮัยยุ  อัลก็อยยูม  ยังผลอันยิ่งใหญ่ต่อการทำให้หัวใจมีชีวิตชีวา  และท่านได้แนะนำว่า  ทั้งสองพระนามนั้นเป็นพระนามที่ยิ่งใหญ่สุด  และฉันได้ยินท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า  ผู้ใดได้กล่าวเป็นประจำถึง 40 ครั้งในทุกวันระหว่างละหมาดสุนัต(ก่อน)ซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์ว่า  ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลาอันต้า บิเราะห์มะติก้า อัสตะฆีษุ  การมีชีวิตชีวาของจิตใจก็จะเกิดขึ้นแก่เขาและหัวใจของเขาจะไม่ตาย" หนังสือ มะดาริจญ์ อัสสาลิกีน 1/448

เป็นที่ทราบกันดีว่า  ไม่มีซุนนะฮ์นบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ระบุสั่งเจาะจงไว้เลยว่า  ให้ทำการกล่าวพระนามของอัลเลาะฮ์ทั้งสองถึง 40 ครั้งทุกวันระหว่างละหมาดสุนัตซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์  แต่อนุญาตได้กระทำได้เพราะยึดหลักฐานแบบกว้าง ๆ (มัฏลัก) ที่ส่งเสริมให้ทำการซิกิร


--------------------------------

     ในเมื่อ อ.ปราโมทย์บอกว่า  สิ่งใดที่นบีทิ้ง  ก็ให้ละทิ้งตามตามหลักการของอุลามาอฺอุซูลุลฟิกฮ์  แต่เมื่อดูการกระทำของท่านอิมามอะฮ์มัด  ท่านอิบนุตัยมียะฮ์  และอิบนุก็อยยมิ  เหล่าปราชญ์ที่วะฮาบีชื่นชอบ  กลับกระทำสิ่งที่นบีทิ้งไม่ได้ทำ  ตกลงว่าปราชญ์ของวะฮาบีเอง ไม่ได้เข้าใจหลักการเหมือนกับสิ่งที่ อ.ปราโมทย์ นำเสนอมา ทั้งที่ปราชญ์เหล่านั้นวะฮาบีเชื่อว่าเป็นปราชญ์ส่วนหนึ่งที่ตามซุนนะฮ์นบีมากที่สุด

     แล้วอะไรคือข้อสรุปสิ่งที่ อ.ปราโมทย์นำเสนอหลักการมา  คือนำเสนออะไรมา  ก็จะไปกระทบทัศนะปราชญ์คนนั้นคนนี้ไปหมด  หากจะสมมุติจะโต้บทความ อ.ปราโมทย์กันจริงๆ ผมว่าน่ะ  ก็คงเอาหลักการที่ของอุลามาอฺแต่ละฝ่ายมาประชันกัน 

     แต่คราวที่ อ.ปราโมทย์  ชี้แจงบทความของ บังอัลอัซฮะรี  ไม่มีวะฮาบีคนใหนมาเย้ยเลยวุ้ย  มิงั้นมีเฮอีกแน่  ;D
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ผมว่า หากจะถกกัน ถกกันทางกระดาษนี้แหละ สันติสุด และรู้เรื่องด้วย บันทึกและนำไปตรวจสอบได้ง่าย ส่วนเขาจะกล่าวว่าเราขี้ขลาด หรือขี้กลัวไม่แน่จริง ก็แล้วแต่เขาไป อ.ที่สอนวิชาอุศูลุลฟิกฮฺผม ท่านกล่าวว่า "นักวิชาการนั้นเวลาเขาจะกล่าวอะไร เขาจะมีหลักเกณฑ์ ไม่ใช่ชาวบ้านที่พูดอะไร ขอแค่ได้ชื่อว่าได้ออกเสียงเป็นคำพูดก็พอใจ แม้สิ่งที่พูดจะหาประโยชน์อะไรไม่ได้ก็ตาม" ท่านกล่าววันนี้เองครับ ซึ่งกำลังกล่าวถึงหัวข้อ "การตัรญีหฺ" - วัลลออุอะอฺลัม - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
 salam

จะชี้แจงอย่างไรก็ชี้แจงกันไป
แต่อย่าเรียกพี่น้องว่า "มัน"

เข้าใจว่ามือพาไป
ลบออกหน่อยก็ดีค่ะ เพื่อความเป็นพี่น้องกัน
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
มัน คือ สรรพนามบุรุษที่3
เขา คือ สรรพนามบุรุษที่3
มัน=เขา

ก็แล้วแต่จะเรียกล่ะนะ นักแรงก็ลบไปเลยพี่
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ al-um

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 154
  • الأم
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
สลัฟ จน ซาเลาะฮ์
*للزكريا    الأنصاري*
      อุลามะในทัศนะวะฮาบีย์บางคนได้ทิ้งขวางความรู้ความคิดเห็นหรือผลงานของอุลามะฮ์ผู้นำมัซฮับทั้ง 4   แบบไม่ใยดี แต่กลับมาชื่นชอบทัศนะใหม่ที่มาทีหลัง ว่า ถูกต้องที่สุด..จนมันได้กลายเป็น...บิดอะดอลาละที่ลุ่มหลง.แบบตะอัศศุบ..ในทัศนะตนเองแบบสุดโต่ง แบบไม่น่าให้อภัย  และคิดว่า  ทัศนะใหม่ของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง ....นะอูซุบิ้ลลา

