4. อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า ข้อความตอนท้ายของหะดีษบทนั้น ก็มีคำพูดของท่านศาสดา ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ...
إِنَّ هَذِهِ الْقُبُوْرَ مَمْلُوْءَةٌ ظُلْمًا عَلَى أَهْلِهَا، وَإِنَّ اللهَ عَزَّ وَجَلَّ يُنَوِّرُهَا لَهُمْ بِصَلاَتِىْ عَلَيْهِمْ
“แท้จริงกุบูรเหล่านี้ เต็มไปความมืดต่อผู้ที่อยู่ในหลุม และแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงทำให้หลุมศพสว่างสำหรับพวกเขาด้วยการ “เศาะลาฮ์” ของฉัน ให้แก่พวกเขา”(จาก “มุสลิม” หะดีษที่ 956/17)
คำว่า “เศาะลาฮ์” ที่ท่านนบีย์ทำให้ชาวกุบูรฺในหะดีษบทนี้ อ.กอเซ็มเองก็อธิบายแล้วว่า หมายถึง “การนมาซ” ของท่านนบีย์ก็ได้, หมายถึง “ดุอา” ของท่านนบีย์ก็ได้ ...อ.กอเซ็ม ไม่กล้าอธิบายคำว่า “เศาะลาฮ์” ว่าหมายถึง “การอ่านอัล-กุรฺอ่าน” ด้วย เพราะรู้ดีว่า ไม่มีปรากฏความหมายลักษณะนี้ในปทานุกรมภาษาอาหรับเล่มใดทั้งสิ้น ...
อยากถาม อ. กอเซ็ม -- หรือผู้ที่มีทัศนะสอดคล้องกับ อ.กอเซ็ม -- ว่า เคยเจอนักวิชาการท่านใดในอดีต – ไม่ว่าระดับมุก็อลลิดหรือมุจญตะฮิด, และไม่ว่าของมัษฮับใด .. มีบ้างไหมที่อ้างเอาหะดีษเรื่องการที่ท่านนบีย์อ่านฟาติหะฮ์ในนมาซมัยยิตที่กุบูรฺ มาเป็นหลักฐานเรื่อง “อนุญาตให้อ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ” .. ดังการอ้างของ อ.กอเซ็ม ? ...
ถ้าไม่มี ก็แสดงว่า อ.กอเซ็ม คือ “มุจญตะฮิด” ท่านแรก ที่เข้าใจหะดีษบทนี้, ..ในลักษณะอย่างนี้ ...
วิภาษ
การที่ อ.กอเซ็ม ไม่อธิบายคำว่า "เศาะลาฮ์" หมายถึง "การอ่านอัลกุรอาน" ไปเลยนั้น เพราะ อ.กอเซ็ม ไม่ได้เข้าใจตัวบทฮะดีษในแง่ของ ( المَنْطُوْقُ ) คือไม่ได้เข้าใจฮุกุ่มตามตัวบทแบบความหมายคำตรงที่ถ้อยคำได้ระบุไว้ว่าให้ทำ "ละหมาด" แต่ อ.กอเซ็ม เข้าใจตัวบทฮะดีษในแง่ของ ( المَفْهُوْمُ ) ความเข้าใจสิ่งที่ได้รับมาจากถ้อยคำ(เศาะลาฮ์) คือการละหมาดญะนาซะฮ์ที่กุบูรนั้น เข้าใจว่า ส่วนประกอบต่าง ๆ ของการละหมาด ก็คือการซิกิร , ศ่อลาวาต , อ่านอัลกุรอาน(อัลฟาติฮะฮ์) , และขอดุอาแก่มัยยิดที่กุบูร , ดังนั้น การซิกิร , ศ่อลาวาต , อ่านอัลกุรอาน(อัลฟาติฮะฮ์) , และขอดุอาแก่มัยยิดในกุบูร , จึงเป็นสิ่งที่อนุญาตให้กระทำได้นั่นเอง
ฮะดีษมุสลิมดังกล่าวนี้ ชี้ถึงอนุญาตให้ทำอ่านอัลกุรอานที่กุบูรได้นั้น ใช่แล้วครับ แค่บ่งชี้ว่าอนุญาต ( جَائِزَةٌ ) หากทำการมองฮะดีษอย่างใคร่ควรญแล้ว สัจจะธรรมไม่ออกไปจากบทสรุปของ ท่าน อ.กอเซ็ม เพราะฮะดีษดังกล่าวนี้ ไม่ได้ห้ามการอ่านอัลกุรอ่านกุบูร ไม่ได้บอกว่ามักโระฮ์อ่านอัลกุรอานที่กุบูร ดังนั้นเมื่อไม่ได้ห้ามก็ยังคงเหลือในเรื่องการอนุญาต
หากเราพิจารณาตัวบทโดยเอาพันธนาการแห่งความตะอัศศุบในทัศนะของตนเองออกไป ก็จะประจักษ์เห็นว่า การที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ละหมาดญะนาซะฮ์ที่กุบูรให้แก่มัยยิดที่ถูกละหมาดเรียบร้อยแล้วนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดแล้วที่จะต้องไปละหมาดให้อีก แต่เพียงแค่สุนัตเท่านั้นเอง และเมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เห็นว่าในกุบูรนั้นเต็มไปด้วยความมืด ท่านจึงต้องการอนุเคราะห์ให้ความช่วยเหลือ ด้วยการละหมาดญะนาซะฮ์เพื่อเป็นประโยชน์แก่มัยยิดนั่นเอง
