بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم
اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ آلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ ،،، وَبعْدُ ؛
ก่อนอื่นผมอยากจะกล่าวถึงอะกีดะฮ์พื้นฐานของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ก่อนว่า "ผู้ที่ทำให้บังเกิดผลแก่ทุก ๆ สิ่งนั้น คืออัลเลาะฮ์ตะอาลา" ส่วนคำพูดว่า "น้ำมนต์" นั้นเป็นชื่อเรียกของศาสนาอื่น แต่มุสลิมบ้านเราเรียกว่า น้ำดุอา เพราะมีการอ่านอายะฮ์อัลกุรอานและพระนามของอัลเลาะฮ์แล้วขอดุอาเป่าลงไป เป็นต้น
อนึ่ง เรื่องการทำน้ำดุอานั้น บางคนไม่สนับสนุน ก็ไม่ควรที่จะไปบัญญัติขึ้นเองว่ามันเป็นสิ่งที่ฮะรอมหรือบิดอะฮ์ลุ่มหลง เพราะการจะฮุกุ่มสิ่งใดว่าฮะรอมเด็ดขาดนั้นต้องหวนไปยังตัวบทอัลกุรอาน , ซุนนะฮ์ , และหลักการต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ฮุกุ่มศาสนา
ส่วนการผูกสายเชือกนั้น เท่าที่ศึกษามาผมยังไม่พบตัวบทห้ามและตัวบทใช้และยังไม่พบคำกล่าวของอุลามาอฺเลย ซึ่งผมขอหยุด (ตะวักกุฟ) ที่จะบอกว่าเป็นการกระทำที่ฮะรอมหรือว่ามุบาห์ แต่จะบอกได้เพียงว่าควรหลีกเลี่ยงกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากกระทำการผูกสายเชือกแล้วเชื่อ(เอี๊ยะติก็อต)ว่า สายเชือกที่ผูกนั้นสามารถป้องกันอันตราย ถือว่าเป็นชิริกอันตราย
ท่านบุคอรี ได้รายงานฮะดิษจากท่าน ญาบิร บิน อับดิลลาฮ์ เขากล่าวว่า
جَاءَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَعُودُنِي وَأَنَا مَرِيضٌ لَا أَعْقِلُ فَتَوَضَّأَ وَصَبَّ عَلَيَّ مِنْ وَضُوئِهِ فَعَقَلْتُ
"ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้มาเยี่ยมฉัน โดยฉันป่วยจนไม่ได้สติ ดังนั้นท่านร่อซูลจึงอาบน้ำละหมาดและรดน้ำบนฉันจากน้ำที่ใช้อาบน้ำละหมาด แล้วฉันก็คืนสติ" รายงานโดยบุคอรี (191)
ท่านมุสลิม ได้รายงานฮะดิษจากท่าน ญาบิร บิน อับดิลลาฮ์ เขากล่าวว่า
عَادَنِي النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَأَبُو بَكْرٍ فِي بَنِي سَلِمَةَ يَمْشِيَانِ فَوَجَدَنِي لَا أَعْقِلُ فَدَعَا بِمَاءٍ فَتَوَضَّأَ ثُمَّ رَشَّ عَلَيَّ مِنْهُ فَأَفَقْتُ
"ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และท่านอบูบักรได้อยู่ในเผ่าสะลิมะฮ์ ทั้งสองท่านได้เดินเท้า(มาเยี่ยมฉัน) โดยฉันเป็นลมหมดสติ ท่านนบีจึงขอน้ำมา แล้วทำการอาบน้ำละหมาด หลังจากนั้นท่านได้เอาน้ำที่ใช้อาบน้ำละหมาดมาพรมบนฉัน แล้วฉันก็ฟื้นคืนสติ" รายงานโดยมุสลิม (1616)