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด

พอพูดเรื่องฟิกห์ที่ไม่ตรงกับ อ.ปราโมทย์  เขาบอกว่าอุลามาฟิกห์คนใหนบอกไว้  คนที่ถูก อ.ปราโมทย์ วิภาษ  ก็ถูก อ.ปราโมทย์ตั้งข้อหาว่า "อ้างตนเป็นมุจญฮิด"

แต่เวลาทางเรานำเสนอฮะดีษโดยใช้คำตัดสินฮะดีษจากปราชญ์ฮะดีษที่เป็นนักมุจญฮิดในสาขาฮะดีษโดยตรง  อ.ปราโมทย์ เขาก็ไม่ยอมรับ   แล้วพยายามพิจารณาฮะดีษเองโดยตัดสินให้มันฎออีฟเหมือนกับว่าตนเองเป็นมัจญฺฮิดนักวินิจฉัยในการตัดสินฮะดีษเสียเอง

คือ อ.ปราโมทย์ ชอบมองคนอื่นว่าอ้างตนเป็นมุจญฺตะฮิด  แต่ไม่มองตัวเองบ้างว่า  ทำตนเป็นมุจญฮิดเสียเองนี่   ระดับมุจญฮิดวิชาฮะดีษระดับแกนนำ  เช่น  อิบนุฮะญัรบอกว่าเป็นฮะดีษฮะซัน  ท่านอิมามอัสสายูตีบอกว่าเป็นฮะดีษฮะซัน  ท่านอิมามอันนะวาวีบอกว่าเป็นฮะดีษฮะซัน   แต่ อ.ปราโมทย์ เขาเก่งกล้ากว่า  ไปบอกว่าเป็นฮะดีษฎออีฟ เป็นนักฮะดีษระดับมุจญฺคำภีร์ฮะดีษหรืออย่างไรกัน 

ความลืมตัวของ อ.ปราโมทย์  ถึงกลับไปวิจารณ์ ท่านซุฟฟาน อัษเษารีย์ว่า  ท่านมีการรายงานแบบ "มั่วนิ่ม"!!   ดูซิครับพี่น้อง  ฮะดีษสักบทนึ่งที่ปราชญ์ฮะดิษตัดสินเป็นฮะดีษซอฮิห์หรือฮะซัน  แต่ อ.ปราโมทย์  ต้องการจะวิจารณ์สายรายงานให้ฮะดีษฎออีฟ  จนต้องลงทุนวิจารณ์ว่า  ท่านซุฟยานอัษเษารีย์นั้น  รายงานแบบ มั่วนิ่ม!! 

ซุบฮานัลลอฮ์!!  ท่านซุฟยานอัษเษารีย์  หนึ่งในอะมีรุลมุอฺมินีนฟิลฮะดีษ (หน้าหัวแห่งปราชญ์ฮะดีษ) คนหนึ่ง  ถูก อ.ปราโมทย์ คนนี้วิจารณ์ว่า รายงานแบบมั่วนิ่ม!! เพื่อลงทุนให้เหล่าสาวกเชื่อว่า  ฮะดีษบทนั้นฎออีฟ!! 

รู้สึกว่าสิ่งที่ อ.ปราโมทย์ ว่าคนอื่น  มันจะเข้าตัวเองเสมอ  fouet:
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อาจารย์ปราโมทย์  กล่าวสาธยายให้เราฟังว่า

อ.อัชอะรีย์กล่าวว่า ...
“เหตุใดถึงต้องหุก่มบิดอะฮ์อุตริกรรมในศาสนา และต้องด่าทอผู้ที่มีทัศนะอ่านกุรฺอ่านที่กุบูรฺได้ ทั้งที่ปราชญ์สะละฟุสศอลิห์แห่งอุมมะฮ์อิสลามส่วนมากหรือมีมติ (อิจญมาอฺ) ผ่อนปรนการรายงานและปฏิบัติฮะดีษฎออีฟได้ .....”
ชี้แจง

2.1 ผมไม่ปฏิเสธว่า แม้ในทัศนะของผมจะมองว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺเป็นบิดอะฮ์ ..  ซึ่งความเชื่อนี้ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลของผม ...
แต่ผมกล้ายืนยันว่า ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายในการวิภาษข้อเขียน อ.กอเซ็มเล่มนั้น ไม่มีตอนใดเลยที่ผมจะด่าทอผู้อ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ หรือกล่าวหุก่มจากปากของตนเองว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ เป็นบิดอะฮ์! ..

-------------------------------

แสดงว่า อ.ปราโมทย์ ไม่ได้รู้ถึงจุดหมายปลายเหตุในคำพูดของเว็บมาสเตอร์(อัลอัซฮะรีย์)  เพราะที่บังเขาพูดเช่นนั้น  เขาพูดถึงบรรดาสานุศิษย์ของปราโมทย์ ที่เข้ามาด่า อ.กอเซ็ม  ไม่ใช่พูดถึง อ.ปราโมทย์ 

สงสัย อ.ปราโมทย์  คงจะสับสนในคำพูดของเว็บมาสเตอร์  เลยร้อนตัวคิดว่า  เว็บมาสเตอร์เขาพูดพาดพิงถึง อ.ปราโมทย์เสียเอง 

อ.ปราโมทย์  เลยออกมาแก้ตัวพัลวัน  ก็เลยต้องมาชี้แจงแบบไม่เข้าใจเช่นนี้  fouet:


اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

 

GoogleTagged