สำหรับผมแล้ว ผมไม่เคยเห็นด้วยเลย กับการขึ้นเวทีโต้เถียงกัน วิธีการนี้ เป็นสิ่งที่อุละมาอฺแห่งโลกอิสลามไม่นิยมนำมาปฏิบัติกัน
เพราะมีผลร้ายมากกว่าผมเสีย เพราะว่าแทนที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจกันในหลักฐานของอีกฝ่าย แค่กลับจะกลายเป็นการอาฆาต
แค้นกันไปสะมากกว่า และก่อให้เกิดการเป็นศัตรูกันขึ้นมาระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าฝ่ายใดแพ้หรือฝ่ายใดชนะ
สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ยอมรับอีกฝ่ายอยู่ดีนั่นแหละ แล้วจะโต้ทำไมให้เสียเวลา
อุละมาอฺในโลกอาหรับตั้งแต่ในยุคอดีต น้อยมากที่พวกเขาจะมาขึ้นเวทีโต้กันในเรื่องของศาสนา ทั้งๆ อุละมาอฺเหล่านั้น มีความรู้ในเรื่อง
กุรอานและหะดิษมากกว่าเราเป็นแสนๆ เท่าสะอีก แต่น้อยมากที่เคาจะนัดกันมาขึ้นเวทีประชันความรู้และหลักฐานกัน ซึ่งผิดกับเมืองไทย
ที่นักวิชาการบางคน มีความรู้กันแค่ปลายนิ้วก้อยมด หากเทียบกับอุละมาอฺอาหรับ แต่กลับทำตัวเหมือนคนรู้มาก เที่ยวท้าโต้คนอื่น
ให้ขึ้นเวทีมั่วไปหมด นี่ไม่ใช่เป็นมารยาทของอุละมาอฺสะลัฟและคอลัฟเลย แต่ตรงข้ามนี่คือมารยาทของพวกบิดอะฮฺในอิสลามต่างหาก
ดังนั้นการจะชี้แจงในเรื่องต่างๆ ของศาสนามิใช่ด้วยวิธีการโต้วาทีกันบนเวที แต่สิ่งที่บรรดาปราชญ์อิสลามนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายและ
ถือว่าได้ผลเป็นอย่างยิ่งคือ การเขียนตำราโต้ตอบกันในเชิงวิชาการ นั่นแหละคือ มารยาทของปราชญ์ ที่ถูกเรียกว่า อัล-อุละมาอ อัร-ร็อบบานียะฮฺ
คือ ปราชญ์ที่แท้จริง ดังนั้น การโต้เถียงกันบนเวที ไม่ได้ก่อให้เกิดอะไรเลย นอกจากการแบ่งฝ่ายและความสะใจในการใช้คำพูดตอกกลับ
ใส่ฝ่ายตรงข้าม แทนที่ว่าการเสวนาครั้งนี้จะถูกห้อมล้อมโดยมลาอิกะฮฺ แต่สุดท้ายกลับถูกห้อมล้อมโดยบรรดาชัยฏอนสะมากกว่า
ตอนแรก การเริ่มต้นในการโต้กัน อาจจะเริ่มต้นด้วยกับการบิสมิลละฮฺสะอย่างดิบดี แต่พอเวลายืดเยื้อไปก็กลับกลายเป็นการโกรธและเก็บกด
อยู่ในใจ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ทำสิ่งที่ขัดแย้งกับคำสั่งของท่านรสูลที่ใช้ให้รักใคร่ปรองดองกัน และการทำสิ่งที่ขัดกับคำสั่งของนบีถือ ว่าเป็นสิ่งที่ร้ายแรง ขอทั้งสองฝ่ายโปรดพิจารณาด้วย......ขออัลลออฺทรงประทานทางออกที่ดีแก่ทั้งสองฝ่าย....อามีน