ดังนั้น การละหมาดญะนาซะฮ์ที่กุบูร ชี้ให้เห็นว่าอิบาดะฮ์บางอย่างที่มีประโยชน์แก่มัยยิดนั้น สามารถกระทำที่กุบูรได้ เพราะถ้าหากทำอิบาดะฮ์ในกุบูรเป็นสิ่งฮะรอม(ตามที่ อ.ปราโมทย์ เคยกล่าวไปแล้วข้างต้น) แน่นอนว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ต้องทำการละหมาดฆออิบที่มัสยิดหรือที่บ้านแล้วขอดุอาให้แก่มัยยิดที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กลับทำละหมาดญะนาซะฮ์ที่กุบูร เพราะว่าอิบาดะฮ์บางอย่างที่มีประโยชน์แก่ผู้ตายนั้น กระทำที่กุบูรได้นั่นเอง
เมื่อเราพิจารณาการละหมาดญะนาซะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่กุบูร เราก็คิดได้เลยว่า การละหมาดที่กุบูรนั้น ครอบคลุมถึงการ ซิกิร , อ่านอัลกุรอ่าน(ฟาติฮะฮ์) , และขอดุอาแก่มัยยิด , ซึ่งบ่งชี้ว่า การซิกิร , การอ่านอัลกุรอาน(อัลฟาติฮะฮ์) , การขอดุอามัยยิด , ในกุบูรนั้น อนุญาตให้กระทำได้ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของละหมาดหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นผู้ใดกล่าวว่า อันใดอันหนึ่งจากการซิกิร , หรือการอ่านอัลกุรอาน(อัลฟาติฮะฮ์) , หรือการขอดุอาแก่มัยยิด , ที่กุบูรเป็นสิ่งที่ฮะรอม ถือว่าเขากำลังพูดตามอำเภอใจในฮุกุ่มของศาสนา เพราะฮะดีษที่ว่า "และแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงทำให้หลุมศพสว่างสำหรับพวกเขาด้วยการ “เศาะลาฮ์” ของฉัน ให้แก่พวกเขา" นั้น ได้บ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า การละหมาดเป็นสาเหตุให้กุบูรมีรัศมีและผู้อยู่ในกุบูรได้รับความเมตตา ดังนั้นทุก ๆ องค์ประกอบในละหมาดญะนาซะฮ์ ที่มาจาก การซิกิร , ศ่อลาวาต , การอ่านอัลกุรอาน(อัลฟาติฮะฮ์) , และการขอดุอาให้แก่มัยยิดนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากสาเหตุที่ทำให้กุบูรมีรัศมีและผู้ที่อยู่ในกุบูรได้รับความเมตตาจากอัลเลาะฮ์นั่นเองหรือว่าไม่จริง?
ดังนั้นความเข้าใจต่าง ๆ ที่ได้รับจากฮะดีษนี้ ไม่จำเป็นต้องถามหรอกว่า ไปเอามาจากคำพูดของอุลามาอฺคนใหน เพราะการซิกิร , การศ่อลาวาต , การอ่านอัลกุรอาน , แล้วขอดุอาฮะดียะฮ์ผลบุญแก่มัยยิด , เป็นหลักการที่ไม่ขัดกับซุนนะฮ์นบีและไม่ขัดกับหลักการในศาสนาเลย แต่สมมุติว่า อ.ปราโมทย์ บอกว่าฮะดีษมุสลิมบทนี้ชี้ถึงว่านบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามการอ่านอัลกุรอ่านที่กุบูร แบบนี้ต้องสมควรถามครับว่า อุลามาอฺคนใหนได้บอกเอาไว้อย่างนั้น? เนื่องจากมีปราชญ์แห่งโลกอิสลามมากมายมีหลักการว่าอ่านอัลกุรอานที่กุบูรได้ไม่ฮะรอม
แต่บางทีคนเรานั้นก็แปลก เมื่อผู้อื่นพยายามหาฮะดีษมายืนยัน ก็บอกว่าอุลามาอฺคนใหนเอามาอ้าง แต่เมื่อเเขาตามการวินิจฉัยของอุลามาอฺจากทัศนะที่เขาไม่ชอบ ก็จะบอกว่าไม่ตามอุลามาอฺแต่จะเอาฮะดีษนบีเท่านั้น!