ท่านอิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวอธิบายฮะดิษนี้ว่า
وَفِيهِ التَّبَرُّك بِآثَارِ الصَّالِحِينَ وَفَضْل طَعَامهمْ وَشَرَابهمْ وَنَحْوهمَا , وَفَضْل مُؤَاكَلَتهمْ وَمُشَارَبَتهمْ وَنَحْو ذَلِكَ
" ในฮะดิษนี้ ชี้ถึงการเอาบะรอกัต(ศิริมงคล) ร่องรอยส่วนที่เหลือต่าง ๆ ของบรรดาบุคคลที่มีคุณธรรม(ซอและฮ์) อาหารเครื่องดื่มที่เหลือของพวกเขาและอื่น ๆ จากทั้งสอง และของเหลือที่พวกเขาได้ร่วมรับประทานและร่วมดื่มกัน และอื่น ๆ จากสิ่งดังกล่าว" ชัรห์ซอฮิห์มุสลิม
ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา ได้กล่าวว่า
فَرَجَعْتُ إِلَى أَسْمَاءَ فَخَبَّرْتُهَا فَقَالَتْ هَذِهِ جُبَّةُ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَأَخْرَجَتْ إِلَيَّ جُبَّةَ طَيَالِسَةٍ كِسْرَوَانِيَّةٍ لَهَا لِبْنَةُ دِيبَاجٍ وَفَرْجَيْهَا مَكْفُوفَيْنِ بِالدِّيبَاجِ فَقَالَتْ هَذِهِ كَانَتْ عِنْدَ عَائِشَةَ حَتَّى قُبِضَتْ فَلَمَّا قُبِضَتْ قَبَضْتُهَا وَكَانَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَلْبَسُهَا فَنَحْنُ نَغْسِلُهَا لِلْمَرْضَى يُسْتَشْفَى بِهَا
"ฉันได้กลับไปที่ท่านนางอัสมาอฺ (บุตรี อบูบักร) แล้วฉันได้บอกให้นางทราบ ดังนั้นนางจึงกล่าวว่า นี้คือเสื้อคลุมของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วนางได้นำมาเสื้อคลุมฏ็อยลาซาน (เสื้อคลุมที่มีผ้าไหมเย็บบริเวนขอบชายเสื้อ) ของชาวกิสรอมาให้ฉัน ซึ่งเสื้อคลุมนั้นมีรอยเย็บปะที่คอเสื้อด้วยผ้าไหม และขอบของแขนเสื้อทั้งสองได้ถูกเย็บได้ผ้าไหม ดังนั้นท่านนางอัสมาอฺจึงกล่าวว่า เสื้อคลุมตัวนี้เคยอยู่ที่ท่านนางอาอิชะฮ์จนกระทั่งนางได้เสียชีวิต เมื่อนางได้เสียชีวิต ฉันจึงนำมันมาเก็บไว้ และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ได้เคยสวมใส่มัน ดังนั้นเราจึงนำเสื้อคลุมมาล้างน้ำให้สำหรับบรรดาคนป่วยเพื่อนำมันมารักษาอาการป่วย" รายงานโดยมุสลิม ฮะดิษที่ (3855)
ท่านอิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวอธิบายว่า
وَفِي هَذَا الْحَدِيث دَلِيل عَلَى اِسْتِحْبَاب التَّبَرُّك بِآثَارِ الصَّالِحِينَ وَثِيَابهمْ
"ในฮะดิษนี้ เป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า ชอบให้กระทำ(มุสตะฮับ)กับการเอาบะรอกะฮ์ด้วยกับบรรดาร่องรอยของเหล่าบุคคลที่มีคุณธรรมและบรรดาเสื้อของพวกเขา" หนังสือชัรห์ซอฮิห์มุสลิม
