وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
بسم الله الرحمن الرحيم
الحمد لله رب العالمين و الصلاة والسلام على سيدنا محمد وعلي اله وصحبه أجمعين
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า
فَقُولِي إِنِّي نَذَرْتُ لِلرَّحْمَنِ صَوْماً فَلَنْ أُكَلِّمَ الْيَوْمَ إِنسِيّاً
"เธอ(พระนางมัรยัม)จงกล่าวเถิดว่า แท้จริงฉันได้บนไว้ต่อองค์ผู้ทรงเมตตาว่าจะทำการงดเว้นคำพูดทั้งปวง ดังนั้น ฉันจะไม่พูดกับมนุษย์ผู้ใดทั้งสิ้นในวันนี้" มัรยัม 26
การที่เราเจตนา(เหนียต)ไม่พูดกับผู้ใดนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะการนิ่งย่อมเป็นวิทยปัญญาและความดีงามอย่างหนึ่ง ซึ่งหากเราจะพูดถ้อยคำที่ดี กับผู้อื่นเมื่อจำเป็น ย่อมไม่ทำให้เสียเหนียตอย่างแน่นอน
แต่ผมขอแนะนำอย่าให้เป็นการบนบานเลยครับ เพราะมันจะเป็นการตั้งกฏบังคับให้แก่ตนเอง เพราะถ้าหากเราพูดกับคนอื่น มีอุลามาอ์ขัดแย้งกัน 2 ทัศนะ ว่า ต้องเสียค่าปรับ (กัฟฟาเราะฮ์)หรือไม่?
ท่านอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานว่า "ในขณะที่ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังให้สุนทรพจน์ ทันใดนั้น ท่านได้เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางแดด ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงถามเกี่ยวกับเขา บรรดาซอฮาบะฮ์กล่าวว่า นี้คืออบูอิสรออีล เขาบนบานว่า จะทำการถือศีลอด โดยไม่นั่ง ไม่อยู่ในที่ร่ม และไม่พูดจา ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า พวกท่านจงใช้เขาซิ ให้เขาจงพูด จงอยู่ในที่ร่ม จงนั่ง และจงทำการถือศีลอดให้สมบูรณ์" ดู หะดิษที่ 6704
การบนบานคือสัญญากระทำความดีงามเป็นการเฉพาะ ซึ่งการเหนียต(เจตนาตั้งใจ)เพียงอย่างเดียวนั้น ย่อมไม่เป็นการบนบาน
ท่านอิมามอันนะวาวีย์ กล่าวว่า
من نذر حجا استحب أن يبادر إليه في أول سني الإمكان فإن مات قبل الإمكان فلا شيء عليه كحجة الإسلام وإن مات بعده أحج عنه من ماله وإن عين في نذره سنة تعينت على الصحيح كالصوم فلو حج قبلها لم يجزئه
"ผู้ใดทำการบนบานทำฮัจญี ก็สุนัตให้เขารีบทำฮัจญ์ในช่วงของ 2 ปีแรกที่เขามีความสามารถ ดังนั้น หากเขาเสียชีวิตก่อนที่จะสามารถ(ทำฮัจญ์)ได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่จำเป็นบนเขา เพราะเหมือนกับฮัจญีครั้งแรก(คือหากเขาเสียชีวิตก่อนที่จะสามารถทำฮัจญ์ได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่ติดค้างต่อเขา) และหากเขาเสียชีวิตหลังจากที่มีความสามารถ(กระทำฮัจญ์ได้) ก็จงทำฮัจญ์แทนเขา จากทรัพย์สินของเขา(ที่ทิ้งไว้เป็นมรดก) และหากเขาได้เจาะจงในการบนบานทำฮัจญ์ ช่วงปีหนึ่ง ก็ให้เจาะจงปีนั้น ตามทัศนะที่ถูกต้อง เพราะเปรียบเทียบกับการถือศีลอด (ที่มีการเจาะจงถือศีลอดวายิบในเดือนรอมะฏอน) ดังนั้น หากเขาทำฮัจญ์ก่อนจากปี(ที่ถูกเจาะจงไว้) แน่นอน ฮัจญีย่อมใช้ไม่ได้สำหรับเขา"
ولو قال أحج في عامي هذا وهو على مسافة يمكن الحج منها في ذلك العام لزمه الوفاء تفريعا على الصحيح فإن لم يفعل مع الإمكان صار دينا في ذمته يقضيه بنفسه فإن مات ولم يقض أحج عنه من ماله
"และหากเขากล่าวว่า ฉันจะทำฮัจญ์ในปีที่ฉันอยู่นี้ โดยที่เขาอยู่ในการเดินทางที่สามารถทำฮัจญ์ในปีดังกล่าวได้ ก็จำเป็นกับเขาต้องทำให้สมบุรณ์(กับฮัจญีนั้น) ดังนั้น หากเขาไม่ได้กระทำ(ฮัจญ์) โดยที่มีความสามารถ(ที่จะกระทำได้) แน่นอน ฮัจญ์ย่อมเป็นหนี้ที่อยู่ในภาระของเขา ที่ต้องทำการชดใช้ด้วยตัวเขาเอง และหากเขาเสียชีวิตโดยไม่ทำการชดใช้ ก็ให้ทำฮัจญ์แทนเขา จากทรัพย์สินของเขา(ที่ทิ้งไว้เป็นมรดก)" ดู หนังสือ เราเฏาะฮ์ อัฏฏอลิบีน บทว่าด้วยเรื่องการนะซัรการถือศีลอดวันอีด ของท่านอิมามอันนะวาวีย์
การนำเสนอหลักการ(ตัครีจญ์)จากทัศนะของนักปราชญ์ มีดังนี้
1. หากเขาได้ทำการบนบาน(นะซัร)ที่จะกระทำฮัจญ์ แล้วเขาเสียชีวิต ก่อนที่จะมีความสามารถกระทำฮัจญ์นั้นได้ ก็ไม่มีสิ่งใดจำเป็นที่เขาต้องกระทำและไม่มีสิ่งใดติดค้างบนเขา และไม่จำเป็นต้องให้ทายาทกระทำฮัจญ์แทนเขา
2. หากเขาด้ทำการบนบาน(นะซัร)ที่จะกระทำสิ่งหนึ่ง แล้วเขาเสียชีวิต โดยที่มีความสามารถที่จะกระทำสิ่งนั้นได้ ถือว่าสิ่งดังกล่าวเป็นหนี้ที่อยู่ในภาระของเขา ก็ให้ทายาทกระทำแทน
เมื่อเราดูกรณีของบุคคลหนึ่งที่ทำการบนบานโดยมีเงื่อนไขว่า หากได้ริสกีตามที่ตั้งใจไว้ เขาจะกระทำสิ่งหนึ่งให้กับมัสยิด แต่เขาได้เสียชีวิตก่อนที่เงื่อนไขดังกล่าวจะเกิดขึ้น ดังนั้น เมื่อเงื่อนไขการบนบานได้เกิดขึ้น เขาก็อยู่ในสถานะภาพที่ไม่สามารถที่จะกระทำมันได้ยิ่งกว่าผู้ที่เสียชีวิตก่อนมีความสามารถทำฮัจญ์
ดังนั้น เมื่อบุคคลผู้เสียชีวิต ก่อนที่เงื่อนไขการบนบาน(นะซัร)จะเกิดขึ้น ย่อมไม่มีสิ่งใดจำเป็นบนเขาอีกแล้ว และไม่จำเป็นบนทายาทต้องกระทำแทนผู้ตายจากสิ่งที่เขาได้บานบานไว้
والله أعلى وأعلم