بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم
اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ آلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ ،،، وَبعْدُ ؛
การจับ มือซึ่งกันและกันหลังจากเสร็จสิ้นจากละหมาดนั้น อยู่ในแง่ของฮุกุ่มมุบาห์และเป็นการชอบให้กระทำ(มุสตะฮับ) แต่ผู้จับมือไม่สมควรเชื่อว่า การจับมือหลังละหมาดเสร็จนั้น เป็น(องค์ประกอบ)ส่วนหนึ่งที่ทำให้ละหมาดสมบูรณ์หรือเป็นสุนัตของละหมาดที่ ได้รายงาน(เจาะจง)มาจากท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
บรรดาอุ ลามาอ์ที่กล่าวว่า ชอบให้กระทำ(มุสตะฮับ) นั้น พวกเขามักจะกล่าวหลักฐานจากหะดิษที่รายงานโดยท่านอัลบุคอรีย์ จากท่านอบีญุฮัยฟะฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งเขากล่าวว่า
خَرَجَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وآله وسلم بِالْهَاجِرَةِ إِلَى الْبَطْحَاءِ ، فَتَوَضَّأَ ، ثُمَّ صَلَّى الظُّهْرَ رَكْعَتَيْنِ وَالْعَصْرَ رَكْعَتَيْنِ وَبَيْنَ يَدَيْهِ عَنَزَةٌ ، وَقَـامَ النَّاسُ فَجَعَلُوا يَأْخُذُونَ يَدَيْهِ فَيَمْسَحُونَ بِهَا وُجُوهَهُمْ قَـالَ أبـو جحيفة : فَأَخَذْتُ بِيَدِهِ فَوَضَعْتُهَا عَلَى وَجْهِي ، فَإِذَا هِيَ أَبْرَدُ مِنَ الثَّلْجِ وَأَطْيَبُ رَائِحَةً مِنَ الْمِسْكِ
" ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ออกไปยังอัลบัฏฮาอ์ (ซึ่งเป็นสถานหนึ่งที่อยู่นอกเขตมักกะฮ์)ในช่วงที่ร้อนระอุ(หลังจากเที่ยง วันแล้ว) ดังนั้น ท่านนบีได้อาบน้ำละหมาด จากนั้น ท่านได้ทำการละหมาด(รวม)ซุฮริและอัสริอย่างละสองร่อกะอัต โดยที่เบื้องหน้าของท่านมีไม้เท้า(ครึ่งหอกปักอยู่) และ(เมื่อละหมาดเสร็จแล้ว)บรรดาผู้คนก็ได้ยืนขึ้นและพวกเขาก็ได้จับสองมือ ของท่านนบี แล้วนำสองมือของท่านนบีมาลูบที่ใบหน้าของพวกเขา ท่านอบูญุฮัยฟะฮ์ กล่าวว่า ฉันได้จับมือของท่านนบี แล้วนำมาวางบนใบหน้าของฉัน ทันใดนั้น มือของท่านนบีเย็นยิ่งกว่าหิมะและหอมยิ่งกว่าน้ำหอมชะมดเชียง" รายงานโดยบุคอรีย์ (3553)
ท่านอัลมุฮิบ อัลฏ๊อบรีย์ (เสียชีวิตปี ฮ.ศ. 694) ได้กล่าวว่า "ดังกล่าวนับว่าเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกัน เพราะบรรดาผู้คนได้กระทำการจับมือหลังจากเสร็จสิ้นจากบรรดาละหมาดญะมาอะฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในละหมาดอัสริและมัฆริบ หากการกระทำดังกล่าวนั้นพร้อมด้วยเจตนาอันดีงาม ความมีศิริมงคล ความรักใคร่กลมเกลียวกัน และอื่น ๆ "
ท่านอิมามอันนะวาวีย์ ได้เลือกเฟ้นทัศนะนี้ไว้ในหนังสือ อัลมัจญ์มั๊วะของท่านว่า "การจับมือซึ่งกันและกันกับผู้ที่อยู่พร้อมกับเขาก่อนจากละหมาดนั้นเป็นสิ่ง ที่มุบาห์(อนุญาตให้กระทำได้) และการจับมือกับผู้ที่อยู่พร้อมกับเขาก่อนละหมาดนั้น ถือว่าเป็นสุนัต" และท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอัซการ ว่า "ท่านพึงรู้เถิดว่า การจับมือในขณะที่พบกันนั้นเป็น ซุนนะฮ์ แต่สิ่งที่บรรดามนุษย์ได้กระทำกันเป็นประจำหลังจากละหมาดอัสริและอีชา อ์นั้น ไม่มีหลักฐานจากศาสนา(เจาะจง)เกี่ยวกับด้านนี้ แต่(หากกระทำ)ก็ไม่เป็นไร เพราะรากฐานเดิมเกี่ยวกับจับมือนั้น เป็นซุนนะฮ์ และการที่พวกเขาได้ทำการจับมือเป็นประจำในบางโอกาส และละเลยในบางโอกาสหรือส่วนมากนั้น ก็ไม่ทำให้บางส่วนจากสิ่งดังกล่าว ออกจากหลักการจับมือที่มีรากฐานจากศาสนา" และได้ถูกถ่ายทอดทัศนะของท่านอิบนุอับดุสลาม ว่า การจับมือหลังละหมาดอัสริและมัฆริบนั้น เป็นบิดอะฮ์ที่มุบาห์ (อนุญาตให้กระทำได้)" มัจญฺมั๊วะอฺ 2/452