ฮะดิษนี้มีข้อบ่งชี้อย่างชัดเจน และอิมามอันนะวาวีย์ก็ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจน
ส่วน กรณีเรื่องน้ำดุอา ที่นำไปกิน นำไปพรม และนำไปดื่มนั้น อย่าด่วนฮุกุ่มว่าเขาทำชิริก เพราะเราไม่สามารถไปผ่าหัวใจของเขามาดูได้ว่ามีหลักเจตนาอย่างไร เพราะดังกล่าวจะนำไปสู่การสร้างฟิตนะฮ์และกล่าวหาพี่น้องมุสลิมที่อันตราย
ท่านอับดุลเลาะฮ์ บุตร ของท่านอะหฺมัด บิน ฮัมบัล กล่าวว่า
رَأَيْتُ أَبِىْ يَكْتُبُ التََّعَاوِيْدَ لِلَّذِىْ يُصْرَعُ وَلِلحَمِىِّ لِأَهْلِهِ وَقَرَابَاتِهِ ، وَيَكْتُبُ لِلْمَرْأَةِ إِذَا عَسُرَ عَلَيْهَا الْوِلَادَةُ فِىْ جَامٍ أَوْ شَيْءٍ نَظِيْفٍ ، وَيَكْتُبُ حَدِيْثَ إبْنِ عَبَّاسٍ ، إِلَّا أَنَّهُ كَانَ يَفْعَلُ ذَلِكَ عِنْدَ وُقُوْعِ الْبَلاَءِ ، وَرَأَيْتُ يَعُوْدُ فِى الْمَاءِ وَيُشْرِبُهُ الْمَرِيْضَ ، وَيَصُبُّ عَلَى رَأْسِهِ مِنْهُ ، وَرَأَيْتُ أَبِىْ يَأْخُذُ شَعْرَةٍ مِنْ شَعْرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَيَضَعُهَا عَلَى فِيْهِ يُقَبِّلُهَا ، وَأَحْسِبُ أَنِّىْ قَدْ رَأَيْتُهُ يَضَعُهَا عَلَى رَأْسِهِ أَوْ عَيْنِهِ ، فَغَمَّسَهَا فِى الْمَاءِ ثُمَّ شَرَبَهُ يَسْتَشْفِى بِهِ ، وَرَأَيْتُهُ قَدْ أَخَذَ قَصْعَةَ النَّبِىِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بَعَثَ بِهَا إِلِيْهِ أَبُوْ يَعْقُوْبَ بْنُ سُلَيْمَانَ بْنِ جَعْفَرَ فَغَسَلَهَا فِىْ جُبِّ الْمَاءِ ثُمَّ شَرِبَ فِيْهَا ، وَرَأَيْتُ مِنْ مَاءِ زَمْزَمَ يَسْتَشْفِىْ بِهِ وَيَمْسَحُ بِهِ يَدَيْهِ وَوَجْهَهُ
"ข้าพเจ้าได้เห็นบิดา ทำการเขียนสิ่งที่ขอความคุ้มครองให้กับผู้เป็นลมและผู้ที่ป่วยไข้ ที่เป็นครอบครัวและเครือญาติของท่าน และบิดาได้เขียนในถ้วยหรือสิ่งที่สะอาดให้กับสตรีคนหนึ่งในยามที่นางคลอดลำบาก และบิดาเขียนหะดิษของท่านอิบนุอับบาส แต่ท่านได้กระทำสิ่งดังกล่าวในยามที่มีภัยมาทดสอบ และข้าพเจ้าเห็นบิดาทำการอ่านดุอาอ์ขอการคุ้มครอง(แล้วเป่า)ลงในน้ำและให้ผู้ป่วยดื่มและทำการรดน้ำนั้นลงบนศีรษะ และข้าพเจ้าเห็นบิดาได้เอาเส้นผมของท่านนบี(ซ.ล.) แล้วนำมาวางบนปากของท่านเพื่อทำการจูบมัน และข้าพเจ้าเข้าใจว่า ข้าพเจ้าได้เคยเห็นบิดาวางเส้นผมของท่านนบี(ซ.ล.) บนศีรษะและตาของท่าน แล้วท่านก็นำเส้นผมของท่านนบีจุ่มลงในน้ำ จากนั้นก็ทำการดื่มน้ำนั้น เพื่อขอให้หาย(จากการป่วย)ด้วยน้ำนั้น และข้าพเจ้าเห็นบิดาเอาจานของท่านนบี(ซ.ล.) ที่อบูยะอฺกูบ บิน สุไลมาน บิน ญะฟัร ได้ส่งมาให้ท่าน ดังนั้น บิดาจึงทำการล้างมันในบ่อน้ำแล้วก็ดื่มมัน และข้าพเจ้าได้เห็นบิดาเอาน้ำซัมซัมมารักษา และเอามาลูบสองมือและใบหน้าของท่าน" ดู หนังสือ มะซาอิล อิมามอะหฺมัด ของท่านอับดุลเลาะฮ์ บิน อะหฺมัดบินฮัมบัล หน้า 447
ท่าน อิบนุ อะบี ชัยบะฮ์ ได้กล่าวรายงานว่า "ได้เล่ากับเรา โดยอบูบักร เขากล่าวว่า ได้เล่าแก่เรา โดยอะลี บิน มิสฮัร จากอิบนุ อบี ลัยลา จากอัลหะกัม , จากสะอีด บิน ญุบัยร์ จากท่านอิบนุอับบาส(ร.ฏ.) ซึ่งเขา(คือท่านสะอีด บิน ญุบัยร์) กล่าวว่า เมื่อสตรีได้มีการคลอดบุตรลำบาก ดังนั้น ท่านอิบนุอับบาสได้เขียนสองอายะฮ์นี้และบรรดาถ้อยคำต่าง ๆ ลงในจานใบหนึ่ง หลังจากนั้น ก็ทำการล้างน้ำ แล้วให้นางดื่มจากมัน (ถ้อยคำและอายะฮ์เหล่านั้น) คือ
بِسْمِ اللهِ لا إلهَ إلا هو الحَلِيْمُ الكَرِيْمُ ، سُبْحَانَ اللهِ ربِ السَموَاتِ السَبْعِ وَربِ العَرْشِ العَظِيْمِ
"ด้วยพระนามแห่งอัลเลาะฮ์ ที่ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ผู้ทรงสุขุมยิ่ง และทรงเผื่อแผ่ยิ่ง ความมหาบริสุทธิ์แด่อัลเลาะฮ์ ผู้เป็นเป็นผู้อภิบาลบรรดาฟากฟ้าทั้งเจ็ด และเป็นองค์อภิบาลบังลังก์อันยิ่งใหญ่"
كَأَنَّهُمْ يَوْمَ يَرَوْنَهَا لَمْ يَلْبَثُوا إِلَّا عَشِيَّةً أَوْ ضُحَاهَا
"คล้ายกับว่าพวกเขา ในวันที่พวกเขามองเห็นมันนั้น พวกเขาไม่ได้พักพิงอยู่(ในดุนยา) นอกจากเพียงชั่วยามเย็น หรือยามเช้าของมันเท่านั้น" อันนาซิอาตฺ 46
كَأَنَّهُمْ يَوْمَ يَرَوْنَ مَا يُوعَدُونَ لَمْ يَلْبَثُوا إِلَّا سَاعَةً مِّن نَّهَارٍ بَلَاغٌ فَهَلْ يُهْلَكُ إِلَّا الْقَوْمُ الْفَاسِقُونَ
"คล้ายกับ ว่าพวกเขาได้มองเห็นสิ่งที่สิ่งที่พวกเขาถูกสัญญาไว้ พวกเขาไม่ได้อยู่ นอกจากเพียงช่วงเวลาหนึ่งในตอนกลางวันเท่านั้น (ดังกล่าวนั้น) เป็นที่บรรลุ(สู่เป้าหมายแล้ว) ดังนั้น จะไม่ถูกทำลายล้าง นอกจากลุ่มชนที่ฝ่าฝืน" อัลอะหฺกาฟ 35
หลังจากนั้น จึงนำน้ำไปให้นางดื่ม และพรมน้ำส่วนที่เหลือบนส่วนหน้าอกของนาง และท่านอิมามอะหฺมัด ได้รายงานคำพูดนี้จากท่านอิบนุอับบาส และท่านอิบนุอัสซุนนีย์ ได้ยกคำพูดนี้ไปถึงท่านนบีไว้ในหนังสือ อะมัล เยาม์ วะ ลัยฮ์" ดู หนังสือ อัลอาดาบ อัชชัรอียะฮ์ เล่ม 2 หน้า 476 ของท่าน อิบนุ มุฟลิห์ อัลฮัมบาลีย์