สำหรับทัศนะของอุลามาอ์บาง ส่วนที่กล่าวว่า มักโระฮ์(คือกระทำก็ได้หากไม่ทำย่อมดีกว่า)ในการจับมือซึ่งกันและกันถัดจาก เสร็จสิ้นการละหมาดนั้น เนื่องจากพวกเขาพิจารณาว่า การกระทำอย่างนั้นเป็นประจำ บางครั้งทำให้คนที่ไม่รู้ คิดว่า สิ่งดังกล่าวเป็น(องค์ประกอบ)ส่วนที่ทำให้ละหมาดสมบูรณ์หรือเป็นซุนนะฮ์ที่ ได้รายงาน(เจาะจง)มาจากท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และทั้งที่พวกเขากล่าวว่า เป็นมักโระฮ์ แต่พวกเขาได้ระบุทัศนะเอาไว้ - ตามที่ท่านอิบนุอะลานได้ถ่ายทอดจากหนังสือ อัลมิรกอฮ์ - ว่า เมื่อมุสลิมคนหนึ่งได้ยื่นมือมายังเขาเพื่อจะจับมือ ดังนั้น ไม่สมควรหลีกเลี่ยงด้วยการดึงมือออกไป เนื่องจากจะส่งผลให้เกิดการทำลายน้ำใจและความรู้สึกของบรรดามุสลิมีน และการป้องกันสิ่งดังกล่าว ย่อมอยู่ก่อน การรักษาไว้ซึ่งมารยาทในการห่างไกลจากสิ่งที่มักโระฮ์ตามทัศนะของพวกเขา เนื่องจากหลักการที่ถูกกำหนดไว้ตามหลักศาสนาคือ การป้องกันผลเสียย่อมอยู่ก่อนการนำมาซึ่งผลประโยชน์
ตามครรลองสิ่ง ดังกล่าว การจับมือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ตามหลักฐานของศาสนาอันมี เกียรติ และการจับมือหลังจากละหมาดนั้น ย่อมไม่ทำให้ออกจากบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น การจับมือหลังละหมาด จึงเป็นสิ่งที่มุบาห์(อนุญาตให้กระทำได้) หรือเป็นสิ่งที่สุนัตให้กระทำ ตามทัศนะหนึ่งของอุลามาอ์และตามทัศนะการแจกแจงของอิมามอันนะวาวีย์เกี่ยวกับ สิ่งดังกล่าว พร้อมกับต้องตระหนักว่า การจับมือนั้นไม่ใช่เป็น(องค์ประกอบ)ที่ทำให้ละหมาดสมบูรณ์และไม่ใช่เป็นซุน นะฮ์(เจาะจง)ที่ถูกถ่ายทอดมาจากท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่าท่านได้กระทำเป็นประจำ และข้อตระหนักนี้ ได้ถูกถ่ายทอดมาจากทัศนะของผู้ที่กล่าวว่า มักโระฮ์ ดังนั้น การที่เป็นมักโระฮ์ตามทัศนะของพวกเขา เนื่องจากเกี่ยวกับการเชื่อมั่น(ว่าเป็นซุนนะฮ์นบีที่ได้เจาะจงเอาไว้ ) ไม่ใช่ เกี่ยวกับรากฐาน(ของศาสนา)ในเรื่องของการจับมือ ดังนั้น จำเป็นต่อผู้ที่มีทัศนะว่ามักโระฮ์ สมควรที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งนัยยะความหมายอันนี้ และให้รักษามารยาทของการคิลาฟ(การขัดแย้งในเชิงทัศนะ)เกี่ยวกับประเด็นนี้ ด้วย และสมควรห่างไกลจากการสร้างฟิตนะฮ์ สร้างความแตกแยก สร้างความรังเกียจระหว่างพี่น้องมุสลิมีน ด้วยการที่เขาไม่จับมือกับผู้ละหมาดที่ได้ยืนมือมายังเขาหลังจากเสร็จสิ้น ละหมาดแล้ว และเขาจงรู้ไว้เถิดว่า ความมีน้ำใจ การสร้างความคุ้นเคย และสมัครสมานสามัคคี เป็นที่รักยิ่งไปยังอัลเลาะฮ์ ตะอาลา มากกว่าการห่างไกลการกระทำอันมักโระฮ์ตามทัศนะของอุลามาอ์บางส่วน ซึ่งในขณะเดียวก็มีอุลามาอ์ผู้ทรงความรู้จากพวกเขา ก็ได้มีทัศนะว่าเป็นที่อนุญาต(มะบาห์) หรือชอบให้กระทำ(มุสตะฮับ)
وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَاليَ أعْلىَ وَأَعْلَمُ