ท่านอิมามอัลบัยฮะกีย์ กล่าวว่า
اَلنَّهْىُ وَالْكَرَاهَةُ فِيْمَنْ تَعَلَّقَهَا وَهُوَ يَرَى تَمَامَ الْعَافِيَةِ وَزَوَالَ الْعِلَّةِ مِنْهَا عَلَى مَا كَانَ أَهْلُ الْجَاهِلِيَّةِ يَصْنَعُوْنَ ، فَأَمَّا مَنْ تَعَلَّقَهَا مُتَبَرِّكاًَ بِذِكْرِ اللهِ تَعَالَى فِيْهَا وَهُوَ يَعْلَمُ أَنْ لاَ كَاشِفَ إِلاَ اللهُ وَلاَ دَافِعَ عَنْهُ سِوَاهُ فَلاَ بَأْسَ بِهَا إِنْ شَاءَ اللهُ
"ถือว่าเป็นการต้องห้ามและมักโระฮ์(ไม่ควรกระทำ) คือ ในผู้ที่ทำการแขวนมัน โดยเขาเห็นว่า ได้หายป่วยสมบูรณ์แล้วและความเจ็บป่วยหายไปเนื่องมาจากมัน(ตะมีมะฮ์) ตามที่พวกญาฮิลียะฮ์กระทำกัน , สำหรับผู้ที่แขวนมันเพื่อความบะรอกัตจากซิกรุลเลาะฮ์ตะอาลา ที่ถูกเขียนอยู่ในมัน โดยเขารู้ดีว่า ไม่ผู้ใดที่จะเป็นผู้คลี่คลายได้นอกจากอัลเลาะฮ์ และไม่มีผู้ใดที่จะปกป้องเขาได้นอกจากพระองค์เท่านั้น ก็ถือว่าไม่เป็นไร ด้วย(การแขวน)มัน อินชาอัลเลาะฮ์" อัสสุนัน อัลกุบรอ 9/350
ท่านอิมามบัยฮะกีย์ ได้กล่าวรายงานว่า นาฟิอฺ บิน ยะซีด ได้ถามท่านยะหฺยา บิน ซะอีด จากการเป่าและแขวนสิ่งเขียน ดังนั้น เขากล่าวตอบว่า
كَانَ سَعِيْدُ بْنُ الْمُسَّيَّبِ يَأْمُرُ بِتَعْلِيْقِ الْقُرْآنِ وَقَالَ : لاَ بَأْسَ بِهِ
"ท่านสะอีด บิน อัลมุซัยยับ ได้ใช้ให้แขวนอัลกุรอานได้ และเขากล่าวว่า มันไม่เป็นไร" อัสสุนันอัลกุบรอ 9/351
ท่านอิมามอัลบัยฮะกีย์ ได้กล่าวเช่นกันว่า
إِنْ رَقَى بِمَا لاَ يَعْرِفُ أَوْ عَلَى مَا كَانَ مِنْ أَهْلِ الْجَاهِلِيَّةِ مِنْ إِضَافَةِ الْعَافِيَةِ إِلَى الرَّقْيِ لَمْ يَجُزْ ، وَإِنْ رَقَى بِكِتَابِ اللهِ أَوْ بِمَا يَعْرِفُ مِنْ ذِكْرِ اللهِ مُتَبَرِّكاً بِهِ وَهُوَ يَرَى نُزُوْلَ الشَّفَاءِ مِنَ اللهِ تَعَالَى فَلاَ بَأْسَ بِهِ . وَبِاللهِ التَّوْفِيْقُ
"หากเขา ได้ทำการ(กล่าวถ้อยคำแล้ว)เป่าด้วยกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รู้กัน หรือ ตามสิ่งที่พวกญาฮีลียะฮ์ได้ดำเนินอยู่ จากการพาดพิงการหายป่วยไปยังการเป่านั้น ย่อมไม่เป็นที่อนุญาต และหากได้เป่า ด้วยอัลกุรอานหรือสิ่งที่รู้กันจากการซิกรุลเลาะฮ์ ในลักษณะที่เขาได้เอาบะรอกัตด้วยมัน โดยเขาเห็นว่า การประทานการหายป่วยนั้น มาจากอัลเลาะฮ์ ดังนั้น มันจึงไม่เป็นไร และด้วยกับอัลเลาะฮ์ คือการชี้นำ" อัสสุนันอัลกุบรอ 9/351
وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَاليَ أعْلىَ وَأَعْلَمُ